the story of the river - the story of the river นิยาย the story of the river : Dek-D.com - Writer

    the story of the river

    โดย iyara

    เพื่อชีวิต ที่ดีกว่า

    ผู้เข้าชมรวม

    159

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    159

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ม.ค. 48 / 14:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คุณเคยได้ยินบ้างไหมว่า  คนคนหนึ่งจะทำให้คุณเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

          ฉันเกิดเมื่อปี 2526 เป็นปีที่เมืองไทยยังไม่สิ้นการรัฐประหาร  เมื่อปี 2535 ขณะที่ฉันยังเป็นเด็กอายุเก้าปี  เกิดการรัฐประหารที่ฉันไม่รู้เรื่องอยู่ด้วย  จำได้ว่าฉันต้องไปเยี่ยมแม่  เพราะแม่ย้ายราชการไปประจำต่างจังหวัด  แม่ให้ของเล่นที่เคยอยากได้แต่ไม่กล้าขอ  นั่งเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ด้วยทีวีขาวดำหน้าจอ 6 นิ้ว สำหรับติดตั้งในรถ  บนบ้านพักข้าราชการที่ทำด้วยไม้ทาด้วยสีเขียว  ตอนนั้นปิดเทอมเดือนเมษายน  ฉันไม่กล้าที่จะบอกแม่ว่า  เสียใจมากแค่ไหนที่พ่อลืมวันเกิดของฉัน ในปีนี้  ฉันนั้นร้องไห้คนเดียวในที่นอนที่น้องสาวตัวเล็กของฉันไม่รู้เรื่อง
          ปีนั้นอะไรอะไรก็ดูวุ่นวายเหลือเชื่อ  ฉันอิจฉาคนที่เข้าโรงเรียนเดียวแล้วเรียนจนจบประถม  เพราะอีกไม่กี่เดือน  ครอบครัวฉันต้องย้ายจากจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานไปอยู่ในจังหวัดที่พ่อเคยพูดเมื่อขับรถผ่าน  แล้วเปรยว่า  ต่อไปต้องมาอยู่โรงเรียนนี้นะ  แต่ฉันบอกว่าไม่เอาเด็ดขาด  การลาจากเพื่อนที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่ครั้งยังพูดไม่ได้  และลาจากจังหวัดที่รักยิ่งกว่าชีวิต(ความคิดในตอนนั้น) ฉันเศร้ามาก  ร้องไห้หลายครั้ง  แต่ว่า  ฉันไม่มีทางเลือก  นั้นเป็นความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตที่รู้ว่าคำว่าเศร้านั้นมันหมายความว่าอะไร
          เราเข้าพักในบ้านพักของแม่  ฉันนั่งเล่น  ดูสภาพแวดล้อมใหม่  คิดถึงเพื่อนที่เดิมมาก  จากนั้นสองวัน  แม่ก็พาฉันเข้ากรุงเทพฯ และบอกว่าต่อไปฉันต้องเรียนที่กรุงเทพฯ  ในโรงเรียนที่ยายเป็นครูสอนอยู่  มันรวดเร็วจนจับต้นชนปลายไม่ถูก  แล้ววันรุ่งขึ้น  บรรยากาศความรีบเร่งของกรุงเทพฯในยามเช้าก็ปลุกในฉันตื่นอีกครั้ง  
          ความสับสนวุ่นวาย  ผู้คนมากหน้าหลายตา  แย่งกันขึ้นรถเมล์  เด็กป. 4 กับยายอายุห้าสิบกว่า  ต้องก้าวเท้าให้ทัน  ฉันเกลียดกรุงเทพฯ  ความคิดที่ผุดขึ้น  แล้วยังคงอยู่สืบมา  ฉันเขียนจดหมายไปถึงเพื่อนที่จังหวัดให้คำมั่นไว้ว่า  อายุยี่สิบสามเมื่อไหร่จะกลับไปที่จังหวัดเดิมอีกครั้ง  แล้วไม่นานนักฉันก็ได้จดหมายตอบกลับ  ใจความสั้นและง่ายคือ  ทำตามให้ได้นะ  และจะรอ
          การปรับตัวในโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนราฏร์  ที่แม่เรียก  ยากเอาการ  เรื่องเพื่อนไม่เท่าไหร่  ไม่นานฉันก็มีเพื่อนมากมาย  แต่เรื่องการเรียนภาษาอังกฤษกับการเรียนพละศึกษาที่ไม่ได้ออกกำลังแต่กลับดูตำราแทนนี่เป็นเรื่องที่แย่มาก  บ้านของยายตั้งอยู่ในที่ที่เงียบเหมือนกันในกรุงเทพฯ  ไม่มีที่วิ่งเล่น  ไม่มีเพื่อนเล่นตอนเย็น  ฉันไปไหนมาไหนไม่ได้  ต้องอยู่แต่ในบ้านและดูทีวี
          หนึ่งเทอมมีการสอบสามครั้ง  ครั้งแรก  ฉันได้ศูนย์วิชาภาษาอังกฤษ  และครั้งสุดท้ายฉันได้เกรดหนึ่งในวิชาเดิม  เชื่อไหมว่าฉันมั่วทุกข้อ  
          และฉันก็ย้ายกลับไปเรียนในจังหวัดที่พ่อกับแม่ย้ายมา  อยู่ในโรงเรียนที่ฉันบอกว่า  ไม่มีวันซะล่ะ  ไม่นานนักฉันก็จบประถมปลาย  และต่อในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดพร้อมกับเพื่อนหลายคน

