ธิดาพระเสาร์ - ธิดาพระเสาร์ นิยาย ธิดาพระเสาร์ : Dek-D.com - Writer

    ธิดาพระเสาร์

    ธิดาหัวแก้วหัวแก้วหัวแหวนของพระเสาร์ ถูกลงโทษให้มาอยู่บนโลกมนุษย์... ความรักเริ่มขึ้น เมื่อพบเด็กเลี้ยงวัวผู้หนึ่ง

    ผู้เข้าชมรวม

    934

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    934

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ต.ค. 46 / 06:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      *หมายเหตุเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจริงใดทั้งสิ้น ผู้เขียนได้ใช้บางส่วนเพื่ออ้างอิงเท่านั้น
      #@#@#@#@#@#@#@#@#@#
      ครั้งหนึ่ง นานมา
      ยังมีนพเทพ 9 องค์ ที่นับเป็นเทพเต็มตัวมี 7 องค์
      อันได้แก่
      พระสุริยาทิตย์ ผู้มีรัศมีร้อนแรง
      พระจันทร์ ผู้มีรูปงาม
      พระอังคาร เทพแห่งสงคราม
      พระพุธ เทพแห่งวาจา พาณิชย์ และเป็นผู้ฉลาดรอบรู้
      พระพฤหัสบดี เทพอาจารย์
      พระศุกร์ เทพปุโรหิต
      พระเสาร์ เทพดูแลฤดูใบไม้ผลิ
      พระราหู
      พระเกตุ
      (2 องค์หลังไม่ขอนับว่าเป็นเทพ เพราะเกิดมาจากผีโขมด)

      แต่ละองค์ล้วนมีชายาเป็นคู่เชยชม
      ยกเว้นพระเสาร์…….

      เทพที่มีชื่อปรากฎในวันองค์สุดท้ายที่มีนิสัยเชื่องช้า และมีรูปกายพิการ

      ครั้งหนึ่งเมื่อกวนน้ำอมฤต

      พระเสาร์ทรงทูลขออัปสรองค์หนึ่งที่ออกจากหม้อกวนน้ำอมฤตเป็นชายาตน

      ด้วยหน้าที่ที่มิเคยบกพร่อง แม้จะเชื่องช้า

      พระอิศวรจึงทรง

      ถอดกะโหลกหัวคนที่ห้อยพระศออยู่

      ออกมาตักน้ำอมฤตให้แก่พระเสาร์

      พระเสาร์ซาบซึ้งในพระกรุณา

      ลงคุกเข่าถวายความเคารพ

      และขณะลุกขึ้น เกิดพลาด

      หัตถ์ซ้ายพลาดไปต้องศูทรของตน เป็นรอยเพียงเล็กน้อย

      พระเสาร์จึงมิได้สนใจ

      ได้ร่วมดื่มน้ำอมฤตร่วมกับเทวะอื่นถ้วนหน้า

      แต่โลหิตจากหัตถ์ซ้าย

      หยดลงในน้ำอมฤต

      บังเกิดเป็นอัปสรตนหนึ่ง

      ออกจากถ้วยน้ำอมฤตนั้น…

      เหล่าเทพต่างตะลึง

      นางหาได้เหมือนเช่นอัปสรอื่น

      ที่อรชร ขาวนวลไม่

      นางมีเกศาเช่นพระเสาร์

      ผิวคล่ำ หากแต่นวล ของนางเช่นดินปั้นหม้อ

      นัยน์ตาสีน้ำผึ้งเช่นพระเสาร์หากแต่สุขปลั่ง ใต้ขนตางามงอนกวาดตามองอย่างไร้เดียงสา

      ริมฝีปากและสัดส่วนที่ได้รูปของนางยั่วยวนใจบุรุษยิ่งนัก

      พระอิศวรทรงโสมนัส

      ตรัสประทานนางให้เป็นชายาพระเสาร์

      แต่พระเสาร์หารับไม่

      ด้วยจิตเกิดความเอ็นดู

      อัปสรที่เกิดมาแต่โลหิตตน

      จึงขอนางไว้ในฐานะธิดา และทูลขอให้พระอิศวรประทานนามให้

      พระอิศวรทรงพิศทรามวัย เห็นว่านางนั้นไซร้ ช่างเหมือนเช่นพระเสาร์

      จึงเอื้อนโอษฐ์ออกนาม เราขอมอบนามแก้วตาใจว่า \"เสาวคนธ์\"

