เพียงเธอชั่วนิรันดร์ - เพียงเธอชั่วนิรันดร์ นิยาย เพียงเธอชั่วนิรันดร์ : Dek-D.com - Writer

    เพียงเธอชั่วนิรันดร์

    ผมจ้องมองตรงไปที่เธอ แต่ดวงตาและสีตาของเธอทำให้ผมเอะใจ ดวงตาเธอเบิ่งโต ริมฝีปากพยายามขยับเพื่อจะเรียกผม ทันใดนั้นเอง !! ....

    ผู้เข้าชมรวม

    350

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    350

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ต.ค. 46 / 15:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เช้าวันนี้อากาศปลอดโปร่ง   ได้กลิ่นความสดชื่นของไอแดดยามเช้า   ผมเฝ้ารอให้ถึงวันนี้มานานแสนนาน  วันที่ผมจะได้บอกเรื่องนั้นกับเธอเสียที…  นั่นไง  เธอมาแล้ว  ตรงเวลาดังเช่นทุกๆคราว
          “หวัดดีจ๊ะธีร์    คุณรออุ๋มนานมั๊ย”   ผมฟังประโยคนี้จนชินหู
          “ไม่หรอก  ผมก็เพิ่งมาเหมือนกัน”   ประโยคที่ผมพูดจนเคย  และเธอคงฟังจนชินแล้วเช่นกัน
          “คุณกินอะไรมารึยังล่ะ ?”
          “ยังหรอก   แต่ก็ไม่เป็นไรนะ  อุ๋มดื่มกาแฟมาแล้วตอนก่อนออกจากบ้าน  ถ้าธีร์หิวเราก็หาร้านอาหารแถวนี้กินก็ได้”
          “....เอ่อ....ผมว่าไปหาร้าน coffee shop ก็พอ  ผมยังไม่ค่อยหิวหรอก”
          ผมจับมือเธอเดินข้ามถนน   ช่วงนี้เป็นวันหยุดราชการ   รถตามท้องถนนในตอนเช้าที่มีไม่มาก   ถึงตอนนี้ก็น้อยลงไปอีก   ผมกับเธอเดินไปถึงร้าน coffee shop ที่เราชอบไปนั่งดื่มกาแฟกันบ่อยๆ   ผมดื่มกาแฟร้อนกับขนมปังหน้าแฮมไปหนี่งชิ้น   ในขณะที่เธออ่านหนังสือเล่มโปรดของเธออยู่อย่างมีความสุข
          เรานั่งกันอยู่ในร้ายกาแฟเงียบๆสองคน   ผมมองเธอ   เธอผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าผม   และเป็นคนทำให้ผมอยากจะหยุดทั้งเวลาและหัวใจของผมเอาไว้ให้เธอตรงนี้ตลอดไป   ผมไม่รู้ตัวว่ามองเธออย่างนี้นานแค่ไหนแล้ว   มารู้ตัวอีกทีก็เห็นเธอนั่งยิ้มอายๆอยู่   ไม่ว่าผมจะเจอกับช่วงเวลาดีๆแบบนี้สักกี่ครั้ง    ผมก็ยังทำอะไรไม่ถูกเหมือนทุกๆครั้ง   เธอคงจะเป็นแบบผมเหมือนกัน
          ผมเรียกพนักงานในร้านมาเก็บเงิน  จากนั้นผมก็ชวนเธอออกไปที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี้
          “อุ๋มว่าไปเดินเล่นหน่อยก็ดีนะคะ   อากาศดีๆแบบนี้หาในเมืองบ่อยๆไม่ง่ายหรอก   ช่วงนี้อุ๋มก็เห็นคุณทำงานยุ่งๆอยู่   วันนี้พักสมองหน่อยนะคะ”
          “ดีเหมือนกัน   ผมไม่ได้อยู่เงียบๆกับคุณอย่างงี้มานานแล้ว”
          เธออมยิ้มเล็กๆ   ผมจับมือเธอ   จากนั้นเราก็เดินไปยังสวนสาธารณะแห่งนั้นด้วยกัน
          ถึงสวนสาธารณะ   ไม่เห็นผู้คนเหมือนที่ได้เห็นในทุกๆวันเมื่อผมขับรถผ่าน    เราเดินจูงมือกันเข้าไปในสวนสาธารณะ   เธอเลือกมุมที่มีต้นไม่ร่มรื่น   ห่างไกลจากสายตาและเสียงเอะอะจากคนแถวนั้น   เรานั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่   มือของเรายังคงประสานกันอยู่    หลังจากนั่งเงียบมาได้สักพัก   ผมก็เริ่มทำลายความสงบนั้นขึ้น
          “อุ๋ม   ผม...ผมมีอะไรอยากจะบอกคุณ”
          “อะไรคะ ?”   ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องตรงมาที่ผมอยากใคร่รู้แกมสงสัย
          “อุ๋ม    เราคบกันมานานแล้วนะ   ผมอยากจะหยุด....”
          ดูเธออึ้งไป    ผมจึงถือโอกาสนี้พูดต่อ   พูดสิ่งที่ผมต้องการให้เธอรับรู้ให้หมดไป...
          “......ผม...ผมอยากจะหยุด   หยุดทั้งตัวและหัวใจของผมไว้ที่คุณ   อุ๋ม..ผมรักคุณ...แต่งงานกับผมนะ”
          เธอยังคงนิ่งอึ้งอยู่   หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ร้องไห้ออกมา  สะอึกสะอื้นไม่หยุด   เธอโผเข้ากอดผม...
          “ค่ะธีร์   อุ๋มก็รักคุณ   อุ๋มจะแต่งงานกับคุณค่ะ”
          ผมยังคงกอดเธอไว้อยู่   ผมบอกไม่ได้ว่าผมรู้สึกยังไง   มันยิ่งกว่าความสุขทั้งหมดในชีวิตของผม   ผมปลอบให้เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง   จากนั้นจึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง    หาแหวนวงน้อยสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ  
          ไม่ !!   เป็นไปไม่ได้   ก่อนไปร้านกาแฟยังอยู่เลยนี่  !!!   แล้วตอนนี้ทำไม...??!!!    
          “อุ๋ม...ผมคิดว่าผมคงทำแหวนที่จะมาสวมให้คุณหล่นที่ร้านกาแฟ   คุณรอผมอยู่ตรงนี้นะ   แล้วผมจะกลับมาพร้อมแหวนวงนั้น”
          