          และที่โรงเรียนนี่ฉันได้พบกับคนที่เปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล

          สมัยม.ต้นเธอเรียนอยู่ที่ห้องข้างๆฉัน  เธอจะมาโรงเรียนเช้าตรู่  ในขณะที่ฉันจะมาโรงเรียนตอนเพลงโรงเรียนขึ้นรอบแรกในนักเรียนทุกคนเตรียมตัวเข้าแถว  ฉันออกคล่ำๆ แต่เธอขาว  เธอน่ารัก  และฉันก็น่ารักนะ  เธอพูดน้อยแต่ฉันพูดมาก  เธอมีคนมาจีบแต่ฉันไม่มี
          ฟังดูเหมือนทุกอย่างระหว่างเราตรงข้ามเหมือนสีขาวและสีดำ  ฉันเป็นคนไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่  แต่เธอมดซักตัวยังไม่กล้าที่จะฆ่า  
          ทุกเช้าฉันจะแอบมองเธอเพราะฉันเข้าแถวต่อจากห้องเธอ  เธอยังเหมือนเดิม  คือไม่ค่อยพูด  แต่เมื่อเพื่อนเธอมาเล่าอะไรให้ฟังตอนเช้า  เธอช่างเป็นผู้ฟังที่ดี  แล้วเธอจะยิ้ม  
          ช่วงม.ต้นเราไม่เคยคุยกันซักครั้งเดียว

          ชีวิตคนเราเหมือนเทพนิยายในบางช่วงบางตอน  ฉันยังคงรักและกลัวแม่มาก  เหมือนเป็นข้อตกลงตอนที่แม่ให้ฉันเกิด  ท่านต้องผ่าตัดถึงสองครั้งตอนคลอดฉัน  ท่านเกือบตายตอนคลอดฉัน  เหมือนเป็นสัญญาที่จะไม่ทำให้แม่เสียใจ  ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้เรื่องนี้ตลก
          เพราะแม่เคยพูดว่า  ถ้าไม่เชื่อฟังก็ไม่ต้องมานับว่าเป็นแม่เป็นลูกกัน  ท่านไม่ให้ฉันมีแฟน  ฉันก้อไม่ได้มี
          
