เหลือไว้เพียงความทรงจำ - เหลือไว้เพียงความทรงจำ นิยาย เหลือไว้เพียงความทรงจำ : Dek-D.com - Writer

    เหลือไว้เพียงความทรงจำ

    โดย PeNaPaNa

    มิตรภาพของความเป็นเพื่อนต้องจบลง...อย่างไม่มีวันหวนคืน

    ผู้เข้าชมรวม

    580

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    580

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 พ.ย. 47 / 17:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ฤดูหนาวของปีได้เริ่มขึ้นแล้ว….ในร้านกาแฟที่มีผู้คนมากมายกำลังนั่งคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวจับใจ หลายๆคนนั่งจิบกาแฟอุ่นๆเพื่อคลายหนาว บ้างก็กำลังคุยกับเพื่อนๆที่ตัวเองรักอย่างที่อาจจะลืมไปเลยก็ได้ว่า เสียงของพวกเธอนั้น ดังรบกวนคนอื่นเค้าแค่ไหน แต่ที่โต๊ะตัวหนึ่งที่มุมร้านกาแฟ ซึ่งอาจจะไม่เรียกว่ามุมที่สงบนัก แต่ใจของหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นกลับสงบและไร้ความรู้สึกยิ่งกว่าอากาศที่หนาวอยู่ตอนนี้เลยก็ว่าได้
                   “ฟิวส์จ๋า ตอนนี้ฟิวส์อยู่ไหน ฟิวส์สบายดีมั้ย แล้วฟิวส์อยู่ที่นู่นมีความสุขรึเปล่า” เน  นั่งรำพึงกับตัวเอง ด้วยใบหน้าที่แสนจะหม่นหมอง
                  “ฟิวส์รู้มั้ย  เนคิดถึงฟิวส์มากแค่ไหน  ตั้งแต่วันที่ฟิวส์จากเนไป  ไม่มีวันไหนเลย  ที่เนมีความสุข”
                  เนเริ่มรู้สึกถึงน้ำใสๆในตาที่เริ่มไหลรินจากสองแก้ม แต่เธอไม่สนใจ และไม่รู้สึกแคร์ใครต่อใครที่กำลังมองเธออยู่เลย เนมักจะมานั่งที่ร้านกาแฟร้านนี้บ่อยๆ เพราะความรู้สึกที่คิดถึงฟิวส์...... เนเลยอยากมานั่งร้านโปรดของเค้า ร้านที่ฟิวส์มักจะมานั่ง  ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เนที่จะได้มานั่งเป็นเพื่อนฟิวส์.... แต่เนก็ไม่เคยรู้สึกน้อยใจเลยกับสิ่งนี้
                  เนสั่งนมร้อนมา1แก้ว  นมร้อนที่ฟิวส์ต้องสั่งทุกครั้งที่มาร้านนี้ เนได้แค่นั่งมองดูแก้วนมร้อนแต่ไม่ได้ดื่มมันเลยซักนิด เพราะเนไม่ชอบนมร้อน  แค่จะสั่งมาเพื่อฟิวส์....  ให้ฟิวส์ได้รับรู้บ้างว่า เนยังคงคิดถึงและรอคอยฟิวส์อยู่เสมอ แต่ก็คงไม่มีอีกแล้ว สำหรับการรอคอย.......


                  “แป้ง แป้งว่าเพื่อนใหม่จะเป็นไงกันบ้างอะ จะน่าเรียนด้วยมั้ยนะ” เน สาวน้อยวัย 13 กำลังคุยกะเพื่อนรักของเธอ ในวันแรกของการเปิดเรียน ที่เธอ2คนจะต้องเจอกับห้องใหม่ โรงเรียนใหม่ และเพื่อนใหม่
                  “แป้งว่าน่าจะไม่ยากนะ โดยเฉพาะเน เนเข้ากับคนอื่นง่ายจะตาย จริงมั้ย” แป้งทำสายตาล้อเลียนเพื่อน เพราะรู้ว่าเนมักจะเป็นที่รักของใครต่อใครอยู่แล้ว ด้วยนิสัยที่มีน้ำใจ และเข้ากับคนง่ายมากๆ
                  “รีบไปกันเหอะ เดี๋ยวจะสายซะตั้งแต่วันแรกนะ” แป้งพูดจบ พร้อมกับดึงแขนเน ให้รีบเข้าห้องเรียนได้แล้ว

                 “กริ๊งงงงงงๆๆๆ” เสียงออดหมดเวลาคาบโฮมรูมคาบแรก
                 “เห็นมั้ย แป้งบอกแล้ว มีแต่เพื่อนเก่าๆทั้งนั้น น่าเรียนออก เนว่ามั้ย”
                 “อืม จิงด้วย อย่างนี้ชีวิตมัธยมของพวกเราได้มันส์กันแน่” เนกับแป้งหัวเราะหยอกล้อกันอย่างร่าเริง โดยที่ไม่รู้เลยว่าในอีกไม่ช้า
      สิ่งที่เนเคยคาดฝันไว้ จะไม่ได้สวยงามอย่างที่ฝันเลย.......
                 “หวัดดีคร้าบบบบ” เสียงใสๆของเพื่อนร่วมห้องคนนึง แทรกเข้ามาในกลุ่มของสาวๆที่มีแป้งกับเน และเพื่อนๆเก่านั่งคุยกันอยู่ อย่างสนิทสนม
                 “เราชื่อฟิวส์นะ สวัดดีทุกคนที่เรายังไม่รู้จักด้วยนะ”
                 “อืม หวัดดี เราชื่อเน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” เสียงใสๆของเนแนะนำตัวกับฟิวส์อย่างสดใสพร้อมรอยยิ้ม
                 “ มานั่งด้วยกันมั้ย จะได้รู้จักกันมากขึ้นไง” เนชวนฟิวส์ เข้ามานั่งคุยด้วยกัน
                 “อืม ดีเลย”
                 การสนทนาในวันนั้นยาวนานใช่ย่อย ด้วยความที่เนเป็นคนคุยเก่ง บวกกับความที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เลยทำให้เพื่อนๆหลายคนชอบที่จะฟังเนพูด
                 การใช้ชีวิตในโรงเรียนใหม่ของเนและแป้งเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน


                  “ว่าไปเนี่ย เร็วเหมือนกันนะ เผลอแป๊บเดียวพวกเราก็ม.3กันแล้ว” แป้งพูดขึ้น ในวันเปิดเรียนชั้นม.3วันแรกของพวกเธอ
               “นั้นสิ เร็วมากเลยนะ  เฮ้อ! พวกเราก็แก่ขึ้นทุกทีๆแล้วนะเนี่ย  5555” เนทำท่าคนแก่ถือไม้เท้าหลังงอๆล้อเลียนแป้ง
               “หวัดดีจ้า ฟิวส์” เนกล่าวทักทายฟิวส์ ก่อนที่ฟิวส์จะก้าวขาเข้าห้องซะอีก
               “ อืม หวัดดีทุกๆคนด้วยนะ” ฟิวส์ ทักทายเพื่อนๆในวันแรกของการเปิดเรียน
               “ฟิวส์ เนไม่เข้าใจที่อาจารย์สอนเลยอะ งงๆ ไงไม่รู้”
               “ ฟิวส์ว่าแล้ว ว่าเนต้องไม่เข้าใจ” ฟิวส์ทำท่าสงสัยล้อเลียนเน
               “ เดี๋ยวเหอะ ถือว่าตัวเองเก่ง แล้วมาว่าเค้า” เนทำท่างอน หันหน้าหนีฟิวส์
               “ โอ๋ๆ เราแกล้งแซวเล่นเฉยๆ อย่าโกรธเราเลยนะ นะ นะ นะ “
               “ ถ้าแซวเราอีกนะ เราจะไม่เล่นด้วยแล้ว “
               “ จ้า จ้าๆ เราไม่แซวแล้ว มาๆฟิวส์จะสอนให้”
                  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มพัฒนาขึ้น จากเพื่อน กลายเป็นเพื่อนสนิท ( จะว่าไปเนก็ไม่แน่ใจนักหรอก ว่าฟิวส์จะคิดแบบนี้มั้ย)  เวลาเรียนทั้ง2คนก็มักจะนั่งข้างกัน  เวลามีงานกลุ่ม  ฟิวส์กับเนก็มักจะอยู่กลุ่มเดียวกันเสมอ ด้วยความที่ฟิวส์   เป็นผู้ชายที่เข้ากับผู้หญิงง่าย  สาเหตุคงมาจากที่ฟิวส์ เป็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนนึงเลยก็ว่าได้ แถมด้วยความเก่ง และฐานะดีมาก ใครๆก็มักจะสนใจฟิวส์  เรียกว่า ถ้าไล่ดูแล้วเนี่ย มีสาวๆมาชอบตั้งแต่ม.1ยัน  ม.6เลยก็ว่าได้นะ  และด้วยความที่เนเป็นผู้หญิงที่เข้ากับเพื่อนผู้ชายได้ง่ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  บวกกับความห้าว และกล้าพูดกล้าคิดของเธอ  ทำให้ทั้ง2คนสนิทกันอย่างรวดเร็ว  ทั้ง2คนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ กลางคืนฟิวส์ก็มักจะโทรหาเน  เรียกว่าแทบจะทุกคืนเลยก็ว่าได้  ถึงแม้ว่าใครต่อใครมักจะแซวว่าทั้งคู่กำลังคบกัน แต่ทั้งเนและฟิวส์ก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น ยังคงคบกันแบบเพื่อนสนิทเรื่อยมา
               “ นี่ฟิวส์ ถ้าวันนึงเนเกิดชอบฟิวส์ขึ้นมาจริงๆ ฟิวส์จะว่าไงอ่ะ”
               “ โอ๊ย! ไม่มีทางแน่นอน ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา เพื่อนเค้าไม่ชอบเพื่อนกันเองหรอก จริงมั้ย ถามอะไรแปลกๆไปได้เน แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ รับรองเราไม่ชอบเนตอบแน่นอน เพราะว่าเนออกจะเป็นหญิงแกร่งซะขนาดนี้ ใครจะกล้าเอาทำแฟนเนี่ย555555555”
               “ เดี๋ยวเหอะ มาว่าเราอีก”
                 ด้วยความที่ฟิวส์ไม่คิดอะไรกับเนเกินเพื่อนจริงๆ ทำให้คำตอบที่ฟิวส์พูดนั้น ก็ทำให้เนรู้สึกเสียใจได้ไม่น้อย  เพราะถึงตอนนี้  เนเองก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่าตัวเองรู้สึกกับฟิวส์แค่เพื่อนจริงรึเปล่า

