ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Edge of Deity

    ลำดับตอนที่ #2 : เริ่มต้นการเดินทาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7
      0
      15 ธ.ค. 46

    ตอนที่2



    เริ่มต้นการเดินทาง






    ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างไม่ขาดสาย  บรรยากาศโดยรอบมืดครึ้ม  ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามกึกก้องราวกับเสียงแผดร้องของเหล่าวิญญาณร้าย  ถึงแม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้ จะลางเลือนมากเพียงใด  แต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้ว่ายังมีทารกน้อยหลับใหลอย่างสงบอยู่ภายในอ้อมแขนของหญิงผู้นั้น



    “พ่อ...แม่?” เสียงสงสัยที่แผ่วเบาของชายหนุ่ม



    ทันใดนั้น ชายหญิงคู่นั้นก็ค่อยๆห่างจากตัวเขาออกไป  ไม่ว่าเขาจะรีบติดตามไปด้วยความเร็วสักเพียงใด ก็ไม่สามารถไล่ตามชายหญิงคู่นั้นทันได้  แม้ว่าจะร้องเรียกให้ดังสักแค่ไหน  ก็ไม่อาจหยุดยั้งการจากไป คงเหลือไว้แต่เพียงชายหนุ่มผู้โศกเศร้าทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง



    เมื่อชายหญิงคู่นั้นได้หายลับตาไป  กลับมีภาพของหญิงสาวคนหนึ่งลอยอยู่เบื้องหน้าของเขาในสภาพไร้สติเข้ามาแทนที่  เด็กชายผู้มีนัยน์ตาแดงก่ำดุจสีเลือด เอื้อมอุ้งมืออันซีดขาวแทงทะลุร่างของหญิงผู้นั้นจากทางด้านหลังอย่างโหดเหี้ยม  พร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่แสนเยือกเย็น  เลือดสีแดงฉานไหลกระเซ็นออกมาอย่างท้วมท้นจนเปรอะเปื้อนเนื้อตัวของเขาเต็มไปหมด



    “ไม่! ม่ายยยยยย...” ชายหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดสุดคณานับ



    เขาตกใจตื่นขึ้นมา พ้นจากภวังค์แห่งความฝันที่ไม่อาจลบออกจากจิตใจได้โดยพลัน  ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงสง่า ผู้มีเส้นผมสีดำสนิทราวกับถูกย้อมด้วยความมืด  ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงคู่นั้นเหลียวมองไปโดยรอบเห็นแต่เพียงเพื่อนของเขา อากัสที่สะดุ้งตกใจตื่นในเสียงร้องของเขา



    อากัสสืบเชื้อสายมาจากเผ่าเอลฟ์ ซึ่งมีใบหูที่ยาวแหลมและนัยน์ตาสีเขียวอมทองที่เป็นเอกลักษณ์  อากัสนั้นมีความสูงทั้งขนาดตัวรวมไปถึงรูปร่างไม่ต่างจากเด็กของเผ่ามนุษย์  และเนื่องด้วยสายเลือดที่แตกต่างจึงเป็นเหตุให้อากัสที่มีอายุมากว่าเขาเพียงไม่กี่เดือน เกิดมาก่อนเขาหลายสิบปี  ถ้านับอายุตามเผ่ามนุษย์แล้ว อากัสก็สามารถเป็นพ่อของเขาได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว



    แต่แล้วเมื่อเขาทอดสายตาต่ำลงมา  ก็พบเพื่อนที่แสนน่ารักอีกตัวซึ่งนั่งคลอเคลียอยู่ข้างๆมือของเขาอย่างประจบ  เพื่อนตนนี้เป็นสุนัขเผ่าปีศาจทำหน้าที่คอยดูแลเขามาตั่งแต่เขายังจำความไม่ได้  มีชื่อว่า  เฟรย์



