The Hamsterz - The Hamsterz นิยาย The Hamsterz : Dek-D.com - Writer

    The Hamsterz

    โดย Tricky_Cat

    เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องหนูแฮมสเตอร์สัตว์เลี้ยงแสนน่ารักของเรา เราเคยคิดมั้ยว่าเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน แล้วปล่อยพวกเขาไว้ เขาทำอะไรกันบ้าง ลองเข้ามาเยี่ยมชมได้นะคะ

    ผู้เข้าชมรวม

    474

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    474

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 ม.ค. 47 / 18:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      THE HAMSTERS
      โดย: ลูกแมวจอมซน (tricky cat)

      กริ๊ง….กริ๊ง…เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณพ่อเป็นคนรับสาย “ฮัลโลพ่อคะ วันนี้เพื่อนเอาหนูมาให้ จะเอาเข้าบ้านวันนี้ขอเลี้ยงได้มั้ยคะ” แคทพูด “อะไรนะหนูเหรอ ของจริง หรือของปลอม” พ่อพูด  
      “ของจริงสิคะ”
      “ไม่ได้นะ ไม่ให้เลี้ยงหรอก เชื้อโรคเยอะ”
      “โธ่! ไม่มีหรอกค่ะเชื้อโรคอ่ะ  นะนะขอเลี้ยงนะ”
      “บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”  ……
      “ก็ได้งั้นแค่นี้นะคะ” แคทวางโทรศัพท์ทันที แล้วหันมาพูดกับเพื่อนว่า
      “พ่อเราบอกว่าไม่ได้อ่ะ  เค้าว่ามันมีเชื้อโรค”  “แล้วอยากได้เปล่าอ่ะ” แอนเพื่อนของแคทพูด “อยากสิ แกดูหน้ามันเดะ น่ารักจังเลย”  แคทคราง  “งั้นก็เอาไปเลย”  
      “เอางั้นเหรอ อือๆ ก็ได้” แล้วแคทก็รับหนูตัวนั้นไป  พอตกเย็นพ่อของแคทมารับ แคทขึ้นรถกลับไปกับพ่อโดยมีหนูอยู่ในกระเป๋า  พ่อก็ไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด  พอถึงบ้านแคทก็รีบวิ่งขึ้นห้องโดยไม่ทักแม่ที่นั่งอยู่ตรงห้องรับแขกเลย  “แคท!! จะรีบไปไหน เอ๊ะ!!ลูกคนนี้ ทำตัวแปลกๆ”  แม่ซึ่งกำลังงงกับพฤติกรรมแปลกๆของลูก ตะโกนไล่หลังขึ้นไป แคทปิดประตูห้องดังปัง แล้วก็นั่งอยู่ในห้องจัดการที่นอนให้เจ้าหนูตัวน้อยโดยไม่ได้ตอบกลับแม่ซักคำ

      พอถึงเวลาอาหารเย็น ก็เป็นไปไม่ได้ที่แคทจะไม่ลงมาทานอาหาร  หลังอาหารมื้อค่ำนั้นแคทโดนสอบสวนเป็นการใหญ่ ว่านึกยังไงถึงโทรมาขอเลี้ยงหนู แคทก็สามารถตอบคำถามต่างๆได้อย่างลื่นไหล และรีบหาทางหลีกเลี่ยงให้หลุดพ้นจากพ่อแม่ในคืนนั้นได้อย่างเร็วไว  พอขึ้นมาบนห้องแคทก็มองดูหนูน้อยตัวหนึ่งกำลังแทะเมล็ดทานตะวันอย่างเอร็ดอร่อยพลางพูดลอยๆออกมาว่า “จะทำไงกับแกดีน้า ซักวันพ่อกับแม่ก็ต้องรู้แน่นอน”
      ตอนที่แคทพูดประโยคนั้นจบเจ้าหนูก็วางมือจากการแทะอาหารแล้วหาวเป็นการใหญ่
      “จะเรียกแกว่าอะไรดีน้า……นึกได้แล้วแกตัวอ้วนๆกลมดีน่าจะชื่อ ‘ปุ๊กรุก’ เฮ้อพรุ่งนี้แกต้องอยู่ตัวเดียวนะ เราต้องไปโรงเรียนน่ะ ราตรีสวัสดิ์ปุ๊กรุก”……..
          