                 แต่แล้ววันเวลาและ “ความใกล้ชิด” ก็ได้ทำให้หัวใจดวงน้อยๆของเนเริ่มหวั่นไหวกับความรู้สึกดีๆที่ฟิวส์มีให้ และนั่นเองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น และจุดจบความเป็นเพื่อนของทั้ง2ลง

                 เนเริ่มไม่กล้าที่จะสบตาฟิวส์เวลาคุยกัน ไม่กล้าว่าไม่กล้าด่าฟิวส์เหมือนเก่า  จนทำให้ฟิวส์เองสงสัยกับการกระทำของเน
               “เนเป็นอะไรรึเปล่า   ช่วงนี้ดูแปลกๆไปนะ  อืม เสาร์นี้ไปดูหนังกันมั้ย  เห็นเนว่าอยากดูเรื่องนี้ไม่ใช่หรอ เราไปดูกันนะ”
               “เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก” “แล้ววันเสาร์นี้เราก็ไม่ว่างด้วย พอดีมีธุระกับแม่หน่ะ ขอโทษด้วย เอาไว้วันหลังละกันนะ”
               “ อืม ไม่เป็นไร วันหลังก็วันหลัง”ฟิวส์ทำท่างงๆกับท่าทีของเน ก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนไป

               “นี่ๆเน เราถามจริงเหอะ เนชอบฟิวส์เข้าจริงๆใช่ป่าว” เพื่อนในกลุ่มคนนึงพูดโพล่งขึ้น ในขณะที่พวกเธอกำลังนั่งคุยกันช่วงพักเที่ยง
               “จะบ้ารึไง เพื่อนกันจ้า ไม่ได้ชอบจิงๆนะ” เนตอบเพื่อนๆที่กำลังนั่งลุ้นคำตอบของเนอยู่ โดยที่เนไม่กล้าที่จะสบตาเพื่อนซักคนด้วยความอาย
               “ จิงหรอ อะ อะ เชื่อก็เชื่อจ้า” ยายนัทผู้ที่ยิงคำถามใส่เนเข้าเต็มเปา ทำหน้าจิงจัง  เหมือนจะเชื่อ แต่ก็หันไปหัวเราะร่าใส่เพื่อนๆที่คิดเหมือนยายนัท แต่ไม่มีใครกล้าถาม
                 ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เนกับเพื่อนคุยกันเรื่องนี้อยู่นั้น ฟิวส์จะยืนอยู่ข้างหลังเน และได้ยินทุกอย่าง ทำให้ฟิวส์คงเข้าใจอะไรบางอย่าง เพราะที่เนตอบไปนั้น ท่าทางแล้วไม่ได้ตรงกับใจตัวเองเลย

                  จากวันนั้น ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยน ฟิวส์เริ่มที่จะทำตัวออกห่างจากเน ไม่โทรหา หนีหน้าเน เหมือนมีบางอย่างค้างคาใจอยู่
                  แต่เนก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปถาม และถึงจะกล้า ก็คงไม่มีโอกาส เพราะฟิวส์ไม่เปิดโอกาสให้เนเข้าไปคุยด้วยเลย

               “แป้ง ฟิวส์ไม่คุยกับเราเลย เค้าโกรธอะไรเนรึเปล่า   เนยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ  หรือว่าเนทำแต่เนไม่รู้”
               “ไม่น่าจะโกรธอะไรนะ เพราะเนก็รู้นี่ว่า ฟิวส์เป็นคนมีเหตุผล ถ้าโกรธเนจริงๆนะ ฟิวส์ก็ต้องเข้ามาคุยให้รู้เรื่องอยู่แล้ว ไม่ทำแบบนี้หรอก”แป้งพยายามพูดให้เนใจเย็นๆ เพราะเห็นสีหน้าของเพื่อนไม่สู้ดีนัก
               “แล้วมันเพราะอะไรหล่ะแป้ง หรือว่าๆ” ยังไม่ทันพูดจบ เนก็วิ่งออกไปจากห้อง โดยที่แป้งเองก็ไม่รู้ว่าเนจะไปไหน
      ที่สนามบาส  เนมองหาเพื่อนสนิทของฟิวส์   “ตั้ม” นักกีฬาโรงเรียนที่สาวๆมักจะกรี๊ดกันไม่แพ้ฟิวส์เลย
               “ตั้ม เราคุยด้วยหน่อยได้มั้ย” เนเดินเข้าไปกลางสนาม โดยที่ไม่ได้สนใจสายตาใครต่อใครที่กำลังจับจ้องไปที่ตั้มอยู่เลย
              “ได้สิ  มีอะไรหรอ “ ทั้ง2เดินไปคุยกันข้างสนามบาส ท่าทางของเนไม่สบายใจนัก
              “ ตั้มรู้ใช่มั้ย ว่าตอนนี้ฟิวส์พยายามหลบหน้าเน”
      ตั้มยังไม่ทันได้ตอบอะไร เนก็พูดขึ้นมาว่า “ฟิวส์รู้แล้วใช่มั้ย ว่าตอนนี้เนรู้สึกยังไงกับฟิวส์ ฟิวส์ถึงเป็นแบบนี้”  น้ำตาของเนเริ่มไหล แต่เธอก็เช็ดมัน แล้วกลั้นน้ำตาเพื่อจะรอฟังคำตอบ
               “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะเน เอ่อ คือว่า” ยังไม่ทันที่ตั้มจะพูดจบ เนก็เงยหน้าพูดต่อ
                     “ อืม เนเข้าใจ เนไม่เป็นอะไรหรอก ตั้มไม่ต้องห่วงนะ ขอบใจมากนะ “ เนค่อยๆหันหลังให้ตั้ม ก่อนที่จะเดินจากไป

