memory of love - memory of love นิยาย memory of love : Dek-D.com - Writer

    memory of love

    เอ้า ใครชอบอ่าน hxh ก็เข้ามากันเน้อ

    ผู้เข้าชมรวม

    625

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    625

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 มิ.ย. 46 / 21:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      Memmory of love

      Someone love one ..........Someone loves two
      but I love one ............that I love you

      “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้รักนาย ....... ฉันเห็นนายเป็นแค่เพื่อนน่ะ\"

      ................คำพูดนี้........มันผ่านมานานแสนนาน.................
      ................มันเป็นคำพูดของผู้ชายคนหนึ่ง.................
      ................เค้า.....เป็นคนที่ผมรักมาก....................
      ................แต่ถึงเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด.....................
      ................ผมก็ยังลืมเค้าไม่ได้..............
      ................ผมรักเค้าเหลือเกิน...............
      ................ตอนที่ผมถูกเค้าปฏิเสธ................
      ................ผมนึกว่า...เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ทุกสิ่ง................................
      ................ผมคิดว่า...ถ้าเวลาผ่านไป....เค้าอาจมองผมอยู่ในสายตาบ้าง..................
      ................ผมคิดว่า...........ผมน่าจะลืมเค้าได้.................
      ................แต่.............ไม่เลย...........................
      ................เวลา..........มันทำให้เค้ารักเขาคนนั้นมากขึ้นไปอีก.....................
      ................เวลา.........ไม่เคยทำให้เค้ากลับมามองที่ผม...........................
      ................ในมุมกลับกัน...................................
      .................เวลา.......มันทำให้ผมรู้สึกยิ่งรักเค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ..............................
      .................เวลา.......ไม่สามาถทำให้ผมลืมเค้าได้............................
      .................เวลา.......มันมีแต่ทำให้ผมเจ็บปวดและทรมาน............................
      .................และ........เวลา.............มันไม่เคยย้อนกลับมา.................................

      ความรักของผม...........มันเริ่มและจบลงที่.............

      ณ ที่ที่ห่างไกลในชนบทแห่งหนึ่ง ที่นี่ยังไม่ค่อยเจริญนัก รถรายังไม่ค่อยเข้าถึง ไฟบนท้องถนนก็มีน้อยจนนับจำนวนได้  เส้นทางที่มานั้นก็มีหญ้ารกขันขึ้นอยู่ตลอดทาง  ผมมองวิวพวกนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ท้องฟ้าวันนี้มืดดำเป็นสีรัตติกาล มันดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว
      ก็เห็นจะมีเพียงหมู่ดาวเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อน มันทอแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้า  สีของมันตัดกับสีแห่งรัตติกาลได้อย่างชัดเจน มันดูสวยงามและน่าอัศจรรย์ นอกจากท้องฟ้านั้น บรรยากาศรอบ ๆ ก็ชวนเคลิ้มหลับ สายลมเย็น ๆ อ่อน พัดอย่างสบายอารมณ์ ราวกับไม่มีเรื่องกลุ้มใจ หมู่สัตว์น้อยใหญ่พากันบินออกหากินในตอนกลางคืน เสียงจั๊กจั่นดังเซ็งแซ่ไม่หยุดหย่อน ธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์นี้มันทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความเพลิดเพลินได้นานสองนานเลยทีเดียว
      “เฮ้ คิรัว อีกประมาณกี่ชั่วโมงถึงจะถึงล่ะเนี่ย” เพื่อนที่ซี้กับผมที่สุด – กอร์น – พูดเสียงดังขัดจังหวะขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด นั่นแหละ ผมถึงเลิกมองไปข้างนอก แล้วหันกลับมาที่เพื่อนของผมแทน ดวงตาที่ใสซื่อของเขาทำให้ดูเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้จักอะไร มันทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นเลยทีเดียว หลังจากที่ผมเดินทางเหน็ดเหนื่อยมานานหลายชั่วโมง
      “อีกประมาณ 4 ชั่วโมงแหละ นอนไปก่อนแล้วกัน” ผมตอบ
      “อื้อ”
      ผมกับเพื่อน ๆ เช่ารถมาเพื่อที่จะไปเที่ยว จุดมุ่งหมายของการเดินทางครั้งนี้ มันอยู่ที่ – หาดอิซุ -  พอดีพวกเราว่าง ๆ กัน ก็เลยอยากมาเที่ยวที่ไกล ๆ ในชนบทดูบ้าง อ้อ.... ผมลืมแนะนำเพื่อนทั้งหมดที่มาเที่ยวกับผมใช่มั้ยครับ พวกเราทั้งหมดมีด้วยกัน  4 คนเขา คนแรก เพื่อน ๆ ก็รู้จักกันแล้วนะครับ ส่วนคนที่สองนี้ ถึงอายุจะมากหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นเพื่อนทีดีคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จักเลยทีเดียว วันนี้เขาทำหน้าที่เป็นคนขับรถอยู่ เขามีชื่อว่า – เลโอลีโอครับ –  ส่วนคนสุดท้าย.......คราวนี้เป็นหนุ่มน้อยน่ามน ผิวขาว สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีน การแต่งตัวเรียบ ๆ ของเขาแบบนี้ มันทำให้เขาดูโดดเด่นยิ่งกว่าธรรมดามาก ช่วงนี้เขาเงียบขรึมขึ้นกว่าเดิมมาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ผมจึงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า
      “เฮ้ คุราปิก้า นายเป็นอะไรไปน่ะ ตั้งแต่ขับรถมาวันนี้ ไม่ค่อยพูดอะไรเลยนี่” ผมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เขาก็ยิ้มให้ผม และตอบผมเบา ๆ  ว่า
      “ไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่...นึกถึงเรื่องอื่นอยู่น่ะ” ด้วยคำตอบของเขาแบบนี้ ผมก็ไม่อยากจะไปกวนใจเขาอีกนั่นแหละ ผมเลยหยุดพูดอยู่แค่นั้น แต่ผมก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้อยู่ดี ผมมองดวงตาของเขา..... มันดูเศร้า ๆ ชอบกล...........

