นายโทธูปดอกไม้บาน กับนายโทธูป ดอกไม้บาน - นายโทธูปดอกไม้บาน กับนายโทธูป ดอกไม้บาน นิยาย นายโทธูปดอกไม้บาน กับนายโทธูป ดอกไม้บาน : Dek-D.com - Writer

    นายโทธูปดอกไม้บาน กับนายโทธูป ดอกไม้บาน

    วันว่าง ๆ วันหนึ่งที่ไม่มีอะไรทำ ของนายโทธูป ดอกไม้บาน

    ผู้เข้าชมรวม

    598

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    598

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ก.ย. 46 / 19:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      นายโทธูป ดอกไม้บานกับนายโทธูป ดอกไม้บาน

      1

      ตอนนี้ ขณะนี้ ณ เวลานี้ 17.37 นาฬิกา 17 วินาที ขณะที่แมลงวันกำลังเงื้อปีกเตรียมกระพือพาร่างอัปลักษณ์ของมันแหวกมวลอากาศฝ่าลงไปใช้ปาก(หรือลิ้น?)ของมันแลบเลียคราบเนยบนโต๊ะที่ผมทำเลอะไว้เมื่อตอน บ่ายสี่ ตอนที่ผมกำลังตะกรุมตะกรามยัดอาหารลงปากไปยาความหิวไม่ให้เพริดไปทำร้ายกำลังวังชาของร่างกาย ขณะที่ลมไล้เล่นอยู่กับโมบายที่ผูกไว้เหนือบานหน้าต่างให้คลอนสั่นบรรเลงเพลงปลอดจังหวะเป็นเสียงกรุ้งกริ้ง ขณะที่เด็กผู้ชายอายุประมาณ9ขวบ10ขวบกำลังตะบันปั่นจักรยานคันสีขาวเรี่ยมอย่างเร่งรีบเหมือนกับมีสัตว์ประหลาดที่ส่วนหัวเป็นฮิปโปเพศผู้แต่ลำตัวเป็นฮิปโปเพศเมียกำลังกระเห(สระอีไม้โท)_ย_นกระหือรือไล่งับอยู่ด้านหลัง ขณะที่ดีเจวิทยุซักคลื่นกำลังเปล่งเสียงผ่านไมโครโฟนออกมาเป็นคลื่นส่งสัญญาณกระจายไปจนมีใครซักคนหมุนปุ่มมารับคลื่นไว้ทันท่วงที (ถ้าทันในเวลาที่คะเนไว้ดีเจสาวเสียงใสจนมองทะลุได้เหมือนแก้วคงกำลังขอให้คนฟังโทรเข้ามาตอบปัญหาแลกตั๋วหนังฟรีรอบบุพทัศน์-พรีวิว?) ขณะที่เหตุการณ์ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนั้นอุบัติขึ้นพร้อมกันในความคิดของผมขณะที่ตัวผมจริง ๆ กำลังนอนปลดน้ำหนักความเมื่อยล้าอยู่บนเตียงนอน เอามือก่ายหน้าผากตาเหม่อลอยไปจับฝ้าเพดานจนฝุ่นเกาะสายตา อีกไม่นานอาจมีแมงมุมหิวโซที่กำลังหาทำเลเหมาะ ๆ มาวางกับดักจับแมลงมาเลือกถ่ายใยเอาบริเวณที่สายตาผมทำมุมกับเพดานก็ได้ และผมว่าถ้าผมยังนอนกรานที่จะแช่สายตาของผมกับเพดานเตียนตานี้อีกซัก....(ผมว่าคงอีกนาน) แมงมุมตัวนี้คงดักแมลงกินอิ่มไปได้หลายมื้อ...