                  ทั้งคู่เริ่มที่จะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ฟิวส์เองก็ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนไม่มีเนอยู่ในห้องเรียนนี้อีกแล้ว ส่วนเนเอง ก็ไม่สดใสเหมือนแต่ก่อน ถึงแม้ว่าบางครั้งเนจะดูสดใสมากต่อหน้าเพื่อนๆ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เนฝืนทำ เพื่อไม่ให้เพื่อนต้องเป็นห่วง
               “นี่ พวกเราได้ข่าวอะไรมั้ย ว่าฟิวส์หน่ะ ชอบยัยนาวอยู่นะตอนนี้   เฮ้อ! เพื่อนเราก็นะ ชอบเป็นพวกสมภารกินไก่วัดไปได้นะ ชอบเพื่อนกันเองให้ห้องเนี่ย”
                   เนเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
              “เน แป้งมีอะไรจะบอกหน่ะ แต่ก่อนที่แป้งจะพูด แป้งขอให้เนทำใจดีๆ แล้วก็เข้มแข็งไว้นะ” แป้งเอามือของ    เนมากุมไว้ ก่อนจะเอ่ยปากบอกเพื่อน
               “เรื่องฟิวส์หน่ะ ฟิวส์เค้าชอบนาวจิงๆ” แป้งเอามือจับที่ไหล่เพื่อนแล้วตบเบาๆ “เนไม่เป็นไรนะ เข้มแข็งไว้ เชื่อแป้งนะ”
                  หลังจากที่แป้งพูดจบ เนเงียบไปซักพัก ก่อนน้ำตาจะไหลลงอาบ2แก้มอย่างที่ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งเงียบร้องไห้กับตัวเอง ที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น  เธอได้ยินแค่เพียงคำว่า “ ฟิวส์ชอบนาว ฟิวส์ชอบนาว” แค่นั้นจริงๆที่เธอได้ยินก้องอยู่ใจหัวตอนนี้
      แป้งปล่อยให้เพื่อนร้องไห้อยู่นาน โดยไม่ได้พูดอะไร เพราะเธอรู้ว่าถึงจะพูดอะไรไปตอนนี้ ก็คงไม่ได้ช่วยให้เนดีขึ้นแน่นอน  
               “ เราไม่เป็นอะไรแล้ว ไปกันเถอะแป้ง เดี๋ยวเพื่อนๆจะรอนาน” เนเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนจะเช็ดน้ำตาพร้อมกับสูดหายใจเข้าและพยายามทำให้ตัวเองดูปกติที่สุด เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เนจะต้องไปเจอฟิวส์ และนาวพร้อมกับเพื่อนๆที่รอเธออยู่ที่ร้านกาแฟร้านประจำของพวกเรา
               “ เข้มแข็งไว้นะเน” แป้งเอามือเนมาจับแล้วลูบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจเพื่อน
               “  อืม ไม่ต้องห่วง เนหน่ะเก่งอยู่แล้ว จริงมั้ย”  เนฝืนยิ้มให้แป้ง เพราะรู้ว่าแป้งห่วงเนมาก ส่วนแป้งเอง ก็มั่นใจว่าที่เนทำนั้น เนต้องฝืนแค่ไหน
                 ณ ก้าวแรกที่ก้าวเข้าร้าน เนมองเห็นฟิวส์นั่งอยู่ข้างๆนาว ดูท่าทางสนิทสนม สายตาของฟิวส์ที่มองนาวดูมีความสุขมาก  เพราะก็นานมากแล้วที่เนไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้ของฟิวส์
      เนกำลังพูดกับตัวเองก่อนจะเดินถึงโต๊ะว่า “ไม่เป็นไร  เราต้องไม่เป็นอะไร   ก็ดีแล้วนี่นาที่เป็นแบบนี้”
               “ ทำไมมาช้าจัง” เสียงเพื่อนๆที่นั่งรอทั้งคู่อยู่นานพากันทำท่างอนใส่
               “โทษทีจ้า” แป้งตอบเพื่อนๆด้วยสีหน้าฝืนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด
               “มาๆ นั่งลงๆ สั่งอะไรดีหล่ะ” เพื่อนๆยังมีท่าทางปกติ เพราะไม่รู้เลยว่า ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับเนบ้าง
               “อ้าว ยัยเน ทำไมเงียบจังเลยหล่ะ  เอ้อ! แล้วทำไมตาแดงๆ เป็นอะไรรึเปล่า” ยัยนัทตัวแสบมองหน้าเน ก่อนจะยิงคำถามเป็นชุด
                  เนไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนๆยังไง แต่ในขณะที่เนกำลังคิดจะพูดยังไงนั้น เนรู้สึกว่าฟิวส์กำลังมองเนอยู่ด้วยท่าทีเป็นห่วง
               “อ๋อ พอดีฝุ่นเข้าตาเนอ่ะ เลยร้องไห้ตาแดงเลย” แป้งพยายามหาเหตุผลบอกเพื่อนๆ เพราะรู้ว่ายังไงๆเนก็คงพูดอะไรไม่ออกแน่ๆ แล้วหันไปถามเน “จริงมั้ยเน”
               “อืม ใช่ๆฝุ่นเข้าตาหน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เนพยายามกัดฟันพูด เพื่อไม่ให้เพื่อนสงสัย ทั้งๆที่เธออยากจะร้องไห้ออกมาเหลือเกิน กับเหตุการณ์นี้

               “แป้ง เนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เนคิดอะไรไม่ออกเลย เนจะทำยังไงดี…. เนไม่อยากอยู่ต่อแล้ว เนอยากตาย! เนอยากตาย!” หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน เนร้องไห้อยู่นานหลายชั่วโมง จนเธอเองก็แทบจะไม่มีแรงแล้ว แต่ก็มีแป้งนี่แหละ ที่ทนฟังเธอร้องไห้ ทนฟังเธอระบายทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไม่โทษเธอเลยซักนิด
               “เน  เนต้องอยู่ให้ได้นะ อยู่เพื่อทุกคน เพื่อตัวเนเอง” แป้งพยายามเตือนสติเพื่อนด้วยความรู้สึกที่เสียใจไม่น้อยไปกว่าเนเลย
                 เนเงียบอยู่นาน....... แป้งได้ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ดูจะแผ่วเบาเหลือเกินของเพื่อน
               “ เนขอบคุณแป้งมากนะ ที่ทนฟังเนพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ ขอบคุณมากจริงๆ”
              “ไม่เห็นจะต้องขอบคุณเลย ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา จริงมั้ย”
              “ งั้นแค่นี้ก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เช้าเจอกันที่โรงเรียน”
               “ อืม เนก็ต้องรีบนอนนะ อย่าคิดมาก ที่สำคัญห้ามทำร้ายตัวเองด้วย ฝันดีนะจ๊ะ บ้าย บาย”
      หลังจากเนวางโทรศัพท์ เธอก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้แต่เพียงว่า “เหนื่อยเหลือเกิน” สำหรับค่ำคืนที่แสนจะเลวร้ายคืนนี้
                   เช้าแล้ว..... เนบอกตัวเองว่าไม่อยากไปโรงเรียนเลย เพราะเธอไม่เข้มแข็งพอที่จะไปเจอหน้าใครต่อใคร โดยเฉพาะฟิวส์และนาว ถึงใครๆจะมองว่าเนเป็นผู้หญิงเก่ง  และเข้มแข็งมาก แต่จริงๆแล้วเธอในใจเธอกลับอ่อนแอจนไม่สามารถเยียวยาได้เลย  เธอไม่กล้าที่จะไปเห็นเค้า2คนคุยกัน หยอกล้อกัน  มันคงเร็วเกินไป.... เกินที่เธอจะตั้งตัวให้ยอมรับความจริงได้  เนจะบอกตัวเองเสมอว่า  ฟิวส์ไม่ผิดที่รักนาว เพราะฟิวส์มีสิทธิ์ที่จะรัก
      นาวไม่ผิดที่ทำให้เนต้องเป็นแบบนี้ เพราะนาวไม่ใช่คนที่ทำให้เกิดเรื่อง แต่คนที่ผิดก็คือเนเอง.......

                    จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้เนไม่สดใสร่าเริงเหมือนเก่า เนดูอ่อนแอลงทุกที ไม่ค่อยกินข้าว ไม่ค่อยพูดค่อยจา เหมือนไม่อยากที่จะอยู่ต่อไปแล้ว.........
                   ถึงแม้ว่าฟิวส์กับนาวจะยังไม่ได้คบกัน  แต่เนก็ไม่เคยจะคิดไปตามง้องอนขอร้องให้ฟิวส์มารักเธอเลย เพราะเนมั่นใจว่ายังไงก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจฟิวส์ได้  ทำได้แค่เพียงมองดูเค้า2คนอยู่ห่างๆ  ได้เห็นรอยยิ้มของฟิวส์เวลาที่อยู่กับนาว   เห็นว่าฟิวส์มีความสุข   เนก็รู้สึกที่ความสุขไปด้วย   แต่วันไหนที่ฟิวส์เสียใจ เนอยากจะบอกฟิวส์เหลือเกินว่าเนรู้สึกเสียใจยิ่งกว่า...  อยากจะเดินเข้าไปคุยด้วย แต่ก็ไม่กล้า
      อยากจะให้เรา2คนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่ก็คงไม่มีทาง............