      เช้าวันรุ่งขึ้น แสงอาทิตย์อุ่น ๆ ฉายมาที่หน้าผม ผมตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย – เลโอลีโอ –  เพื่อนของผม มันคงเห็นผมตื่นแล้ว มันจึงพูดกับผมว่า
      “เฮ้ย จะถึงแล้วนา เตรียมตัวได้แล้วล่ะ yes yes เอาละเฟ้ย ตูจะได้ไปจีบหญิงซักกะที”
      “เฮ้อ......นายก็ระวังเหอะ มัวแต่หลงกับผู้หญิงอยู่อย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนเป็นจริงเป็นจังกับเค้าซะทีล่ะเนี่ยะ” ผมพูดอย่างหน่าย ๆ  แน่ล่ะ มันก็ไปเที่ยวหลีสาวอย่างนี้ไปเรื่อยแหละ ไม่เห็นมันได้ใครกลับมาซักคน
      “ครั้งนี้ได้แน่นอนเว้ย ชัวร์”
      “เออ ห้ายม้านจริงเตอะ............”
      เสียงที่ผมพูดกับเลโอลีโอมันทำให้เพื่อนของผมอีกทั้ง 2 คนตื่นขึ้นมา
      “ฮ้าวววววววววววววววว คิรัวนายตื่นเช้าจังนะ”  กอร์นพูดอย่างัวเงียเฉกเช่นเดียวกับคนที่เพิ่งตื่นนอน
      “ช่ายยยยยยย ทำไมตื่นเช้าจังล่ะ ปกติเห็นตื่นสายจะตายยยยยย” เสียงของคุราปิก้าเห็นด้วยกับกอร์น – เพื่อนตัวดีของผม -
      มันฟังดูกวนประสาทจริง ๆ .......‘ มันน่านัก’ ผมคิด
      “เออ นาน ๆ ที ชั้นก็อยากตื่นเช้ามั่งนี่” ผมตอบเสียงนั้นกลับไปอย่างหมั่นไส้นิด ๆ พร้อมกับขยี้หัวเขาเล่น ๆ
      “ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ไม่เอาน่า ไม่เอาน่า ฮะ ฮะ ฮะ”
      ผมกับคุราปิก้าหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
      ..............จนมีเสียงหนึ่งขัดขึ้น.............
      “แหม ๆ ๆ กัดกันยังกับเป็นคู่รักกันแน่ะ” เลโอลีโอพูดล้อเล่นกับผมและคุราปิก้า แต่ถึงเค้าจะพูดล้อเล่นกับผม ผมก็มีความสุขมากทีเดียว ผมอยากให้คำพูดของเขามันเป็นความจริงขึ้นมาทันที
      ............ทุกคนคงรู้แล้วใช่มั้ยครับ.........นี่แหละ......คนที่ผมรักแหละ.........แถมรักมานานแล้วด้วย..............
      .........................และวันนี้นี่แหละ......................ที่ผมตั้งใจจะสารภาพรักกับเค้าซักที.............
      “เฮ้ย แรงไปเปล่า เราเป็นแค่เพื่อนกันนะ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้แน่ ๆ” เสียงของคุราปิก้าแข็งชึ้นมาทันทีกับเลโอลีโอ
      หวังจะเอาเรื่องให้ได้ ที่ไปพูดแบบนั้น
      “เออ แฮะ ๆ ขอโทษ ชั้นล้อเล่นน่ะ” เลโอลีโอพูดขึ้นอย่างหวาด ๆ เมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงของคุราปิก้าที่ดูจริงจังเสียเหลือเกิน
      ...................ความสุขของผมนั้นมลายไปทันที...................
      ‘ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้แน่ ๆ เรอะ ...........  เฮ้อ  อาจจะเป็นงั้นก็ได้.....’
      “เฮ้ย เป็นไรไป” คุราปิก้าถามผมด้วยเสียงที่จริงจังมากกว่าเดิม
      “เอ่อ........คือ......ไม่มีอะไรหรอก” ผมไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามนั้นเท่าไหร่ จึงได้แต่ตอบว่า ไม่มีอะไร
      “ก็แล้วไป...”
      ผมรู้สึกว่า บรรยากาศในนี้มันอึดอัดขึ้นมาทันที...............
      เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด “เฮ้ย ถึงแล้วล่ะ ลงได้แล้ว” เสียงของเลโอลีโอดังขึ้นมาทำลายบรรบากาศของความอึดอัดนั่น
      “ไชโย !  ถึงซักที ลงกันเฮอะ คิรัว คุราปิก้า” กอร์นพูดด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