    เฟรย์มีขนาดตัวที่พกพาได้โดยง่าย  ใบหูยาวเล็ก  หางที่เป็นพวงนั้นดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสจนแทบอดใจไม่ไหว  สิ่งที่ทำให้เฟรย์ดูน่ารักน่าชังมากยิ่งขึ้นในสายตาของเขานั้น เห็นจะเป็นผ้าผันคอผืนเล็กสีม่วงอ่อนซึ่งพันอยู่รอบคอที่มีขนปุกปุยเป็นสีเทาของเฟรย์   ดวงตาสีน้ำสดใสราวกับอัญมณีเม็ดงามที่จ้องมองเขาด้วยความเป็นห่วงนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก พลางลูบหัวของเฟรย์ตอบอย่างเบามือ  ในขณะที่มีสายตาอิจฉาของอากัสจ้องมองอยู่อย่างไม่พอใจนัก



    “เฟรย์ใจร้าย!” อากัสกล่าวด้วยความน้อยใจ



    เมื่ออากัสทำใจได้แล้วจึงเอ่ยถามชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนอย่างห่วงใยว่า



    “ฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้วหรือ?”



    “อืมม์   ผ่านมาสิบปีแล้วสินะ  รู้สึกว่าจะดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ออกมาจากโดลอร์” ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ



    “อย่าได้คิดมากเลย  เราเพิ่งจากมาเพียงวันเดียวเท่านั้น คงไม่เกี่ยวกันหรอก” อากัสปลอบเสียงขรึม



    “เจ้าตามข้ามา มันจะดีรึ?  เรื่องนี้มันเป็นปัญหาของข้าเท่านั้น” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบสนิท ขณะจ้องมองนัยน์ตาที่ส่อแววกังวลลึกๆอยู่ภายในของผู้เป็นเพื่อนอย่างจดจ่อ



    เมื่อได้ยินดังนั้น อากัสจึงย้อนถามเน้นเสียงว่า



    “ข้าได้กล่าวกับท่านเคย์ไว้ว่าอย่างไรลืมไปแล้วหรือ?”



    พอสิ้นเสียง อากัสก็มาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของชายหนุ่ม  พร้อมทั้งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ในขณะที่มือข้างขวาวางแนบอยู่กับอก  ส่วนมือข้างซ้ายนั้นแนบชิดติดลำตัว  แล้วจึงเงยมองใบหน้าอันซีดขาวของชายหนุ่ม  ดวงตาของอากัสทอประกายผ่องใสอย่างประหลาด  ขณะเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า



    “อากัส  กรี  ผู้สืบสายเลือดของเผ่าเอลฟ์ ซึ่งทะนงในศักดิ์ศรี   มาบัดนี้  ได้พบผู้ที่เลือกแล้ว  จึงขอสาบานตนว่าจะจงรักภักดีต่อ  เกรย์  ซานโดร  แต่เพียงผู้เดียวตลอดกาล  ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น  แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตนี้ก็ตาม  แต่ความรู้สึกเช่นนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปรเป็นอันขาด”



    เมื่อได้ฟังคำปฏิญาณตนของเพื่อนผู้เป็นที่รักที่เชื่อใจ  ก็บังเกิดรอยยิ้มน้อยๆปรากฏอยู่บนใบหน้าอันซีดเซียว ให้สดชื่นแจ่มใส  ช่างเป็นรอยยิ้มที่งดงามราวกับรอยยิ้มของเทพบุตรก็ไม่ปาน  ดุจดั่งแสงตะวันที่สาดส่องกลบให้ความขุ่นข้องหมองมัวที่มีอยู่ภายในจิตใจได้จางหายไป



    ...ในที่สุดข้าก็ได้เห็นใบหน้าเช่นนี้อีกครั้ง... ความคิดที่ผุดขึ้นมาจากสมองส่วนลึกของอากัส  



    เกรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความตื้นตันว่า



    “ขอบใจนะ  ดีใจจริงๆที่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของเจ้าเอง”