      น่าเบื่อ น่าเบื่อ น่าเบื่อ น่าเบื่อ!!! โอ้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าปิดเทอมคราวนี้จะน่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามันยังจะเป็นแรงผลักดันหลักที่เป็นเหตุต่อการบ่นพร่ำเพรื่อเพ้อพกวิประลาปไร้ความหมายในวังวนจิตใจอันสับสนปนเปไปกับเหตุการณ์ที่บันดลตนขึ้นในชีวิตปัจจุบัน มันอะไรกัน มันคือสิ่งใดกัน ผมกำลังเป็นบ้าตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบมัธยม ตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ตายเพราะเฉาตาย ตายเพราะเรื้อร้างความอาทรจากบุคคลรอบข้าง ตายเพราะ..... ไม่ไม่ไม่ ผมไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้น บ้านผมยังไม่แตก พ่อแม่ยังรักกันดีอยู่ ดูไม่มีวี่แววว่าจะวิบัติเหตุอุบาทว์อันใด ผมมันบ้าไปเองหลงไปเองแต่ทำไงได้ เมื่อสภาพแวดล้อมที่ผมประทังตัวอยู่มิให้โงนเงนล้มพลั่กลงไปมันชักจูงความคิดผมเหมือนเป็นวัวเป็นค_ว_า_ย_ไปปลงชีวิตในโรงงานฆ่าสัตว์ ใช่ ใช่ ผมกำลังถูกฌาปนกิจทางความคิด แต่ผมไม่ยอมที่จะถูกตอกตรึงให้ติดอยู่กับสภาวะทางอารมณ์นี้ตลอดไป ผมพยายามหาลู่ทางที่พอจะพาผมไปสู่วิธีระงับความฟุ้งซ่านที่คุกรุ่นอยู่ข้างในไม่ให้มันพรั่งพรายออกมาภายนอก ผมเลยลองหาอะไรมาฆาตกรรมเวลาเล่น (ผมเป็นฆาตกรเวลาตัวยงเลย ผู้พิทักษ์สันติกาลทั้งหลายตามจับตัวผมมาหลายหนแล้วแต่ผมก็รอดมาได้หวุดหวิดทุกครั้ง ไอ้เจ้าเวลาก็ใช่ย่อยมันถูกฆาตกรรมไปแล้ว เผลอ ๆ ดันทะลึ่งฟื้นคืนชีพมาหลอกหลอนผม มาทำให้ผมต้องพะวักพะวนกลัวไอ้เวลาจะตามมาตะครุบทัน พอคิดสู้ทำเป็นยึดหลักอหิงสาไม่สนใจมันหน่อยมันก็ใจเสาะตายไปซะแล้ว ถึงตายง่ายแต่ก็ฟื้นง่าย ผมว่าทั้งชีวิตผมคงจำนนทนอยู่กับไอ้เจ้าเวลาไปจนกว่าผมจะถูกเวลาฆาตกรรมเอาแทน-แต่ทีอย่างนี้ผมกลับไม่ฟื้นแฮะ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แต่ถึงผมฟื้นผมก็คงจะไม่ดีใจกับมันเท่าไรหรอก) ผมชักสายตาออกจากเพดาน (นี่ถ้าแมงมุมมันมาต่อโต๊ะอาหารยวงใยสีขาวของมันอยู่จริง ๆ แล้ว ตอนนี้มันคงร่วงผล็อยลงมากองตุ๊บอยู่ที่ปลายเตียงและผมคงทนไม่ได้ที่เห็นสัตว์เดรัจฉานแปดขานอนร่วมเตียงเดียวกับผม ผมเลยอภินันทนาการแขกผู้มาเยือนด้วยบาทกรรมถีบตกเตียงไปลงนอนแผ่หลาขาแข้งหักพิกลพิการเดินไม่ได้ แต่เผอิญที่ไม่มีแมงมุมดังที่จินตนาการเอาไว้ ผลบาปเลยไม่มีมาตกอยู่กับผม) เอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางนิ่งไว้ข้างตัวมารูดซิปเปิดดู แล้วมือขวาก็พลันถลันเข้าช่องกระเป๋าคีบเอาหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาในง่ามนิ้วมือ ตามองกราดไปมาบนปกหน้า หัวนึกกระหวนทวนทบเรื่องราวข้างใน กางออกแล้วสายตาก็ประจงหาที่ฝังตัว -อือ..อือ..ถ้าวัตถุมวล N มันถูกแรง W ผลักจะได้ว่า...- เห็นทีอิริยาบถที่ผมครองอยู่จะไม่สะดวกต่อการขบโจทย์ในหนังสือให้แตก ผมเลยพลิกตัวเอาหนังสือมาวางไว้ที่หัวเตียงมือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงซักพักโผล่ขึ้นมาพร้อมกับปากกาสีน้ำเงิน เสร็จแล้วก็เลื่อนสมาธิกลับมาที่หนังสือใหม่ ตาทำงานหาที่ว่างบนหน้ากระดาษไว้ทดกระบวนการคณิตกรรม -เออ..ที่เรียน ๆ ไว้เมื่อเช้ามันหนีหายไปไหนหมดว่ะ- อุตส่าห์ถ่อนั่งรถเมล์ไปรับวิทยาทานจากเทปวีดีทัศน์สอนหนังสือ ขากลับนั่งรถเมล์กลับมาเหมือนว่าที่ไปรับมามันคงจะลงคนละป้ายกับเรา ในหัวเลยอัดแน่นไปด้วยสุญตา เวรจริง ๆ อุตส่าห์ตัดสินใจเรียนล่วงหน้าตามเพื่อนก่อนเปิดเทอมแต่เห็นทีผลลัพธ์ของมันก็ออกมาเท่าเดิมคือศูนย์ เพื่อน.. เออใช่ผมก็มีเพื่อน เบื่อ ๆ ไม่มีไรทำก็ส่งเสียงสัญจรไปคุยกับพวกมันแบบที่ทำมาเสมอ ...เออเหนาะ...

      ภายในอนุสติเดียวกันผมผุดลุกขึ้นจากเตียง ปรี่เข้าไปฉวยหนังสืออนุสรณ์ สลัดตัวเองออกจากห้องนอนที่อึงอลไปด้วยความเงียบงันน่าเบื่อหน่าย กรากเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ โต๊ะวางโทรศัพท์ มือซ้ายแบหนังสือออกวางไว้บนตัก พลิกแผ่นกระดาษไปหน้ารวมชื่อผองเพื่อน มือขวาฉวยหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูตัวเอง ตาไล่กวาดขึ้นลงหารายชื่อคนที่ไม่ได้ส่งเสียงไปทักทายใน 3-4วันที่ผ่านมา ไล่ขึ้นไล่ลง –อือ...ไม่มีแหะ- จู่ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าผมโทรมันจนครบทั้งเล่มแล้ว ไม่มีเจ้าของชื่อคนไหนในรายชื่อที่โสตประสาทไม่ได้ปฏิสันถารเสียงผมเลยในช่วง3-4วันไม่แน่อาจจะทั้งอาทิตย์เลยก็ได้ เอาสิ ขนาดยกเพื่อนมาทั้งชั้นยังสยบความรู้สึกเบาโหวงในตัวผมไม่ได้ อะไรมันจะเลวร้ายปานนั้น นี่ผมต้องตรากตรำกล้ำกลืนเอาความเบาโหวงนี่เข้าไปผนวกเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายด้วยเหรอ มันเป็นส่วนผสมของความเปล่าเปลี่ยว ความเหงา ความเบื่อหน่าย มันทั้งหมดแทรกซึมชอนไชเข้าไปอยู่ในทุกอณูเซลล์ในร่างกายผม กัดกินเรี่ยวแรงกำลังใจสะสมของผมให้ร่อยร่อ