      พระเสาร์ยินดียิ่ง ทรงพานางกลับวิมานมรกต

      ถึงแม้พระองค์จะอดดื่มน้ำอมฤตก็ตาม

      แต่ได้ธิดาผู้งดงาม ทรงปรีดายิ่งกว่าสิ่งใด

      หาได้ฝากใครเลี้ยงให้ แม้เทพองค์อื่นจะมอบลูกตนแก่แม่นมก็ตาม

      พระเสาร์รักธิดา ดุจใจ ทรงเนรมิตพยัคฆ์ใหญ่ให้เป็นพาหนะ มอบศรนาคบาทให้เป็นอาวุธ

      ส่วนวิชาความรู้ หาได้ให้เรียนแต่เย็บปักถักรอยให้

      พระเสาร์ทรงเปลี่ยนค่านิยมแห่งเทพธิดา

      ทรงฝากเสาวคนธ์ เป็นศิษย์ของพระพฤหัสบดีจอมอาจารย์

      นางเป็นผู้ปราดเปรื่อง จึงเรียนได้เจนจบอย่างรวดเร็ว

      พระเสาร์จึงยังสอนวิชาอาวุธให้กับนาง จนสามารถเป็นผู้ช่วยพระเสาร์ ในฤดูใบไม้ผลิ

      ด้วยธิดาคนเดียวหวงสุดใจ

      พระองค์จึงฝากนางให้แก่พระอุมา พระอุมาชอบใจในความเฉลียวฉลาดทันคนของเสาวคนธ์

      จึงทรงมอบพรให้แก่นาง

      \"ถึงชาติกำเนิดเจ้าจะเป็นเพียงอัปสร

      แต่เกิดมาด้วยโลหิตพระเสาร์

      แม้อัปสรทั่วไปจะเป็น ผู้สนองกำหนัดของเหล่าเทวะ

      แต่เจ้าเป็นถึงธิดาแห่งพระเสาร์

      เราขอมอบพรให้แก่เจ้า

      หากบุรุษใดมิใช่สามีล่วงล้ำพรหมจารีแห่งนาง

      บุรุษผู้นั้นจงถูกเผาผลาญด้วยอัคคีร้อนรุ่ม\"

      พระอุมาทรงให้พรนางเช่นนี้นั้น

      เท่ากับทรงให้นางเป็นเทพธิดาพรหมจารี

      บุรุษใดจะฉุดคลาไปมิได้ หานางไม่ยินยอม

      เสาวคนธ์ดำรงพรหมจารี ทั้งมีปัญญาและฝีมือ จึงได้รับขนานนามว่าเป็นเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิคู่กับพระเสาร์

      จนครั้งหนึ่ง ถึงคราวพระกามเทพเล่นตลก

      ให้พระเสาร์เข้าประชุมในเทพสมาคม จึงมอบให้เสาวคนธ์มาตรวจตราธรณีในฤดูใบไม้ผลิเพียงผู้เดียว

      พร้อมด้วยอัปสรอีกหลายสิบนาง

      ระหว่างที่ตรวจตรา เหล่าอัปสรพบสระน้ำใส ไหลเย็น

      จึงรบเร้าให้เสาวคนธ์ หยุดพัก แล้วลงเล่นน้ำ

      แต่เสาวคนธ์ปฏิเสธ

      เหล่านางอัปสรไม่ยอมแพ้ ยังรบเร้าขอเล่นน้ำจนนางอ่อนใจ

      เสาวคนธ์จึงอนุญาตให้พวกนางลงเล่นน้ำในสระน้ำใส

      แต่ตัวเสาวคนธ์ไม่ร่วมเล่น เนื่องด้วยงานตรวจตรายังไม่สำเร็จ

      เหล่าอัปสรเปลื้องผ้า ลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

      ขณะที่ตัวเสาวคนธ์ออกตรวจตราฤดูใบไม้ผลิต่อไป

      ขณะนั้น มีกลุ่มพรานป่าออกล่าสัตว์

      มีเด็กเลี้ยงวัวหนุ่มคนหนึ่งนามว่า \"สุวรรณคีรี\"ติดตามไปด้วย

      ได้ยินเสียงนางอัปสรเล่นน้ำกันจึงแอบดู

      และตกลงใจคิดลักอัปสรเหล่าไปเป็นภรรยา

      สุวรรณคีรีผู้มีจิตงดงาม

      ออกปากห้ามปรามเหล่าพราน

      \"อย่าพรากนางเลย\"