    อากัสซึ่งมีใบหน้าอันแจ่มใสด้วยรอยยิ้มที่เคยได้เห็นแต่ครั้งอดีต รอยยิ้มที่ไม่ว่าเขาจะเห็นสักกี่ครั้ง  อารมณ์ฉุนเฉียวโกรธเกรี้ยวที่มีอยู่ก็จะจากหายในชั่วพริบตา  ขณะเอนอิงพิงต้นไม้อันสูงใหญ่แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า



    “พรุ่งนี้ก็จะถึงมาคลิดแล้ว  ทุกคนที่นั่นยังสบายดีกันอยู่ไหมนะ”



    “นั่นสินะ” เกรย์พูดเนิบๆ



    “ฮ้าวว~ว!  อีกนานกว่าจะถึงรุ่งเช้า ถ้าเช่นนั้น  ร..ราตรีสวัสดิ์นะเกรย์”



    อากัสพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว



    “  ……  ” ไม่ว่าจะมองอีกสักกี่ครั้ง อากัสก็ยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอในสายตาของเกรย์   แล้วเขาก็หันเหความสนใจมาอยู่ที่เฟรย์ซึ่งเดินขึ้นมาหลับบนอกของเขาอย่างเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตน  นี่ก็เป็นเด็กอีกคนที่เขาจะต้องคอยดูแล  อาจจะดูเหมือนว่าทั้งสองเป็นตัววุ่นวายรังจะสร้างความลำบากให้แก่เขา  แต่เขาไม่เคยคิดเช่นเลย อาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่หัวใจที่แสนเย็นเยือกดุจน้ำแข็งของเขาใฝ่หาอยู่ลึกๆก็เป็นได้





    <-----><-----> <----->





    และแล้วรุ่งเช้าวันใหม่ก็มาถึง  หมู่บ้านมาคลิดก็คือจุดมุ่งหมายแรกสำหรับการออกเดินทางในครั้งนี้  

    นอกจากโดลอร์แล้วมาคลิดก็เป็นอีกหมู่บ้านหนึ่งที่มาตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆซึ่งรอบล้อมด้วยภูเขาสูงรอบด้านประหนึ่งว่าถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกเช่นนี้  ฉะนั้นจึงถือได้ว่าไม่แปลกเลยหากมาคลิดซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวมนุษย์และโดลอร์ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเอลฟ์จะมีความสัมพันธ์อันดีและแน่นแฟ้นต่อกัน



    มาคลิดเป็นหมู่บ้านที่เชี่ยวชาญในด้านการแพทย์  เนื่องจากเป็นศูนย์รวมของสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาทุกชนิด แต่ด้วยความห่างไกลในสถานที่ตั้ง  มาคลิดจึงเป็นที่รู้จักไม่แพร่หลายและไม่เจริญก้าวหน้าล้ำสมัยอย่างที่ควรจะเป็น  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อไม่อาจฝืนหลักธรรมชาติที่เป็นอยู่ได้ ชาวมาคลิดจึงได้แต่ทำใจยอมรับ จนกระทั่งมีใจแปรผันกลับ ไม่ปรารถนาให้สิ่งที่ต้องการในแต่เดิมนั้นเข้ามาทำลายความสงบและความงดงามธรรมชาติตลอดถึงจิตใจที่ดีงามของผู้คนจนต้องแปรเปลี่ยนไปจากเดิม



    โดยปกติแล้วสมุนไพรต่างชนิด ต่างสายพันธุ์ ย่อมมีการเจริญเติบโตในสถานที่ที่แตกต่างกัน  แต่กลับมารวมอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกันได้  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดอย่างอัศจรรย์  แต่กลับต้องประหลาดใจยิ่งกว่า  เมื่อพบว่ามีต้นสมุนไพรโรโซเดียน ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนาน มีเพียงต้นเดียวในเซคาลอส มาอยู่ในใจกลางของสถานที่แห่งนี้  ฉะนั้นสถานที่นี้จึงถูกเรียกว่า ฟาฮาร่า  และใจกลางซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นโรโซเดียนนั้น  ได้ชื่อว่า ชิวเอจฟาฮารอส