      “แคทตื่นได้แล้ว ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนแล้วนะลูก” เสียงแม่ดังมาจากชั้นล่าง ทำให้แคทรู้สึกตัวแล้วลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว “ค่ะแม่ ตื่นแล้วค่ะ” แคทตอบแม่ พรางลุกขึ้นจากเตียงด้วยความง่วงสุดชีวิต  “อรุณสวัสดิ์ ปุ๊กรุก วันนี้ทำตัวดีดีนะ เราไปโรงเรียนแล้ว แล้วเราจะรีบกลับมานะ”

      “นี่ใยแคทเป็นไงพ่อแม่แกรู้ยังอ่ะ” แอนถามแคททันทีที่เก็บกระเป๋าเส็ด
      “ยังเลย เราถึงยังอมทุกข์อยู่นั่ไง  เราว่าเราน่าจะบอกไปเลยนะ เพราะไหนๆก็เอามาแล้วพ่อกับแม่คงไม่ใจร้าย ปล่อยมันไปให้แมวกินหรอกเนอะ” แคทตอบ  “นั่นเดะ บอกๆไปเหอะ เผลอๆ พ่อแม่เธออาจจะซื้อให้อีกตัวก็ได้” อี๊ฟเพื่อนอีกคนของแคทพูดขึ้นด้วยความทะเล้น
      “บ้า ! บ้านแกเดะไม่มีทางอ่ะตัวเดียวก็ไม่รู้จะโดนหนักขนาดไหนเนี่ย เค้าไม่ซื้อให้หรอก” แคทพูดออกมาด้วยความหวังว่าคำพูดของอี๊ฟจะเป็นจริง “แหมแกมันก็ไม่แน่นะ วันนี้อ่ะหนังสือพิมพ์ลงข่าวอ่ะ ว่ามีคนเค้าเลี้ยงหนูพันธุ์เนี้ย เป็นสิบตัวเลย ที่แกบอกเราเมื่อวานว่าพ่อแกบอกว่ามีเชื้อโรคอ่ะ ข่าววันนี้คงตัดปัญหานั้นไปได้นะ เพราะถ้ามีโรคอ่ะ คนที่เลี้ยงหนูเป็นสิบอย่างนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ไงล่ะ” อยู่ๆแอนพูดขึ้น  “เออแกงั้นเราจะบอกเค้าวันนี้หลังจากกลับบ้านนะ”แคทพูดด้วยทาทีว่าจะเกิดระเบิดในหัวเขาตอนนี้เลย
          
          ในขณะเดียวกันนั้นแม่ของแคทก็ขึ้นมาทำความสะอาดบนห้องของแคท โดยไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้มาทำวันนี้  ทันทีที่แม่ของแคทปิดประตูห้องก็เห็นกล่องใบหนึ่งตั้งอยู่
      ‘อะไรนะ กล่องใบนั้น ใยลูกคนนี้นี่ไม่ยอมเก็บให้เรียบร้อย’ แม่เดินมาที่กล่องใบนั้นตั้งใจจะพับแล้วเก็บเข้าตู้ แต่พอมองลงไปก็เห็นสิ่งมีชีวิตสีขาวขนปุยตาใสตัวหนึ่ง นั่งแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ในกล่อง ‘นั่นมันหนูหนิ ยัยแคทนะยัยแคท เอ!แต่ดูไปดูมามันก็ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรเลยนะ น่ารักดีเหมือนกันแฮะ’  แม่ของแคทคิด  “อยู่ในนี้อบแย่เลยนะ แคทนี่ไม่ไหวเลย ไปข้างล่างกันดีกว่านะเจ้าตัวเล็ก” แม่ของแคทพูด พลางยกกล่องลงไปข้างล่าง  พ่อของแคทนั่งอยู่ที่โต๊ะทามข้าว “ดูนี่สิคะคุณ ลูกสาวสุดที่รักคุณเอาอะไรมาซ่อนไว้ในห้อง” พ่อของแคทก้มดู ในมือยังถือหนังสือพิมพ์อยู่ เจ้าหนูตัวน้อยก็เหมือนจะรู้ว่ามีคนกำลังสำรวจดูมันอยู่ แล้วก็น่าจะรู้ด้วยว่าการสำรวจครั้งนี้สำคัญทีเดียว เพราะทำท่าทางต่างๆที่น่ารัก น่าเอ็นดูมากๆ จนใครเห็นก็ต้องหลงรักเชียว แล้วจึงพูดขึ้นว่า  “เอาเป็นว่าเย็นนี้พอผมกลับมาค่อยคุยกันนะ แคทกับผมมีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะ”