      เหล่าพรานเถียงทันควัน

      \"หากเจ้ามิเอา ก็อย่าห้าม เราหมายตาอัปสรเหล่านั้น อย่าปรามให้เสียเวลา\"

      เหล่าพรานมิฟัง เข้าฉุดคร่า เหล่านางอัปสรเปลือยเหล่านั้น

      พระเสาวคนธ์สดับเสียงกรีดร้องของนางอัปสรบริวารของตน

      จึงรีบกลับฝีเท้ารถเทียบพยัคฆ์มายังสระน้ำ

      พบเห็นเหล่าพรานกำลังยืดยุดนางอัปสรบริวารตน

      ให้พิโรธยิ่งนัก

      สาบเหล่าพรานทันที

      \"บังอาจมากเจ้าพรานต่ำช้า

      ฉุดคร่าอัปสรบริวารเรา

      จงกลายกบเฝ้าสระน้ำนี้ไป

      และจงวายปราณโดยนกกระสา\"

      พวกพรานจึงกลายเป็นกบ

      ต่างพากันตกใจ

      จึงมิได้สังเกต นกกระสาที่โฉบลงมา

      จับกินกบอย่างสนุกสนาน

      ส่วนสุวรรณคีรีนั้น ด้วยเป็นเนื้อคู่ของเสาวคนธ์ จึงหาได้ต้องเวทย์แต่อย่างใด

      เขากับพรานอีกหนึ่งซึ่งตามมาทีหลังจึงหนีไป

      ฝ่ายพรานพบเห็นเพียงเสาวคนธ์ สาปพราน

      หาได้รู้ต้นสายปลายเหตุไม่

      จึงโกรธแค้น นำเรื่องนี้ไปทูลพระราชาว่าเทพเสาวคนธ์รังแกมนุษย์

      พระราชาจึงจัดพิธีบวงสรวง

      ถอดจิตขึ้นไปเฝ้าพระศุกร์คู่ศัตรูของพระเสาร์

      พลางกราบทูลเรื่องราวที่พรานทูล

      พระศุกร์ฟังแล้วก็เห็นว่าผิดจริง

      จึงขึ้นกราบทูลพระอิศวร

      พระอิศวรทรงพิโรธที่เสาวคนธ์รังแกมนุษย์โดยใช่เหตุ

      จึงลงโทษให้เสาวคนธ์ลงไปจุติเป็นมนุษย์ ไปเป็นมนุษย์ธรรมดา

      เหล่านางอัปสรร่วมทัดทาน และพระเสาร์ขอลดโทษ

      ด้วยไม่เคยมีประวัติด่างพร่อย

      จึงลดโทษให้ คือต้องลงไปอยู่โลกมนุษย์

      จนกว่าจะมีสามีเป็นเด็กเลี้ยงวัว

      จึงสามารถกลับขึ้นมายังสวรรค์

      ด้วยคำสาปข้อนี้ เสาวคนธ์จึงลงมายังโลกมนุษย์

      และเปลี่ยนเป็น\"มาตา\"