    ต้นโรโซเดียนนั้นมีลำต้นที่สูงใหญ่แข็งแรงเสมือนดั่งต้นไทร  ใบสีเขียวเข้มซึ่งมีลักษณะของใบที่แบนบางเรียงตัวกันสลับซับซ้อนตามกิ่งก้านอย่างแน่นขนัด จนตัดกับสีของดอกซึ่งเป็นกลีบเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มสีแดงเรื่อชมพูอย่างเด่นชัด  ดอกของต้นโรโซเดียนไม่เพียงแต่มีสรรพคุณสมานแผลเท่านั้น ยังมีสรรพคุณในการแก้โรค สร้างภูมิคุ้มกัน แม้กระทั่งถอนพิษ จนถึงการถอนคำสาปที่แปรสภาพทั้งทางกายและจิตใจให้กลับเป็นดั่งเดิม  กล่าวกันว่าต้นโรโซเดียนนั้นมีศูนย์รวมพลังอยู่ที่ดอกไม้สีแดงเพลิงต้องห้าม ซึ่งมีความงามดุจดั่งนัยน์ตาของเทพโอไซริส เทพแห่งธาตุไฟ  ด้วยเหตุนี้เองดอกไม้ดอกนี้จึงได้รับสมญานามว่า เรดโทริส



    ทั้งฟาฮาร่าและเรดโทริสถูกพิทักษ์โดยหัวหน้าของชาวมาคลิด  ซึ่งสืบทอดหน้าที่นี้กันทางสายเลือด  ฉะนั้นทายาทผู้ที่ถูกเลือกรับหน้าที่นี้จึงถูกเรียกว่า ผู้สืบทอด   สำหรับผู้พิทักษ์นั้นจะถูกเรียกโดยเป็นที่รู้กันว่า ผู้ปกป้อง

    หน้าที่ซึ่งรับสืบเนื่องมาหลายยุคหลายสมัย จนถึงรุ่นที่หกหรือเป็นผู้ที่รับช่วงต่อเป็นคนที่หกร้อยหกสิบหก ซึ่งนักทำนายทั้งหลายต่างให้ความสนใจในภาระกิจอันยิ่งใหญ่ที่บุคคลผู้นี้จะได้รับในอนาคตเป็นพิเศษ . . .

        

        เมื่อย่างกรายเหยียบย่างบนพื้นผิวดินอันแน่นเหนียวสีน้ำตาลอมแดงเข้ามาภายในหมู่บ้าน  ก็ได้สร้างความประหลาดใจแก่ผู้มาเยือนไม่น้อย  เมื่อพบเห็นสภาพของหมู่บ้านที่แปลกตาไปจากเดิม อันเนื่องมาจากต้นไม้ที่มีลักษณะแปลกประหลาด ไม่เชิงต้นไม้ธรรมดา ไม่เชิงต้นถั่วหรือเถาวัลย์  ขึ้นระเกะระกะไปทั่ว ต่างเลื้อยเกี่ยวพันครอบคลุมจนทั่วทั้งหมู่บ้านกลายเป็นสีเขียวสดชอุ่ม ไม่แตกต่างไปจากป่าทึบของชาวเอลฟ์เลยแม้แต่น้อย



    ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เงียบงันไร้ผู้คนราวกับเป็นเมืองร้าง  ในความคิดของทั้งสองนั้น ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่อย่างเบาบางในหมู่บ้านแห่งนี้นั้นไม่ต่างอะไรกับญาติสนิทของเขาทั้งสองเลย  ความรู้สึกห่วงใยในผู้คนที่ยิ้มแย้มอย่างใจดีด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ที่ได้หายไปนั้นพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างจับใจ  กระแสแห่งความอบอุ่นและความสุขที่เคยอบอวนอยู่ภายในหมู่บ้านแห่งนี้ได้จางหายไปกลับมีความเงียบเหงา อ้างว้างเข้าแทนที่  จนชวนขนลุก อดหวาดหวั่นในกระแสแห่งความโดดเดี่ยวนี้ไม่ได้เลย