          ตอนม.ห้า  อะไรๆ ในชีวิตฉันดูยุ้งไปหมด  นอกจากการเรียนวิชาเคมีที่ไม่เคยจะเข้าหัวสมองแล้ว  คนรอบข้างโดยเฉพาะผู้ใหญ่  ที่ชอบถามเด็กวัยกำลังจะเอนทรานซ์ว่าจะเรียนต่อคณะอะไร  โอ๊ย  ฉันสับสนมาก  ตอนนั้นคิดว่าสังคมไม่ให้ความยุติธรรมและไม่เคยให้ประโยชน์กับเราเลยแม้แต่นิดเดียว  เอาง่ายๆ  สมมติว่า  พ่อบ้านนี้ไปกินเหล้าเมาในงานเลี้ยง  เมียและลูกก็จะถูกว่าว่ามีพ่อเป็นคนขี้เมา  ทั้งๆที่พ่อไม่เคยทำเรื่องเสียหายหรือบกพร่องในการทำงานแม้แต่น้อย แต่คนที่พูดเรื่องนี้เองกลับยักยอกเงินของราชการหรือไม่ก็วันๆไม่ทำงานเอาแต่นินทาเรื่องชาวบ้าน การถูกคนที่แย่กว่าเราดูถูกนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และไม่น่าให้อภัย  ช่วงนั้นหรือช่วงไหนก็ตาม  การสนทนากับเพื่อนร่วมงานพ่อหรือแม่  ทำให้ฉันต้องใส่หน้ากาก  คือพูดถามคำตอบคำ  ทำเป็นไม่สนใจซะ  คนพวกนี้น่ากลัวเสียนี่กระไร
          แต่สิ่งหนึ่งที่จะคงทำให้ฉันเป็นผู้เป็นคนได้ก็คือ  ความฝันในวัยเยาว์  การสั่งสอนของบุคคลที่ฉันคิดว่า  ปลอดภัยและเขาเหล่านั้นชั่งแสนดี  วัยเด็กกับเพื่อนที่ไม่เคยทรยศ  การทะเลาะกันทุกครั้งนำมาซึ่งการเติบโตและทำให้เราทุกคนเป็นผู้ใหญ่เกินตัว  แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องโบกปีกของตัวเองสู่โลกกว้าง  มันยากเย็นแสนเข็น  ฉันต้องไปอยู่กับพี่เพื่อที่จะเรียนพิเศษในกรุงเทพฯ  ฉันเคยรับมือกลับเรื่องเหล่านี้มามาก  แต่ไม่มีครั้งไหนที่จะทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากเท่าครั้งนี้อีกแล้ว

          กรุงเทพฯ  ชื่อนี้เป็นอะไรที่น่ากลัว  ฉันไม่เคยชอบที่จะได้มาเหยียบที่นี่นอกจากที่จะได้มาพบญาติพี่น้องของแม่และเจอลูกพี่ลูกน้อง  แล้วคราวนี้ฉันต้องอยู่คนเดียว  กับพี่สาวที่มีสังคมเป็นของเขาเองและพี่ชายที่เรียนหนัก  แม้ว่าจะมีเพื่อนมาเรียนที่สาขาเดียวกัน  แต่ไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน  ฉันเศร้ามาก  จะโทรศัพท์หาใครก็ไม่ได้  เพราะต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่าย  ฉันซื้อหนังสือ  หลายเล่มมาอ่านนอกจากหนังสือเรียน  บรรยากาศที่มืดและอากาศที่ย่ำแย่เพราะน็อก วิโอซี หรือคาร์บอนไดออกไซด์  ฉันเข้าโรงหนังไปดูหนังตอนที่หนังฉายไปแล้วเกือบครึ่งเรื่อง  ฉันขอเขาเข้าไปดูเพราะไม่รู้ว่าจะกลับหอไปทำอะไร  ฉันคิดถึงเธอเป็นบางครั้งแต่ไม่ได้บ่อยขนาดคิดถึงทุกวัน  ฉันรู้ว่าเธอเองก็ตกที่นั่งเดียวกันกับฉันที่ต้องเรียนให้ทันคนอื่นเช่นกัน
          และที่นี่เอง  ที่ฉันได้รู้ว่า  ความเหงานั้นเป็นเช่นไร
          
          ฉันกลับบ้านช่วงที่ปิดคอร์ดเรียน  ขากลับ  พ่อถามว่าต้องการเงินเท่าไหร่  ฉันเห็นในแววตาพ่อ  ว่าห่วงใยมากแค่ไหน
          และที่นี่เอง  ที่ทำให้ฉันรู้ว่า  พ่อและฉันรักกันแค่ไหน

