\"จ้อง\" - \"จ้อง\" นิยาย \"จ้อง\" : Dek-D.com - Writer

    \"จ้อง\"

    โดย Anantaya

    อ่านให้จบ... แล้วคุณจะรู้ว่าใครที่สำคัญสำหรับคุณที่สุด

    ผู้เข้าชมรวม

    449

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    449

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ก.ค. 47 / 15:34 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สักวันหนึ่งอาชีพถีบสามล้อรับจ้างของชายชราก็คงจะสิ้นสุดลง  
      ตะแกยึดอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยที่แกยังเป็นหนุ่มเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชรา
      กับครอบครัวที่มีเมียและลูกๆ อีกหกคน  ทุกครั้งที่สมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น
      แกก็ต้องปั่นสามล้อเร็วขึ้นด้วย  วัยกลางคนของแกจึงเป็นวัยที่หนักหน่วงเหมือนทาส
      ที่ถูกใช้แรงงานอย่างหนัก  แต่แกก็ไม่เคยย่อท้อ  ทุกวันแกจะนำสามล้อออกไปถีบรับจ้าง
      และกลับเข้าบ้านในตอนเย็น  เวลาเย็นเป็นเวลาที่สมาชิกในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
      เมียของแกกลับจากขายขนมที่ท่าน้ำนนทบุรี  และลูกๆ กลับจากโรงเรียน
      เสียงพูดเสียงคุยเสียงหยอกล้อทำให้แกมีความสุขและรู้สึกว่าบ้านหลังเล็กๆ
      ที่ปลายซอยแคบๆ ติดกับท้องร่องสวนของแกนั้นช่างไม่แตกต่างกันเลยกับสรวงสวรรค์บนฟากฟ้า
          แต่แล้ววันเวลาแห่งความสุขก็ค่อยๆจืดจางลง  
      พ่อตาย  แม่ตาย  แกต้องขายบ้านเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายแล้วกลายเป็นผู้เช่าบ้านที่เคยเป็นเจ้าของ  
      พอลูกๆ ของแกโตขึ้นก็พากันแยกไปมีครอบครัวทีละคนสองคน  บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปมาก  
      ถนนหนทางแออัดยัดเยียดไปด้วยรถชนิดต่างๆ การถีบสามล้อทำได้ยากยิ่งขึ้น  
      ต้องถีบๆ หยุดๆ แข่งกับเสียงแตรรถยนต์ที่กดไล่อยู่ข้างหลัง  ต้องใช้กำลังขาที่แข็งแรงจึงจะสู้กับมันไหว  
      เมียของแกตายไปเมื่อห้าปีที่แล้ว  ตอนนี้แกอยู่ตัวคนเดียวในบ้านที่ทรุดโทรมจะพังแหล่มิพังแหล่  
      ชายชราก็แทบไม่ต่างจากตัวบ้าน  แกกลายเป็นตาแก่อายุแปดสิบสอง  ผมขาว  หนังเหี่ยว  
      กระดูกหลังโก่ง  แขนขาเหลือแต่เส้นเอ็น  ร่างทั้งร่างปราศจากกล้ามเนื้อ  
      กล้ามเนื้อซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นเหลือเกินสำหรับการถีบสามล้อรับจ้าง
          ในตอนแรกลูกๆ ของแกมาเยี่ยมแกบ่อยๆ ลูกคนที่ห้าซึ่งทำงานไปรษณีย์
      ส่งเงินให้แกเดือนละสามร้อยบาท  และลูกคนอื่นๆ ก็หยิบยื่นให้แกคนละเล็กคนละน้อยทุกครั้ง
      ที่พวกเขามาเยี่ยม  แต่การมาเยียนเยียนของลูกๆ ก็ทอดระยะห่างออกไปทุกที  
      พวกเขาย้ายที่อยู่จากที่เดิมไปอยู่ที่ใหม่กลายเป็นคนที่หายสาบสูญซึ่งโผล่มาให้เห็น
      เป็นบางครั้งบางคราว  และพอถึงปีที่แล้วก็ไม่มีลูกคนไหนมาให้แกเห็นหน้าอีกเลย  
      แกได้รับเงินแค่เดือนละสามร้อยจากลูกคนที่ห้าที่ส่งมาทางธนาณัติ  ซึ่งไม่พอให้แกใช้จ่าย  
      ชายชราจึงไม่อาจเลิกอาชีพถีบสามล้อรับจ้างที่ทำมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ได้  แกรู้สึกเหนื่อย
