พ่อกูบ่หนีญญ๋าย พายจแจ๋ - พ่อกูบ่หนีญญ๋าย พายจแจ๋ นิยาย พ่อกูบ่หนีญญ๋าย พายจแจ๋ : Dek-D.com - Writer

    พ่อกูบ่หนีญญ๋าย พายจแจ๋

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่ายศึกขุนสามชนจริงหรือ ?? จริงได้อย่างไร ในเมื่อเขา \"ไม่ได้รบกัน\"

    ผู้เข้าชมรวม

    2,166

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    2.16K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 มิ.ย. 46 / 22:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เมื่อสมัยผู้เขียนกำลังศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ ๕ นั้น ผู้เขียนได้เรียนเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทย สมัยสุโขทัย ครูได้ยกตัวอย่างข้อความในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่ว่า
                 “…ฃุนสามชนเจ๋าเมืองฉอดมาท่เมืองตากพ่กูไปรบฃุนสามชนหววซ๋ายฃุนสามชนขบบมาหววฃวาฃุนสามชนเกลื่อนเฃ๋าไพ่รฝ๋าหน๋าใสพ่กูหนีญญ่ายพายจแจ (กู) บ่หนีกูขี่ช๋างเบกพลกูขบบเฃ๋าก่อนพ่อกูกูฏ่(ช๋า)งด๋วยขุนสามชนตนกูพู่งช๋างฃุนสามชนตววชื่มาสเมืองแพ่ฃุนสามชนพ่ายหนีพ่กูจี่งฃื๋นชื่กูชื่พระรามคํแหง…”
                 แล้วครูก็ถามว่า “คิดว่ากองทัพสองกองนี้พบกันหรือไม่” ด้วยความคิดเป็นเด็ก ๆ ว่า ทัพนึงไปซ้าย ทัพนึงมาขวา มันก็ต้องไม่เจอกัน แต่ปรากฏว่าครูเฉลยว่าที่ว่าซ้ายคือซ้ายของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ที่ว่าขวานั้นคือขวาของขุนสามชน ดังนั้นทัพทั้งสองจึงปะทะกัน พ่อขุนศรีอินทราทิตย์แพ้ จนลูกชายต้องมาแก้หน้า
                 เมื่อฟังดูก็ยังงง ๆ อยู่ว่าทำไมลูกถึงกล้าประจานพ่อไว้ในศิลาถึงเพียงนั้น ไม่เห็นสมกันกับที่เขากล่าวว่าการจดบันทึกนั้นเขาจดกันแต่เรื่องดี ๆ ส่วนเรื่องไม่ดีเขาไม่จดกันหรอก การที่ลูกกล้ากล่าวถึงการไร้ความสามารถของพ่อขนาดนี้ ก็คงไม่ใช่คนดีเสียแล้ว
                 ปมสำคัญไม่ได้อยู่ที่พ่อขุนรามคำแหงจะอกตัญญูต่อพ่อหรือไม่ แต่อยู่ที่ “คำและการตีความ” ต่างหาก การตีความว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พ่ายต่อขุนสามชนนั้น เป็นการตีความของยอร์ซ เซเดส์ ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส จะตีความผิดหรือถูกก็ต้องพิเคราะห์กันก่อนจึงจะเชื่อ เพราะยอร์ซ เซเดส์ไม่ใช่คนไทย อาจตีความโดยใช้แนวคิดของภาษาฝรั่งเศสก็เป็นได้ ดังนั้น เรามาตีความกันในฐานะคนไทยมองภาษาไทยกันดีกว่า
                 ประโยคที่ว่า “…พ่กูไปรบฃุนสามชนหววซ๋ายฃุนสามชนขบบมาหววฃวา…”  เราต้องมานึกกันก่อนว่า “กู” ในที่นี้คือใคร ซึ่งก็คือพ่อขุนรามคำแหงนั่นเอง และในภาษาไทยที่คนไทยพูดกัน เวลาเราบอกทิศทางเราจะบอกโดยใช้ตัวเราเป็นหลัก ดังนั้น “หววซ๋าย…หววฃวา” จึงน่าจะเป็นทางซ้ายหรือทางขวาของพ่อขุนรามเอง (แต่ยอร์ซ เซเดส์ บอกว่า ซ้าย คือ ซ้ายของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ส่วนขวา คือ ขวาของขุนสามชน ซึ่งขัดกับหลักภาษาไทย เราต้องไม่ลืมว่าพ่อขุนรามเป็นคนไทย ย่อมพูดตามแบบของภาษาไทย ไม่ใช่ภาษายอร์ซ เซเดส์)
                 ดังนั้น เมื่อ “…พ่กูไปรบฃุนสามชนหววซ๋ายฃุนสามชนขบบมาหววฃวา…” ก็แสดงว่าพ่อขุนศรี อินทราทิตย์ ดำเนินทัพไปเบื้องซ้ายแห่งพ่อขุนรามคำแหง ส่วนขุนสามชนดำเนินทัพมาทางเบื้องขวาแห่งพ่อขุนรามคำแหง ก็ในเมื่อทัพทั้งสองทัพ “ไปมา” กันคนละทางเช่นนี้เอง จึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “นายทัพทั้งสองทัพ ไม่ได้ปะทะศึกกันเลย”