      ผม ผม นายโทธูป ดอกไม้บาน เป็นเด็กชายวัยพึ่งผ่านการไปปั้นหน้ายิ้มถ่ายรูปติดบัตรประชาชนใบแรกมาหมาด ๆ ไม่กี่เดือน ในขณะที่รอยยิ้มนั้นยังไม่แห้งดี ผมนายโทธูป ดอกไม้บาน คนเดิมกำลังถูกความโศกเศร้าเข้าตีกระหน่ำที่ภายในใจ ผมเบื่อ ผมเหงา ผมว้าเหว่ ผมบ้า ผมเศร้า ผมฟั่นเฟือน ผม ผม ก็แค่เด็กผู้ชายนักเรียนมัธยมปลายธรรมดา มีชีวิตธรรมดา อยู่ในครอบครัวธรรมดา เป็นลูกที่ดีเชื่อฟังพ่อแม่ไม่เคยไปเล่นยาหรือเล่นสาว ไม่ทำอะไรที่ผิดไปจากครรลองของวัยรุ่นธรรมดา ๆ มาตรฐานสแตนดาร์ดที่คนอื่นเขาก็ทำเป็นประจำ ตื่นมา ทานข้าว เล่นคอม เล่นเน็ท คุยกับเพื่อน สาย ๆ หน่อยก็ไปเรียนพิเศษ จะกี่วิชาก็ช่างเหอะ เรียนเสร็จก็อาจจะไปเที่ยวดูหนังต่อกับเพื่อนไม่ก็กลับบ้าน อาจมีงานบ้านทำบ้างไม่ทำบ้าง ซักผ้า ตากผ้า รีดผ้า เสร็จก็เล่นคอม เล่นเน็ท ไม่ก็โทรคุยกับใคร แต่ทำไม แต่ทำไม เหมือนกับว่ามีผมอยู่คนเดียวในบรรดาเพื่อน ๆ ที่ถูกคมแห่งความเวิ้งว่างในจิตใจแถกลากยาวเป็นแผลแสบแปลบปลาบ เหลือไว้เป็นเทหลักษณ์ทักใจผมให้ประหวัดนึกระทมถึงมันอยู่เนืองนิตย์ ทำไม ทำไมล่ะ ทำไมในเมื่อผมก็เป็นเด็กธรรมดาเหมือนคนอื่นๆ แล้วทำไมผมยังมีความรู้สึกว้าเหว่แบบนี้อยู่อีก

      ผมรู้สึกจำนนต่อทางเลือกที่จะพยายามพาตัวเองระเหิดจากสภาวะทางอารมณ์แบบนี้ ความจริงแล้วตอนก่อนผมจะกลับบ้านเพื่อนผมกลุ่มหนึ่งมันชวนผมไปดูหนังต่อ แต่เนื่องด้วยธนสมบัติอันฝืดเคืองในกระเป๋าสตางค์นั้นเป็นอกุปสรรคต่อการไปหรรษาภาพยนตร์ โดยที่ผมไม่อยากจะเกษียณธนบัตรสีแดงใบสุดท้ายซึ่งได้นอนจำศีลอิงแอบอยู่ในซอกหลืบมายาวนานจนจะเปรียบประหนึ่งสรณะทางไฟแนนซ์ออกไปใช้ในเหตุทั่วไปที่ไม่สลักสำคัญนัก ผมจึงต้องปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้นไปอย่างน่าเสียดาย และนี่ถ้าเป็นเวลาเย็นปกติผมจะนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงตาประสานเข้ากับภาพเคลื่อนไหวบนจอโทรทัศน์ นิ้วมือกดรีโมทไล่ช่องไปรายการต่าง ๆ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามแกนอารมณ์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ซ้ำซากแบบไม่น่าจดจำนัก ถ้าไม่ได้ดูโทรทัศน์ ผมก็คงเล่นเกมส์อยู่ในห้องแต่เผอิญคอมเกิดอุปัทวเหตุบางประการมันเลยหลุดออกจากตัวเลือกของกิจกรรมสังหารเวลาสำหรับผม และถ้านี่เป็นซักอาทิตย์ก่อนผมคงหาหนังสืออะไรซักเล่มมาถ่วงตัวเองให้จมลงดิ่งไปกับมัน แต่ล่าสุดบนชั้นวางไม่มีหนังสือเล่มใดที่ไม่ผ่านการรุกล้ำทางสายตา เช่นเดียวกับเทปและซีดีบนชั้นที่ไม่มีม้วนไหนแผ่นไหนที่ยังแปลกหูสำหรับผมอีก ที่เหลืออยู่เลยต้องมานั่งจ่อมอยู่ข้างโทรศัพท์