          เมื่อมาถึงร้านกาแฟ   ผมรีบสอบถามพนักงานที่ผมเรียกมาเก็บเงินทันที
          “คุณครับ   ไม่ทราบว่าเห็นแหวนเงินวงเล็กๆไหม”
          พนักงานกลอกตาไปมา  ก่อนร้องว่า..
          “อ๋อออออออ.....เห็นครับเห็น   นั่นเป็นแหวนของคุณเหรอครับ ?”
          “ครับ  ใช่ครับ  งั้นผมขอของๆผมคืนได้รึยังครับ ?”
          “แต่...แต่ผมจะแน่ใจได้ยังไงครับว่ามันเป็นของคุณจริงๆ”
          “เอางี้...ผมจะบอกลักษณะของแหวนวงนั้น   ถ้าผมพูดถูก  คุณต้องคืนแหวนวงนั้นให้ผมนะ   OK !  มันเป็นแหวนสีเงินธรรมดา   แต่มันพิเศษที่ว่า  แหวนวงนี้สามารถแยกออกได้เป็น 2 วงอีกทีนึง   คราวนี้คุณคืนแหวนให้ผมได้รึยัง   ว่าที่ภรรยาของผมรอนานเกินไปแล้ว”
          ผมรีบวิ่งออกมาจากร้านกาแฟเพราะเห็นเธอมายืนรออยู่ฝั่งตรงข้าม   กำแหวนไว้ในมือ  ผมจะต้องสวมแหวนให้เธอให้ได้   ผมวิ่งออกมาโดยข้ามถนนใหญ่    ผมจ้องมองตรงไปที่เธอ   แต่ดวงตาและสีหน้าของเธอทำให้ผมเอะใจ   ดวงตาเธอเบิ่งโต   ริมฝีปากพยายามขยับเพื่อจะเรียกผม   ทันใดนั้นเอง  !!  ผมรู้สึกถึงวัตถุบางอย่างเข้ากระแทกผมจากด้านข้างอย่างแรง   แรงพอที่จะทำให้แหวนของเราหลุดออกจากมือผม   และทุกอย่างก็มืดลงทันใด....