      “เออ” ผมกับเค้าพูดออกมาพร้อมกันแทบจะในทันที นั่นแหละ อาการประหม่าของผมและเค้าจึงลดลง
      หาดทรายสีขาวสะอาดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส ในยามเช้าเช่นนี้ ประกอบกับเป็นชนบท ผู้คนจึงไม่ค่อยหนาแน่นมากนัก ผมกับกอร์นกำลังนั่งถกกันเรื่อง ‘ จอมโจรเงามายา ‘  อย่างออกรสชาติ..........  อ้อ ไม่ต้องสงสัย เลโอลีโอเหรอครับ นู่นแล้ววววว  มันกำลังไปหลีสาวที่กำลังเล่นน้ำทะเลกันอยู่ ส่วนคุราปิก้า ก็ยังเหมือนเดิมครับ นอนอ่านหนังสือเงียบ ๆ ด้วยดวงที่เหม่อลอยเช่นเดิม เค้านอนอยู่ห่างจากผมกับกอร์นนิดหน่อย
      “ไอ้กลุ่มเนี้ย มันเก่งจริง ๆ นะ” ผมเริ่มพูด
      “ช่าย ไม่น่าเชื่อว่าวันนั้น เราจะหนีออกจากพวกมันได้ ต้องขอบใจคุราปิก้าด้วยหละ”
      “ช่าย ขอบใจนะ คุราปิก้า” ผมพูดจากใจจริง
      “ไม่เป็นไรหรอก” คุราปิก้าที่อยู่ห่างออกไปได้ยินที่พวกผมคุยกัน จึงตอบกลับมา
      ในวันนั้น............วันที่พวกผมกับกอร์นถูกพวกเงามายาจับไปเป็นตัวประกัน ถ้าไม่ได้เค้าเจรจากับพวกเงามายาและจัดการ
      แลกเปลี่ยนตัวประกันล่ะก็ มันคงไม่มีวันนี้แน่ .............. วันที่ผมตั้งใจจะสารภาพรักกับเค้า...................
      “เฮ้...เฮ้  คิรัว คิรัว” กอร์นตะโกนใส่ผมเสียงดัง จนกลุ่มคนข้าง ๆ ต่างหันมามอง
      “ห้า ! มีอะไรเหรอ” กอร์นทำให้ผมออกจากภวังค์อีกเช่นเคย
      “ยังจะถามว่าไม่มีอะไร ทำไมนายเงียบไปล่ะ” กอร์นถามผม ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง ผมจึงยิ้มแล้วตอบเค้าว่า
      “ไม่มีอะไรหรอก แค่นึกถึงเรื่องเก่า ๆ น่ะ”
      “นี่ คิรัว นี่นายเคยบอกชั้นไว้น่ะ นายตั้งใจจะฆ่ากลุ่มเงามายาทั้งหมดเลยเหรอ”
      “ใช่ และโดยเฉพาะเจ้าหัวหน้านั่น มันทำให้ชั้นเจ็บแสบมาก” ผมบอกกอร์นอย่างเคียดแค้น
      “ทำไมล่ะ เค้าไปทำอะไรให้นายจนนายคิดจนอยากจะฆ่าเค้าหละ” เพื่อนของผมถามด้วยความสงสัย
      “ชั้นจะบอกให้ก็ได้.....วันนั้น...ชั้นเห็น.....เห็น” ผมพูดไม่ค่อยจะออก
      “อะไรล่ะ ๆ “ เพื่อนของผมถามด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเขา มันทำให้ผมไม่กล้าพูดโกหกกับเขา
      “เห็น......เห็น.....มันบังคับคุราปิก้าให้จูบกับมันน่ะสิ”
      “หาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา” กอร์นพูดเสียงดัง จนเพื่อนของผมอีกคนหันมามอง
      “มีอะไรเรอะ” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย
      “ก็คิรัวน่ะสิ บอกว่านายโดนหัว.....อื้อ” ผมรีบยกมือเข้าไปปิดปากเพื่อนของผมทันที
      “แฮะ ๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่บอกว่านายเคยโดนหมากัดน่ะ”  ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าจะเอาอะไรเป็นข้ออ้างดี นอกจากหมาที่ผมเลี้ยงไว้ที่บ้าน (แต่ตอนหลังผมก็นึกขำอยู่เหมือนกันแหละ คิดไปได้ยังไงฟะ ! -_-“ )
      “เอ้อ นายมันบ้าป่าวน้า เรื่องแค่เนี้ย ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น ฮึ ๆ ๆ “ เขาหัวเราะออกมาหาอย่างอารมณ์ดีกับพวกผม แล้วหันกลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิมเช่นเคย ผมเริ่มหาเรื่องเพื่อนของผมทันที
      “นี่นาย ไปพูดหยั่งงั้นได้ไง หา ! “