                   วันนี้แล้วสินะ ที่พวกเราจะต้องจากกัน วันที่พวกเราจบม.3กันแล้ว ต่อไปม.4ใครจะไปอยู่โรงเรียนไหน   ห้องไหนก็ยังไม่มีใครแน่ใจ  บางทีเนอาจจะไม่ได้เจอฟิวส์อีกเลยก็ได้......
                       คืนนี้เนแค่อยากจะพูดบางอย่างกับฟิวส์ ให้มันจบซะที ไม่อยากให้มีเรื่องคาใจแบบนี้
                       แต่ฟิวส์กลับพยายามหลบหน้าเนทั้งคืนในงานเลี้ยงวันจบ ไม่ให้โอกาสเพื่อนเก่าคนนี้ได้พูดบ้างเลย…
                        ขอแค่ทนฟังเธอซักนิด แค่2-3นาทีก็พอ แล้วเธอจะไม่ขอมารบกวนเค้าอีกเลย แต่ก็.......ไม่มี
                                                 “ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ”
                    จากคืนนั้น คืนที่ทุกอย่างที่เนตั้งใจจบลง ช่วงปิดเทอม2เดือนกว่า ที่เนไม่ได้เห็นหน้าฟิวส์เลย รูปซักใบก็ไม่มีไม่มีเวลาไหน วินาทีไหนเลย  ที่เนไม่คิดถึงฟิวส์ เธอร้องไห้แทบทุกคืนกับความผิดหวังนี้ เพราะเธอไม่เคยคิดจริงๆว่าสิ่งที่เธอตั้งใจและพยายามมานี้จะมีจุดจบที่ร้ายแรงมากมายเหลือเกิน เธอเสียทั้งเพื่อนที่เคยรักเธอ และเพื่อนที่เธอรัก เสียดายความเข้มแข็งที่เคยมี  แต่วันนี้ มันหมดลง... เสียดายเวลาที่เคยมีร่วมกันกับฟิวส์  ที่มันน่าจะมีต่อไป และตลอดไป “ถ้าเธอไม่ก้าวข้ามเขตแดนความเป็นเพื่อนไป” เธอก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจอยู่แบบนี้........
                      แต่ถึงแม้ว่าเนจะยังคงคิดถึงและรักฟิวส์แค่ไหน แต่เนก็พยายามบอกตัวเองให้ “ ลืม” ลืมฟิวส์ออกไปจากใจซะ ถึงแม้ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ต้องทน ต้องทำให้ได้เพื่อตัวเอง  ไม่อยากทำร้ายให้ใจตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว

                     ช่วงเวลาที่ปิดเทอมแค่เพียง2เดือน แต่ความรู้สึกของเนนั้น มันเหมือนซัก10-20ปีเลยก็ว่าได้ เพราะกว่าเธอจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน แต่ละนาที ก็ยากเย็นเหลือเกิน........ ภาพของฟิวส์ที่กำลังหยอกล้อกับนาว ยังคอยตามทำร้ายเนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  แต่มันก็ถือเป็นสิ่งดีที่ช่วยให้เธอคิดได้บ้างว่าต้อง “ลืม” และยอมรับความจริง........

                  วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของชั้นม.4 แป้งและเนยังเรียนต่อที่โรงเรียนเดิม พร้อมๆกับเพื่อนๆหลายคน    เนและแป้งถูกจัดให้อยู่ห้องเดียวกัน ทั้งคู่ต่างดีใจ ที่ไม่ต้องแยกจากกันไปไหน  เพื่อนๆห้องเก่าหลายคนก็ถูกจัดให้เรียนห้องเดียวกันกับแป้งและเน
                  แต่...ไม่มีชื่อของฟิวส์ ฟิวส์ได้เรียนห้องที่มีแต่นักเรียนเก่งๆ เพราะฟิวส์เป็นคนเรียนเก่ง เนเองก็ไม่แปลกใจที่ฟิวส์ได้จัดให้เรียนห้องนั้น   มีแต่ความเสียใจและปวดใจที่เห็นชื่อของนาวได้จัดให้เรียนห้องเดียวกับฟิวส์ เพราะนาวเองก็เรียนหนังสือเก่งไม่แพ้ฟิวส์เลย  “ก็สมควรแล้วนี่”

                   เช้าวันนี้เป็นวันที่เริ่มเรียนวันแรก  เมื่อเริ่มเรียนคาบแรก เนเองไม่ได้สนใจอะไรที่อาจารย์พูดเลย  เพราะเมื่อนั่งลงยังเก้าอี้หลังห้อง บริเวณเดิมๆที่เธอเคยนั่งเรียนตอนม.ต้น เธอมองไปรอบๆห้องพร้อมน้ำตา เพราะรู้สึกไม่ชินนักที่วันนี้และต่อไปอีก3ปี จะไม่มีฟิวส์เรียนห้องเดียวกันอีกแล้ว.......ไม่มีวันไหนจะได้นั่งเรียนข้างกัน ไม่มีวันไหนได้ทำงานกลุ่มเดียวกันและไม่มีวันไหนที่จะได้นั่งมองแค่เพียงแผ่นหลังของฟิวส์ก็ทำให้เนยิ้มได้อีกแล้ว ...
                  นี่คงเป็นด่านทดสอบด่านแรก  ที่เธอจะต้องผ่านไปให้ได้   เพราะยังคงมีอุปสรรคอีกมากมายที่จะรอทดสอบเธอให้ “ลืม”ฟิวส์ในวันข้างหน้า

                   ช่วงแรกๆของการเปิดภาคเรียน เนยังปรับตัวไม่ได้เลยจริงๆกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เธอไม่พร้อมที่จะมีใครเข้ามาในชีวิต เพื่อนใหม่ที่เข้ามา ถ้าไม่จำเป็น เธอก็จะไม่เข้าไปทัก ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยของเนเลย เ พราะเนเข้ากับคนง่าย คุยเก่ง อัธยาศัยดีมาก และรักเพื่อนฝูง แต่ ณ เวลานี้ไม่มีเงาของเนคนเดิมอีกเลย......