    “เหตุใดถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้   ท่านลุงท่านป้าหายไปที่ใดกัน?  ไม่ต่างจากเมืองร้างเลย...” อากัสกล่าวด้วยความพิศวง ขณะที่ท้ายประโยคเป็นเสียงหดหู่จนถึงเศร้า



    ผู้เป็นเจ้าของคิ้วที่เลิกขึ้นบนดวงตาที่สอดส่ายไปโดยรอบในขณะกำลังครุ่นคิดปนฉงนเช่นเกรย์  พลางเอ่ยรำพันด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาทว่าหนักแน่นว่า



    “แปลกมาก... ต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่..?”



    ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงพูดของเกรย์  สุนัขน้อยก็กระโดดลงจากบ่าของผู้เป็นนายแล้วออกวิ่งตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ซึ่งถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ประหลาดเหล่านั้นจนแน่นขนัดอย่างรวดเร็ว  และเมื่อได้เข้าไปยังภายในแล้วจึงร้องเรียกผู้เป็นนาย ซึ่งได้ติดตามมาดั่งเงาตามตัวโดยทันที



    ภายในบ้านไม้อันทรุดโทรมหลังนั้น สิ่งที่แตะต้องกระทบตาตั่งแต่เข้ามาเป็นสิ่งแรกนั่นคือ ร่างอันผอมแห้งซีดเซียวของชายชรา ซึ่งนอนกองแน่นิ่งอยู่กับพื้น  เมื่อเกรย์ได้เห็นดั้งนั้นจึงรีบรุดหน้าเข้าพยุงร่างชายชราผู้นั้น แล้วจึงได้เห็นใบหน้าอันซีดผอมเหี่ยวแห้ง จนถึงเส้นผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนกันกับนัยน์ตาที่มีสีเดียวกัน ซึ่งทอแสงเรืองรองออกมาอย่างประหลาด  สิ่งเหล่านี้ได้กระตุ้นความทรงจำในครั้งวัยเยาว์ให้หวนคืนในบัดดล  ที่แท้ชายชราผู้นี้ก็คือหัวหน้าของหมู่บ้านมาคลิดนี่เอง  เขาเปลี่ยนไปมาก จนเกรย์แทบที่จะจำไม่ได้  แต่ในทางกลับกันนั้นไม่ว่าวันเวลาจะผ่านล่วงเลยไปเนิ่นนานสักเพียงใด  เฒ่าชราก็ยังคงจำเด็กหนุ่มที่เขาเคยได้รักษาผู้นี้ได้ดี



    “จะ..เจ้าเองเหรอ  ชะ..ช่วยหมู่บ้านนี้ ด..ด้วย” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวตะกุกตะกักอย่างอ่อนแรง



    “ท่านผู้เฒ่าอย่าเพิ่งพูดเลยจะดีกว่า”



    เกรย์พูดเสียงขรึม ขณะที่เหลือบสายตามองใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเป็นเขียวที่อยู่เบื้องหน้า แล้วแลมองมืออันแห้งเหี่ยวจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งจับที่คอเสื้อของเขาไว้แน่นประดุจดั่งว่า เขานั้นคือความหวังสุดท้ายแห่งชีวิต



    แม้ว่าสภาพร่างกายที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้นจะไม่ช่วยเอื้อต่อการพูดจาดั่งที่ว่าก็ตาม แต่กระนั้นเฒ่าชราก็ยังไม่ยอมทำตามคำเตือนแต่โดยดีกลับฝืนใจพูดด้วยแรงเฮือกสุดท้ายว่า