      เดินทางออกตามหาเด็กเลี้ยงวัว

      ซึ่งไม่ง่ายนัก

      เพราะพรจากพระอุมา

      เด็กเลี้ยงวัวผู้นั้น

      ต้องเป็นที่รักของนางด้วย

      นางเดินทางตามหาเด็กเลี้ยงวัวเป็นเวลานาน

      เพราะเด็กเลี้ยงวัวเด็กเลี้ยงวัวที่นางพบนั้น

      บ้างก็ทะเยอทะยานเกินตัว

      บ้างก็โง่เง่าไม่มีหัวคิด

      จนนางเดินทางมาพบสุวรรณคีรี

      กำลังเป่าขลุ่ยกับ ฝูงวัวของตน

      ท่าทีอ่อนโยน มาตาให้ชื่นชอบเด็กหนุ่มยิ่งนัก

      จึงแสร้งเข้าไปถามทาง

      พลางชวนเด็กหนุ่มคุย ก็ชอบอัธยาศัยเด็กหนุ่ม

      เมื่อสุวรรณคีรีมองมาตาชัดๆ

      ก็รู้ว่าคือเทพเสาวคนธ์

      จึงลงถวายสักการะ

      เสาวคนธ์นึกแปลกใจ ที่มนุษย์รู้จักตน

      จึงสอบถามไป

      ก็รู้ว่าสุวรรณคีรีเป็นผู้ห้ามปรามเหล่าพราน ก็ให้ยินดีในความเมตตานัก

      จึงเล่าความเป็นไปของตน ยกเว้นเรื่องสามีเป็นเด็กเลี้ยงวัว

      และขอไปอยู่ด้วย โดยตนจะช่วยการบ้านเรือนเป็นการตอบแทน

      สุวรรณคีรีอยู่คนเดียว ก็ให้ยินดีที่จะมีคนมาอยู่ร่วมด้วย หาได้คิดเป็นอื่นไม่

      เชิญนางไปยังที่พักซอมซ่อ

      \"ที่พักของข้าหาได้สวยงามเช่นวิมานพระเสาร์ไม่ เทพเสาวคนธ์หากไม่รังเกียจ นั้นก็เป็นบุญยิ่งใหญ่ของข้าแล้ว\"

      เทพธิดาเสาวคนธ์ทรงพระสรวล ตรัสว่า

      \"เจ้าคิดว่าเราเป็นเทพธิดาที่ทำอะไรไม่เป็นสินะ.. ผิดแล้วเราทำงานที่มนุษย์ทำได้เช่นแม่ศรีเรือนทั่วไป บ้านเจ้ารกนักเราจะจัดให้เอง\"

      สุวรรณคีรียินดียิ่งนัก ด้วยตนหลงรักเทพเสาวคนธ์ตั้งแต่แรกเห็น

      จึงให้เกียรตินางมากกว่าหญิงทั่วไป

      ยามนอนก็ให้นางนอนเตียง ส่วนตนออกไปนอนที่เรือนชานหน้าบ้าน

      ยามกินก็ให้นางกินก่อน

      ไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวนาง หรือเลยเถิดด้วยวาจาใดๆ

      ยามพูดคุยก็รักษาระยะห่างระหว่างกัน

      เสาวคนธ์จากที่ชอบพออัธยาศัย ริเริ่มรักเด็กเลี้ยงวัว

      กลางวันเลี้ยงวัว เป่าขลุ่ยไผ่ บ้างก็ล่าสัตว์

      กลางคืนก็ถลกหนังสัตว์เอาไว้ตากแดดในตอนเช้า

      เสาวคนธ์ และสุวรรณคีรีต่างชอบพอกัน

      แต่…เสาวคนธ์เป็นสตรีไม่อาจเผยความในใจได้

      ส่วนสุวรรณคีรีก็ไม่กล้าอาจเอื้อม เทพเสาวคนธ์ผู้สูงศักดิ์

      ครั้งพระราชาแห่งแคว้นนั้น ออกประพาสป่า

      พบเห็นนางเสาวคนธ์จึงพอใจ

      ได้ส่งคนมา

      มาฉุดคร่านางเสาวคนธ์

      ด้วยไม่มีฤทธา

      นางจึงถูกนำตัวไปอย่างง่ายดาย

      ยังความความเศร้าโศกและโกรธแค้นไปยังสุวรรณคีรียิ่งนัก

      จึงฝากฝูงวัวไว้ให้กับเพื่อนบ้าน

      ตนเองก็แต่งเป็นพรานออกเดินทางไปหากษัตริย์แห่งแคว้น เพื่อท้วงเอาเสาวคนธ์คืน

      ฝ่ายพระราชาไม่สามารถแตะต้องเสาวคนธ์ได้แต่อย่างใด

      จึงประกาศหา ผู้ใดทำให้ตนแตะต้องเสาวคนธ์ได้ จะมอบรางวัลให้อย่างงาม

      แต่ก็ไม่มีผู้สามารถทำได้แม้แต่คนเดียว

      จนมีสุวรรณคีรีที่ปลอมเป็นพรานป่ามาอาสา

      พระราชาทรงโสมนัสยิ่งนัก

      จึงจัดให้พรานป่าพักอยู่ข้างห้องของเสาวคนธ์

      ตกดึกสุวรรณคีรีจึงแอบเข้าไปในห้องเสาวคนธ์

      ยังความตื่นตระหนกให้เสาวคนธ์เป็นอย่างมาก

      แต่เมื่อทราบว่าเป็นใคร

      ทั้งสองก็หนีออกไปด้วยกัน

      บังเอิญที่ทหารรู้เสียก่อน

      จึงยิงธนูออกไป ไปปักที่ขาของเสาวคนธ์จึงทำให้ไปต่อไม่ได้

      ครั้นสุวรรณคีรีจะแตะตัวก็ไม่ได้

      เพราะมิใช่สามี จะพบเพลิงร้อนบรรลัยกัญ

      แต่หากไม่รีบหนีไป

      ทหารก็จะมาพบ

      สุวรรณคีรีจึงสาบานเป็นสามีภรรยากับเสาวคนธ์

      โดยมี พระอุมาผู้อุปถัมภ์ พระเสาร์บิดานาง พระพฤหัสบดีอาจารย์ และเหล่าอัปสรเป็นพยาน

      เมื่อสาบานเป็นสามีภรรยากัน

      สุวรรณคีรีจึงสามารถแตะตัวของเสาวคนธ์ และพาหนีไปได้สำเร็จ

      แต่เรื่อก็ไม่จบแค่นี้….