      “ก็..ก็..ชั้นตกใจนี่...แล้วทำไมนายอยากจะฆ่าเค้าเลยเหรอ เค้าแค่..แค่...จูบกับคุราปิก้าเองนะ................อ๋อ...............รึว่า.......นาย..............รักคุราปิก้าใช่มั้ย !” ผมหน้าแดงทันที ‘ ทำไมหัวมันไวหยั่งงี้วะ ปกติออกจะบ้า ติงต๊อง ‘
      “ใช่มั้ย ! “ เพื่อนตัวดีของผมยังคะยั้ยคะยอให้พูด ผมยิ่งหน้าแดงเข้าไปอีก
      “ชะ...ใช่” ตอนนี้หน้าผมแทบจะเป็นลูกตำลึงสุกอยู่แล้ว
      “หาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา” เสียงของกอร์น – เพื่อนตัวดีของผม – ทำให้คุราปิก้าหันมามองพวกผมอีกครั้ง
      “พวกนายมีอะไรกันอีกหละ เสียงดังจนชาวบ้านชาวช่องหันมามองกันมองแล้ว” เค้าตำหนิพวกผมเบา ๆ
      “แฮะ ๆ  ขอโทษนะ พอดีชั้นเล่าเรื่องหน้าแตกให้มันฟังน่ะ แฮะ ๆ ๆ ใช่มั้ย กอร์น” ผมรีบหับไปค้อนที่เพื่อนของผมทันที
      “ชะ..ชะ..ใช่ แฮะ ๆ ๆ” เพื่อนตัวดีของผมจึงรีบตอบรับทันที
      “งั้นก็แล้วไป” คุราปิก้าหันกลับไปอ่านหนังสืออีกครั้ง (ผู้เขียน – มันอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนรึไงวะเนี่ย)
      หลังจากที่ผมและกอร์นพูดคุยกันไม่นาน เจ้าเลโอลีโอก็กลับมา มันชวนพวกเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารแถว ๆ ชายหาด
      ++++++++++++++++++++++++++
      ในร้านอาหาร
      “ขอสตูที่นึงครับ” ผมสั่งบริกรร้านนั้นทันทีที่เขามาจดรายการอาหาร
      “อ่ะ ชั้นเอาด้วย” เจ้าเพื่อนตัวดีของผมพูดขึ้นมาบ้าง
      “ผมเอาเบียร์ขวดนึงกับ...เอ่อ...ไก่ชุบแป้งทอดละกัน” บริกรจดรายการนั้นไปในใบรายการอาหารทันที
      “.......................”
      “..........................”
      “............”
      “แล้วคุณล่ะครับ” บริกรถามชายหนุ่มผิวชาวเนียน ที่นั่งดูรายการอาหารอยู่มานาน
      “เอ่อ...ขอโทษครับ...ขอสเต็กเนื้อสันละกัน” นั่นแหละ พอจบคำพูด บริกรผู้นั้นก็เดินกลับสั่งอาหารที่เค๊าเตอร์ให้ทันที
      .............................................................
      หลังจากที่พวกเราทั้งหมดนั่งทานอาหารกัน ก็ตกลงกันว่า จะแยกกันไป แล้วจะเจอกันอีกทีที่งานประจำปีที่จะจัดขึ้นในอำเภอคืนนี้
      “โอเคนะ ตกลงปะ”
      “อืม
      “ก็ได้”
      “อืม”
      ....................................................
      วันทั้งวันของพวกเราผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งใกล้จะถึงเวลาที่มีงานแล้ว ผมเดินเล่นอยู่ที่ชายหาด มองเห็นคุราปิก้านั่งอยู่บนโขดหินสูง จึงเดินเข้าไปเรียก
      “เฮ้ คุราปิก้าาาาาา” ผมเรียกเค้า แล้วปีนขึ้นไปอยู่บนโขดหินอันนั้น
      “มีอะไรเหรอ” ใบหน้าที่ถามผมนั้นดูเศร้า ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนว่าเค้าคิดอะไรอยู่ ??
      “ยังจะมาถามอีก งานประจำปีไง งานประจำปี” ผมท้วงขึ้น ผมว่าเขาลืมเสียแล้วที่บอกว่า พวกเราจะนัดกันไปเจอที่งานประจำปีคืนนี้
      “เออ...จริงสิ.....งั้น...นายไปก่อนแล้วกัน..แล้วบอกกอร์นกับเลโอลีโอด้วยว่า เดี๋วชั้นตามไป”
      “งั้น..ชั้นจะนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนนายแล้วกัน...” ผมพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ
      “อืม....ขอบใจ” เค้าพูดออกมาแค่นั้น.................