          ช่วงอยู่บ้าน  แม่มักให้ช่วยงานบ้านหลายสิ่งหลายอย่าง  ฉันไม่เคยไม่ช่วย  ฉันช่วยงานทุกที  ไม่มีบ่น  ผิดกับน้องสาวที่มักจะบ่นจะเสมอ  ฉันเองเลิกทะเลาะกับน้องนานแล้ว  เพราะทุกที  น้องไม่เคยผิด  ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ในเมื่อบทสรุปมันเห็นขึ้นมาก่อนที่เรื่องยังไม่เกิด  การอยู่ให้ห่างกันและทำหน้าที่ของใครก็มันไปจะดีที่สุด
          ครั้งหนึ่งที่แม่โกรธกับพ่อ  ท่านโมโหและอารมณ์ไม่ดีตลอดวัน  ท่านผุดเรื่องเก่าๆ  และว่าฉันว่า  เป็นคนไม่เอาไหน  ไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง  และก็บอกให้ฉันเอาขนมผักกาดที่อยู่ในตู้เย็นออกมา  แต่ฉันฟังเป็นว่า  ให้เอาไปให้หมา  ฉันเอาไปให้หมา  ท่านด่าฉันเสียงหลง  บอกว่าฉันเป็นบ้าหรือประสาทไปแล้ว  หูตึง  แทบจะตีฉันตรงนั้น  ฉันขอโทษ  แต่เป็นคำขอโทษที่ท่านไม่ได้ยิน
          ใช่  ฉันกลัวแม่จนหัวหด

          ฉันไม่เคยเล่าเรื่องในครอบครัวให้ใครฟัง  เรื่องน้อยใจ  เพราะมันนานมามากแล้ว  เช่น  ฉันอยากได้ขอเล่นแทบตาย  แต่ฉันไม่เคยปริปากบอกเพราะรู้ว่ามันไม่จำเป็น  ครั้งหนึ่งตอนม.สอง  ฉันเก็บเงินซื้อเทปเพลงการ์ตูน  ราคา 50 บาท  ฉันซื้อมาเปิด  แม่ถามว่าซื้อมาจากไหน  ฉันบอกว่าฝากเพื่อนซื้อ  ใช้เงินเก็บ  ท่านพูดว่า  ทีหลังไม่ต้องซื้อ  ต่อให้เป็นเงินเก็บเงินนั้นก็มาจากแม่อยู่ดี  จากนั้นมาฉันไม่เคยซื้อของด้วยเงินเก็บอีกเลย  ฉันเล่าให้เพื่อนฟัง  พวกเขาได้แต่ถามว่าทำไม



          พอขึ้นม. หกเทอมสุดท้าย  ฉันได้เบอร์โทรของเธอ  ฉันโทรไปหาเธอทุกวันที่ทำได้  ช่วงนั้นเราเปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน  ฉันรู้เรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ  ในขณะเดียวกันที่เธอแทบจะไม่รู้เรื่องของฉัน  แต่เธอรับรู้ว่าฉันจริงใจกับเธอมากแค่ไหน  และนั้นคือความจริง  บทสนทนาของเรา  เป็นยาชั้นยอดที่ทำให้ฉัน  ยังมีชีวิตอยู่ในช่วงที่  ฉันสับสน  วุ่ยวายใจ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในบ้านหรือเรื่องนอกบ้าน
          บทสนทนาที่ยาวนาน  บนโทรศัพท์นั้น  ทำให้ฉันรู้สึกว่าใกล้เธอแค่เอื้อมแต่ไม่สามารถที่จะเอื้อมได้  ฉันเข้าถึงจิตใจเธอ  แล้วก็เริ่มรู้ว่า  เธออยู่บนความสับสน  ที่เดียวกับที่ฉันอยู่