      มีเสียงล้อโลหะเบียดรางพร้อมเสียงล้อรถบดพื้นปูนเสียดแทงทะลุผ่านสสารอากาศเข้ามากระทบหูผมจากหน้าบ้าน คงเป็นรถแม่ ผมคิด พ่อคงไม่กลับเร็วอย่างนี้ ผมยกตัวออกจากเก้าอี้ วางหนังสืออนุสรณ์ไว้บนโต๊ะ เดินเอื่อย ๆ ตรงไปที่ประตูบ้าน มองผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเห็นแม่กับพี่ชายของผมถลกกระโปรงรถแล้วขนถุงซุปเปอร์มาร์เก็ตพะรุงพะรังออกมาวางกองไว้กับพื้น พออากาศถั่งเข้าท่วมกระโปรงรถแทนข้าวของที่ซื้อมา พี่ผมก็หุบกระโปรงรถให้ปิดสนิท แม่ผมมองดูกิริยาของพี่ก่อนสะบัดตัวหันเข้าบ้านแล้วก้าวขาพาร่างท้วมหน่อย ๆ ตรงเข้ามา พี่ชายผมโค้งก้มลำตัวไปใช้นิ้วมือแปดนิ้ว(ไม่นับหัวแม่มือ) กรีดเข้าลอดหูหิ้วถุงทั้งหมดแล้วรวบเข้าด้วยกัน ยกลำตัวขึ้นตั้งฉากกับพื้น(เกือบ ๆ จะตั้งฉาก)แล้วก้าวเดิน ผมเปิดประตูรับคนทั้งสองเข้ามาในบ้าน

      “น้องยังไม่มาเหรอ” แม่เดินเข้ามาตัวเปล่าไร้สัมภาระนอกจากกระเป๋าถือสีดำขลับ พอถามผมแล้วก็เดินหายแวบเข้าหัวมุมตรงเข้าครัว ส่วนพี่ชายผมเดินตามเข้ามาพร้อมกับพยุงถุงหลายถุง หันหน้าสบตาผมเชิงรู้กันแล้วปันถุงบางถุงให้ผมหิ้วตามเข้าไปในครัวด้วยพร้อมกัน

      “ยังเลย เห็นไปบ้านเพื่อน” ผมตอบเสียงเนือย ๆ แล้ววางถุงบางส่วนไว้กับโต๊ะตัวสีขาวกลางห้อง อีกมือพยายามปัดที่ใส่กระดาษทิชชู่สีน้ำเงิน(ว่างเปล่าไร้ทิชชู่)ที่ประจำการบนโต๊ะอยู่ก่อนออกไปไกล ๆ แล้วดึงมืออีกข้างที่ยังหิ้วของอยู่ขึ้นมาสละน้ำหนักทิ้งไว้บนโต๊ะ พี่ชายผมก็กระทำแบบเดียวกันกับกระเป๋าถือของแม่ที่วางไว้ ของในถุงส่งเสียงกุกกักเหมือนหวาดกลัวต่อการปะทะกับพื้นโต๊ะขณะที่กำลังวางมัน ผมไม่ทะยาทะแยแสอะไรมากนัก เสร็จจากโต๊ะผมเดินเข้าใกล้แม่ที่กำลังล้างมืออยู่ที่อ่าง

      “เหรอ เออ วันนี้แม่ซื้อปูมา จะผัดเป็นข้าวผัดให้กิน แล้วเดี๋ยวน้องจะกลับมากินข้าวเย็นไหมเนี่ย” ประโยคสุดท้ายแม่ถามโดยไม่หวังคำตอบด้วยที่คงทำนายไว้ในใจแล้วว่าอีกประเดี๋ยวน้องผมคงกลับมา เพราะนี่ก็เย็นแล้ว แม่หมุนมือปิดก๊อกน้ำ สะบัดมือเพื่อสะเด็ดน้ำ เสร็จแล้วหมุนตัวกลับมาปรารภกลับลูก ๆ ทั้งสอง “เดี๋ยวทั้งคู่ช่วยแม่แยกของหน่อยนะ เอาผักเอาเนื้อใส่ตู้เย็น แล้วโท แม่ซื้อทิชชู่มาแล้วเอาไปใส่ให้หน่อยสิ” ปลายนิ้วอวลเนื้อดัดเรียงตรงชี้ไปที่ที่ใส่กระดาษสีน้ำเงินบนโต๊ะสีขาว ก่อนที่ตัวเองจะหันกลับไปรื้อของออกจากถุงแล้วเอาถุงผักออกมาวางไว้ข้างอ่าง พี่ชายห่างกันสองปีของผมแยกของสดออกจากถุงแล้วนำไปแช่ตู้เย็น ส่วนผมดึงเอาแพ็กกระดาษทิชชู่ชุดใหญ่จากถุงขึ้นมาพินิจหาที่ฉีกเปลื้องพลาสติกห่อ ว่าแล้วก็ใช้ปลายเล็บจิกทึ้งออกอย่างไม่ยี่หระ แหวกปากแผลถุงหยิบมาม้วนหนึ่ง พับ ๆ บี้ ๆ ดึงแกนกลางออก แล้วดึงปลายกระดาษอ่อนสีขาวผ่อง ยืดแขนเอื้อมมือไปคว้าที่ใส่กระดาษทิชชู่มา ถอดก้นออก สวมกระดาษเข้าท้าย ดึงปลายให้เริดขึ้นออกมาจากรู เสียบก้นเข้าปิดท้ายแน่น วางลงบนโต๊ะเบา ๆ ลากเท้าพาร่างประกอบมือกุมแกนกระดาษสีน้ำตาลไปทิ้งถังขยะตรงมุมห้อง พอดีกับที่พี่ผมจัดการกับของใส่ตู้เย็นเสร็จ ผมเอาห่อใหญ่ที่เหลือไปยัดใส่ไว้ตู้เก็บเล็ก ๆ ใต้อ่าง พี่ผมเสร็จจากในครัวก็อันตรธานหาย มีเสียงประตูปิดดังแว่ว ๆ จากทางเดิน คงเข้าห้องไปแล้วผมว่า ผมเองก็กำลังจะออกไปพอดี เห็นแม่กำลังเตรียมอุปกรณ์ทำอาหาร แต่เสียงประโยคแซมปรัศนีรั้งผมไว้กับที่