      “แกแกโชคดีนะ ไม่เอาหน่าอย่าทำหน้าอย่างงั้นเดะ ไม่แน่นะตอนนี้แม่แกอาจจะรู้แล้ว แล้วเอาไปโยนให้แมวกินแล้วก็ได้” อี๊ฟพูดอย่างกวนๆเพื่อทำให้แคทยิ้มออก เพราะเมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องสารภาพวันนี้แล้วแคทรู้สึกไม่ดีเลย  แต่หลังจากได้ฟังอี๊ฟแล้วแคทก็อดยิ้มไม่ได้ “ยัยบ้าแม่ชั้นไม่ใช่นางยักษ์นะ เค้าไม่ทำอย่างนั้นหรอก มีแต่แกคนเดียวน่ะสิที่ทำแบบนั้นอ่ะ เรารู้นะว่าถ้าหนูแกหลับอ่ะแกต้องจับมันใส่ถุงพลาสติกเขวี้ยงออกนอกหน้าต่างแน่เลย”  อี๊ฟยิ้มด้วยท่าทางดีใจที่เห็นแคทตอบกลับมาด้วยท่าทีที่ร่าเริงเหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความกวนแล้วตอบกลับแคทไปว่า “บ้าเหรอเราไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก คิดไม่ถึงด้วยซ้ำ เออแต่เจ๋งดีเดี๋ยวกลับไปเราจะลองทำดูนะ ขอบใจนะแคท” “ยัยบ้า” แอนพูดขึ้นหลังจากที่นั่งฟังเพื่อนทั้งสองพูดกันมานาน “แคทเอาเป็นว่า มีอะไรก็โทรมาบอกเราด้วยนะ”  “อือเดี๋ยวจะโทรไปบอกนะ” แคทตอบ จากนั้นก็โบกมือลาเพื่อน แล้วเดินกลับบ้าน  ระหว่างทางกลับบ้านแคทก็คิดว่าจะเริ่มยังไงดี แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีทางอ่ะ อย่าบอกดีกว่า ในขณะนั้นก็มีผู้ชายกลุ่มนึงเดินมา  “อ้าวแคททำไมทำหน้าบูดเป็น………อย่างนั้นล่ะ”หนึ่งในนั้นพูดขึ้น  แล้วก็แยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนของเขามาเดินข้างๆแคท  “หวัดดีพี่ที คืออย่ามากวนได้มั้ย วันนี้เราไม่มีอารมณ์จะมาต่อกลอนด้วยหรอกนะ”  แคทตอบพลางค้อนกลับชายคนนั้น  “แหมท่าทางอารมณ์จะไม่ดีจริงๆด้วย ไอ  ท็อปไปไหนหว่า”   ทีพูดพร้อมกับทำท่ามองหาใครบางคน “จะไปรู้มันเหรอ ไม่ได้ตัวติดกันซักหน่อย” แคทตอบอย่างเบื่อๆ แต่ทีก็ไม่ล้มเลิก เพราะเค้ายิ่งเห็นแคทเบื่อๆแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำให้แคทอารมณ์ดีให้ได้  
      “แหมตัวไม่ได้ติดกันแต่ใจติดกันไม่ใช่เหรอ”          
      “แล้วพี่เห็นว่ายังไงล่ะ เรายืนอยู่ตรงนี้ส่วนท็อปไปไหนไม่รู้”
          “คิดถึงมันล่ะสิ”  

      “ไม่เจอกันแค่สองวันเองเราไม่น้ำเน่าขนาดนั้นหรอก คืดเราไม่รู้ว่าเราจะเริ่มพูดกับแม่ยังไงดี พี่ทีคงจำได้นะที่แคทบอกว่าแคทอยากเลี้ยงหนูแต่พ่อแม่ไม่ให้  คือว่า…ตอนนี้อ่ะหนูอ่ะมันอยู่ในห้องนอนแคทแล้ว แคทคิดอยู่ว่าจะบอกพ่อแม่ยังไงดี” “ไม่ต้องซีเรียสหรอกแคททำใจให้สบายนะ พี่ว่าบอกไปเหอะดีกว่าเก็บเอาไว้นะ การโกหกทำให้อึดอัดใจ พี่ว่าเค้าคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก  เอาเหอะ  นี่ๆยิ้มหน่อยสิ ไอท็อปมันฝากความคิดถึงมาให้แหนะ พี่ไปก่อนนะต้องไปซ้อมดนตรีต่อแล้ว อ่าวแล้วเพื่อนเราเดินหายไปไหนหมดแล้วอ่ะ เออแคททำใจให้สบายนะ พี่ไปก่อนนะ บ๊ายบาย”  “อือขอบคุณนะ บายค่ะ”