                 หากมีใครคิดจะแย้งเรื่อง “หววซ๋ายหววขวา” ว่าไม่น่าจะเป็นอย่างที่ผู้เขียนสันนิษฐาน (เชื่อฝรั่งมากกว่าว่างั้นเหอะ) ก็ลองไปดูคำ “ไป…มา” ดูก็ได้ เพราะบอกว่า “…พ่กูไปซ๋าย ฃุนสามชนมาฃวา…” ถ้าเราจะยึดเอาตามฝรั่งจริง ๆ ก็มีคำถามว่าแล้วทำไมจึงไม่ใช้ว่า “พ่อกูไปซ้าย ขุนสามชนไปขวา” บ้างล่ะทั้ง ๆ ที่ถ้าเราถามขุนสามชนแล้ว ขุนสามชนจะต้องบอกว่า “กูไปรบ ไม่ใช่กูมารบ” เป็นแน่ คำ “ไปมา” นี้จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องช่วยยืนยันว่าการบอกทิศทางนั้น เป็นการบอกทิศทางโดยยึดที่ตัวพ่อขุนรามคำแหง ไม่ได้ยึดที่ “บุคคลผู้ถูกกล่าวถึง” อย่างที่ยอร์ซ เซเดส์ ตีความเอาไว้
                 ประการต่อมาที่ช่วยยืนยันอีกครั้งว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไม่ได้รบกับขนสามชน” คือประโยคที่ว่า “…(กู) บ่หนีกูขี่ช๋างเบกพลกูขบบเฃ๋าก่อนพ่อกู…” ประโยคก็บอกอยู่แล้วว่า “กูขับเข้าก่อนพ่อกู” นี่ก็แสดงว่า “พ่อกูขับตามหลังกูมา”
                 เพราะอะไรน่ะหรือ ?
                 ก็เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เดินทัพไปทางซ้าย ในขณะที่ขุนสามชนมาทางขวา แม่ทัพทั้งสองไม่ได้ปะทะกันเลย ส่วนพ่อขุนรามคำแหงคงคุมทัพอยู่ตรงกลาง (กองหลัง) เมื่อทัพของขุนสามชนเกลื่อนเข้ามาทางขวา ทัพปีกขวาของ “พ่อไทย” ทั้งสองถอยร่นลงมาไม่เป็นกระบวน พ่อขุนรามคำแหงเห็นดังนั้น จึงรีบขับช้างเข้าปะทะกับขุนสามชน พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งไปทางซ้าย เมื่อเห็นดังนั้น ก็รีบขับช้างกลับมายังทางขวา แน่นอน…ต้องเป็นการตามหลังพ่อขุนรามคำแหง ดังนั้น เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมีชัยเหนือขุนสามชน พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงยกย่องชมเชยบุตรชายผู้มีอายุได้เพียง “สิบเก้าเฃ้า” (๑๙ ข้าว หมายถึง ๑๙ ปี) โดยขึ้นชื่อว่า “พระรามคำแหง”
                 ดังที่ได้อธิบายมานี้ เราจึงสามารถสรุปได้ว่าการที่เราเชื่อการตีความของ ยอร์ซ เซเดส์ นั้นไม่น่าจะเหมาะสมนัก เพราะผู้ตีความไม่ใช่คนไทย ย่อมไม่เข้าใจ “การใช้ภาษาไทย” ได้ดีไปกว่าคนไทยด้วยกันเอง และการที่คนไทยเชื่อฝรั่งมากเกินไปจนไม่รู้จักไตร่ตรองนี้เอง ก็ทำให้เราเข้าใจอะไรผิด ๆ กันตลอดมาในระยะเวลาหลายสิบปี เมื่อมีใครคิดจะแก้ความเข้าใจผิดนั้น ก็มักต้องประสบภัย “ต่อต้าน” จากคนไทยหัวฝรั่งทุกทีไป
                 ส่วนที่มีผู้รู้ระดับ “ดอกเตอร์” คนหนึ่ง ชื่อ “ดอกเตอร์พ.” (นามสมมติ) อาจารย์ของมหาวิทยาลัยระดับ “กะทิ” ของไทยแห่งหนึ่ง กล่าวถึงหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ โดยสรุปง่ายๆ ว่า “รัชกาลที่ ๔ ปลอมขึ้นมาเอง” นั้น ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะ เรื่องปลอมจารึกนี้ผู้เขียนเห็นว่า หากจารึกที่เราเห็นเป็นของปลอม คนปลอมก็คงเป็นฝรั่งที่ยุ่มย่ามกับจารึกหลักนี้มากกว่าใคร ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่ใครอื่นเลย และของจริงอยู่ที่ไหนก็น่าจะเดากันได้


      สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
      ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×