เพื่อนแฝง - เพื่อนแฝง นิยาย เพื่อนแฝง : Dek-D.com - Writer

    เพื่อนแฝง

    \"มีคนเคยบอกฉันว่าเพื่อนที่ดีที่สุดคือเพื่อนมัธยมปลาย ฉันได้แต่เฝ้าเสียใจว่าฉันผ่านช่วงเวลานั้นมาโดยไร้เพื่อนที่ดี อย่างที่ควรจะเป็น\"

    ผู้เข้าชมรวม

    275

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    275

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ธ.ค. 46 / 10:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เช้าวันนี้ฉันมาทำงานตามปกติวันนี้จะวันเป็นธรรมดาวันหนึ่งหากไม่มีเรื่องมารบกวนจิตใจฉันเสียก่อน  การ์ดเชิญใบหนึ่งวางอยู่ที่โต๊ะทำงานของฉัน จ่าหน้าซองถึงฉันอย่างแน่นอนฉันเปิดซองและอ่านมัน แค่เพียงแค่บรรทัดแรกมันก็สะกิดความทรงจำบางอย่างของฉันให้เกิดขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน \"คืนสู่เหย้า ชาวชมพู ฟ้า เหลือง\" ใช่แล้วมันคืองานเลี้ยงรุ่นสมัยมัธยมของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องอ่านมันจนจบหรอก ฉันวางมันลงทันที \"เลี้ยงรุ่นมัธยมเหรอ รำลึกความหลัง มีอะไรที่นั้นให้น่าจดจำบ้าง\" ฉันคิด แล้วก็นั่งทำงานต่อโดยทำเป็นลืมเรื่องการ์ดเชิญ มัธยม งานเลี้ยงรุ่นนั้นซะ
            แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้นะสิ มันรบกวนจิตใจฉันอยู่ตลอดเวลา ทำให้นึงถึงคำพูดของใครคนหนึ่งที่เคยบอกว่า เพื่อนที่ดีที่สุดคือเพื่อนมัธยมนะ จงรักษามิตรภาพอันดีนั้นเอาไว้\" ฉันได้แต่เสียใจที่ฉันผ่านช่วงเวลานั้นมาโดยไม่พบเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างที่ว่า เพราะอะไรนะเหรอ หากจะเริ่มเล่ามันก็ต้องเล่าตั้งแต่ตอนฉันเรียนอยู่ชั้น ม.4
            วันแรกของการเข้าเรียนเป็นนักเรียนชั้นม.4 ฉันคาดหวังถึงสิ่งต่างๆ เครื่องแบบนักเรียนแบบใหม่  เพื่อนใหม่ ครูคนใหม่ ห้องเรียนใหม่ และคำว่าเด็กมัธยมปลาย ฉันเดินทักเพื่อนสมัยม.ต้นมาเรื่อยๆถามไถว่าอยู่ห้องไหนเหรอ? เพื่อใหม่เป็นไง? สบายดีไหมปิดเทอม? จนมาถึงบอร์ดที่ประกาศรายชื่อนักเรียนและห้องที่อยู่ ฉันใช้เวลาอ่านบอร์ดอยู่ประมาณ 3-4 นาทีก็พบชื่อตัวเองและก็พบว่า ไม่....ไม่ใช่ห้องคิง หรือที่เขาเรียกว่าห้องเด็กเก่ง บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แค่ไม่ได้อยู๋ห้องคิงก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แต่สำหรับฉันเด็กเรียนดี เคยเรียนมาแต่ในห้องที่มีแต่เด็กเก่งมาตลอด แต่อยู่ๆก็เกิดจุดพลิกผันของชีวิต   ฉันยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งและถาวนาขอให้มีอะไรผิดพลาดในวันพรุ่งนี้จึงเดินเข้าห้องโฮมรูมเพื่อพบกับเพื่อนๆร่วมห้อง