          ฉันคิดว่ามันช้าไปที่เราเพิ่งรู้จัก  และทำความใกล้ชิดกัน  ในขณะที่อีกประมาณสองเดือนเราจะต้องจากกันแล้ว  ฉันไปช่วยงานกีฬาสีของห้องเธอ  เราคุยกันสี่ห้าประโยค  ฉันไม่กล้าคุยกับเธอมาก  กลัวคนอื่นจะคิดมาก  แล้วเธอจะเสียหาย  วันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดของฉัน  ที่ได้รับรู้ว่า  เราเกิดมาเพื่ออะไร
            คนที่ทำให้ฉันรู้  กลับไม่ใช่เธอ  แต่เป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอ  เผอิญว่าบ้านหลังที่ห้องของเธอทำงานอยู่ซอยเดียวกับบ้านของฉันพอดี  ฉันสามารถอยู่ช่วยจนเย็นมากได้  ในขณะที่เธอจะต้องรีบกลับเพราะบ้านอยู่อีกอำเภอหนึ่ง  ฉันมาช่วยเพราะยังไม่มีใครกลับบ้านตอนนั้น  เพื่อนร่วมห้องของเธอชื่อว่า  แก้ว  เธอเป็นคนสวยติดอันดับในโรงเรียน  เธอเอ่ย  เพียงว่า  ฉันนี่  ดีจริงๆ  เลยนะ  
      เหมือนการรอคอยที่สิ้นสุด  การเดินทางอันแสนลำบากได้ยุติ  มันเป็นประโยคที่ทำให้รู้สึกดี  ฉันน้ำตาคลอ  คิดถึงประโยคนั้นตลอดเวลาที่ขับรถจักรยานกลับบ้าน  แล้วสงสัยว่า  มันจะดีซักแค่ไหนหนอ  ถ้าแม่เป็นคนเอ่ยประโยคนั้น
          เหมือนฝันที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง  แล้วฉันก็รู้สึกไร้ค่า  เช่นเดิม

          มันอาจยากที่ต้องทำตามทุกอย่างที่แม่บอก  แต่ฉันไม่เคยบ่น  เมื่อผลเอนท์ประกาศ  แม่พยายามบอกให้ฉันเข้าเรียนเภสัชฯ ให้ได้  แต่ฉันได้โควตาเข้าคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหนึ่งที่ตั้งอยู่ต่างจังหวัดได้  แต่ความรู้สึกสับสนยังคงอยู่เสมอและไม่ไปไหน  บางครั้งชีวิตคนเราก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
          ฉันยังคงคิดถึงเธอทุกวัน  ฉันยังคงโทรหาเธอจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว  ช่วงนั้นยังไม่เข้าสู่ยุคที่มือถือเฟื้องฟู  โทรศัพท์มือถือยังคงเป็นสิ่งของที่มีราคาแพงและสิ้นเปลื้อง  ฉันคิดว่า  ถ้าเราต่างเข้ามหาวิทยาลัยและเดินไปตามทางของตัวเอง  เราอาจไม่สนิทกันเหมือนเช่นวันนี้  ฉันมีแต่ความจริงใจให้เธอ  นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันคิดว่า  เธอจะไม่ลืมฉัน
          ทุกอย่างมันดูรวดเร็วไปหมด  นับแต่การสอบสัมภาษณ์  ฉันกังวล  แต่เรื่องแค่นี้สบายมาก  การบูมของรุ่นพี่(ได้อารมณ์มาก)  การมอบตัว  อะไรๆ  ก็ผ่านไปได้ด้วยดี  แล้วฉันก็ชวนเธอมาบ้าน