          ผมค่อยๆลืมตาขึ้น   ทุกอย่างสลัวๆเพราะแสงแดดจากหน้าต่างและแสงจากหลอดไฟ   ทำให้ผมต้องกระพริบตาซ้ำๆหลายรอบ   ผมเริ่มหัวศีรษะที่รู้สึกปวดไปอีกด้าน    เห็นว่าที่ภรรยาของผมกุมมือของผมอยู่ข้างเตียง   ดวงตาของเธอบวมแดงทั้งสองข้าง   ผมรู้ทันทีว่าเธอเป็นยังไง  
          “ธีร์อยู่ในโรงพยาบาลค่ะ   อย่าเพิ่งขยับตัวมากนะคะ   กระดูกซี่โครงคุณหัก 2  ซี่นะ”
          “แหวนล่ะ   แหวนของเราล่ะ ?”
          “อยู่นี่ค่ะ   อุ๋มเก็บไว้ให้คุณตลอด”
          เธอพูดพร้อมส่งแหวนให้   ผมรับแหวนมา   แยกแหวนออกเป็น 2 ส่วน   สวมที่นิ้วของผมวงหนึ่ง  
          “ส่งมือของคุณมาสิ   ข้างซ้ายนะ.......”
          เธอยื่นมือของเธอมาให้ผม   ผมบรรจงสวมแหวนอีกครึ่งหนึ่งให้เธอ    ดึงมือซ้ายที่มีแหวนเงินประดับอยู่มาประทับรอบจูบของผม  
          “ผมรักคุณ”
          น้ำตาเธอไหลลงบนเตียงผู้ป่วย  ซึ่งนั่นก็คือเตียงที่ผมนอนอยู่   เสียงประตูห้องดังเอี้ยดอ้าด...   หมอเจ้าของไข้ผมเดินเข้ามา   เธอวางมือผมลงข้างตัวผม   แล้วไปพูดคุยกับหมอ   ไม่นานหมอก็ออกจากห้องไป   เธอหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม  
          “พรุ่งนี้คุณจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่ะ   อุ๋มรู้ว่าธีร์เกลียดที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล   อุ๋มเลยขอร้องให้หมออนุญาตให้ธีร์ออกจากโรงพยาบาลเร็วกว่ากำหนด   ถ้าอุ๋มไม่ได้เป็นพยาบาลที่นี่   ไม่งั้นหมอไม่ให้แน่ๆ   อุ๋มจะดูแลคุณเองค่ะ   แต่คุณต้องทำตามที่หมอกับอุ๋มบอกให้เคร่งครัดนะคะ”  
          ผมพยักหน้ารับเบาๆ   เธอยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม  
          “งั้นเดี๋ยวอุ๋มจะไปเก็บของมาให้คุณนะคะ   อุ๋มติดต่อที่บ้านคุณไว้แล้วค่ะ   อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็คงเสร็จ   แล้วอุ๋มจะรีบมาหาธีร์นะคะ”
          เมื่อพูดจบประโยค   เธอรีบวิ่งออกไปด้วยความดีใจ   รอยยิ้มยังปรากฏก่อนเธอออกจากประตูไป   ด้วยฤทธิ์ยาที่หมอให้หรือความอ่อนล้าของร่างกายของผมก็ไม่รู้   ผมค่อยๆหลับตาลงและม่อยหลับไป


          ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งในอีกครั้ง   ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่   รู้แต่น่าจะเป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว   เพราะแสงจากหน้าต่างในห้องแสบตาจนทำให้ผมต้องหันศีรษะเมินไปอีกด้าน   สิ่งที่ผมเห็นวันนี้ไม่ใช่คนรักของผมเหมือนคราวก่อน   แต่เป็นคนแปลกหน้า 3 คน   คนแรกใส่ชุดกาวน์สีขาว  คิดว่าคงเป็นหมอเจ้าของไข้ของผม   คนที่ยืนข้างๆใส่เครื่องแบบสีฟ้าแกมน้ำเงิน   คนสุดท้ายนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในชุดกากี   จากที่ได้ฟังเสียงและปรับสายตาให้ชัดเจนขึ้นแล้ว  พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ชายเสียหมด  
          หมอเห็นผมตื่นแล้ว   ทุกคนสีหน้าเคร่งเครียด...
          “สวัสดีครับคุณธีรพงศ์   ผมหมอไพโรจน์เจ้าของไข้คุณ   ผมมีข่าวดีและร้ายที่จำเป็นต้องบอกคุณ...”
          หมอไพโรจน์เปิดประเด็นสนทนาทันที   ชายอีก 2 คนเดินเข้ามาสมทบ
          “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
          “คือ....  อาการของคุณรักษาหายได้ไม่นาน   ตอนนี้คุณขยับตัวไปมาได้   แต่คงจะยังเดินเหินไม่ได้ดีนักและคุณก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้วันนี้เลย   นี่คือข่าวดีสำหรับคุณครับ”
          “เอ่อ   แล้ว.... แล้วข่าวร้ายล่ะครับ”  ผมถามอย่างใคร่สงสัยและกังวล
          “คุณธีรพงศ์ครับ   นี่สารวัตรเอกพล   เขาจะเป็นผู้บอกข่าวร้ายกับคุณเอง”
          “เกิดอะไรขึ้น  ?  แล้วทำไมต้องมีตำรวจกับผู้รักษาการของโรงพยาบาลมาด้วยล่ะ”
          “นี่แหละครับที่ผมและคุณเอก   ผู้รักษาการของโรงพยาบาลจะแจ้งคุณ   ขอให้สงบสติไว้นะครับ”
          สิ่งที่ผมได้ฟังจากปากของยามรักษาการ   ทำให้ผมแทบหยุดหายใจ   ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง   สิ่งที่ผมได้ฟังนั้น    เขาเล่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน   มันดูยาวนานเหมือนชั่วชีวิต   เขาบอกกับผมว่า   เมื่อวันที่เธอรีบร้อนออกจากโรงพยาบาลเพื่อจะไปเก็บข้าวของให้ผมนั้น   เธอเรียกรถมอเตอร์ไซค์ที่มาส่งผู้โดยสารหน้าโรงพยาบาล   เพื่อสะดวกและใช้เวลาน้อยลง   เธอขึ้นนั่งรถ   และเมื่อรถมอเตอร์ไซค์กำลังจะเลี้ยวออกจากทางออกโรงพยาบาล   มีรถกระบะคันหนี่ง    วิ่งมาทางรถที่เธอนั่งด้วยความเร็วสูง   จนรถที่เธอนั่งไม่สามารถหลีกพ้นได้   รถกระบะชนร่างเธอเข้าอย่างจัง    คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นโดนเหวี่ยงล้มลง    ถูกล้อรถกระบะเหยียบทับ  กระดูกขาแตกไปสองข้าง   ส่วนเธอนั้น...   ร่างของเธอชนเข้ากับหน้ารถกระบะ    เสยขึ้นเหนือกระจกหน้า   ลอยผ่านหลังคาและกระแทกตกลงพื้น   ร่างไร้วิญญาณของเธอแผ่ราบจมกองเลือดอยู่หน้าโรงพยาบาล   นายเอก  ยามรักษาการประจำโรงพยาบาลช่วงเวลานั้น   วิ่งเข้าไปอุ้มร่างอาบโลหิตของเธอเข้าไปในห้องฉุกเฉิน   แต่นั่นมันก็ไร้ประโยชน์   เธอไม่อาจตื่นขึ้นมาหาผมอีกแล้ว...
          “ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ   ผมให้ทางตำรวจจับกุมคนขับรถกระบะคันนั้นแล้ว   และตั้งข้อหาขับรถโดยประมาทและทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บและเสียชีวิต”   นายตำรวจชี้แจง
          ไม่มีคำพูดใดๆมาบรรยายความรู้สึกของผมตอนนั้นได้   สิ่งที่มีค่ามีความหมายที่สุดในชีวิตของผม   มาถึงวันนี้ไม่มีอีกแล้ว  น้ำตาอุ่นๆกลบตาของผม   จะเรียกว่าอาบไปทั้งหน้าก็ยังได้   ไม่รู้ว่าไหลตั้งแต่เมื่อไหร่
          “ผมอยากจะพบเธอ   ผมอยากจะเจอเธอครับหมอ..”
          “ถ้านั่นเป็นความต้องการของคุณ   ผมก็จะทำ   เอก..ช่วยเอารถเข็นจากหน้าห้องมาที   ต่อจากนั้นผมจะจัดการเอง”
          หมอให้ผมนั่งรถเข็น   ทุกโสตประสาทของผมดูจะชาและตื้อไปหมด   อาการเจ็บของผมมันทรมานสู้แผลภายในหัวใจของผมไม่ได้   ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
          หมอเข็นรถพาผมไปที่ห้องๆหนึ่ง   กลางห้องมีโต๊ะและร่างถูกคลุมด้วยผ้าสาวอยู่บนโต๊ะ   ผมเข็นรถเพื่อให้ตัวเองเข้าไปใกล้    ค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดผ้าขาวตรงหน้า
          เมื่อเปิดผ้าขึ้น   ผมแทบจะหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด   คนรักคนเดียวของผมนอนแน่นิ่งอยู่   ใบหน้าซีดเซียวและเย็นชืด    ผมค่อยๆใช้มือที่สั่นเทาของผม   ลูบไล้หน้าของเธอ    และใช้มือทั้งสองหามือของเธอ  เพื่อที่จะจับเป็นครั้งสุดท้าย   ทันใดนั้นเอง   ผมเหลือบไปเห็นแหวนเงินอีกครึ่งอยู่ในมือของเธอ...
          “ผมคาดว่ามันคงหลุดจากนิ้วเธอตอนเกิดอุบัติเหตุ   และผมก็พบแหวนอยู่ในมือผู้ตาย   มือกำแน่นครับ.. แน่นมากๆด้วย”
          นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมพบเธอ   ความตายไม่เพียงพรากเราทั้งสองให้จากกัน   ความตายทำให้เธอต้องหมดลมหายใจ   แต่ยังนำอาหัวใจทั้งหมดที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆของผมไปพร้อมกับเธอด้วยชั่วนิรันด์....

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×