            ฉันก้าวเดินเข้ามาในห้องอย่างเหนื่อยหล้าทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายนักในเช้านี้  อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยใจมากเหลือเกิน เพียงก้าวแรกทีผ้านพ้นประตูเข้ามา ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนร่วมห้อง จากที่เหนื่อยใจมากอยู่แล้วฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ก็เพราะเพื่อนร่วมห้องแต่ละคนของฉันนะสิ ทางด้านผู้ชายกลุ่มริมหน้าต่างกลุ่มใหญ่ที่กำลังเล่นกันอยู่แต่ละคนดูหน้าตาแล้วเหมือนกลุ่มกองโจร คุณคงพอนึกภาพออกนะ ไม่เพียงแต่หน้าตาเท่านั้นกิริยาท่าทางดูหยาบถ่อยเหมือนขี้ยายังไงยังงั้น  ผู้หญิงก็เหมือนกันกลุ่มที่นั่งอยู่ด้านประตูจับกลุ่มคุยกัยโหวกเหวกเสียงดังแถมศัพท์ที่พูดถ้าไม่เก่าสมัยพ่อขุนราม ก็พวกแสลงแบบสุดๆ ถ้าจะให้พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือกลุ่มนี้\"แรด\"มาก แล้วอีกกลุ่มหนึ่งก็ดูแถบบ้านนอกออกเหรอหรา แล้วอีกกลุ่มหนึ่งก็เด็กเรียนปัญญาอ่อนแบบสุดขั้วโลก   สรุปแล้วในห้องนี้จะมีเพื่อนกลุ่มไหนที่เหมาะกับฉันไหม ฉับแทบอยากจะกรีดร้องออกไป ณ ที่ตรงนั้น แต่ก็คงจะทำไม่ได้ ได้แต่คิดว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วจงทำใจและยอมรับความจริง แล้วฉันก็เดินไปนั่งตรงโต๊ะที่ว่างอยู่อย่างเงียบๆ ไม่พูดจากับใคร คงจะเป็นการนั่งสงบสติของฉันที่เงียบที่สุดในชีวิตแต่ภายในมันสุมร้อนด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นจนพูดไม่ออกซะมากกว่า
            วันแรกของการไปโรงเรียนแทนที่จะน่าประทับใจจนอดไม่ได้ที่ต้องเล่าให้ใครต่อใครฟัง  แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันเดินเข้าห้องปิดประตูล็อกประตู และร้องไห้ออกมาปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดแน่นมาตลอดวัน
             รุ่งขึ้นฉันแทบไม่อยากไปโรงเรียนเลย  แต่ก็แอบหวังไว้ว่าอาจจะมีปาฏิหาริย์ทำให้ฉันได้ย้ายห้องใหม่ในวันนี้  และก็คิดไว้ว่าถึงไม่มีปาฏิหาริย์ฉันก็ควรจะยอมรับและไม่ควรตัดสินใครจากภายนอก  วันนี้ก็ยังไม่มีการเรียนอย่างจริงจังมีแต่การแนะนำตัวเองทุกวิชาที่อาจารย์ เข้าสอน จนฉันจำชื่อเพื่อนๆที่ค่อยอยากรู้จักได้ทุกคน