      พอถึงบ้าน แคทหยุดอยู่หน้าประตูบ้านซักพักหนึ่งเพื่อเตรียมใจ แล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างใจสั่นๆ พอเดินเข้าไปก็เห็นคุณแม่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แคทเดินเข้าไปสวัสดีคุณแม่แล้วรีบเดินขึ้นห้อง แต่!!!!!!กล่องไม่ได้อยู่ที่นั่น ‘แย่แล้ว’ แคทเดินลงมาหาแม่อย่างหน้าซีด    “เอ่อคือ….เอ่อ…..แม่คะ….คือ…”
      “อะไรแคทจะพูดอะไรก็พูดมาสิ”
      “ไม่มีอะไรค่ะ” แคทพูดพลางกำลังจัหันหลังแต่แม่ก็พูดขึ้นว่า
      “แม่ว่าแคทมีอะไรจะพูดกับแม่นะ  เด็กโกหกเนี่ยไม่น่ารักเลยแคทรู้มั้ย”
      “คือแคทอยากเลี้ยงอ่ะแม่  แคทไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนะคะ”
      “แม่ไม่ได้ว่าอะไรหรอกจะ  แต่พ่อน่ะเค้าบอกว่า รอเค้ากลับมาแล้วค่อยพูดกัน แม่ว่ามันน่ารักดีนะ มันชื่ออะไรล่ะ” “ปุ๊กรุกค่ะ” เสียงประตูบ้านดังขึ้นเป็นสัญญาณว่า พ่อกลับมาแล้ว  ‘ตายแน่เลยเรา’ แคทคิด พ่อเดินเข้าบ้านมาในมือถือกล่องใบเล็กๆ ใบหนึ่งเข้ามาด้วย “สวัสดีค่ะพ่อ” แคทกล่าวทักทายพ่อพลางคิดไปว่า ‘เอาไงดีเรา’  แม่ของแคทเดินเข้าห้องครัวไปเตรียมอาหาร “แคทช่วยไปเอากล่องที่อยู่ท้ายรถพ่อมาให้หน่อยสิ” จู่ๆพ่อของแคทก็พูดขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง “ค่ะพ่อ” แคทเดินไปที่หลังรถพ่อ  แล้วมองหากล่องที่พ่อสั่งให้มาเอา  กล่องนั้นตั้งอยู่หลังรถ เป็นกล่องเหมือนกล่องใส่อุปกรณ์อะไรบางอย่าง แคทยกกล่องแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านพลางสงสัยว่ามันเป็นกล่องอะไรกัน พอเดินเข้ามาในบ้าน แคทก็เห็นกล่องที่แคทเอาไว้ใส่หนู  ใจก็เกิดสั่นรัวขึ้นมาทันที พ่อของแคทเดินไปหาน้ำดื่มในครัว แคทวางกล่องของพ่อไว้บนพื้นพลางนั่งลงดูกล่องที่เจ้าปุ๊กรุกใช้เป็นที่นอนเมื่อคืนนี้ พอมองลงไปแคทเห็นหนูสีขาวซึ่งก็คือเจ้าปุ๊กรุก  และเห็นหนูแฮมส์เตอร์สีดำตัวหนึ่งกำลังวิ่งไปวิ่งมา ‘!!!!’ แคทไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ในหัวของแคทตอนนี้สับสนวุ่นวายไปหมดเลย  ทันใดนั้นพ่อของแคทก็ดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น แล้วถามแคทว่า
      “ทำไมแคทถึงทำแบบนี้”
          “คือแคทไม่ได้ตั้งใจค่ะ คือ…คือ…”
          “แคทรู้มั้ยว่าตอนกลางวันที่แคทไปโรงเรียนห้องแคทไม่ได้เปิดแอร์มันอับนะ แล้วเอาหนูไปไว้ในห้องอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็ขาดอากาศหายใจ แถมปล่อยให้มันอยู่ตัวเดียว ไม่มีเพื่อนให้มันก็เหงาแย่สิ” พ่อพูดกับแคทพลางยิ้มออกมา  แคทรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก และดีใจมากๆเลยที่ไม่โดนว่าแต่กลับได้เพิ่มมาอีกตัวเหมือนที่อี๊ฟพูดเอาไว้  
          “แคทลูกไม่ควรโกหกนะ ตอนที่พ่อบอกว่าไม่ได้น่ะ พ่อก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ พ่อคิดว่ามันจะมีเชื้อโรค แต่เมื่อเช้าพ่ออ่านหนังสือพิมพ์น่ะ แล้วเค้าบอกว่ามันไม่มีโรคร้ายอะไร พ่อเลยกะว่ากลับมาจะพาลูกไปเลือกแต่แม่เค้าเข้าไปทำความสะอาดห้องแล้วเจอเจ้านี่เข้า มันชื่ออะไรน่ะ”
          “ปุ๊กรุกค่ะ”
          “นั่นแหล่ะ พ่อก็เลยไปซื้อมาป็นเพื่อนให้มันอีกตัว พ่อว่ามันน่าเอ็นดูกว่าที่คิดนะ แล้วอีกตัวจะให้ชื่อว่าอะไรดีล่ะ”
          “มะตูมค่ะ”
          “แล้วแต่ลูกก็แล้วกัน”
      พ่อของแคทเอากล่องที่ให้แคทไปหยิบมาจากหลังรถขึ้นมาเปิด  ปรากฏว่ามันคือบ้านใหม่ของเจ้าหนูมั้งสองตัวนี้  เป็นกรงที่มีท่อให้มุด มีที่ใส่น้ำ เรียกได้ว่าครบวงจรทีเดียว “ขอบคุณค่ะพ่อ”  แคทพูดด้วยความดีใจ  แล้วรีบประกอบอุปกรณ์ต่างๆเข้าด้วยกัน พอเสร็จแคทก็รีบเอาขึ้นไปไว้ในห้องนอน แล้วรีบโทรศัพท์ไปบอกข่าวนี้ให้เพื่อนรู้  “นี่เค้าเรียกเธอว่าปุ๊กรุกเหรอ” เจ้ามะตูมเริ่มการสนทนากับเพื่อนตัวใหม่ “ก็ใช่น่ะเค้าเรียกเราอย่างนั้น เราได้ยินนะว่าเค้าจะเรียกเธอว่ามะตูมน่ะ”เจ้าปุ๊กรุกตอบพลางมองมะตูมอย่างเบื่อๆ หน้าตาเจ้ามะตูมนั้นดูทะเล้นๆคล้ายกับเด็กผู้ชายทั่วไป ส่วนเจ้าปุ๊กรุก แน่นอนล่ะก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปนั่นแหละ………zzzZZZZZZzzzz…..
          