      .............ฟิ้ววววววววววววววววววววว.............
      ...............ซ่าาาาาาาาาาาาา..................
      .................ตุบ.......ตุบ..................
      ผมนั่งอยู่กับคุราปิก้าอยู่นาน เค้าไม่พูดอะไรเลย ผมจึงเริ่มพูดกับเค้าก่อน
      “นี่..นาย....เมื่อไหร่นายจะเลิกนั่งซึมกระทืออย่างนี้หะ ชั้นเบื่อนะ พูดอะไรหน่อยสิ”
      “..................................”
      “ก็........ไม่มีอะไรหรอก” ในที่สุด เขาก็ไม่ยอมพูดอยู่ดี ผมเลยปล่อยเค้าจมอยู่กับความคิดของเค้าไป ส่วนผม ก็ยังนั่งเป็นเพื่อนของเค้าต่อ
      ........................................
      ยามนี้ เวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงแล้ว ที่ผมมานั่งกับเค้า พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม สัตว์น้อยใหญ่เริ่มกลับเข้ารังของมันเอง เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ก้อนหินทั้งเล็กและใหญ่ยต่างโดนสายลมยามเย็นพัดจนกระทบกันเป็นเสียงครูดครากกับหาดทราย  
      ชายหนุ่มที่ผมนั่งด้วยเป็นเพื่อน ก็ยังนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม ผมสีเหลืองนวลของเขาส่องประกายกระทบกับแสงแดดยามเย็นดูระยิบระยับสวยงาม หลังจากที่ผมนั่งคิดทบทวนอยู่นาน ผมคิดว่า ‘ นี่แหละ เป็นเวลาที่เราควรจะสารภาพรักกับเค้าแล้ว ‘ ผมพยายามรวบรวมความกล้า แล้วเริ่มพูดกับเค้าอีกครั้ง
      “คุ...คุราปิก้า” ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก....... ไม่มีเสียงตอบกลับมา........ ผมคิดว่าเค้าคงไม่ได้ยินที่ผมพูดแน่ ๆ เพราะผมพูดเสียงเบาเหลือเกินด้วนความเขินอาย ผมจึงตัดสินใจเรียกเค้าอีกครั้ง
      “คุราปิก้า.......” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม ............  เค้าเริ่มมีปฏิกริยาตอบผมกลับมาบ้าง
      “หืม” เขาพูดกับผมโดยยังไม่หันมามองหน้าผม
      “เอ่อ.............คือ..........” ผมยังไม่กล้าพูดออกมาอยู่ดี ...........  แน่ล่ะ มันอายนี่นา
      “คืออะไร..” เขายังไม่หันมามองหน้าผมเหมือนเดิม ..............  ผมเริ่มรวบรวมความกล้าอีกครั้งและตะโกนบอกเขาด้วยเสียงอันดัง
      “ชั้น.....ชั้นรักนายคุราปิก้า !!” หน้าของผมแดงทันที เค้าก็เช่นกัน ทันที่ผมตะโกนบอกเค้าเช่นนั้น เค้ารีบหันมาที่ผมและเขย่าตัวผมทันที
      “อะไรนะ !  นายพูดว่าอะไรนะ !” ใบหน้าของเค้าตอนนี้มันเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก
      “ชั้น..ชั้นบอกว่า....ชั้นรักนาย.....” ผมพูดย้ำคำเดิมอีกครั้ง
      “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่” เค้าตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
