เมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากกัน - เมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากกัน นิยาย เมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากกัน : Dek-D.com - Writer

    เมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากกัน

    โดย BoyFriend06

    ผมเชื่อในคำกล่าวที่ว่า คำพูด สายน้ำ และกาลเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับ เป็นเนื้อความบางตอนจากเรื่อง ลองอ่านดูนะครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    2,770

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    2.77K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ก.ย. 46 / 20:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เมื่อถึงเวลาที่เราต้องจากกัน

      สายตาอันเหม่อลอยของผมมองออกไปนอกหน้าต่าง  บรรยากาศในคาบฟิสิกส์ตอนบ่าย ๆ  อย่างนี้  ชวนให้เคลิ้มได้ไม่น้อย  อากาศข้างนอกค่อนข้างร้อน  แต่ก็ยังคงมีรถราวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนถนนอย่างไม่ขาดสาย  ผมยังคงทอดสายตามองออกไป  ในใจคิดอะไรไปต่างต่างนานา  รู้สึกขัดแย้งในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก  คำถามว่าทำไม ?  ผุดขึ้นในใจมากมายโดยที่หาคำตอบไม่ได้  เสียงบรรยายของอาจารย์ในห้องเรียนแว่วเข้ามาในโสตประสาทของผมเป็นระยะ ๆ  แล้วก้อค่อย ๆ  เบาลง  เบาลง …….
          วันแรกของการเปิดเรียน  บรรยากาศภายในโรงเรียนดูครึกครื้น  เหมือนกับตลาดในยามเช้า  เสียงพูดคุย  เสียงหัวเราะของนักเรียนแต่ละคนซึ่งไม่ยอมน้อยหน้ากัน  ต่างจับกลุ่มคุยกันเหมือนไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานานนับปี  ใบหน้าที่สดใส  ร่าเริง  และรอยยิ้ม  แต่ก็แฝงไว้ด้วยความตื่นกลัว  ของนักเรียนชั้น ม. 1  ที่เพิ่งเข้าใหม่ในปีนี้   ชวนให้ผมอดขำไม่ได้  ผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย  แม้จะเป็นนักเรียนที่นี่มาถึง  3  ปีแล้วก็ตาม  แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเด็ก ๆ  เหล่านั้น  บทบาทของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  4  ปีแรกของผม  ทำให้ผมดูเก้ ๆ  กัง ๆ  วางตัวไม่ค่อยถูก  พยายามสอดส่ายสายตามองหาเพื่อน ๆ  ที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัย ม. ต้น  เพื่อสร้างความอุ่นใจ  ซึ่งยังคงเหลือเพื่อน ๆ  ที่สนิทอยู่บ้าง   ในขณะที่อีกหลายคนได้แยกย้ายกันไปเรียนต่อในสถานศึกษาแห่งอื่นตามทางของตัวเองที่ได้เลือกไว้ก่อนหน้านี้ ……  ห้องเรียนใหม่ของผมก็ยังคงมีเพื่อน ๆ  ที่รู้จักกันในสมัย ม. ต้น อยู่ไม่น้อย  แม้จะมาจากคนละห้องแต่ก็พอคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง  ส่วนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ก็มีไม่มาก  ทำให้พวกเราใช้เวลาในการทำความรู้จักกันไม่นานนัก  และวันแรกของการเปิดเรียนก็ผ่านไปได้ด้วยดี …….
          “เฮ้ย !  พวกเราน่าจะมีชื่อแก๊งค์นะเว้ย  ว่ามั้ย ?”  เป็นเสียงที่ออกมาจากเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง  ในโรงอาหารขณะที่พวกเรากำลังทานข้าว  “เออ …. เห็นด้วยว่ะ  พวกเรา  5  คน  จะได้มีสังกัดไว้อวดกับเค้าบ้าง”  เพื่อนที่นั่งข้าง ๆ  ผมเสริมขึ้น  แล้วก็ตามด้วยเสียงพูดคุยกันของเพื่อน ๆ  ตามประสาวัยรุ่นอย่างสนุกสนาน  บางครั้งก้อมีการนำเอาบุพการีทางบ้านขึ้นมาร่วมวงในโต๊ะอาหารด้วย  ผมคิดในใจว่าสงสัยคงไม่อยากให้ท่านเหงา  ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของพวกเรา  ผมไม่ได้ร่วมแสดงความเห็นกับเพื่อน ๆ  เพราะสนใจในอาหารตรงหน้ามากกว่า  เลยพยักหน้ารับเป็นจังหวะเพื่อไม่ให้เสียอรรถรส  จนเพื่อนมันคงรำคาญ  เลยตบหลังผมด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าอาหารจะติดคอ  ทำเอาเมล็ดข้าวเกือบจะกระเด็นออกจากปาก  “แล้วเอ็งคิดว่างัยวะ ?”  