                       และวันที่เนไม่เคยคิดว่าจะมีก็มาถึง วันที่ฟิวส์เข้ามาคุยกับเน ถึงแม้ว่าคำพูดคำแรกสำหรับการเริ่มต้นใหม่นี้จะไม่ได้ซึ้งกินใจนัก แต่เนก็ไม่เคยลืมมันเลย
                 “ อ้าว เนเองก็เรียนพิเศษวิชานี้ด้วยหรอ เราไม่ยักรู้” ฟิวส์พูดขึ้นในที่เรียนพิเศษ ที่เนเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าฟิวส์เรียนพิเศษวิชานี้ด้วย และถ้าเนรู้คงตัดสินใจไม่มาเรียนแน่นอน เพราะเธอไม่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นครั้งนี้ และไม่คิดเลยว่า ฟิวส์จะทักเธอ
                 “ อืม” “เนก็ไม่คิดว่าฟิวส์จะมาเรียนด้วยเหมือนกัน” เนพยายามข่มใจตอบฟิวส์ไป เพราะจริงๆแล้ว เธออยากจะบอกเหลือเกินว่า “ขอร้องเถอะ อย่าเข้ามาในชีวิตเราตอนนี้เลย อย่าทำให้เราสับสนไปมากกว่านี้เลยนะ” เนไม่กล้าแม้จะมองหน้าฟิวส์   ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยายามข่มทั้งใจ   ข่มทั้งตาไม่ให้น้ำตาไหลออกมาในตอนนี้ เพราะเธอรู้สึกปวดใจเหลือเกิน ถึงแม้ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรดีใจ แต่สำหรับเนกลับทำให้ความตั้งใจที่เธอพยายามมาตั้งนานกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์อีกครั้ง เพราะแค่เพียงคำพูดไม่กี่คำของฟิวส์
                    เนพยายามหาคำพูดมาพูดกับฟิวส์ เพราะเนกลัวเหลือเกินว่า มันจะเป็นประโยคแรกและประโยคสุดท้ายที่เธอจะได้พูดกับฟิวส์
                 “ แล้วปิดเทอมเป็นยังไงบ้าง ไปเที่ยวมาสนุกมั้ย” เนพูดตะกุกตะกัก จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเนกำลังกลัวว่าฟิวส์จะไม่ตอบคำถามเธอ
                 “ ก็ดีนะ ไปเชียงใหม่มา อากาศกำลังดีเลย” ฟิวส์ตอบคำถามเนด้วยท่าทางที่ปกติมาก เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
               “ หรอ น่าอิจฉานะ เนไปทะเลมา น่าเบื่อมากเลย” เนพูดโกหกฟิวส์ออกไป  เพราะจริงๆแล้วปิดเทอมที่ผ่านมาเธอไม่ได้ไปไหนเลย  ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะชวนไปไหนต่อไหนก็ตาม เพราะเธอไม่มีแรงพอที่จะไปไหน ไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น
                   ในขณะที่เนกำลังจะพูดต่อ อาจารย์ก็เข้ามาสอนพอดี ทำให้ต่างคนต่างก็ต้องนั่งที่  วันแรกของการเรียนนี้ เนบอกได้เลยว่า เธอเรียนไม่รู้เรื่องเลย เพราะไม่ได้ฟังที่อาจารย์พูดซักนิด ได้แต่นั่งคิดถึงคำพูดที่ฟิวส์พูดกับเธอเมื้อกี้    แต่แค่นี้ก็ทำให้เธอมีความสุขมากไม่น้อยกว่าเรื่องไหนๆเลย
                   ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มดีขึ้น ทีละนิดทีละนิด เพราะจะมีโอกาสได้คุยกันบ้างก็เฉพาะที่เรียนพิเศษเท่านั้น ทุกครั้งที่คุยกัน เนไม่เคยกล้าที่จะสบตาฟิวส์เลย ทั้งๆที่ฟิวส์ก็เริ่มจะทำตัวเหมือนปกติ เหมือนตอนที่เราเคยสนิทกัน แต่เนก็ยังไม่กล้าพอที่จะทำตัวให้เป็นเหมือนเดิม
                “กริ๊ง... กริ๊งๆๆ” เสียงโทรศัพท์บ้านเนดังขึ้น เนต้องรีบรับ เพราะก็ถือว่าดึกมากแล้ว และคนอื่นๆในบ้านก็หลับกันหมดแล้วด้วย
                “ ฮัลโหล จะพูดกับใครคะ” เนถามด้วยเสียงที่ยังสดใส เพราะเธอยังอ่านหนังสืออยู่ ถึงจะดึกมากแล้ว
                “ เนพูดรึเปล่า นี่ฟิวส์นะ” เสียงของฟิวส์ถามอย่างสุภาพ ทำเอาเนเองถึงกับอึ้ง เพราะเธอคิดว่าตัวเองกำลังฝันซะอีก  แต่เสียงนี้.....ที่เนเคยได้ฟังบ่อยๆ  ยังไงก็ต้องเป็นเสียงของฟิวส์แน่นอนไม่ผิดแน่
                “ อืม เนเอง เอ่อ.....แล้วฟิวส์มีอะไรหรอ โทรมาซะดึกเชียว”
                “ ก็เปล่าหรอก อยากคุยด้วยเฉยๆหน่ะ เลยโทรมา ฟิวส์รู้ว่าเนยังไม่นอน”
                 คำพูดของฟิวส์ทำเอาเนถึงกับอึ้งไปนานอีกรอบ  เพราะไม่คิดเลยว่าจะมีคำนี้หลุดออกจากปากฟิวส์ได้ “อยากคุยด้วยเฉยๆหน่ะ เลยโทรมา” ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ก็เกือบจะทำบ่อน้ำตาเนแตกเอาซะง่ายๆ
                “ ทำไมหล่ะครับ.... ฟิวส์โทรมาไม่ได้รึไง หรือว่ากลัวแฟนตัวเองรู้ว่ามีผู้ชายโทรมาหา” ฟิวส์พูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจเล็กๆ
                “ ใครว่าหล่ะ  เนยังไม่ได้มีแฟนซะหน่อย ทำไมถึงจะต้องกลัวว่าจะมีใครรู้” เนพยายามพูดในสิ่งที่อยากพูด อย่างตรงไปตรงมาที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะต้องพยายามพูดดีเพื่อรักษาน้ำใจใคร
               “ ฮัดชิ้ว!” เสียงเนจามใส่โทรศัพท์ เพราะอากาศที่กำลังหนาว อาจจะหอบไข้หวัดมาฝากได้ง่ายๆ
               “เนเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายใช่มั้ย งั้นกินยานะ แล้วก็รีบเข้านอน ฟิวส์ไม่รบกวนก็ได้ หนังสือหน่ะเอาไว้อ่านวันหลังยังทัน ตอนนี้ต้องรักษาสุขภาพเอาไว้ก่อนดีกว่านะ” ฟิวส์พูดเหมือนจะสั่งเนซะเป็นชุด ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใย
               “ อืม เราไปนอนก็ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะ บ้าย บาย”
               “ ครับ... ฝันดีนะ ห่มผ้าหนาๆนะ กินยาให้ตรงเวลาด้วย แค่นี้นะคับ บ้าย บาย” เสียงของฟิวส์ดูสบายใจขึ้นที่ได้ยินเนรับปากว่าจะไปนอน
                 จริงๆแล้ว เนไม่ได้อยากวางโทรศัพท์เลย เนอยากจะคุยกับฟิวส์ให้มากกว่านี้ เพราะนี่ก็นานมากเหลือเกินที่เราไม่ได้คุยกัน  แต่ด้วยความที่เนกำลังแปลกใจ  ว่านี่ใช่ฟิวส์คนเดิมจริงๆรึเปล่า  คนที่เคยเดินหนีเน หนีหน้าเน  และทำร้ายจิตใจเนให้บอบช้ำแสนสาหัส  แต่วันนี้กลับมาพูดดีด้วย  และแสดงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด  เนไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ....ไม่อยากให้ผ่านคืนนี้ไปเลย  เพราะเนกลัวว่าตอนเช้าเธอจะต้องตื่นขึ้น และพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นแค่เพียงความฝัน.....
                 “เราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมใช่มั้ย ฟิวส์ยกโทษให้เนจริงๆนะ....อย่าให้มันเป็นเพียงสิ่งที่เนคิดไปเองเลย”  
      “เป็นยังไงบ้าง หายเป็นหวัดรึยัง หน้าตาสดใสดีแล้วนี่” ฟิวส์เดินเข้ามาถามเน ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความห่วงใย ในเย็นวันรุ่งขึ้นที่เรียนพิเศษ
                    “อืม   เนไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า   ฟิวส์ก็รู้ไม่ใช่หรอ   เนหน่ะออกจะแข็งแรง”  เนพยายามจะสื่อความหมายให้ฟิวส์เข้าใจเหลือเกิน  ว่ายังไง  เนก็ยังเป็นเนคนเดิม  คนที่ฟิวส์เคยรู้จัก ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย  คนที่แข็งแรงเสมอ  แต่กลับเป็นฟิวส์ซะมากกว่าที่ไม่สบายบ่อยๆ และมักจะทำให้เนเป็นห่วงอยู่เรื่อย
                  “ ก็จริงสินะ เราก็ลืมไป”  ………ลืม  ฟิวส์ลืมความทรงจำระหว่างเราไปแล้วใช่มั้ย   แค่เพียงคำว่า ลืม  ที่หลุดจากปากฟิวส์ก็ทำให้เนเข้าใจแล้วจริงๆ  ว่าในวันนี้เนไม่ใช่คนสำคัญคนเดิมของฟิวส์อีกแล้ว  เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่บ้างมั้ย หรือเพียงคำว่า “คนรู้จัก”สำหรับฟิวส์นั้น เนอาจจะเป็นมากเกินไปด้วยซ้ำ
                     หลังจากวันนั้น ยิ่งทำให้เนไม่กล้าพอที่จะทำตัวให้เหมือนเดิม เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของฟิวส์ ได้ทำให้ความตั้งใจของเนหมดลงไปแล้ว
                 “กริ๊งๆๆ” เสียงโทรศัพท์บ้านของเนดังขึ้น ในช่วงหัวค่ำหลังจากที่เนเลิกเรียนพิเศษแล้ว ในใจเนไม่คิดว่าจะเป็นฟิวส์เลย เพราะคงไม่มีอะไรจะต้องพูดอีกแล้ว และถึงจะใช่ เนก็ไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น ไม่เลย.... แต่เนก็ต้องจำใจเดินไปรับ เพราะรำคาญเสียงโทรศัพท์ที่คนโทรมาไม่ยอมวางซะที
                 “สวัสดีค่ะ ต้องการจะคุยกับใครคะ ตอนนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน มีอะไรจะฝากบอกไว้ก็ได้นะคะ” เนพูดหูหลับตับไหม้ โดยไม่ฟังเสียงคนโทรมาเลย
                 “ 5555  แหม ใครไปทำอะไรให้โมโหมาหล่ะเนี่ย! อย่างกับเตรียมท่องเอามาพูดเลยนะ” เสียงหัวเราะจากปลายสาย ท่าทางตลกกับคำพูดของเนมาก
                 “เสียงฟิวส์นี่นา ใช่ๆ เสียงฟิวส์”  “ ฟิวส์จะโทรมาทำไม จะทำร้ายเนไปอีกซักแค่ไหน”เนได้แต่บอกตัวเองในใจ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตลกไปกับฟิวส์เลย
                 “ฟิวส์มีอะไรรึเปล่าถึงได้โทรมา” เนไม่ได้อยากรู้เลยซักนิดว่าที่ฟิวส์โทรจะมีเรื่องอะไร เพราะสำหรับเน ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดแล้ว
                 “คือว่า...เนว่างมั้ย   พอจะมีเวลาออกมาคุยกับเราได้รึเปล่า   เราไม่รบกวนนานหรอกนะ” เสียงฟิวส์ดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรทำนองนั้น แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้...... เนไม่อยากที่จะคิดไปเองเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
                 “ ได้สิ งั้นเจอกันที่ร้านกาแฟร้านเดิมละกันนะ”
                 “ได้ๆ งั้นอีก20นาทีเจอกันนะ”