      “ทำไมล่ะ ทำไม คุราปิก้า นายไม่เคยคิดอย่างนั้นกับชั้นบ้างเหรอ..”  สีหน้าของเขาเริ่มคลายความเครียดลงและบอกกับผมด้วยเสียงที่เบาบาง
      “ขอโทษนะ ฉันไม่ได้รักนาย ....... ฉันเห็นนายเป็นแค่เพื่อนน่ะ\"
      ผมช็อกไปในทันที............ความรักของผมต้องจบลงเท่านี้เหรอเนี่ย...............นี่เป็นรักแรกของผม................ทำไมต้องจบลงแบบนี้
      นะ........แต่..............ผมก็ยังไม่ยอมแพ้......ผมเลยลองถามเค้าอีกคำถาม...........
      “แล้ว.....แล้ว...นายรักใครล่ะ....บอกชั้นทีสิ....ชั้นจะได้ตัดใจ......”
      “ขั้น.....ชั้นรักคุโรโร่น่ะ......” เค้าพูดอย่างเขิน ๆ
      “นายพูดว่าอะไรนะ......ทำไม.....ก็...ก็...นายเกลียดมันไม่ใช่เหรอ..........วันนั้น...ชั้นยังเห็นเลย....นายโดนมันบังคับให้จูบกับมันใช่มั้ย.....”
      “ไม่ ตอนนั้น...ชั้น..สมยอมน่ะ...” ผมบอกได้เลยว่า ตอนนั้น สีหน้าของเค้าดูมีความสุขมากทีเดียว เค้าพูดกับผมต่อ
      “ตอนนั้น..ชั้นยังไม่แน่ใจน่ะ....ว่ารักเค้าหรือเปล่า...แต่พอโดนเค้าจูบ...ชั้นก็มั่นใจว่า......ชั้นรักเค้าแน่ ๆ  แต่ชั้นก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะสารภาพรักกับเค้าอย่างจริง ๆ จัง ๆ ............ชั้นกลุ้มใจมาตลอด........แต่พอนายมาบอกกับชั้นแบบนี้..........ชั้นก็เริ่มจะมั่นใจตัวเองขึ้นมาบ้างน่ะ......ขอบใจนะ....คิรัว” เค้าพูดอย่างยืดยาวและหันมายิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย .............  เขาเดินจากไป.............
      ..........มันก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ...........ก็เค้าเห็นผมเป็นแค่เพื่อนนี่เนอะ.........ตั้งแต่วันนั้น............ตอนนั้น..........ผมก็ไม่ได้พูดกับเค้าอีกเลย..............ผมมันโง่จริง ๆ สิเนอะ..........ทุกท่าน.............ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้....คำพูดนั้น...... ฉันเห็นนายเป็นแค่เพื่อนน่ะ.......ก็ยังดังก้องเข้าไปในโสตประสาทของผมเสมอมา............มันเจ็บปวดอย่างที่คุณคิดไม่ถึงซะด้วยหละ..........แต่ผมก็อยากจะบอกคุณว่า.............

      Never say goodbye if you still want to try,
      จงอย่าเอ่ยคำลาหากเรายังมีความพยายาม
      Never give up if you still feel you can go on,
      จงอย่ายอมแพ้ถ้าคิดว่ายังสู้ได้
      Never say you don’t love a person anymore if you can’t let go.
      จงอย่าพูดว่าเราหมดรักใครเมื่อยังไม่สามารถตัดใจได้จริง

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×