      “เรียนเป็นไงวันนี้ ? โท” แม่ผมกำลังง่วนอยู่กับการล้างผักที่อ่าง

      “ก็ดี พอรู้เรื่อง”

      “เปิดเทอมไปจะจำได้ไหมที่เรียนมาน่ะ”

      “น่าจะนะ แม่ ไม่รู้สิ ไม่เคยเรียน”

      “นั่นสิ ไม่เคยเห็นเรียนเลยตอนปิดเทอมก่อน ๆ แล้วไม่เหนื่อยเหรอ หยุดแล้วต้องไปเรียนอีก”

      “ไม่ได้เรียนทั้งวันหนิ แม่”

      “อือ เหรอ ดีแล้วแหละขยัน ๆ อย่างนี้” เสียงน้ำไหลจากก๊อกกับเสียงแม่เหือดหายไป เสียงแรกร่อนหายไปเพราะหัวก๊อกถูกบิดปิดจนมิดเหลือเพียงแต่หยดน้ำกระทบอ่างเป็นเสียงแผ่วติ๋ง ติ๋ง ส่วนอีกเสียงหายไปเพราะขอดความกังขา ผมหยิบโอกาสข้างลำตัวแล้วฉวยพามันนิราศออกจากครัว เดินเฉื่อย ๆ ไปตามทางเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องพี่ แล้วเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป

      พี่ผมนอนอ่านหนังสือเล่มเขื่องอยู่บนเตียงเดี่ยววางชิดผนังห้องด้านในสุด ด้วยท่วงท่าที่สะดวกต่อการร่วงลงสู่ห้วงนิทรารมณ์ต่อเนื่องด้วยสุบินฌาน มือซ้ายช้อนท้ายทอยหนุนไว้ ใช้แรงข้อมือขวาเกร็งทรงตัวเล่มหนังสือไว้ในอุ้งมือสายตาเขม้นเพ่งมองราวว่าหนังสือเล่มที่อ่านอยู่เรี่ยราดไปด้วยอักขระตัวจิ๋วที่ผสมกันกลั่นกรองตรองถ้วนถี่โดยผู้เขียนก่อนจะมากลายเป็นคณะศัพท์ปริญญา ผมเดินหลบข้าวของเรี่ยราดกระจัดกระจายกองสุมตามพื้นห้องเข้าไปใช้ปลายนิ้วสะกิดตัวพี่บริเวณเอวใต้เสื้อยืดสีฟ้า “ได้ เบ็ค ‘ซี เชนจ์’ มายัง”

      “อยู่บนโต๊ะ หนังสือทับอยู่ เอาไปฟังก่อนสิ พี่ยังไม่ฟังเลย” พี่ตอบโดยไม่ละความสนใจจากหนังสือ มือข้างที่ว่างชี้ไปที่โต๊ะเขียนหนังสือติดผนังห้องด้านซ้ายมือผม ผมปราดเข้าไปค้นโต๊ะ เจอแผ่นซีดีที่ยังห่อพลาสติกวางไว้ใต้หนังสือนิตยสารเพลง ผมหยิบขึ้นมาเชยชม ปากขยับขับเปรยคำขอบคุณให้พี่ แล้วโจนออกจากจุดเดิม ผันผายหายตัวออกจากห้อง เชื่อมบานประตูเข้ากับห้องแนบแน่น เดินออกมาตามทางเดิน แสงแดดส่องผ่านกระจกสาดกระทบปกสะท้อนวับวาบเข้าตา ผมเงยหน้าขึ้นทัศนาภาวะแวดล้อมรอบตัวในเรือนบ้าน

