In my Wind Diary Part one
“If only I can feel you...Even as the wind”
    ประโยคที่ยังตราตรึงอยู่ในใจผมไม่มีวันเสื่อมคลาย ตั้งแต่ที่ได้ดูหนังเรื่องนั้น กับคนที่ผมรู้สึกดีๆ
    ผมไม่ได้เป็นคนโรแมนติกอะไร เป็นแค่เด็กผู้ชายขี้เหงาที่ไม่เอาไหนคนนึงเท่านั้นเอง และก็ไม่ได้
มีเวลาว่างมากพอที่จะเอาสมองมาจินตนาการเรื่องความฝันหรือเรื่องราวในอนาคตที่อยากให้เป็นต่างๆ
นานาอย่างพวกนักเขียนนิยาย เพราะปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมล้อมในตอนนี้มันก็มากเกินที่จะรับมันอยู่แล้ว
ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องที่บ้านอีก แน่นอนว่าเรื่องหัวใจก็คงไม่ต้องพูดถึงกัน เพราะถอดใจกับมันตั้งแต่
เหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมได้เดินทอดน่องปล่อยอารมณ์ออกไปเรื่อยเปื่อยตัวคนเดียว
และยังมีเครื่องเล่นคู่ใจที่เค้าเรียกกันว่าเอ็มพีสามที่ติดหูอยู่ไม่เคยห่าง เพลงที่ฟังอยู่มันเหมือนกับมีอะไรมา
ดลให้มันเหมาะเจาะกับอารมณ์ของผมพอดี อารมณ์ที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างแต่แฝงไปด้วยความสุขเล็กๆ
“แปลก” มันเป็นคำที่แล่นออกมาจากสมองในตอนนั้นทันที ทั้งที่ผมชอบบ่นกับตัวเองว่าเหงาอยู่บ่อยๆ
แท้ๆ  แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขกว่า เมื่อได้อยู่คนเดียว บางที มันอาจเป็นเรื่องที่ไร้เหตุหลไปเลย
ถ้าเล่าให้คนอื่นฟัง
    เวลาเลิกเรียน ผมมักจะไปเตร่ที่อื่นก่อนเสมอ และจะกลับบ้านดึกดื่นแทบทุกครั้ง แต่ที่ที่ผมไปนั้น
ไม่ใช่ตามห้างสรรพสินค้าใกล้โรงเรียนที่นักเรียนมักจะมาเที่ยวเถลไถล เพราะผมไม่ชอบที่แบบนั้น มัน
หนวกหู และไร้สาระมากสำหรับผม 
“ท่าพระจันทร์” “ท่าพระอาทิตย์”สองแห่งนี้ ถ้าดูตามชื่อ ก็เหมือนว่าจะเคียงคู่กัน ซึ่งสำหรับ
ตัวผมเอง ก็คิดว่าจริงนะ เวลาที่ผมไปเดินเตร่แถวท่าพระจันทร์ ผมก็มักจะเสียเงินแทบทุกครั้งไป เพราะ
อาหารที่นั่นมีเยอะมากและรสชาติก็ไม่ใช่ธรรมดา เมื่อออกจากท่าพระจันทร์ ผมก็ไปต่อที่ท่าพระอาทิตย์
ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะมากกับการหาที่นั่งกินลมชมบรรยากาศเงียบๆ ประกอบกับในเวลานั้นเริ่มค่ำนิดๆแล้ว
จึงสามารถมองเห็นแสงไฟดวงเล็กๆที่เรียงรายกันไปตามสะพานพระรามแปด และที่ที่ผมนั่งอยู่ติดกับริม
แม่น้ำเจ้าพระยาพอดี เงาที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำนั้น เพิ่มความนุ่มนวลให้กับแสงไฟเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาที่ได้ปล่อยอารมณ์อยู่คนเดียวนี้ช่างแสนสุขเหลือเกิน ถึงแม้ว่าผู้คนที่อยู่รอบกายผมจะนั่งคุยกัน
เป็นคู่ๆอย่างมีความสุขก็เถอะ ผมก็ไม่มีความรู้สึกอิจฉาแม้แต่นิด เพราะความสุขของแต่ละคนนั้นต่างกัน
    เข็มนาฬิกาบนข้อมือที่บอกผมว่า ตอนนี้ ผมควรจะกลับบ้านซักที ทำให้ผมตื่นตัวจากอารมณ์
เดิมทันที ผมเร่งฝีเท้าเพื่อไปข้ามเรือข้ามฟากกลับไปยังท่าน้ำศิริราช ระหว่างนั่งเรือ ถึงแม้จะเป็นเพียง
ช่วงเวลาสั้นๆก็ตามที แต่เมื่อผมได้มองกลับไปยังท่าพระอาทิตย์ มันก็ทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ที่นี่แหละ
จะเป็นที่ที่ช่วยผมจากความรู้สีกที่เลวร้ายบนโลกใบนี้ได้ สายลมที่ตีเค้ามายังเสื้อนักเรียนสีขาวบางๆ ได้
ซึมผ่านมาที่กายของผม ทำให้รู้สึกเย็นสบาย ถึงตอนนี้ ความคิดที่อยากจะลงจากเรือข้ามฟากลำนี้ก็ได้
หมดไปจากสมองเสียแล้ว และดวงตาเล็กๆของผมทั้งสองข้างก็ปิดลงอย่างอัตโนมัติภายใต้แว่นตากรอบ
พลาสติกสีดำมันที่เพิ่งเปลี่ยนมาไม่นาน  “น้อง น้องแว่น ถึงท่าแล้วน้อง ไม่ขึ้นหรอ” เสียงหนึ่งซึ่งดังมา
จากด้านหน้า ผมจึงรีบลืมตา แล้วลุกเดินขึ้นจากเรือทันที แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายศิริราชกลับบ้าน
    ผมลงจากรถเมล์ แล้วเดินขึ้นสะพานลอยเพื่อไปนั่งมอร์เตอร์ไซค์ต่อเข้าบ้าน ในเวลานี้แหละ
เป็นช่วงเวลาที่ผมจะได้เดินทอดน่องปล่อยอารมณ์ตามลำพังอย่างเรื่อยเปื่อย ผมจะไม่ยอมให้อะไรมา
พรากช่วงเวลานี้ไปจากผมเด็ดขาด เมื่อไหร่ที่ผมเดินบนสะพานลอยแห่งนี้ จะไม่มีครั้งไหนที่จะไม่กางแขน
ออกเพื่อรับลมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เสื้อนักเรียนสีขาวบางที่สะบัดไหวตามเคยเมื่อกระทบกับสายลมที่พัด
มาไม่หยุดหย่อน ทำให้ผมได้หยุดคิดอะไรไปพลางๆ
    ผมเคยคิดว่า ถ้าหากผมล่องลอยได้อย่างอิสระเหมือนกับสายลมเหล่านี้ล่ะก็ คงไม่ต้องการอะไร
ไปมากกว่านี้อีกแล้ว ชีวิตผมขอแค่หลับตาและล่องลอยไปในสายลมอย่างอิสระเสรีชั่วนิรันดร์ก็พอแล้ว
แล้วถ้าผมกลายเป็นวิญญาณ จะสามารถล่องลอยไปในสายลมที่เป็นนิรันดร์นี้ได้รึเปล่านะ เพราะถ้าทำ
ได้จริงๆล่ะก็...ผมก็อยากจะลองเป็นดูเหมือนกัน...
อังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547
                                                                                      (^_^) พฤต (^_^)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น