    “ที่ทุกอย่างต้องกลายเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะหลานของข้านำเรดโทริสออกมา  โรโซเดียนถึงอ่อนแอลง ปีศาจจึงมีพลังเหนือกว่า และคนทั้งหมู่บ้านที่ดื่มน้ำนั่นเข้าไปก็เริ่มเปลี่ยนเป็นต้นไม้  ซึ่งรวมถึงตัวข้า  ฉะ..ฉะนั้นรับปากข้า ว่าเจ้าจะช่วย”



    มาจนถึงตอนนี้  ทั่วทั้งร่างของชายชรานั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวจัดอย่างเต็มที่  ก่อนที่ชราเฒ่าผู้นี้จะต้องแปรสภาพไป  เกรย์จึงรีบรับด้วยเสียงเรียบสนิทจากใจที่แน่วแน่ว่า



    “ข้าสัญญา  ข้าจะช่วยทุกคนเอง”



    เมื่อสิ้นน้ำเสียงแห่งคำสัญญา  ร่างกายที่เป็นสีเขียวนั้นก็แปรสภาพเปลี่ยนเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน  หยั่งรากลงสู่พื้นดินโดยแทรกตามร่องไม้สีน้ำตาลแก่ของพื้นบ้าน  แล้วแผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วจนชิดติดหลังคาและผนังตามตัวบ้าน  เมื่อกอปรกับใบอันเขียวสดชุ่มชอุ่ม ต้นไม้ต้นนี้จึงแลดูงามสง่าโดดเด่นกว่าต้นอื่นอย่างเทียบไม่ได้  จึงถือได้ว่าสภาพที่เปลี่ยนไปนั้นเหมาะสมแล้วสำหรับฐานะอันสำคัญยิ่งที่ชายชราผู้นี้มีอยู่



    เหตุการณ์เหล่านี้ช่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ติด  อากัสจึงรู้สึกวิตกกังวลเป็นยิ่งนัก  แต่แล้วเมื่อเขาได้หันกลับไปกลับได้พบสิ่งที่น่าหวั่นวิตกยิ่งกว่า  เมื่อได้แลเห็นสายตาของผู้เป็นเพื่อน ซึ่งจับจ้องอยู่ที่ต้นไม้อันสูงใหญ่อย่างเย็นเฉียบ  เย็นเสียจนบาดลึกเข้าไปในจิตใจของผู้สบสายตานั้น  ไม่อาจคาดเดาหรือล่วงรู้ได้เลยว่าเพื่อนของเขานั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่  ฉะนั้นอากัสจึงต้องเป็นฝ่ายไต่ถามก่อน ซึ่งต้องใช้ความกล้ามากมายทีเดียวสำหรับสถานการณ์ในขณะนี้



    “ละ..แล้วเราจะทำสิ่งใดต่อไปดี  จะทำอย่างไรดี?” อากัสแข็งใจพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างร้อนรน



    แต่ทว่าเสียงนั้นกลับส่งไปไม่ถึงชายหนุ่มผู้ยืนอย่างสงบนิ่งเลยแม้แต่น้อย  ไม่บ่งบอกความนัยใดๆในแววตาเย็นเยียบคู่นั้น



    “เกรย์!  เกรย์!!!” อากัสร้องเรียกอย่างตื่นตระหนก ขณะที่ใบหน้าของเขากำลังซีดลงเรื่อยๆ



    เมื่อชายหนุ่มรู้สึกถึงเสียงเรียก  แล้วเหลือบเห็นใบหน้าอันซีดขาว  จึงกล่าวถามด้วยความงุนงงว่า



    “ทำไมจึงทำหน้าอย่างนั้น?” แล้วกล่าวต่อเรียบๆ “จากสิ่งที่เกิดขึ้น  คงรู้ใช่มั้ยว่าควรจะทำอย่างไร  ข้าจะไม่ปล่อยให้ที่นี้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แน่  เพราะที่นี่... ” ยังไม่ทันที่จะพูดได้จบประโยค  เขาก็ติดอยู่ในภวังค์ชั่วครู่หนึ่ง แล้วออกจากภวังค์นั้นอย่างรวดเร็วกลับเฉยชาเหมือนดั่งเดิม