             วันเวลาผ่านไปกับเพื่อนห้องเดิม  ฉันเฝ้าเร่งวันเวลาให้หมุนเร็วขึ้น วันวานที่ผ่านมาทำให้ฉันยิ่งได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น กลุ่มผู้ชายที่หน้าตาเหมือนโจรกลุ่มนั้นก็ยังคงหน้าเหมือนโจร  แต่พฤติกรรมกลับดูติ๊งต๊องไม่เข้ากับใบหน้า  กลุ่มผู้หญิงที่พูดโหวกเหวกศัพท์โบราณก็ยังคงพูดอย่างนันเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยกับใคร กลุ่มเด็กเรียนปัญญาอ่อนสุดขั้วโลกก็อยู่ในโลกการ์ตูนของเขาไป แต่ก็เป็นที่พึ่งของเพื่อนได้ในยามไม่มีงานส่ง ขอดูสมุดแลกเซอร์ช่วงสอบ แต่ถึงอย่างไรฉันก็ยังทำใจรับเพื่อนห้องนี้ไม่ได้เหมือนเดิม มีอย่างที่ไหนวันๆมีแต่หาเรื่องนัดกันโดดเรียน เวลาไม่เข้าเรียนจะมีความสามัคคีเป็นหมู่คณะ  แต่เวลาทำงานห้องส่งก็สามัคคีไม่ทำเช่นกัน  ปล่อยเป็นงานของคนเพียงไม่กี่คน  เวลาขอความร่วมมือให้เข้าร่วมกิจกรรมให้เพื่อนบ้างก็ไม่ค่อยใส่ใจให้ความสนใจ  งานรับน้องตอนม. 5 อยากจะจัดรับน้องกันนักกันหนา แต่เวลาขุดดินทำฐานก็ ไปนั่งกินเหล้า ดีดกีตาร์ร้องเพลง พวกผู้หญิงทำนิดๆหน่อยๆก็นั่งพักแล้วก็บ่นว่าเหนื่อยๆ  จนถึงวันถึงมาสามัคคีทำงานร่วมกัน พวกกินเหล้าก็มาช่วยกันดูแล ขุดฐาน พวกผู้หญิงช่างบบ่นก็ลงมือช่วยทำบ้างตามกำลัง ทำให้งานก็เสร็จเรียบร้อย  สร้างความสนุกสนานให้แก่รุ่นพี่และน้อง แถมตอนท้านพวกพี่ก็ยังเล่นกันเองแกล้งไอ้คนที่เผลอก็จะโดดกันจับอุ้มลงน้ำพวกเพื่อนๆทั้งหลายก็ช่วยกันจับกระชากลากกันมา คือต้องลงทุกคน  เปียกปอนไปตามๆกัน สร้างเสียงหัวเราะเฮฮา  พอส่งน้องเรียบร้อยพี่ๆก็มานั่งร้องเพลงดีดกีต้าร์ล้อมวงกินเหล้า การร้องเพลงร่วมวงกินเหล้าในครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ฉันรู้สึกดีกับเพื่อนสมัยนั้นบ้าง  
                ตอนที่ชวนกันโดด ที่ว่ามีความสมัคคีเป็นหมู่คณะ ตอนแรกมีข่าวมาว่าคาบเรียนตอนบ่ายจะมีกิจกรรมไม่ได้เรียน พวกเพื่อนฉันก็คิดว่าจะออกไปข้างนอกกันตั้งแต่ตอนเที่ยง แต่ถ้าเกิดว่ามีอาจารย์เข้ามาสอนแล้วใครเข้าเรียนถือว่าไม่รักเพื่อนจริง  มีคนส่งกระดาษแผ่นหนึ่งไม่ทั่วห้อง เขียนไว้ข้างบนว่า คาบบ่ายจะเข้าเรียนกันไหม ก็มีคนเขียนไปต่างๆนานา แต่จุดประสงค์เดียวกันคือไม่เข้าเรียน แต่ละข้อความก็มีแสบคันๆพออ่านแล้วยิ้ม หัวเราะบ้างก็มี เช่นของใครนะ ชื่อ โม เขียนมาว่า \"เพื่อนๆโดนเรียนมันไม่ดีนะ พ่อแม่อุตส่าห์ส่งเสียให้มาเรียน แต่ถ้าเพื่อนๆว่าจะโดด เอ้าโดดก็โดดว่ะ  \"  หรือบางคนเขียนมาว่า \"โดดกันเถอะเรา  เราอยู่ห้องเดียวกัน\"  สรุปว่าวันนั้น พวกเราไปรอกันที่หน้าประตูรอจังหวะรถเข้าออกแล้ววิ่งออกกับโขยงใหญ่ พอออกมาก็หัวเราะกันคิกคัก  เหมือนเป็นเรื่องท้าทายเรื่องหนึ่ง
              มีช่วงหนึ่งที่โรงเรียนทำท่อแอร์ใหม่ จะมีแป๊ปแอร์อยู่ในลังหน้าห้องหนึ่งไม่รู้ว่าพวกผู้ชายเอามาจากไหนกัน เอามาไล่ฟาดกัน ตั้งเป็นกองทัพ แบ่งเป็นสองพวก เหมือนเล่นเกมส์แล้วไล่ฟาดกัน (ไม่เจ็บหรอกนะ  เป็นใยผ้าอ่อนๆ ) ฉันยอมรับว่าเล่นกับเขาด้วยและก็สนุกกับเขาด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ในใจยังมีอคติอยู่