      ตอนนี้ ขณะนี้ เวลานี้ แสงอาทิตย์สาดเข้ามาห่มเครื่องเรือนเปียกแดดเป็นสีส้มแกมแดงระเรื่อ ส่วนที่แห้งแดดคือส่วนที่เป็นเงาสีดำมนมืด ภาพองค์ประกอบภายในบ้านที่ฉายในจักษุประสาทผมตอนนี้แลเป็นมิติของสีส้ม แดง ดำ ผมผลัดเอาสมาธิออกจากปกซีดี และมัณฑนศิลป์ของแสงแดดไปวางไว้บนทิวทัศน์นอกหน้าต่าง บ้านเรือนนิวาสถานของเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีชมพู ทั้งหมดล้วนแต่ถูกสีแดดย้อมออกมาดูเป็นโทนเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่เหล่าต้นไม้ใบเขียวก็ถูกสีของแดดทาบทับลงไปด้วยเช่นกัน เสียงนกร้องแว่วคละเคล้ามากับเสียงยวดยานพาหนะบนท้องถนน ตัวนกอยู่ไหนไม่รู้ ไม่เห็นแม้แต่ปีกโผเผินบนท้องฟ้า ยินแต่เสียงแต่ไม่เห็นร่าง ชั่วขณะนั้นอารมณ์ผมเหมือนถูกกระชากเข้าสู่กระแสธารแห่งความโดดเดี่ยว รู้สึกราวว่าตัวเองลอยคออยู่ในกระแสน้ำกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่เวิ้งว้างหันไปทางไหนก็ปรากฏแต่เส้นขอบฟ้า จะผินหน้าหลบความว่างเปล่าไปทางใดก็หลบไม่พ้น มันทรมานเหลือเกินที่ต้องอยู่คนเดียวในที่ที่กว้างใหญ่ ณ มหาสมุทรที่ไม่มีการบรรจุลงในแผนที่ ที่นั้นไม่มีแม้นก ไม่มีแม้แต่เสียงขับขานของมัน

      ตอนนี้ เวลานี้ ขณะนี้ ผมนายโทธูป ดอกไม้บาน ยืนนิ่งอยู่ข้างโทรศัพท์ ยืนนิ่งอยู่ในบ้าน ยืนนิ่งให้แดดสาดแสงจนเปียกชุ่มไปด้วยสีส้มแดง เหมือนกับเครื่องเรือนข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เหมือนกับเหล่าประชากรหลังคา และราษฎรพฤกษาข้างนอก เหมือนกับอีกหลากสิ่งที่อยู่ใต้ฟ้าผืนนี้ ผมเปียกแดด ผมฉ่ำแดด ผมชุ่มแดด และผมกำลังเหงา...

      2

      น้ำหลั่งรดรินเทชะลงมาบนฝ่ามือของผม จานชามเบื้องหน้าเปรอะประคราบอาหารค้างเหลือ ผมหยิบฟองน้ำชดน้ำชุ่มแล้วประคิ่นขัดขูดถูรูดไปตามสัณฐานของภาชนะ ฟองน้ำยาล้างจานสีขาวพรั่งพรูฟูฟ่องเปื้อนติดตามมือ น้องสาวของผมยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังล้างช้อนส้อมสี่คู่ เสียงน้ำไหลลงจากก๊อกกระทบก้นอ่างดังซ่าซ่า นอกจากเสียงน้ำเราสองพี่น้องไม่ได้เอ่ยคำใด ๆ เพื่อพูดจา ผมกระหวัดกลัดเกี่ยวเหนี่ยวหน่วงท่วงทำนองของบทเพลงในซีดีแผ่นล่า สรรพเสียงสำเนียงหม่นเศร้าเคล้าเครือดังกังวานอื้ออึงในหูของผม เสียงดนตรีขับเห่กล่อมให้ผมพรากสัมปชัญญะออกจากตัว ผมฮัมเพลงอยู่ในลำคออย่างเงียบ ๆ ในใจไม่นึกระแวดระไวใด ๆ ต่ออุบัติเหตุใด ๆ

      “พี่โท ไปรับโทรศัพท์ที” ผมตระหนกตกใจกับเสียงของน้องสาว โดยที่หล่อนก็ไม่ได้สำรากขากถ้อยแผดกล้ากักขฬะใด ๆ กับผมเลย แต่ผมก็สะดุ้งเฮือก อุ้งมือข้างที่หนีบขอบจานไว้อยู่ก็พลางสะเดาะความมั่นคง จานลื่นเลื่อนหลุดลอยละลิ่วหล่นลงสู่พื้น จานข้าวขาวโผเข้าซบกับพื้นกระเบื้องคล้ายด้วยแรงถวิลหาปรารถนาจะกลับสู่คนรัก พื้นกระเบื้องแอ่นอกออกรับพร้อมจะรวบเข้ารัดกอด แรงปะทะระหว่างทั้ง2ช่างรุนแรงหนักหน่วง จานข้าวขาวร้าวแตกเป็นเสี่ยง เศษจานกระจายบนพื้นกระเบื้อง น้องสาวผมหวีดร้องเสียงสูงเฉียดเพดาน เสียงโทรศัพท์ดังขรม เสียงแม่กุลีกุจอวิ่งเข้ามาในครัว

      “ใครทำอะไร” แม่ฉายแววสีหน้าเลิ่กลั่ก พอเห็นผลงานของผมกองบนพื้นจึงผ่อนคลายอาการบนใบหน้า แล้วถามด้วยน้ำเสียงเจืออาทร

      “โดนบาดตรงไหนรึเปล่า” ผมส่ายหน้า “ดีแล้ว ไป ๆ เดี๋ยวแม่เก็บกวาดให้เอง”

      ผมเดินงุนงงออกจากครัว เหลียวหลังเห็นน้องสาวงกเงิ่นไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยให้แม่ เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่ ผมเร่งฝีเท้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินรีบเข้าฉวยหูก่อนปลายสายจะวางไป ในเบื้องลึกเจตสิกหวังให้เป็นสายของผมเอง สายของผมเถอะ ของผม ผมเบื่อ ผมอยากหาคนคุย คนสังสรรค์ ของผมนะ ผมคร่ำครวญอยู่คนเดียวในใจ หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาใช้หูอิงแนบฟังเสียงปลายสาย

      “ฮัลโหล”

      “เฮ้ย โทรมาได้ไง”

      “ก็กดเบอร์บ้านตัวเอง เห็นสายว่างอยู่เลยรอ นี่ก็รอตั้งนานกว่าจะรับ”

      “โทษที ๆ”

      “เราจะตายแล้วนะ วันนี้”

      “วันนี้เหรอ ?”