                      จริงๆแล้วเนไม่ได้อยากจะไปเลย   แต่ที่ตอบตกลง   เพราะเนคิดว่าก็มีบางอย่างที่อยากจะบอกฟิวส์เหมือนกัน  ซักวันก็จะต้องพูด  จะเป็นวันนี้ก็คงไม่เป็นไร.......ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องจบอยู่แล้ว  เนไม่อยากให้มันค้างคาเหมือนเมื่อก่อนอีก เสียใจตอนนี้  ดีกว่านั่งให้กำลังใจตัวเองไปวันๆ  ยังไงซะ.......มันก็ไม่มีทางทำให้ดีไปกว่านี้แน่นอน

                      ที่ร้านกาแฟ เนมาถึงก่อนเวลานัด  เนสั่งนมร้อนของโปรดของฟิวส์ และสั่งชาเย็นรอฟิวส์  เธอนั่งรอฟิวส์ได้ซักพัก ฟิวส์ก็เข้ามาในร้านด้วยท่าทางรีบร้อน
                  “ขอโทษด้วยนะที่เรามาช้า”
                  “ไม่เป็นไรหรอก เราก็เพิ่งมา ว่าแต่ที่ว่ามีเรื่องจะพูดเนี่ย มีอะไรหรอ” เนถามฟิวส์ด้วยใบหน้าที่นิ่งมาก เหมือนคนที่ไม่มีความรู้สึกเอาซะเลย
                      “ นี่เนสั่งนมร้อนมาให้เราใช่มั้ย  เนยังจำได้ด้วยหรอ ว่าฟิวส์ชอบนมร้อน”
                “ทำไมเนจะจำไม่ได้ อะไรที่เกี่ยวกันฟิวส์ เนไม่เคยลืมเลย” เนพูดในสิ่งในที่อยากจะพูด โดยไม่ได้สนใจว่าฟิวส์จะคิดยังไง
                “ ฟิวส์มีอะไรจะพูดไม่ใช่หรอ พูดมาสิ เนพร้อมจะฟังแล้ว” เนพยายามทำให้ทุกอย่างผ่านไป ยิ่งเร็วได้ยิ่งดี เพราะตอนนี้เนพร้อมที่จะรับฟังสิ่งที่ฟิวส์จะพูดแล้ว ทั้งๆที่เธอเองก็ไม่รู้เลยว่าฟิวส์จะพูดอะไร
                 ฟิวส์มองหน้าเน ด้วยสายตาที่ดูเศร้ามาก ก่อนจะค่อยๆเอามือมากุมมือทั้ง2ของเนไว้อย่างอ่อนโยน
      แต่เนพยายามดึงมือออก  “อย่าเลยนะฟิวส์ อย่าทำแบบนี้” เนได้แต่บอกตัวเองในใจ
                “อย่าปล่อยมือฟิวส์เลยนะ ฟิวส์ขอเวลาแป๊บเดียว ขอเวลาให้ฟิวส์ได้พูดบ้างก่อนที่ฟิวส์จะไป”
                       เนมองหน้าฟิวส์ด้วยความอึดอัด น้ำตาเริ่มคลอเบ้า เพราะไม่เข้าใจฟิวส์เลยจริงๆ
                “ ฟิวส์...ฟิวส์ขอโทษ”  ท่าทางเหมือนฟิวส์ยังมีบางอย่างอยากจะพูดต่อ แต่เนไม่อยากที่จะฟังแล้ว ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ก่อนจะดึงมือออกจากมือฟิวส์
                “ฟิวส์จะขอโทษเนทำไม ฟิวส์ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย งั้นเรากลับบ้านกันนะ” เนลุกขึ้นหันหลังในฟิวส์ โดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
                  เนไม่รู้ว่าหลังจากเนเดินออกจากร้านไปแล้ว ฟิวส์จะเป็นยังไง แต่เนก็ไม่กล้าหันกลับไปมอง เพราะไม่อยากให้ฟิวส์เห็นน้ำตาที่ไหลรินทันทีที่เนหันหลังให้ฟิวส์
                “มันจบแล้วจริงๆสินะ....... ถึงแม้ว่าเนจะยังไม่ได้พูดในสิ่งที่เนอยากจะพูดออกไปเลย แต่เนก็ดีใจนะ ที่เรื่องนี้จะจบลงได้    คำว่า “ขอโทษ” ที่ฟิวส์พูดนั้น มันมีค่ามากเลยนะ มากมายเกินกว่าทุกคำพูดที่เนอยากจะพูดซะอีก ทั้งๆที่เนก็รอวันนี้มานาน นานมากจนเนเองไม่คิดว่าจะมาถึง แต่เนก็กลับไม่ได้พูดอะไรซักคำอย่างที่ตั้งใจ...... และเนก็ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าจะมีคำๆนี้หลุดออกจากปากฟิวส์...

                “นี่ๆ ได้ข่าวอะไรมั้ย เรื่องที่ฟิวส์จะไปเรียนต่อเมืองนอก”
                “   อืมๆเราก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน แต่ยังไม่แน่ใจ”
                  เพื่อนๆหันมามองหน้าเน ที่กำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เหมือนทุกคนอยากจะถามความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้
                “  นี่เน จริงรึเปล่าเรื่องที่ฟิวส์จะไปเรียนต่อหน่ะ  ทำไมไม่เห็นบอกพวกเราบ้างเลย”
                 “เราก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน   ก็เพิ่งจะมาได้ยินจากพวกเธอนี่แหละ   เดี๋ยวเราขอตัวก่อนนะ จะไปเข้าห้องน้ำหน่ะ”
                  เนลุกจากเก้าอี้ด้วยท่าทางไม่สู้ดีเอาซะเลย ทำเอาเพื่อนๆถึงกับพากันงง
                  ใครจะรู้บ้างว่า  เนรู้สึกตกใจกับเรื่องนี้แค่ไหน  เนพยายามบอกตัวเองว่า  “มันไม่จริง  มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง”
                   ฟิวส์จะทิ้งเนไปไหนอีก แค่นี้ยังไม่พอรึไง จะต้องให้เนตายไปก่อนใช่มั้ย ฟิวส์ถึงจะพอใจ ทำไมฟิวส์จะมาจากเนไปไกลขนาดนี้ ถ้าฟิวส์ไปแล้วเนจะอยู่ได้ยังไง เนจะเอาหัวใจดวงไหนมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าฟิวส์ไป  หัวใจดวงเดียวดวงนี้ของเนคงสลายไปพร้อมๆกับระยะทางที่แสนไกลนี้แน่นอน.......
                    ฟิวส์ไม่ไปไม่ได้หรอ.........ช่วยอยู่ต่อลมหายใจให้หัวใจดวงนี้หน่อยได้มั้ย....ให้เนอยากที่จะหายใจ.......ให้เนอยากที่จะมีชีวิตอยู่อีกซักนิดเถอะนะ........ เนขอร้อง……

                      ทุกอย่างคงเร็วเกินไปอีกแล้ว…..กับความจริงเหล่านี้ ทำไมทุกอย่างดูเลวร้ายไปหมด จะไม่เหลือสิ่งดีๆให้เนยิ้มได้บ้างเลยรึไง
                 จากวันนั้น ที่ร้านกาแฟ ฟิวส์ไม่ได้ติดต่อเนอีกเลยที่เรียนพิเศษเนก็ไม่เคยหันไปมองฟิวส์อีก และฟิวส์ก็คงจะไม่หันมามองเนเหมือนกัน
                     นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ที่ทั้ง2คนไม่ได้สนใจกัน เหมือนคนที่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่แม้แต่คนรู้จักเลยด้วยซ้ำ             อีกไม่กี่วันแล้วสินะ ที่ฟิวส์จะต้องไปเรียนต่อ  เนได้แต่นั่งนับวันรอให้ถึงวันที่ฟิวส์จะเดินทาง ไม่ใช่ว่าเนทำใจได้ หรืออยากจะไปส่งฟิวส์ที่สนามบิน แต่เนกำลังคิดถึงสิ่งที่จะตามมา  สิ่งที่อาจจะทำให้เนลืมฟิวส์ได้เมื่อฟิวส์ไป  ระยะทางอาจจะทำให้เนลืม ให้เนผ่านจุดนี้ไปได้ เนคิดอย่างนั้น แต่เนลืมคิดในอีกแง่ที่ว่า ถ้าฟิวส์ไปแล้ว เนจะเป็นยังไง เนจะลืมได้อย่างนั้นใช่มั้ย..... มันยิ่งแต่จะทำให้เนคิดถึงและว้าวุ่นใจมากขึ้นไปกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ
                เนคงไม่กล้าพอที่จะยอมรับความจริง เลยพยายามที่จะปิดตัวเองให้ดูเหมือนตัวเองเข้มแข็งและพร้อมจะทนได้ในสิ่งที่ตามมา เนกำลังกลัวว่าตัวเองจะเจ็บมากกว่านี้ เลยคิดจะฝืนตัวเอง โดยไม่คิดเลยว่า มันจะเป็นการทำร้ายตัวเองซักแค่ไหน