              ตอนม.5 เทอมปลายฉันไปเที่ยวภูกระดึงกับเพื่อนร่วมห้อง ไม่ได้อยากไปด้วยเท่าไรหรอกแต่ยังไม่เคยไปภูกระดึง เลยอยากไปด้วยแค่นั้น การไปครั้งนี้มันทำให้ฉันได้รู้อะไรบางอย่าง  ว่าไอ้พวกเพื่อนร่วมห้องของฉันอันที่จริงก็มีน้ำใจเหมือนกัน เพราะมีช่วงหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งจะเป็นลม เดินไปต่อไม่ไหวแล้ว ก็มีเพื่อนผู้ชายซึ่งก็ถือสัมภาระมากอยู่แล้วมาช่วยฉันพยุงเพื่อนคนนั้น และร่วมทางมาด้วยกัน คอยดูแลเพื่อนด้วยกัน  พูดจาหยอกล้อบ้างตามทางช่วยให้คลายความเหน็ดเหนื่อย  เมื่อมาถึงยอดภูแล้วก็ช่วยพยุงต่อไปจนถึงที่กางเต๊นท์ รวมแล้วก็ 8 กิโลที่เดินมา อาจจะเป็นเพราะความยากลำบากก็ได้มั๊งที่ทำให้เห็นใจกันขนาดนี้ เวลาที่อยู่บนภูกระดึงมันมีความสุขความซึ้งใจ ข่าวปลาอาหารบบนภูที่แสนแพง ก็ต้องช่วยกันให้หยิบยืมเงิน หรือซื้อข้าวให้กินบ้าง แบ่งผ้าห่มให้นอนบ้าง  ช่วยพยุ่งดูแลคนที่ไม่สบาย ช่วยถือของสัมภาระ  และสนุกสนานกับเสียงเพลงในวงเหล้า  มีทั้งเสียงหัวเราะและน้ำตาจากความซึ้งใจ
              เมื่ออยู่ม.6ช่วงที่ต้องพยายามฟันฝ่าอุปสรรคเอนทรานซ์ แต่ละคนก็มีความฝันของตัวเอง ปอง อยากเรียนนิติ กิฟท์อยากเรียนวารสารศาสตร์ นิอยากเรียนศิลปกรรม  เออยากเรียนหมอ  เอ้กับนกอยากเรียนการโรงแรม  โออยากเรียนวิศวะ  สิทธิ์อยากเป็นตำรวจ ทุกคนก็ต่างไล่ล่าความฝันของตัวเอง รวมทั้งฉันด้วย  ยอมรับว่าช่วงเวลาคือการช่วยกันเรียนมีงานช่วยกันทำงาน ติวให้เพื่อน ถึงแม้ว่าบางคนจะถึงฝันบ้างไม่ถึงฝันบ้างในเวลานี้  แต่ทุกคนก็มุ่งมั่นเอาตัวรอดในสังคม  พอถึงเวลาต้องแยกจากกันมันก็ใจหายได้เหมือนกัน ฉันเองก็แอบซึ้งในช่วงเวลานั้น
             กริ๊ง.......กริ๊ง ...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันพึ่งรู้ตัวว่าตอนนี้กำลังอมยิ้มอยู่ และสกิดในใจว่าเอ๊ะทำไมฉันถึงจำเรื่องราวในช่วงเวลานั้นได้มากมายทั้งที่คิดมาตลอดว่ามันคือสามปีที่เลวร้าย  ฉันรับโทรศัพท์
                           \" เอ้ยอ้อแกได้บัตรเชิญยัง ต้องไปให้ได้นะเว้ย ฉันจะอุ้มลูกไปให้แกดู  พวกเพื่อนๆถามหาแกอยู่นะโว้ยไม่ติดต่อกลับมาเลย ตกลงแกจะมามัยต้องมานะอ้อ \"
               ฉันมองรูปที่โต๊ะทำงาน \"ครั้งหนึ่งในชีวิตข้าฯคือผู้พิชิตภูกระดึง\" ในรูปมีฉันเพื่อผู้ชายที่ดูเหมือนกองโจร เพื่อนหญิงหน้าตาบ้านอก แต่งตัวแรดๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า
                              \"ต้องไปสิ  คิดถึงเพื่อนใจจะขาดอยู่แล้ว \"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×