      เมื่อพระเสาร์และเหล่านางอัปสรมาแสดงความยินดีให้แก่คู่บ่าวสาว

      แต่สุวรรณคีรีกลับพลั้งปากไปว่า

      ที่สาบานนั้นเพราะความจำเป็น หาได้คิดอาจเอื้อมเทพนารีเสาวคนธ์ไม่…

      ทำให้เสาวคนธ์น้อยใจ

      หนีไปยังบาดาล

      ไม่กลับมาอีกเลย...

               ภายหลังสุวรรณคีรีรู้สึกเสียใจ

      และอยากพบเสาวคนธ์

      จึงสักการะของดำทั้ง 8 อย่าง

      เพื่อเชิญพระราหูมาหาตน

      และขอแลกวิญญาณเพื่อให้ได้พบภรรยา

      พระราหูไม่รับปาก

      เพราะตนเป็นสหายกับพระเสาร์

      รู้เสาวคนธ์มาแต่เล็กแต่น้อย

      ไม่ต้องการผิดใจกับพระเสาร์ ที่จะทำให้เสาวคนธ์เป็นม่าย

      จึงมอบหมายให้พระเกตุบุตรตน พาสุวรรณคีรีไปหาเสาวคนธ์ที่บาดาล

      แต่ไม่สามารถพบได้ทันที เพราะเสาวคนธ์ได้ขอให้พระเสาร์วางกับดักไว้ 8 ชั้น

      ได้แก่

      ถ้ำน้ำวน สุวรรณคีรีใช้เขาโคเป่าหาทางออก
      ด่านภูติผีปีศาจ ใช้อาวุธที่พระเกตุมอบให้
      ด่านพญานาค 1 เศียร
      ด่านพญานาค 3 เศียร
      ด่านพญานาค 7 เศียร
      ด่านพญานาค 9 เศียร ล้วนใช้พญาครุฑทั้งสิ้น

      เหล่ายักษ์โขมดบริวารพระราหู จึงสามารถผ่านโดยง่าย

      ด่านสุดท้ายเป็นด่านพ่อตาของสุวรรณคีรี

      พระเสาร์สีอสิตรออยู่

      \"เจ้า!! มาทำไม\" ทรงตวาดด้วยความพิโรธ

      \"มาหาเสาวคนธ์พะยะค่ะ\" สุวรรณคีรีตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

      \"เสาวคนธ์ไม่พบใครทั้งนั้น\" พระเสาร์ตวาด

      \"ต้องอยากพบแน่พะยะค่ะ\" สุวรรณคีรีเถียง จนไม่แน่ใจว่าตนเองพูดกับเทพอยู่

      \"ไปให้พ้นไม่อย่างนั้นเราจะลงโทษเจ้า\" พระเสาร์แกว่งศูทร

      สุวรรณคีรีคุกเข่าลงทันควัน

      \"ข้าพระองค์จะไม่ยอมตาย แล้วก็ไม่ยอมไม่ไหนถ้ายังไม่เจอเสาวคนธ์ด้วย พะยะค่ะ\"

      \"เสาวคนธ์ไม่อยากเจอเจ้า\"

      พระเสาร์ตรัสเสียงดังกังวานอย่างไม่แน่ใจนัก

      \"แต่ถ้าเจอจะไปใช่ไหม ได้!!! แค่เจอเท่านั้น\" พระเสาร์หายเข้าไปในอุโมงค์หิน

      หายเข้าไปหาเทพนารีเสาวคนธ์ที่มีดวงพระเนตรสีแดงคล่ำ คล้ายกับพระองค์เพิ่งกันแสงมา

      \"สุวรรณคีรี ต้องการพบเจ้า ลูกรัก\" พระเสาร์ตรัสนามของลูกเขยราวกับมันเป็นคำสบถที่หยาบคาย