เพื่อนผมถาม  ผมพยายามกลืนข้าวให้ลงคอให้หมด  ก่อนหันไปทักทายบิดาไอ้เพื่อนคนเมื่อกี้อย่างเป็นกันเอง  “อืม …. ก้อดีว่ะ  เห็นด้วย ๆ“  แล้วผมก็หันมาพิจารณาอาหารต่อ  เพื่อนมันส่ายหน้าอย่างละอาย  ผมเลยถูกตัดออกจากวงสนทนาอาหารเที่ยงไปโดยปริยาย  ซึ่งเพื่อน ๆ  ก็ยังคงขุดคุ้ยหาเรื่องมาคุยกันต่อไปเรื่อย ๆ  ตลอดเวลาอาหารกลางวัน  โดยไม่สนใจผมเหมือนกับข้าวในจานตรงหน้ามัน  ผมเลยเป็นห่วงกลัวว่าอาหารของเพื่อนจะเป็นหมัน  เลยทำท่าจะยกมาวางไว้ข้างหน้าซักหน่อย  เพื่อนคนดีมันคงนึกได้  กลัวผมจะหวังดีกับข้าวในจานของมันเสียก่อน  เลยหันมาบรรเลงอาหารกันยกใหญ่  จนผมอดเตือนไม่ได้ว่า  “พวกเอ็งจะรีบกินไปหา ….. รึงัยวะ ?”  ในขณะที่ผมเสร็จภารกิจเรียบร้อยแล้ว  บทสนทนามื้อเที่ยงต่อจากนี้เลยมีผมเป็นตัวเอก ……..
          ผมเชื่อในคำกล่าวที่ว่า  “คำพูด  สายน้ำ  และกาลเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับ”  ทั้ง ๆ  ที่นาฬิกายังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างปกติและสม่ำเสมอ  แต่ในความรู้สึกของผมกลับเหมือนหยุดอยู่กับที่  ไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย  3  ปีในชั้นมัธยมปลายที่พวกเราได้รู้จักกัน  ได้พูดคุยกันและสนิทกันมา  กาลเวลาหล่อหลอมให้พวกเรารู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าเสียสละ  ให้อภัย  สามัคคีและมิตรภาพ  แทบไม่น่าเชื่อว่า ณ  วันนี้  พวกเราจะมาถึงปลายทางของชีวิตนักเรียนมัธยมศึกษาในโรงเรียนแห่งนี้  ถึงแม้เวลาของชีวิตจะผ่านไปเพียงแค่ก้าวแรก  แต่เวลาที่ผมและเพื่อนใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้  มันยาวนานพอที่จะทำให้พวกเราได้เข้าใจในอะไรหลาย ๆ  อย่าง  เรามาจากคนละครอบครัว  คนละสถานที่  คนละสิ่งแวดล้อม  แต่นั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเรา  เหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่พวกเราได้ประสบพบเจอมาด้วยกัน  ยิ่งทำให้ผมและเพื่อนเข้าใจมากยิ่งขึ้นถึงคำว่า  “เพื่อนอดเราอด”  “เพื่อนทุกข์เราทุกข์”  “ถึงไหนถึงกัน”  มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะซื้อหาได้อย่างแน่นอน  เป็นสิ่งที่ไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ด้วยเงินทอง  หรือยศถาบรรดาศักดิ์  แต่เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกที่มีต่อกัน  ซึ่งผมเชื่อว่ามีน้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้  นั้นคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า  “เพื่อน”
          ผมยังคงมองเหม่อออกไปอย่างไร้จุดหมาย  จากจุดตรงนี้  บนชั้นดาดฟ้าของอาคารวิทยาศาสตร์  ทำให้สามารถมองเห็นอะไรได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา  สายลมพัดมาเป็นระยะ  ท้องฟ้าวันนี้ไร้เมฆ  ดูสดใสสะอาดตา  ซึ่งจะมีนักเรียนน้อยคนนักที่จะรู้จักสถานที่อันแสนวิเศษณ์เช่นนี้  “เฮ้ย !  คิดอะไรอยู่วะ ?”  เสียงเพื่อนปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์  “เปล่า …. แค่คิดว่าต่อจากนี้ไป  มันจะเป็นยังงัยบ้างนะ  ชีวิตของพวกเรา ….”  