      “ใช่”

      “ทำไมถึง... ทำไมล่ะ?”

      “เราเบื่อ เราไม่อยากจะอยู่ ถามตัวนายเองสิ ตัวเรายังไม่เข้าใจการกระทำของนายเสียด้วยซ้ำ เราน่าจะเป็นคนถามว่าทำไมนายต้องทำให้เราฆ่าตัวตาย”

      “เราก็ไม่รู้ เราไม่แน่ใจว่าเราไม่รู้จริง ๆ หรือทำเป็นไม่รู้ เรารู้ว่าเราถูกกำหนดมาให้ตายโดยมีนายเป็นคนฆ่ามาตั้งแต่แรกแล้ว เราไม่รู้ว่าเมื่อไร ไม่นึกว่ามันจะเร็วอย่างนี้ ชีวิตไม่ใช่เกมนะ ไม่ใช่ว่าใครใช้หมดก่อนคนนั้นชนะ มันไม่ใช่แค่นั้นนะ”

      “เรารู้ เรารู้มากพอ ๆ กับที่นายรู้ เรารู้ด้วยว่าถึงอย่างไรนายก็ต้องยอมไปกับเรา”

      “มันเร็วเกินไป เร็วไปมาก คิดว่าชีวิตนี้ใช้ทุกอย่างคุ้มค่าแล้วเหรอ”

      “เราขาดทุนเสียมากกว่า”

      “คนที่จะฆ่าเราคือนาย เรารู้ว่าต้องเป็นนายแน่ ๆ แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงรีบร้อนนัก”

      “เราไม่อยากอยู่ต่อ มันอาจจะแค่นั้น หรือมากกว่านั้น ไม่รู้สิ นายแหละที่ลิดรอนชีวิตที่เราพึงมี”

      “คงจะจริง เรารู้ตัวดี บางทีความตายอาจจะดีที่สุด มันอาจจะดีที่สุดแล้ว เราสองคนเหมือนเป็นตัวแทนของบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะยิ่งใหญ่ หรือไร้ค่าเสียยิ่งกว่าเรา เราเป็นตัวแทน เป็นตัวละครแทนตัวของสิ่งนั้นๆ เราเป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับการรจนาขึ้นจากใครบางคนเพื่อมาเป็นแค่คำพรรณนายาวยืดที่มีคำพรรณนายาวยืดอื่น ๆ อีกต่อขบวนกันเป็นแถว ๆ เราเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยท่ามกลางสิ่งอื่นที่รายล้อมเรา ชีวิตของเราถูกลากไปตามเส้นปะล่องหนในอากาศ ไปตามยถากรรม ไปตามทางลิขิต ให้เราต้องมาตายตอนนี้ อายุเท่านี้ เราสองคนไม่มีทางที่จะแหกกฎของมันพ้น เราถูกกำหนดให้กระทำสิ่งนี้ เราสองคนต้องตายในวันนี้”

      “คงใช่ ตามที่นายพูด ถามจริงเถอะนายเคยรักเราจริง ๆ บ้างไหม”

      “เราเองก็อยากถาม ถ้านายรักเราจริงนายคงไม่ทำอย่างนี้”
      “ถ้านายรักเราจริงนายคงไม่ทำกับเราแบบนี้ ถ้าเราเป็นตัวละครอะไรนั่นจริง เราคงเป็นตัวละครที่กำลังเล่นบทที่แสนจะน่าเบื่อและถูกนำมากล่าวถึงเพียงชั่วกระผีกเศษเสี้ยววินาที ก่อนที่ทั้งโลกจะหันไปสนใจกับสิ่งอื่น เราสองคนจะโผล่มาอีกทีก็เมื่อตอนตาย”

      “มองโลกในแง่ร้ายจัง”

      “ก็เหมือนกับตัวนายเองแหละ แล้ววันนี้ตกลงจะตายอย่างไรดี?”

      “สุดที่นายจะปรารถนาแหละ นายเป็นคนจบเรื่องราว”

      “นั่นสิ ตอนดึกพอทุกคนเข้านอน เราจะไปด้วยกัน เราจะทำให้ทุกคนตื่นตะลึงกับการตายของเราในตอนเช้า เราจะทำให้พวกเขานึกฉงนกับสาเหตุของการตายครั้งนี้ ทำไมเราสองคนถึงตาย”

      “พวกเขาอาจเคยคิดว่านายจะต้องฆ่าเราแน่ ๆ บางทีพวกเขาอาจจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เราทำ”

      “แต่พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมเราถึงทำ”

      “แต่ก่อนเราเคยคิดว่าตัวเองจมน้ำอยู่กลางทะเลกว้าง ไม่มีใครเลยนอกจากเรา และเราก็เคยเฝ้าหวังขอให้โลกแบน”

      “น้ำจะได้พัดให้เราตกขอบโลก ไปสู่อวกาศที่แห้งผาก ทั้งชีวิตเราเปียกปอนกันมามากพอแล้ว”

      “ตกลงเราจะไปด้วยกันอย่างไร?”