      เช้าวันรุ่งขึ้นแคทต้องไปโรงเรียน  พอไปถึงโรงเรียนอี๊ฟก็ทักแคทแบบกวนประสาทเหมือนเช่นเคย “เดี๋ยวเราจะซื้อแมวให้แกเป็นของขวัญวันเกิดนะ  เจ้าปุ๊กรุกกับมะตูมจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย ดีมั้ยแคท”  “พอเลยแกอ่ะ เอาไปเป็นเพื่อนเล่นแตงโมกับตังเมของแกสิ พวกมันจะได้ไม่น้อยใจแกไง” แคทตอบกลับตามประสาเพื่อน ทันใดนั้นแอนก็เดินเข้ามาร่วมการสนทนากับเพื่อนทั้งสองหลังจากวางกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว “ไงยัยแอนแกไม่คิดจะเลี้ยงหนูกับเค้าบ้างเหรอ” อี๊ฟถาม  “ ไม่อ่ะแม่เราไม่ชอบหนู แต่เราก็อยากเลี้ยงเหมือนกันนะ”
      “แคทวันนี้เอาหนูไปเล่นที่บ้านแกกันมั้ย” อี๊ฟถาม  “ได้สิไม่เกรงใจก็มาสิ”แคทตอบอย่างกวนอารมณ์  “แหมๆนู๋อี๊ฟน้อยอย่าเพิ่งโกรธสิจ๊ะ ล้อเล่นน่ะ เดี๋ยววันนี้เราจะชวนท็อป , พี่ทีแล้วก็เพื่อนท็อปอีกคนที่ชื่อบาสมาเล่นด้วยกันดีป่ะ”  แคทพูด “แหม!!!!” ทั้งอี๊ฟและแอนอุทานออกมาพร้อมกันทำเอาแคทหน้าแดงเลย “งั้นเราจะกลับไปเอาเจ้าแตงโมกับตังเมก่อนแล้วจะตามไปที่บ้านแคทก็แล้วกัน” อี๊ฟพูดขึ้นในที่สุดแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปเรียน
          
      กลับไปที่บ้านของแคทในกรงหนู  “นี่ไม่เคยได้ยินเหรอ เลดี้ เฟิร์สน่ะ  เธอควรจะหลีกทางให้เรากินน้ำก่อนนะ” ปุ๊กรุกพูดกับเจ้ามะตูมซึ่งเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วตัดหน้าแย่งกินน้ำก่อน  “อะไรเดิร์สๆนะฟังไม่ทัน” มะตูมพูดหลังจากที่กินน้ำเสร็จ “เออช่างมันเหอะ”      ปุ๊กรุกตอบแล้วเดินไปกินน้ำ
      “นี่นังมะตูมนั่นมันของโปรดชั้นนะ  หาอย่างอื่นกินไม่ได้หรือไง”  
          “อ่าวแต่มันไม่ได้ติดชื่อไว้นะ ‘ของโปรดปุ๊กรุก’ เราก็กินได้อ่ะ นี่มันก็ของโปรดเรา เหมือนกัน  อีกอย่างมีตั้งเยอะแยะ หวงไว้กินคนเดียวเดี๋ยวก็อ้วนเป็นหมูหรอก”
          “เชอะ!!!  ทำไมชั้นต้องมาอยู่ร่วมกรงเดียวกับแกด้วยนะ”
          “(ยัยหนูดัจริต) ก็ไม่รู้สิ ดวงเราสมพงศ์กันมั้ง (แหวะครายอยากจะไปสมพงศ์ด้วย ไม่อยากพูด ว่าดวงเรามันไม่ดี)”
          

      “แหวะ”…………………………
          “ฮัม ๆๆๆๆๆ” (เจ้ามะตูมฮัมเพลง แน่นอนยัยปุ๊กรุกต้องรำคาญ)
          “เงียบๆหน่อยได้มั้ยไม่มีไรทำหรือไง”
          “ใช่ไม่มี  นอนไปนังอ้วน”
          “แล้วแกไม่อ้วนหรือไง”
          “เราอ่ะหุ่นดี เนี่ยอ่ะล่ำบึก”
          “แหวะ  เฮ้อหนูหลงตัวเอง”