    อากัสผู้ชาญฉลาดรอบรู้เมื่อมีสีหน้าที่ดีขึ้นแล้วจึงกล่าวอธิบายถึงทางแก้ไขของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นว่า



    “หนทางที่จะถอดถอนคำสาปที่เราสามารถกระทำได้นั้นก็มีอยู่  หากนำดอกของต้นโรโซเดียนมาสกัดเป็นยาถอนคำสาป  แล้วนำไปช่วยผู้คนที่แปรสภาพไป  เพียงเท่านี้ก็จะกลับคืนสู่ร่างเดิมได้  แต่ตัวการสำคัญที่สามารถปรุงยาตัวนั้นได้กลับหายตัวไปเสียนี่” ท้ายประโยคนั้นเขากล่าวด้วยความรู้สึกเซ็งอย่างได้ที่



    เหตุที่อากัสต้องรู้สึกหงุดหงิดนั้นเนื่องจากหากได้สมุนไพรที่ต้องการมาแล้ว แต่กลับไม่มีผู้ที่สามารถปรุงหรือสกัดสรรพคุณตัวยาที่มีอยู่ในสมุนไพร ให้แสดงสรรพคุณนั้นออกมาได้ สิ่งที่ได้มาในตอนแรกก็ไร้ซึ่งความหมายไม่ต่างจากมีแต่ซึ่งความว่างเปล่าอยู่ในกำมือเลย  



    ถึงแม้ว่าอากัสอาจจะปรุงตัวยาตัวนั้นได้สำเร็จตามตำราที่เขามีอยู่  แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเสี่ยง  เนื่องด้วยการปรุงยานั้นต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ความสามารถ และการศึกษาที่มากอยู่พอสมควร  หากผิดผลาดแล้วสมุนไพรที่ได้ใช้ไปนั้น  ก็ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งชนเผ่าของเขาได้ตั้งกฎห้ามการกระทำนี้ไว้อย่างเด่นชัด  อีกทั้งตัวยาที่เขาต้องการนี้นั้นมาจากต้นโรโซเดียน ถ้าหากไม่ใช่ผู้พิทักษ์แล้ว ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้ตัวยาตัวนี้เลย



    “ต้องอยู่ที่ฟาฮาร่าเป็นแน่”



    เกรย์พูดเนิบๆพลางจับจ้องเพื่อนร่างเล็ก ขณะมีรัศมีสีเขียวสว่างวาบแผ่ปกคลุมอยู่ทั่วร่าง  นัยน์ตาทั้งคู่ส่องประกายสีเขียวอมทองอย่างเรืองรอง  หากแต่เพียงสบสายตาเท่านั้น ก็เสมือนติดอยู่ในภวังค์ของห้วงมายาไม่อาจหลุดพ้น  แต่ทว่าสิ่งนี้กลับไม่มีผลต่อเกรย์เลยแม้แต่น้อย  คงเป็นผลเนื่องมาจากการที่เขานั้นเติบโตมาท่ามกลางชนเผ่าเอลฟ์  ตั่งแต่เล็กจนโต  ฉะนั้นจึงได้เห็นอากัปกิริยาเช่นนี้จนชินตาเสียแล้ว



    ยามใดที่ผู้สืบทอดสายเลือดของชนเผ่าเอลฟ์  ใช้พลังพิเศษประจำเผ่าก็จะเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นปกติ  ซึ่งในครั้งนี้อากัสได้ใช้หลังพูดคุยกับจิตวิญญาณของเหล่าภูตไม้  ใบหญ้า  ดอกไม้  และสายลม เพื่อสอบถามในที่อยู่ของผู้เป็นหลานของเฒ่าชราให้แน่ชัด  เมื่อได้ความแล้ว จึงเอ่ยบอกแก่ผู้เฝ้ารอคำตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย



    “ถูกแล้ว  ยังคงอยู่ที่แห่งนั้นจริงๆ  รู้สึกว่าจะเข้าไปหลายวันแล้ว  ที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้...  น่าแปลกที่ไม่สามารถติดต่อกับเหล่าจิตวิญญาณของฟาฮาร่าได้เลย  งานนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเสียแล้ว” ท้ายประโยคเป็นเสียงเครียด เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ต้องทำ



    “คงต้องรีบกันแล้ว”



    เกรย์รับด้วยเสียงหนักแน่น พลางอุ้มเพื่อนตัวน้อย ผู้มีขนนุ่ม ละไม ยามได้สัมผัสขึ้นจากพื้นอย่างนุ่มนวล  เฟรย์น้อยจึงได้ไต่ขึ้นมาเกาะอยู่บนบ่าของเขา ซึ่งกลายเป็นที่ประจำตำแหน่งของเฟรย์ไปโดยปริยาย  แล้วเกรย์จึงรีบรุดออกไปจากชายคาของบ้านหลังนี้อย่างรวดเร็ว ตามติดอากัส ซึ่งก้าวตามมาในเร็วพลัน  โดยที่ทั้งสองไม่ล่วงรู้เลยว่ากำลังถูกจับตามองอย่างเงียบเชียบ  ด้วยสายตาที่แสนแข็งกร้าวคู่หนึ่ง





    <-----><-----> <----->





        ภายในห้องพักที่กว้างขวางโอ่อ่า หรูหรา เฉกเช่นห้องของราชา  ชายวัยกลางคนผู้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ ขณะนอนเหยียดกรายอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ซึ่งหรูหราไม่แพ้ห้องแห่งนี้สักเพียงนิด  ถึงแม้ว่าชายผู้นี้จะมีสีผิวค่อนข้างคล้ำ  แต่เมื่อกอปร กับลักษณะของใบหน้าที่คมเข้ม และเส้นผมที่หยักเป็นคลื่นที่ไว้สั้นเกือบประบ่า  ก็ไม่อาจมองข้ามความสง่างามที่บุรุษผู้นี้มีอยู่ได้เลย



    ถัดจากปลายเตียงหลังนั้นเพียงไม่กี่ย่างก้าว ชายผู้นี้ก็มาถึงกำแพงหินสีเทา ซึ่งมีกระจกทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดติดอยู่ในเบื้องหน้า  หากมองเผินๆแล้ว  กระจกบานนี้ก็เป็นเพียงกระจกธรรมดาดั่งกระจกโดยทั่วไปบานหนึ่ง  แต่ทว่ากระจกบานนี้กลับมีความพิเศษอย่างคาดไม่ถึง  เมื่อผิวหน้าที่ควรจะราบเรียบธรรมดานั้น  กลับเป็นคลื่นน้ำแวววับ  เมื่อหยุดนิ่งจะแสดงถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปตามแต่ใจปรารถนาใคร่รู้ของชายผู้นี้



    ในช่วงเวลานั้น คลื่นน้ำที่หยุดนิ่งได้แสดงภาพของชายหนุ่มผู้ซึ่งมีเพื่อนตัวน้อยเกาะติดอยู่ที่บ่า อีกทั้งชนเผ่าเอลฟ์ผู้ตามติดไม่คอยห่าง  เป็นเหตุให้นัยน์ตาสีเลือด ซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เป็นไปมาโดยตลอดรู้สึกไม่พอใจนัก  ขณะที่สายตายังคงจับจ้องชายหนุ่มผู้มีแววตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งอย่างไม่ลดละ  



    “เจ้าก้าวก่ายเรื่องของข้าอีกแล้ว... จะต้องได้เห็นดีกันแน่..เจ้าเด็กน้อย”



    ชายผู้นี้กล่าวรำพันด้วยความขัดใจที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน  แล้วพลางระบายลงที่อุ้งมือ ซึ่งในขณะนั้นถูกกำแน่นเสียจนซีดขาวไร้สีเลือด...





                                                                -------------------------------------------------





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×