                ............4 มีนาคม 2548.........
                 วันนี้แล้วสินะที่คนสำคัญในชีวิตของเนกำลังจะจากไป ไปไกลกว่าทุกๆครั้ง และไปนานกว่าทุกๆครั้ง
                 เนไม่ได้ไปส่งฟิวส์ที่สนามบิน ทั้งๆที่เพื่อนๆก็พยายามจะให้เนไปส่งฟิวส์ให้ได้ เนได้แต่บอกเพื่อนๆเพียงประโยคเดียวเท่านั้น สำหรับเหตุผลที่ไม่ไป  “ขอเวลาให้หัวใจดวงนี้ของเราได้พักบ้างนะ  แล้วเราสัญญาว่าเราจะไม่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงอีก ขอให้เข้าใจเราหน่อยนะ” เนไม่กล้าจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะไม่อยากให้เพื่อนเห็นน้ำตาที่อดกลั้นไว้ในใจ ที่เธอต้องเก็บมันไว้  อย่าให้ไหลลงต่อหน้าเพื่อน ถึงจะเหนื่อยมาก....แต่ก็คุ้มค่าพอที่จะแลกกับความเป็นห่วงของเพื่อนที่จะต้องมาเสียเวลามาเป็นห่วงเธอ
                  ฟิวส์ไปแล้วสินะ เนพูดกับตัวเอง ที่ก้มหน้าดูนาฬิกาดูเวลาที่ฟิวส์น่าจะขึ้นเครื่องไปแล้ว...ขอให้ฟิวส์เดินทางปลอดภัยนะ ดูแลสุภาพด้วย ที่นั่นคงหนาวมาก ก่อนนอนต้องห่มผ้าหนาๆหล่ะ ยิ่งตัวเองเป็นหวัดง่ายด้วย ต้องกินข้าวให้ตรงเวลาด้วยนะ เดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหาเอาซะง่ายๆ แล้วที่สำคัญห้ามเอาแต่ใจด้วย อยู่ที่นู่นไม่มีคนตามใจเหมือนอยู่ที่นี่นะ เพราะฉะนั้นต้องดูแลตัวเองมากๆ  อย่าดื้อนะคะ คุณหนู....
                 เนคงทำได้เพียงส่งข้อความเหล่านี้ฝากผ่านท้องฟ้าไปบอกฟิวส์ ......ขอให้ฟิวส์โชคดี......

                 ตลอดเวลาที่ฟิวส์ไปเรียน เนตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างไม่สนใจใคร เพระเป็นวิธีนึงที่จะช่วยให้เนไม่ฟุ้งซ่าน คิดอะไรร้ายๆให้ตัวเองเจ็บปวดเปล่าๆ เวลาผ่านไป ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน เนดูโตขึ้น เรียนรู้อะไรมากขึ้น และด้วยความที่เนคงได้ผ่านอะไรมามากกว่าหลายๆคน เลยทำให้เนคิดได้ ว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้น เนได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้ลองคิดทบทวนจนเข้าใจในหลายๆอย่าง ซึ่งเนคิดว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ผิดอีกแน่นอน
                 คำว่า “เพื่อน” ได้กลับมาอยู่ในความคิดของเนทีละนิดทีละนิด จนมันมากมายสะสมขึ้น เริ่มจะช่วยผุกร่อนกำแพงความรักเกินเพื่อน ที่เนเคยรู้สึก ให้กลับไปยังความเป็นเพื่อนเพิ่มขึ้นทุกที และเนก็แน่ใจว่า เมื่อถึงวันที่ฟิวส์กลับมา เนจะต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน
                  แต่ที่บอกว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนนั้น ก็เป็นแค่สิ่งเดียวที่เนจะเปลี่ยนมัน แต่สิ่งหนึ่งที่มีมีทางเปลี่ยนไปเลยก็คือ “ความรักที่เนมีต่อฟิวส์” มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะลดลงไปบ้าง ให้เหลือแค่พอดี ไม่มากไปน้อยจนเกินไป  เนไม่เคยคิดจะลืมความรู้สึกดีๆที่ฟิวส์เคยมีให้ ไม่เคยคิดจะลืมวันเวลาดีๆที่เคยมีร่วมกับฟิวส์ แต่บางสิ่งที่หนักมากจนเกินไป เนก็ขอลืมมันจะซะดีกว่า เพราถ้าเก็บไว้ก็คงพลอยแต่จะทำให้ความเจ็บช้ำเหล่านั้นกลับมาตอกย้ำตัวเองอีก

                      พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ฟิวส์จะกลับมา กลับมาพร้อมกับความห่วงใยที่เนฝากขึ้นเครื่องไปด้วยตั้งแต่เมื่อ1ปีที่แล้ว ที่ฟิวส์ไป จะว่าไปก็นานมากนะ 1 ปี ที่เนรอ รอด้วยความหวังว่า เรา 2 คน จะได้เริ่มต้นกันใหม่ เริ่มต้นความเป็นเพื่อนอย่างเดิม ที่เนคิดว่าคงไม่สายเกินไปแน่นอนที่จะเริ่มมัน
                 เนเตรียมตัวที่จะไปรับฟิวส์ที่สนามบิน ด้วยสีหน้าที่ดูจะสดใสมากกว่า1ปีที่ผ่านมาซะอีก เนมั่นใจว่า วันนี้จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ ที่ถึงแม้ว่าจะต้องเริ่มจากศูนย์แต่ก็ไม่เป็นไร และวันนี้เนจะต้องไม่ถอยหลังกลับไป.... และเริ่มพยายามที่จะทำใจให้ลืมจากศูนย์อย่างแน่นอน
                 “ ฮัลโหล มีอะไรหรอแป้ง” เนรับโทรศัพท์ก่อนที่จะก้าวออกจากบ้าน
                “ เน นี่แป้งนะ” เสียงของแป้งดูเหมือนคนกำลังร้องไห้ แต่เนเองก็ยังไม่ได้สงสัยอะไร
                “ อืม แป้งมีอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงฟังไม่ดีเลย”
                “ เน....เนทำใจดีๆไว้นะ คือแป้งจะบอกเนว่า ....ว่า”
                “ ว่าอะไรจ๊ะ บอกมาสิ” เนถามแป้งด้วยความรู้สึกที่เริ่มสงสัยกับอาการและน้ำเสียงของเพื่อน
                “ ฟิวส์....ฟิวส์ตายแล้ว”
                “จะบ้ารึไง อย่ามาล้อเล่นนะแป้ง เครื่องจะมาถึงตอน 2 ทุ่มนี่แล้ว  แล้วเนก็กำลังจะออกไปรับฟิวส์ด้วย ล้อเล่นแรงแบบนี้เนโกรธจริงๆนะ” เนเริ่มโกรธแป้งที่เอาเรื่องร้ายแรงแบบนี้มาล้อเล่น เพราะในหัวเนตอนนี้ไม่คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากการไปรับฟิวส์ที่สนามบิน
                “แป้งไม่ได้โกหก เครื่องบินที่ฟิวส์นั่งกลับตกกลางทาง   ผู้โดยสารตายทั้งหมด”
                  ยังไม่ทันที่แป้งจะพูดจบ เนก็ปล่อยโฮออกมาทันที “ไม่จริง ฟิวส์กำลังกลับมา นี่ไง เนแต่งตัวสวยไปรอรับฟิวส์เลยนะ เดี๋ยวฟิวส์รอเนนะ เนจะไปรับฟิวส์ด้วยตัวเนเองเลย เนมีอะไรอยากจะบอกฟิวส์ตั้งเยอะตั้งแยะแหน่ะ” เนเพ้อออกมาอย่างกับคนไร้สติ เพราะเนไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือเรื่องจริง
                “เน เนอยู่ไหน นี่แป้งเองนะ เนออกมาคุยกับแป้งหน่อยนะ” เสียงของแป้งตะโกนเรียกเน หลังจากที่วางโทรศัพท์ไปได้ 2-3 ชม.
                  แป้งเดินหาเนทั่วบ้าน ก่อนที่จะคิดได่ว่าเนจะอยู่ที่ไหน ระเบียงห้องนอนของเน ที่ๆเนเคยบอกแป้งว่า เมื่อก่อนจะชอบมานั่งคุยโทรศัพท์กับฟิวส์เป็นประจำ เพราะได้นั่งมองดาวเต็มท้องฟ้า  พร้อมๆกับได้ยินเสียงคนที่เนรักอยู่ข้างหูก่อนนอน ทำให้หลับฝันดีทุกคืนเลย....และก็จริงอย่างที่แป้งคิด
                  ภาพแรกที่แป้งเห็นเนเงยหน้าขึ้น มีแต่น้ำตาที่เปื้อนเต็มหน้าของเน  เนโผเข้ากอดแป้งและพูดพร้อมน้ำตา     “แป้ง...ทำไมฟิวส์ต้องมาจากเนไป แล้วเนจะอยู่ได้ยังไง” ..........
                  แป้งไม่ได้พูดอะไรซักคำเพราะกลัวว่าจะยิ่งทำให้เนเสียใจไปมากกว่านี้
                  แป้งนั่งอยู่เป้นเพื่อนเนซักพักก่อนจะกลับบ้าน ทั้งๆที่แป้งอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเน แต่เนขอที่จะอยู่คนเดียว