      พอถึงตอนเย็นแคทก็พาเพื่อนมาบ้าน  “นี่มะตูมนะ  ส่วนตัวนี้ก็ปุ๊กรุกน่ารักมั้ย”  (“แหะๆ เค้าแนะนำเราก่อนแสดงว่าเราน่ารักกว่า” มะตูมพูด  “เค้าแนะนำตัวที่น่าเกลียดก่อนย่ะ” ปุ๊กรุกแย้ง) เพื่อนๆ ของแคทเข้ามามุงดูด้วยความเอ็นดู  ทันใดนั้นเสียงกริ่งบ้านก็ดังขึ้น  อี๊ฟนั่นเอง  เค้าเอาเจ้าแตงโมกับตังเมมาด้วย แตงโมเป็นหนูสีครีม  ส่วนเจ้าตังเมเป็นหนูสีขาว ขาวมากขาวกว่าเจ้าปุ๊กรุกเสียด้วยซ้ำ  ทุกคนต่างก็พากันหันมาสนใจเจ้าแตงโมกับตังเมทำให้เจ้าปุ๊กรุกคิดว่า  ถ้าปล่อยลงมาจะกัดแหลกเลย  อี๊ฟปล่อยเจ้าหนูสองตัวนั้นลงไปอยู่ในกรงจริงๆ  หลังจากที่ให้ทุกคนได้ชื่นชมความน่ารักของเจ้าสองตัวนั้นแล้ว  แน่นอนว่าปุ๊กรุกเป็นหนูที่ฉลาดพอจะไม่กัดตอนที่มีคนอยู่เยอะขนาดนี้   แล้วคล้ายกับสวรรค์เป็นใจให้ปุ๊กรุกเพราะเด็กๆกำลังนึกอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก   “งั้นเอางี้นะแคท  คืนนี้ให้เจ้าสองตัวนี้อยู่กับเธอนะ  แล้ววันเสาร์จะมาเอาคืน”อี๊ฟพูดก่องที่ทั้งหมดจะออกจากห้อง  “ได้สิ”  แคทรับคำ  จากนั้นก็เหลือเพียงหนูสี่ตัวอยู่ในห้องนอนของแคท   เจ้าปุ๊กรุกเข้ากัดเจ้าหนูตัวเมียสีครีมทันที  
          “นังอ้วน มีมารยาทหน่อยสิไปกัดเค้าทำไมเค้าเป็นแขกเรานะ” มะตูมห้าม
          “ทำไมมากัดเพื่อนเราอย่างนั้นล่ะ” ตังเมสงสัย
          “ปล่อยเรานะ!!!” แตงโมร้อง
          “อ๋อปุ๊กรุกเค้าอิจฉาที่แตงโมหุ่นดีกว่าเค้าน่ะ” มะตูมพูด
          “บ้าไม่ใช่ซักหน่อย”  ปุ๊กรุกพูดแล้วก็ปล่อยแตงโมไป
          “ทำไมต้องมากัดกันอย่างนี้ด้วยล่ะ  เราเจ็บนะ” แตงโมพูด
      “เอาล่ะเราว่านั่นเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเท่าไหร่นะ  มาเริ่มกันใหม่เถอะ  ได้มั้ย
      ปุ๊กรุก”  มะตูมพูดหลังจากสิ้นสุดสงคราม
          “ก็ได้  ชั้นน่ะแฟร์อยู่แล้ว”   ปุ๊กรุกพูด
          “แหมก็แน่สิ  เราเจ็บหนิ  เธอก็แฟร์แน่นอนน่ะ”  แตงโมพูด
          “เอาหน่าแตงโมเราต้องอยู่กับเค้าอีกหลายวันนะ”  ตังเมพูด
          “เฮ้อ!! พวกผู้หญิง”  มะตูมถอนหายใจ
          “พวกผู้หญิงทำไม!!!”  ทั้งปุ๊กรุกและแตงโมรอ้งขึ้นพร้อมกัน
          “เปล่าคร้าบ   ไม่มีอะไร” มะตูมพูดรู้สึกเหมือนตัวหดเล็กลง
      และแล้วแต่ละตัวก็แยกเข้ามุมของตัวเอง  สักพักหนึ่งปุ๊กรุกก็เดินหาอาหาร  แล้วพอเดินมาที่ที่ใส่อาหารก็เห็นแตงโมนั่งแทะอยู่  ปุ๊กรุกก็ไม่ได้ทำอะไรแค่เข้าไปหาอาหารที่ตัวเองต้องการ แล้วในที่สุดแตงโมก็เริ่มการสนทนากับปุ๊กรุกอย่างเป็นมิตร“เออคือ  เมื่กี้หลับสบายมั้ย”   ปุ๊กรุกเห็นว่าจริงๆแล้วแตงโมก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่จึงตอบไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน  “ก็ดีอ่ะ  ตื่นขึ้นมาแล้วหิว ก็เลยมาหาอะไรกิน”  จากนั้นปุ๊กรุกกับแตงโมก็คุยกันอย่างเป็นมิตร  แล้วก็ผลัดกันเล่าเรื่องต่างๆให้กันฟัง   จากนั้นพวกหนูๆก็ได้ยินเสียงประตูซึ่งเป็นสัญญาณว่าแคทกลับมาแล้ว  
          