          เราเข้ากันได้ดีเหลือเชื่อ  ฉันเห็นบางสิ่งในแววตาเธอ  เธอเป็นคนเดียวที่ฉันอยากปกป้อง  จากโลกที่แสนย่ำแย่ใบนี้  ตอนนั้นฉันรู้แล้วว่าความรักมันเป็นเช่นไร  แล้วเธอก็เอ่ยว่า
      “มาเป็นแฟนกันไหม” เธอเอียงอาย
      ฉันดีใจที่ได้ยิน  แต่ภาพแม่พ่อปรากฎขึ้นมาทันใด  ความเสียใจที่ไม่อาจทำตามที่ใจปราถนา  
      “เราเสียใจ  เป็นเพื่อนกันดีกว่า  เราไม่ได้คิดแบบนั้น”  ฉันโกหก
      แทนที่เธอจะโกรธ  แต่เธอไม่พูดอะไร  แล้วก็ชวนฉันคุยต่อ  หลังจากส่งเธอกลับไปแล้ว  ฉันรู้สึกว่าตัวเองเลวมาก  ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่เสมอ  มันทำให้ฉันอยากจะปกป้องเธอมากขึ้นทุกที  แต่พอแม่ว่า  ฉันเป็นคนไร้ค่า  ฉันคิดว่า  ฉันไม่มีค่าพอสำหรับคนที่แสนดีอย่างเธอ  สายน้ำของเราที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ  ฉันยังต้องเล่นบทที่ชะตากรรม  ไม่เคยเห็นฉันเป็นคนที่มีค่าต่อไป
      หลังจากนั้นไม่นาน  ฉันก็มีเรื่องจะบอก  หลังจากที่เธอไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ  ในห้อง  แต่เธอกลับไม่บอกด้วยตัวเธอเอง  เธอให้เพื่อนเธอบอกกับฉัน  มันเป็นเรื่องที่  ฉันสับสนมากเรื่องหนึ่ง  มีเพื่อนในห้องชอบเธอและขอเป็นแฟนกับเธอ  ฉันสับสน  ทุกอย่างวุ่นวาย  เมื่อฉันมองเข้าไปในแววตาเธอ  แต่ฉันไม่พบอะไร
      แน่นอนว่า  ฉันไม่ยอม  แล้วเธอก็ไม่ตกลงกับคนนั้น  ฉันรู้ดีว่ามันไม่ถูก  แต่การปล่อยเธอไปก็ไม่ถูกเช่นกัน  เรายังคงคุยกันทุกวันเหมือนเดิม  เธอก็บอกว่า  ฉันเป็นคนที่เธอจะแต่งงานด้วย  ฉันดีใจ  ได้แต่พูดติดตลกว่า  อย่าล้อเล่นซิ  แต่ว่าฉันเชื่อ  
      งานบายเนียร์หรืองานปัจฉิม  ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย  มีดอกไม้ขายหน้าโรงเรียน  ทุกคนต่าง  เตรียมของมาให้กันและกัน  แต่อย่างว่า  ฉันไม่มีเงิน  ฉันไม่รู้จะขอแม่ยังไง  ฉันเลยไม่ได้เตรียม  ฉันไม่อยากรับ  ฉันอยากกลับเร็วๆ ด้วยซ้ำไป  แต่เพราะความผูกพันในห้อง  ทำให้วันนั้นไม่ได้เศร้าโศกเหมือนดั่งในละครหรือหนัง  ไม่มีใครร้องไห้  ไม่มีใครเสียใจกับการจบการศึกษา  ทุกคนดีใจ  แต่ฉันเสียใจลึกๆ  แก้วเดินมาให้ของที่ระลึกกับฉันในขณะที่ฉันไม่มีอะไรจะให้  เธอแสนดีเกินไป
      เธอให้ของกับฉัน  ฉันรับมันไว้  แล้วบอกว่าสวยดี  มันเป็น  ผ้าเช็ดหน้า  มีชื่อเธอปักอยู่  ฉันจะเก็บมันไว้ตลอดไป  หน้าตาของพวกเราที่อยู่ในรูปเหล่านั้น  จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป  เป็นที่ให้หวนรำลึกถึงวันคืนนั้นแสนสนุกในช่วงมัธยม  ช่วงเวลาที่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎ  เวลาที่ข้าใหญ่ที่สุดในโรงเรียน  ไม่มีใครใหญ่กว่านี้อีกแล้ว
      ในที่สุดวันสอบเอนท์ก็เดินทางมาถึง  ฉันไปสอบ  ทั้งๆที่ได้ที่เรียนแล้ว  ที่ไปเพราะฉันอยากพบเธอและแม่ต้องการเช่นนั้น

      จากนั้นมา  ก็มีเรื่องที่ฉันไม่ชอบเกิดขึ้นมากมาย  ฉันร้องไห้กับมัน  ฉันไม่ขอบอกว่าเป็นเรื่องอะไร  มันอาจเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยของใครหลายๆ  คน  แต่ฉันเป็นคนที่แบกมันเต็มๆ  ไม่มีที่หนี  ไม่มีข้อแม้  มีแต่ต้องเผชิญ  กับสิ่งที่ต้องเองไม่ได้ก่อ  แล้วในที่สุด  ฉันก็ยิ่งไร้ค่า
      ฉันเริ่มเล่นกีต้าร์อีกครั้งหลังจากที่เลิกเล่นไปตอนม.ต้น  ฉันแต่งเพลง  เพลงที่แสนเศร้า  เพราะเหมือนฉันอยู่คนเดียว  เด็กคนอื่นเวลาอยากได้ของเล่น  แค่บอกพ่อกับแม่  หรือไม่ก็ญาติพี่น้อง  ฉันได้แต่มองทุกครั้งที่ผ่าน  ฉันไม่ขอ  แต่ฉันจำได้ว่า  อยากได้เกมส์บอยมาก  ฉันเอากระดาษลัง  สปริงส์  และโฟร์มมาทำเป็นเกมส์บอยอันใหญ่  ซ่อนมันไว้ใต้เตียง  แอบเข้ามาเล่น  จินตนาการว่ามันเป็นของจริง  ฉันเล่นคนเดียว  ตอนอยู่กรุงเทพฯ  ฉันร้องไห้หลายครั้งตอนที่เล่นมัน  ฉันอยากได้กีต้าร์  แต่มันเป็นคงเป็นเช่นเดิม  
      ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในวันที่ฉันสุดทนที่สุดกับสิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมด  ฉันคงเลวมาก  ถ้าฉันไม่เลวขนาดนั้น  ถ้าฉันทำดีเรื่องคงไม่เกิดขึ้น  ฉันได้แต่คิด  แต่ว่าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก  ว่าเรื่องเหล่านั้นมันคือเรื่องอะไร  