คำพูดของผมคำนั้นทำให้เพื่อน ๆ  ในกลุ่มทั้ง  5  คนเงียบไป  ผมกับเพื่อนแอบขึ้นมาบนนี้เพราะไม่อยากไปร่วมงานวันปัจฉิมบนหอประชุมโรงเรียน  เพราะไม่อยากไปเห็นบรรยากาศที่ชวนให้เหงาใจ  และน้ำตาของเพื่อนร่วมห้องในวันสุดท้ายของความเป็นนักเรียนในวันนี้  เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวจริง ๆ  ภาพในอดีตจำนวนนับไม่ถ้วนผ่านเข้ามาในความรู้สึกของผม  ภาพแล้วภาพเล่า  ต่อจากนี้ไปสถานที่แห่งนี้คงจะเป็นอดีตสำหรับผม  เพื่อนร่วมชั้น  และน้อง ๆ  นักเรียนร่วมโรงเรียนทุกคน  คงจะอยู่เพียงแค่ในความทรงจำ  ซึ่งผมก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้  ผมพยามเก็บภาพทุกภาพไว้ในความทรงจำ  เก็บความรู้สึกที่ดี ๆ  เอาไว้ให้มากที่สุด  เพราะไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะได้กลับมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง  ……..  พวกเราเงียบไป  ไม่พูดอะไรกัน  ต่างคนต่างมองออกไปคนละทาง  นัยน์ตาของผมรู้สึกร้อนผ่าว  และเหมือนจะมีน้ำใส ๆ  คลออยู่  ผมไม่อยากให้เพื่อนเห็นถึงความอ่อนแอของตัวเอง  เพราะน้ำตาลูกผู้ชายมันไม่ได้หลั่งออกมาง่าย ๆ  ผมรู้ว่าเพื่อน ๆ  ก้อคงจะเป็นเช่นกัน  ทุกคนไม่อยากให้ใครเห็น  และก็ไม่มีใครอยากที่จะเห็นมันเช่นกัน  แต่พวกเรารู้สึกได้ …….  เป็นเวลานานเท่าไรไม่รู้  ผมถอนหายใจยาว  แล้วก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ  “เอาเหอะ ….. ไปบนหอประชุมดีกว่า  อย่างน้อยพวกเราก็ยังคงมีวันนี้  วันที่พวกเราจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งนี่  ใช่มั้ยวะ ?”  เพื่อน ๆ  พยักหน้า  เผยให้เห็นรอยยิ้มของแต่ละคนที่ดูเหมือนว่ากำลังฝืนยิ้ม  แต่ก้อมาจากใจจริง  พวกเรายืนเป็นวงกลมเอามือประสานกันไว้ตรงกลางก่อนนับ  หนึ่ง …… สอง …… สาม …… แล้วพวกเราก้อตะโกนออกมาพร้อมกัน  “เอ้า !  เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป …. “  ตามด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน  ผมตะโกนออกไปสุดเสียงเหมือนเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับสถานที่แห่งนี้ให้รับรู้  “แล้วเราจะกลับมาอีกแน่นอน”
          เสียงสัญญาณหมดคาบเรียนปลุกให้ผมตื่น  “หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ยะเรา ?”  ผมถามตัวเองในใจ  คงเป็นเพราะบรรยากาศในคาบฟิสิกส์ตอนบ่าย ๆ  อย่างนี้แน่นอน  “เลยเรียนไม่รู้เรื่องเลย  เฮ้อ ! …. บ้าจริง ๆ”  ผมด่าตัวเองอย่างไม่ให้อภัย  หันไปมองเพื่อนกำลังจะออกจากห้องไปเรียนคาบต่อไปโดยไปยอมปลุกผม  “ไอ้เพื่อนดีเอ้ย !  ขอบใจเว้ย”  ผมประชดมันตามประสาเพื่อน  “เออ …..  ไม่เป็นไรเว้ย  กูเต็มใจว่ะ”  เพื่อนมันก็ดันรับมุขซะอีก  ผมมองหน้าเพื่อนแต่ละคนแล้วนึกถึงความฝันเมื่อซักครู่  จนเพื่อนมันนึกสงสัยเลยถามผม  “มองอะไรของเอ็งวะ ?”  ผมยิ้มมุมปาก  “เปล่า ….. แต่หน้าพวกเอ็งตอนร้องไห้อ่ะ  ดูไม่จืดเลยว่ะ”  แล้วผมก้อหัวเราะทิ้งให้เพื่อนงงอยู่พักใหญ่  เลยถือโอกาสตบหัวมันคนละที  โทษฐานทิ้งเพื่อน  “เฮ้ย !  ไปเรียนได้แล้วเว้ย  เดี๋ยวสาย”  พูดจบผมก็วิ่งนำหน้าไป  ทิ้งให้เพื่อน ๆ  มันตั้งสติได้  แล้วก็ไล่ผมมา  พลางตะโกน  “เฮ้ย !  หยุดก่อนนะเว้ย”  เสียงฝีเท้าสลับกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของพวกเราดังไปทั่วอาคาร ………..
          แต่ผมก็ยังคงหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้  กับคำถามในใจที่ว่า  “ทำไม ?”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×