          เช้าวันต่อมาแคทก็ไปโรงเรียนดังนั้นเหลือแต่หนูทั้งสี่
          “นี่มะตูมทำไมจะต้องมาตัดหน้าชั้นกินน้ำทุกวันด้วยนะ” ปุ๊กรุกบ่น
          “เอาหน่า  ปุ๊กรุกกินน้ำมากเดี๋ยวตัวก็พองเป็นบอลลูนน้ำหรอก”  มะตูมตอบ
          “มะตูมอย่าว่าผู้หญิงอย่างนั้นสิ  ไม่สุภาพเลยนะ”  ตังเมต่อว่า
          “โธ่พ่อหนูสุภาพบุรุษ  เชอะ!!หมั่นไส้”  มะตูมตอบ
          “เฮ้อ!!! พวกผู้ชาย” แตงโมพูด
          “พูดให้จบสิครับคุณแตงโม  เฮ้อพวกผู้ชาย..น่ารักจัง”  มะตูมต่อทาทางกวนๆ
      แตงโมทำหน้าเบ้   ปุ๊กรุกจึงเข้ามาเสริมให้ว่า
      “เอาเหอะแตงโม  ก็อย่างว่าน่ะหนูหลงตัวเองไม่เคยเห็นก็ดูให้เต็มตานะ”  
      ทั้งหมดพากันหัวเราะยกเว้นมะตูม  “เออๆ ขำไปเถอะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นนอกหน้าต่าง  ‘MEOW MEOW’ ทำเอาวงแตกเป็นการใหญ่ตังเมกับมะตูมวิ่งชนกันแล้วก็พากันเข้าไปหลบในมุมๆหนึ่ง  ส่วนปุ๊กรุกกับแตงโมนั้นหลังจากวงแตกจะเข้ามุมแล้วดูเจ้าตัวผู้สองตัววิ่งชนกัน  ทั้งสองพากันหัวเราะ  ในขณะนั้นเมื่อทั้งสองตัวเริ่มได้สติก็ได้ยินเสียงปุ๊กรุกกับแตงโมหัวเราะ  จึงมองไปรอบๆ แล้วทั้งสองก็พบตัวเองกอดกันอยู่ จึงรีบสลัดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  “หัวเราะอะไรยัยอ้วน”  มะตูมพูดอย่างเขินๆอายๆ  ส่วนตังเมนั้นก็รีบมุดขี้เลื่อยหลบทันที  
          
          พอถึงวันเสาร์ก็เป็นวันที่แตงโมกับตังเมต้องกลับบ้าน เมื่ออี๊ฟมา หนูทั้งสี่ตัวก็ร่ำลากัน  แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องแยกกัน  “บ๊ายบาย” ทั้งสี่ร้องบอกกัน  “มีพวกนั้นมาอยู่ก็หนุกดีจังเนอะ” ปุ๊กรุกพูดขึ้นมาลอยๆ  มะตูมหันมามองปุ๊กรุกแล้วจึงพูดกวนๆกลับไปบ้างว่า “ช่ายๆ ใครก็ไม่รู้ไปหาเรื่องเค้าตั้งแต่วันแรกที่มาเยือน”  ปุ๊กรุกทำท่าอายๆ แล้วตอบไปว่า “โธ่เรื่องมันผ่านไปนานแล้วหน่า เราแค่ลืมตัวเล็กน้อย”  มะตูมมองดูปุ๊กรุกแล้วก็รู้สึกว่าดูไปแล้วปุ๊กรุกก็จัดได้ว่าน่ารักมากทีเดียว  มะตูมจึงชอบปุ๊กรุกขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว “ปุ๊กรุก หิวมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวมะตูมหาอะไรให้ทาน”  มะตูมพูด ทำให้ปุ๊กรุกคิดว่ามะตูมต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆเลย จึงตอบไปว่า  “ไม่เอาปุ๊กรุกจะไดเอ็ท”  แล้วก็เดินเชิดไปหาที่นอนแล้วหลับอย่างสบาย พอตื่นมาปุ๊กรุกก็จะลุกมาหาน้ำกิน  แน่นอน  มะตูมอีกแล้วที่กินน้ำอยู่ตรงนั้น  พอมะตูมเห็นปุ๊กรุกก็หลีกทางให้ทันที  “เลดี้ เฟิร์ส”  “บ้าไปแล้ว ไอมะตูม” ปุ๊กรุกพูดพลางมองด้วยความสงสัย แล้วก็เดินไปดื่มน้ำ  พอกินเสร็จปุ๊กรุกก็ดินมาหาอาหารทาน แล้วก็มะตูมอีกแหละที่นั่งอยู่ตรงนั้น  “ปุ๊กรุก มะตูมหาเมล็ดทานตะวันไว้ให้แล้วนะ  มากินเร็ว”   “บอกแล้วไงว่าไดเอ็ท!!!”  แล้วก็เดินไปหาอาหารเม็ดอย่างอื่นกินแทน  เย็นวันนั้นแคทมาเปลี่ยนขี้เลื่อยในกรง แล้วแคทนั้นลืมปิดประตูกรง  เจ้าหนูสองตัวก็ไม่รู้ ก็เดินออกมา แล้วก็พากันเดินไปทั่วห้อง แคทเดินเข้ามาเห็นประตูกรงเปิดอยู่แล้วก็ไม่เห็นหนูทั้งสองก็วิ่งหาทั่วห้องแล้วก็ได้ทั้งสองกลับมา