      \"ลูกคิดว่าไม่เพค่ะ เสด็จพ่อ\" เสาวคนธ์ใช้พระหัตถ์ปาดน้ำพระเนตร

      \"บุรุษผู้นั้น บอกว่าจะไม่ไปไหนหากเจ้าไม่ไปพบ..\" พระเสาร์ทรงตรัสอย่างอ่อนโยนผิดกับรูปกายพระองค์

      \"พ่อไม่คิดจะบังคับให้เจ้าไป แต่พ่อใคร่อยากให้เจ้าไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง\" พระเสาร์ตรัสเอ่ยอย่างสง่างาม ขาข้างที่พิการของพระองค์พาดอยู่พบคอเสือพลาดกลอน

      \"แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบ…\" พระองค์ตรัสอย่างเมตตา

      \"พ่อจะออกไปเอง\"

      \"ไม่ต้องแล้วเพค่ะ ลูกจักออกไปคุยกับเขาเอง\" เสาวคนธ์แหงนดวงพระเนตรสีน้ำผึ้งเช่นเดียวกับพระบิดา

      พลางลุกจากก้อนศิลาที่วางเลียบเคียงกับพยัคฆ์ของนาง ก้าวเดินออกไปนอกอุโมงค์

      สุวรรณคีรีลุกขึ้นทำความเคารพอย่างนอบน้อม อย่างที่ใช้ทำกับเทพ

      \"มาทำไม?\" เสาวคนธ์ตรัสอย่างเย็นชา เสียงของนางเย็นราวกับวารี

      \"มารับภรรยากลับ พะยะค่ะ\"

      \"หรือ!!!\" เสาวคนธ์ตรัสด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม การง้องอนผู้หญิงใช้ถ้อยคำง่ายๆเช่นนี้คงไม่ได้ผลนัก

      \"เราคาดว่านางคงไม่ได้อยู่ในฐานะภรรยาเจ้าแล้วกระมัง\" เทพนารีผู้งดงามตัดพ้อ พลางหันหลังกลับ

      \"กลับไปเถอะ\"

      สุวรรณคีรีลุกขึ้นคว้าพระหัตถ์เทพธิดา นางหันกลับมามองอย่างตื่นตระหนกและตำหนิ

      \"ปล่อยเรา\" เทพธิดาสะบัด

      \"ข้าพระองค์จับต้องพระวรกายพระองค์ได้ คงเป็นหลักฐานว่าข้าพระองค์เป็นสามีของพระองค์ได้นะพะยะค่ะ\"

      สุวรรณคีรียิ้มอย่างได้ชัย ผิดกับเทพธิดาที่มีสายพระเนตรที่ไม่พึงพอใจนัก

      \"ถ้าไม่ปล่อยละก็….\" เสาวคนธ์บันดาลคันศรประจำองค์ขึ้นมา

      \"เราจะ….\"

      \"ทำร้ายข้าพระองค์…ถ้าเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นภรรยาที่ไม่ดีเอาเสียเลย\" สุวรรณคีรีกล่าวขณะที่จับพระหัตถ์ข้างที่พระนางกำคันศรไว้

      \"กลับกันเถอะพะยะค่ะ ข้าพระองค์ผิดเองที่พลั้งปากทูลไปเช่นนั้น\" สุวรรณคีรีอ้อนวอน

      \"แต่เรา….\"

      \"ไปเถอะ ลูกรัก\" เสียงพระเสาร์ดังมาจากด้านกลัง

      \"พ่อดีใจที่เห็นลูกมีความสุข\" สุรเสียงพระองค์สั่นเครือ เมื่อถึงเวลาพระองค์ทราบดีว่า สักวันนกน้อยที่เลี้ยงไว้ต้องบินไปเสียจากอก

      \"สิ่งที่พ่อหวังคือให้เจ้ามีความสุข\" พระองค์ตรัส เสาวคนธ์ทรงกันแสง

      พระเสาร์ชาติบุรุษสีนิลอสิตไม่มีสิ่งใดที่ตนรักไปเสียยิ่งกว่าธิดาอีกแล้ว

      ทรงสร้างเมืองแห่งหนึ่งทางด้านตะวันออก มอบให้สุวรรณคีรีปกครองพร้อมเสาวคนธ์ผู้เป็นชายา
      อย่างสงบสุข

      และอีกครั้ง ที่พระเสาร์กลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง…..

      แต่ก็ไม่ได้เสียพระทัยกับสิ่งที่เสียไปเลย.....

      จบบริบูรณ์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×