      “คงเป็นวิธีสบาย ๆ เราไม่อยากทรมาน เราอยากไปอย่างสงบ ไม่ทุรนทุรายก่อนไป”

      3

      ตอนนี้ ขณะนี้ ณ เวลานี้ 19.48 นาฬิกา 18 วินาที ผมนายโทธูป ดอกไม้บาน กำลังนอนขบปัญหาในหัวอยู่ให้แตกแหลกระหุย ผมนอนอยู่บนเตียงตัวเดิมกับเมื่อตอนเย็น สายตาเหม่อมองฝ้าเพดานจนฝุ่นเข้าเกาะพูนหนาขึ้นตามสายตา มือสองวางประสานไว้หนุนหัว ขาทั้งสองวางราบไปตามแนวเดียวกับเตียง ในสองใบหูมีหูฟังฝังตัวแนบแน่นอยู่ในรูหูกำลังรินเทเสียงเพลงดนตรีอันอ้างว้าง หลอดไฟนีออนบนเพดานส่องแสงสว่างวับวามเข้าโอบคลุมทั้งห้อง พัดลมที่ข้างเตียงหมุนใบพัดติ้ว ๆ ลมเย็นระเรื่อยเลื้อยเข้ารัดพัดผ่านเข้าตามตัว เหลือเพียงผมกับบทเพลงที่กำลังสื่อสารกัน ปัญหาที่ขบไม่แตก พี่ชายผมเดินเปิดประตูเข้ามาหาในห้อง

      พี่ชายผมสะกิดที่แขนของผม ปากของเขาขยับแต่ผมไม่ได้ยินเพราะเสียงเพลงในรูหูก้องกลบเสียงอื่น ๆ ภายนอก ผมถอนหูฟังออกจากหู แล้วมองหน้าพี่ พี่ผมพูดซ้ำประโยค “ฟังเสร็จยัง พี่จะฟังแล้ว” ผมพยักหน้า ดึงสายหูฟังที่ต่อกับเครื่องเล่นซีดีซึ่งวางไว้บนเตียงข้างลำตัว กดปุ่มหยุดเล่น แล้วเปิดฝานำแผ่นซีดีออกจากตัวเครื่องส่งให้พี่ พี่ผมกางมือออกแล้วจับที่ขอบแผ่น

      “แล้วกล่องล่ะ ?”

      “เออ ตรงนี้” ผมชี้ไปที่หัวเตียง ที่ ๆ ผมวางกล่องซีดีไว้อยู่ พี่เห็นก็เอื้อมไปหยิบกล่องแล้วค่อยเดินออกจากห้อง ก่อนจะไปพี่ผมหันกลับมาอีกที

      “เออ คอมใช้ได้แล้วนะ เมื่อกี้ยังลองเล่นเน็ทอยู่เลย จะใช้ไหมเปิดอยู่”

      “ไม่ล่ะ”

      “เหรอ เมื่อกี้ทำจานแตกเหรอ ได้ยินเสียงน้องมันร้อง”

      “อือ”

      “ตกใจหมดนั่งเล่นเน็ทอยู่เงียบ ๆ จู่ ๆ เสียงมันกรี๊ดดังขึ้นมาเฉย ๆ เสียงมันดังกว่าจานแตกอีก” พี่ผมส่ายหัวเชิงระอาเอือมแล้วก็คลาไคลไปจากห้อง

      ตอนนี้เหลือแค่ผม กับปัญหาที่ผมขบไม่แตก ผมเหม่อมองขึ้นไปบนเพดาน มองไล่ไปตามเพดาน จนไปหยุดอยู่ที่มุมห้อง ที่ตรงนั้นมีหยากไย่ใยแมงมุมถักทอเป็นรูปร่างลวดลายแปลกตา สานต่อกันราวกับเป็นหมู่ดาวพร่างพรายละลานตา บนหมู่ดาวสุกสกาวมีแมงมุมอยู่ตัวหนึ่งกำลังค่อย ๆ คืบคลานไปหาเหยื่อของมัน ผมเพ่งมองไปที่ ๆ สิ่งมีชีวิตอื่นติดตรึงอยู่กับใยขาวขุ่น ตรงนั้นผมเห็นแมลงวันอัปลักษณ์อับโชคอยู่ตัวหนึ่ง มันนิ่งมากดูไม่ดิ้นรนที่จะขัดขืนต่อสู้ต่อโชคชะตา ผมไม่แน่ใจว่ามันตายแล้วหรือยัง ผมไม่ค่อยอยากเชื่อว่าแมลงวันจะบินไปตกหลุมพรางกับดักของแมงมุม ไม่น่าเชื่อ แมลงวันที่สามารถหลบหลีกการฆาตกรรมมนุษย์ได้อย่างช่ำช่อง ไม่น่าจะมาตายเพราะแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมแมลงวันตัวนี้ถึงซุ่มซ่ามบินมาติดได้ ทำไมนะ ผมล่ะสงสัย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×