      เช้าวันต่อมาเมื่อแคทไปโรงเรียนก็เหลือหนูสองตัวอยู่ที่ห้องตามเคย  วันนี้แม่ของแคทขึ้นมาทำความสะอาดห้องแคท แล้วก็เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้กะให้ลมโชยห้องจะได้ไม่อบ  พอแม่แคทลงไปได้ซักพัก  ทั้งสองตัวก็ได้ยินเสียงแมวร้องอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เสียงนั่นชัดกว่าครั้งที่แล้ว  และทันใดนั้นเจ้าแมวตัวใหญ่ก็กระโดใส่กรง จนกรงนั้นล้มลงจากโต๊ะทำให้ประตูกรงเปิดออก  และด้วยสัญชาตญาณ  ทั้งสองก็วิ่งหนีออกจากกรงไปกันคนละทิศคนละทาง  เจ้าแมวนั้นเลือกที่จะวิ่งไล่ปุ๊กรุก  เมื่อมะตูมรู้สึกว่าตัวเองวิ่งมาตัวเดียวจึงหันกลับไปมอง แล้วก็เห็นปุ๊กรุกอยู่ในอัตรายจึงรีบวิ่งเข้าไปหา  เจ้าปุ๊กรุกจนมุมแล้ว เจ้าแมวกำลังจะตะครุบ  เจ้ามะตูมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตแล้วพาปุ๊กรุกออกไป เจ้าแมววิ่งตามทั้งสองมาอย่างใกล้ชิด  เจ้าหนูสองตัวจึงมุดเข้าไปใต้ตู้ซึ่งแคบเกินกว่าที่เจ้าแมวตัวใหญ่จะเข้าไปปลิดชีวิตได้ และแล้วสัญญาณช่วยชีวิตก็เปิดประตูเข้ามาแคทนั่นเอง  เมื่อแคทเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องของเธอตอนนี้ก็ตกใจ และเสียใจมากเพราะคิดว่าหนูทั้งสองของเธอถูกเจ้าแมวตัวนี้พรากไปแล้ว  ด้วยความโกรธเธอจึงไล่เจ้าแมวออกไปจากห้องของเธอด้วยสิ่งที่เธอคว้าได้ตอนนั้นแล้วจึงวิ่งลงไปบอกแม่  แม่ของแคทรู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเธอเป็นคนเปิดหน้าต่าง  
      ทำให้เจ้าแมวตัวนั้นเข้ามาได้  เธอจึงปลอบแคทแล้วบอกว่า จะซื้อตัวใหม่มาให้  แคทก็ต้องจำยอมเพราะเธอไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่านั้นอีกแล้ว  แแคทขึ้นมาบนห้องอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจที่เห็นสิ่งมีชีวิตสองตัวกำลังแทะอาหารด้วยความหิวโหย  แคทก็ดีใจมากและวิ่งลงไปบอกแม่แล้วก็รีบขึ้นมาเก็บกวาด  และจัดที่นอนให้เจ้าหนูทั้งสอง  ในคืนนั้นเมื่อทุกคนหลับกันหมด เหลือเจ้าปุ๊กรุกที่ยังหลับไม่ลง  มะตูมได้ยินเสียงปุ๊กรุกเดินไปเดินมาก็ลุกขึ้นมาถามว่า  “ปุ๊กรุกเป็นอะไรเปล่า  ทำไมยังไม่นอนล่ะ”
          “เอ่อคือ ขอโทษนะที่ทำให้เธอตื่น”
          “ไม่เป็นไร ว่าแต่มีอะไรเปล่า”
          “เออคือเราแค่อยากจะบอกว่าขอบใจนะที่ช่วยชีวิตเราน่ะ”
          “อ๋อเรื่องนี้เองเหรอ  ด้วยความยินดีเลย”
          “งั้นราตรีสวัสดิ์นะ มะตูม”
          “ราตรีสวัสดิ์ปุ๊กรุก”

      ……..THE END……..

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×