                   ในช่วงวันงานศพ เนไม่ยอมไปวัดเลยซักครั้ง แม้แต่วันเผา เนก็ไม่ไป เนได้แต่นั่งอยู่ที่มุมๆเดิม มุมที่เนเคยได้นั่งคุย ได้ยินเสียงฟิวส์ แต่วันนี้ไม่มีอีกแล้ว....
                   คืนที่ดาวเต็มฟ้าคืนนี้ เนอยากจะได้ยินเสียงของฟิวส์เหลือเกิน เสียงคนๆเดิมที่เนรัก....
                 “จันทร์เจ้าขา....ฝากบอกความรู้สึกเหล่านี้ส่งไปให้ถึงฟิวส์ด้วยนะคะ เนอยากให้ฟิวส์ได้ยิน ได้รับรู้ถึงความรักของเน  ที่จะคอยส่งไปให้ฟิวส์เสมอ ไม่ว่าฟิวส์จะอยู่ห่างไกลแสนไกลแค่ไหน...........

                      “ แม้ว่าวันนี้จะผ่านมานานแสนนานแค่ไหนแล้ว แต่เนก็ยังมั่นใจนะ ว่าความรักที่เนมีให้ฟิวส์ไม่เคยลดลงเลย เนยังรักเหมือนวันแรกที่เนรู้สึกว่ารัก แต่ที่ลดลงไป คงเป็นแค่ความหวังที่เคยหวังไว้ ว่าถ้าเรารักมากเราก็น่าจะได้รับสิ่งนั้นตอบแทนบ้าง ถึงวันนี้แล้ว เนไม่เสียใจเลยนะที่เคยได้รักฟิวส์ เพราะว่าอะไรฟิวส์รู้มั้ย ....เพราะสิ่งที่เนได้รับกลับคืนมาไง    ถึงมันจะไม่ใช่ความรัก แต่มันกลับเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น เพราะฟิวส์สอนให้เนได้รู้จักกับอะไรอีกมากกมาย ที่คงไม่มีใครอีกแล้ว ที่จะให้เนได้ เวลาที่ผ่านมาสอนเนให้ได้รับรู้และยอมรับความจริงที่เนคิดเสมอว่าจะไม่ยอมรับมัน แต่ฟิวส์ก็ทำให้เนเข้าใจมัน......

                   เนขอบคุณฟิวส์มากเลยนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฟิวส์เคยมีให้  ขอบคุณมากจริงๆ..........


                “เน ....แป้งมีอะไรจะให้” แป้งเดินเข้ามาในห้องหลังจากกลับจากงานเผาศพของฟิวส์ ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับนึงส่งให้แป้ง
                “แม่ของฟิวส์ฝากมาให้เน เห็นท่านบอกว่า เห็นฟิวส์ถือไว้ก่อนจะขึ้นเครื่องในวันเดินทางไปเรียน ท่าทางเหมือนอยากจะให้จดหมายฉบับนี้กับใคร แม่คิดว่า ต้องเป็นเนแน่นอน เลยให้แป้งเอามาให้เน” แป้งเดินออกจากห้องไปหลังจากพูดจบ
                 เนค่อยๆเปิดจดหมายอ่าน แค่เพียงเห็นตัวหนังสือตัวแรกเนก็มั่นใจว่าเป็นลายมือของฟิวส์

                      “ เนคงจะแปลกใจนะ ว่าทำไมฟิวส์ถึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้     สาเหตุสำคัญก็คือ ฟิวส์เองนี่แหละที่ไม่กล้าพอที่จะพูดในสิ่งที่อยากพูด   ฟิวส์ทำได้แค่เพียงส่งความรู้สึกผ่านตัวหนังสือเหล่านี้ฝากมาบอกความรู้สึกจริงๆของฟิวส์        เน..... ฟิวส์ขอโทษเนจริงๆนะ     ขอโทษที่ฟิวส์ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง   และที่อยากจะขอโทษมากที่สุดคือ ฟิวส์ขอโทษมากๆเลยนะที่ทำให้เนต้องเสียใจ  ฟิวส์รู้ว่าฟิวส์ผิดมากที่ทำกับเนแบบนี้   แต่เพราะฟิวส์เองนั่นแหละที่กลัว    กลัวที่จะต้องเสียเนไป   พูดตามตรงนะ   ฟิวส์ไม่เคยรังเกียจเนเลย
      เนเป็นคนดี มีน้ำใจต่อคนรอบข้าง(ข้อนี้ฟิวส์ยืนยัน) ถึงใครจะว่าเนเป็นยังไง   แต่เนก็เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดสำหรับฟิวส์แล้ว  เป็นเพื่อนที่ฟิวส์รักและไว้ใจมากที่สุด   แต่ฟิวส์ไม่กล้าพอ   ที่จะเปลี่ยนสถานะของเรา2คน ฟิวส์ไม่อยากให้เราเป็นมากเกินเพื่อน    เพราะฟิวส์กลัวว่าถ้าเราคบกันเป็นแฟน    ถ้าวันนึงเนทิ้งฟิวส์ไป    ฟิวส์คงเสียใจมากแน่ๆ ฟิวส์ถึงได้บอกไง    ว่าเพราะฟิวส์เองที่ไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง ฟิวส์รู้นะ   ว่าเนต้องเสียน้ำตาให้ผู้ชายขี้ขลาดคนนี้มามากแค่ไหน   ถึงวันนี้ฟิวส์ไม่ขี้ขลาดแล้วนะ ฟิวส์พร้อมที่จะรับโทษทั้งหมดที่ฟิวส์เคยทำไว้กับเน   เนจะให้ฟิวส์ทำอะไรก็ได้ ฟิวส์จะทำให้ทุกอย่างเลยนะ    ขอแค่ให้ฟิวส์ได้ทำให้เนหายเศร้า ให้ฟิวส์ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเนอีกครั้งก็พอ.....  .เนรอฟิวส์หน่อยนะ ฟิวส์จะกลับมาทำตามสัญญา สัญญาที่จะกลับมารับโทษทั้งหมด  ขอแค่เพียงเนรอฟิวส์ 1 ปีนะ
      แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่.......ยังไม่สายไปใช่มั้ยเน\"

                             อยากจะพูดว่า“ขอโทษ”ซักพันครั้ง คงยังน้อยไป

                      ทำไมฟิวส์ไม่มาพูด คำว่า “ขอโทษ”ด้วยปากของฟิวส์เอง ฟิวส์ไม่รักษาสัญญา.... ไหนว่าจะกลับมารับโทษไง แล้วมาทิ้งเนไปเฉยๆแบบนี้ได้ยังไง  ฟิวส์รีบกลับมานะ ....ไหนว่าฟิวส์อยากจะเห็นรอยยิ้มของเนไง.....กลับมาเถอะนะ กลับมา.....

                      ฟิวส์กลับมาฟังเนพูดบ้างสิ ฟิวส์ขี้โกงนี่นา ทีตัวเองยังมีโอกาสได้บอกเค้า แต่เค้าไม่มีโอกาสที่จะได้พูดอะไรเลย..........เนมีอะไรจะพูดอีกเยอะเลยนะ ไม่ให้โอกาสกันเลยจริงๆรึไง....

                    “ ฟิวส์รู้มั้ย เนไม่เคยโทษฟิวส์เลยนะ ฟิวส์ไม่ผิด คนที่ผิดก็คือเน ผิดที่เนไปรักฟิวส์ และคงผิดที่เนรักฟิวส์มากเกินไป ......

                                                                เนขอโทษนะ ที่ได้ก้ามข้ามเขตแดนความเป็นเพื่อนของเรา2คนไป

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×