      การอยู่หอวันแรก  ฉันเหงาที่สุด

      เราไม่ได้คุยกันนานแล้ว  ฉันไม่มีมือถือ  เธอเองก็เช่นกัน  ฉันคิดถึงเธอ

      สองเดือนหลังจากนั้น  ฉันได้มือถือ  แล้วเธอก็เช่นกัน  เราคุยกันไม่บ่อยเหมือนเดิม  แต่ทุกครั้งที่คุย  เราแทบไม่ต้องพูดอะไรกัน

      กาลเวลาเปลี่ยน  คนก็เปลี่ยน  น้ำหยดลงหินทุกวัน  หินมันยังกร่อน  สามปีให้หลัง  เราไม่เคยเจอกันแม้แต่ครั้งเดียว  และทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน  ฉันก็ยังคงไร้ค่า  เพ้อเจ่อ  และไม่มีความหมายเช่นเดิม
      พอปีสี่  ฉันไปงานที่มหาวิทยาลัยของเธอ  ฉันอยากเจอเธอ  แต่เธอไม่มาพบ  เธอบอกว่า  เธอติดเรียน  ไม่สามารถมาได้
      ที่งาน  ฉันเจอเพื่อนเก่าที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอ  เขาถามว่ามีอะไรจะฝากบอกไหม  ฉันฝากบอกไปว่า  ไม่รักกันแล้วใช่มั้ย  เพื่อนเธอก็บอกว่า  รู้เอาไว้นะ  ว่าเธอไม่เคยรักฉันอยู่แล้ว

      โลกที่มืดมัว  กลับมืดมิด  ไร้ซึ่งสิ่งนำทาง  ฉันเหมือนเหลือตัวคนเดียว  คนที่ฉันจะอยู่เพื่อ  คนที่ฉันจะสู้เพื่อ  และไม่ทำให้เธอเสียใจ  ได้จากไปแล้ว  ฉันกลับมหาวิทยาลัย  ฉันร้องไห้ในใจ

      แล้วฉันก็ไม่โทรไปหาเธออีกเลย
      ฉันไม่น่าโง่  ทุกวันเกิดเธอฉันจะโทรไปอวยพร  แค่ทุกวันเกิดฉัน  กลับไม่มีแม้แต่ข้อความหรือโทรศัพท์จากเธอ  ฉันได้แต่เสียใจ  
      ฉันเสียเธอไปตลอดกาล
      เธอเปลี่ยนฉันให้รู้จักความสูญเสียสิ่งที่รักเป็นครั้งแรก  และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก

      ฉันกลายเป็นคนไม่มีหัวใจ  เวรกรรมตามทัน  คนไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการ  คนขี้แพ้  ที่มีแต่คนชัง  ฉันคงน่าเกลียดมาก  ฉันคงเลวมาก  แม้แต่เหรียญยี่สิบห้าสตางค์ที่ไม่มีใครต้องการ  ยังมีค่ามากกว่าฉันเสียอีก   ถ้าฉันเป็นคนดี  เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
      แม้แต่เพลงที่เศร้าที่สุดในโลก  ยังมีคนร้องไห้ให้กับมัน
      แต่ว่าเรื่องของฉัน  คงไม่มีค่าให้ใครเสียใจกับมัน  ฉันรู้ดี

      จบ…

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×