      รู้สึกว่าสามล้อที่แกถีบมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนรู้สึกเหมือนกำลังปั่นลากรถบรรทุกไปบนถนน  
      แกแทบจะถีบต่อไปไม่ไหว  แต่แกก็หยุดไม่ได้
          เมื่อสามปีที่แล้ว  ขณะที่ชายชรากำลังถีบรถสามล้อกลับบ้าน  
      แกพบลูกหมาสีตุ่นๆ ตัวหนึ่งที่ข้างทาง  มันกำลังถูกหมาใหญ่สีดำตัวหนึ่งไล่งับ
      หนีพลางร้องพลางอย่างน่าเวทนา  แกหยุดรถเข้าขวางหมาสีดำ  
      มองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของมัน  คิดว่าถ้าปล่อยมันไว้ที่เดิม
      ก็คงจะถูกหมาใหญ่กัดเอาอีก  แกจึงอุ้มมันขึ้นไปไว้ในวงแขนร่างบอบบางน้ำหนักเบา
      ราวกับตุ๊กตาทำด้วยผ้าของมันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว  
      แกพามันกลับบ้าน  หาอาหารมาให้มันกิน  มันกินพลางจ้องมองแกไปพลาง  
      ด้วยเหตุนี้แกจึงตั้งชื่อมันว่า “จ้อง”
          ไอ้จ้องเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว  ขนของมันเป็นสีน้ำตาล  จมูกยาว  
      ขนยาว  หูตั้ง  หางงอนเหมือนดาบ  ตาสีเหลืองอมเทาส่อแววฉลาดและครุ่นคิด  
      มันชะเง้อคอมองแกอยู่ที่หน้าบ้านทุกวันตอนแกถีบสามล้อออกไปและตอนที่แกกลับมา  
      มันก็จะยืนแกว่งหางมองดูแกด้วยความยินดี  แกรู้สึกเอ็นดูมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
      ไอ้จ้องเองก็คงจะรักและซื่อสัตย์ต่อแกเช่นเดียวกัน  ชายชรามองดูมันด้วยสายตาอ่อนโยน  
      สัมผัสมันอย่างละมุนละไม  และบางครั้งพูดกับมัน
          “จ้องเอ๋ย  ทำไมแกจึงไม่มาเกิดเป็นลูกของข้าล่ะ  
      ถ้าแกเป็นมนุษย์และเป็นลูกของขาก็จะดีไม่น้อย”
          มีบางครั้งที่ชายชราออกไปทำธุระโดยไม่เอาสามล้อไปด้วย  
      แกเรียกให้มันเดินตามไปกับแก  ตอนนี้มันไม่กลัวหมาตัวไหนอีกแล้ว  
      มันโตพอที่จะสู้กับหมาในซอยได้ทุกตัวโดยไม่หวาดหวั่น  
      บางครั้งแกพามันไปเดินในตลาด  ในวัด  และบางครั้งก็ไปนั่งเล่นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  
      หลังจากนั้นมันจะเดินตามแกไปทุกครั้งที่เห็นแกออกจากบ้านโดยไม่เอารถสามล้อไปด้วย
          วันหนึ่งขณะที่แกนั่งพักผ่อนอยู่ที่ท่าน้ำหน้าวัด  
      และไอ้จ้องนอนหมอบอยู่ใกล้ๆ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น
          “ช่วยด้วย  เด็กตกน้ำ  ช่วยด้วย  ช่วยด้วย”
          ชายชราลุกขึ้นยืนมองลงไปในน้ำ  แกเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง
      กำลังตะเกียกตะกายอย่างสุดกำลัง  ไอ้จ้องยืนมองเด็กด้วยท่าทางกระสับกระส่าย  
      มันเห่าสองสามครั้งแล้วกระโจนลงไปในน้ำ  ว่ายตรงดิ่งไปที่เด็ก  วนไปข้างหน้า  
      พอเด็กคนนั้นเอามือจับตัวมัน  มันก็รีบว่ายเข้าหาฝั่งโดยไม่รอช้า  
      มันได้รับความขอบคุณจากพ่อของเด็กเสียใหญ่  วันรุ่งขึ้นมีข่าวสั้นๆ เกี่ยวกับ
      การช่วยชีวิตเด็กของมันในหนังสือพิมพ์  หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นพาดหัวข่าวว่า  
      “หมาแสนรู้ช่วยชีวิตเด็ก”  และเรียกมันว่า
      “ไอ้จ้อง” หมาของตาบุญโปรดคนถีบสามล้อจังหวัดนนทบุรี”  
      แกตัดหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นแปะไว้ที่ข้างฝา  และนึกเสียดายที่ไม่มีรูปของไอ้จ้องลงพิมพ์ด้วย  
      ทำให้แกไม่สามารถจะบอกให้มันรับรู้เนื้อหาสาระของข่าวนั้นได้
          คืนหนึ่งในฤดูฝน  ไอ้จ้องลุกขึ้นกลางดึกออกไปด้อมๆ มองๆ
      ที่ริมรั้วด้านติดกับร่องสวน  ต่อมามันเห่าเสียงดังลั่นอยู่ในความมืดแล้วก็มีเสียงการต่อสู้ตามมา  
      ชายชราพยายามควานหากระบอกไฟฉายที่ไม่ได้ใช้มานานมาเปิดสวิตซ์
      แต่ไม่มีแสงสว่างเกิดขึ้น  ถ่านไฟคงจะหมดสภาพไปนานแล้ว  
      แกถือท่อนไม้ที่หาได้เตรียมพร้อมอยู่ในบ้าน  ข้างนอกมืดเหลือเกิน  
      มืดจนแกมองไม่เห็นอะไรเลย
          ครู่หนึ่งเสียงการต่อสู้ก็เงียบหายไป  ไอ้จ้องเดินโซเซเข้ามาในบ้าน  
      มันนอนหมอบแทบเท้าชายชรา  ท่าทางกระสับกระส่าย  พยายามจะยกหัว
      แต่แล้วก็นอนราบลงกับพื้น  ชายชราคุกเข่าลงข้างๆ เอามือสัมผัสร่างของมัน  
      แกเห็นรอยข่วนเล็กๆ ที่ขาหน้า  มีเลือดซึมอยู่ที่ปากแผล  ชายชราพอจะคาดการณ์ออก  
      แกก้มลงดูดปากแผลนั้นถ่มทิ้งไปสองสามครั้ง  แล้วเอามือลูบหัวมันแผ่วเบา
          “จ้อง  แกเป็นอย่างไรบ้าง”
          มันมองดูแกอย่างอย่างกระวนกระวาย  
      พยายามจะยกหัวขึ้นแต่ก็ปล่อยให้ตกลงไปอีก  แกจึงพร่ำพูดกับมัน
          “จ้องเอ๋ย  ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้ารักแกมากแค่ไหน  แกล่ะรู้หรือเปล่า”
          แกนั่งเฝ้าดูมันจนรุ่งเช้า  อาการของมันดีขึ้น  มันยกหัวได้ชั่วครู่  
      แม้ว่าในที่สุดก็ต้องนอนราบลงตามเดิม  ชายชราออกไปดูที่รั้วบ้าน  
      แกพบงูเห่าตัวหนึ่งนอนตายอยู่ที่นั่น  คอของมันถูกกัดเป็นแผลเหวอะหวะ
      จนหัวแทบจะขาดออกจากตัว  วันนั้นแกไม่ได้ออกไปถีบสามล้อเหมือนเคย  
      แกนั่นเฝ้าดูมัน  สัมผัสมันเบาๆ อยากให้มันรับรู้ถึงความห่วงใยที่แกมีต่อมัน  
      จนกระทั่งตอนบ่ายมันจึงโงหัวขึ้นเลียมือแกเหมือนจะบอกให้แกวางใจ  
      แกรีบหาอาหารมาให้มันกิน  เอาข้าวคลุกกับแกงเนื้อใส่จานมาวางตรงหน้ามัน  
      มันกินทีละคำๆ อย่างช้าๆ ตามนิสัยของมัน  
      ตอนนั้นแหละที่ชายชรากินอาหารมื้อแรกในวันนั้น
          และเมื่อเช้านี้เองที่แกได้รับจดหมายจากลูกคนที่ห้า  เขาเขียนมาสั้นๆ
      พอได้ใจความ  แต่เป็นใจความที่สำคัญยิ่งนัก
          พ่อ  ผมไม่มีเงินจะส่งมาให้พ่ออีกแล้ว  ลูกคนที่สี่ของผม
      เพิ่งจะเกิดได้เจ็ดวัน  ผมจ่ายให้โรงพยาบาลจนเงินหมดยังไม่พอ  
      ต้องกู้ยืมเขาอีกสองพัน  หวังว่าพ่อคงเข้าใจ
                  สุธิเชษฐ์

                        ชายชรานั่งน้ำตาซึมอยู่บนเก้าอี้  แกคิดว่าแกอยู่ในโลกนี้นานเกินไป
      หัวใจของแกคงทนกว่ากล้ามเนื้อ  ปอดของแกคงทนกว่ากระดูกสันหลัง  
      และอายุของแกคงทนกว่าเรี่ยวแรง  แกควรจะตายเสียก่อนหน้านี้  
      ก่อนที่ลูกๆ จะพากันหลงลืมแก  ก่อนที่แกจะต้องอยู่ตัวคนเดียว  
      ก่อนที่ลูกเขาจะต้องเขียนจดหมายงดจ่ายเงิน  และก่อนที่แกจะพบกับไอ้จ้อง  
      โลกนี้เปลี่ยนไปมาก  ครอบครัวของคนสมัยนี้จะไม่มีคนแก่อยู่ร่วม
      แม้ว่าคนแก่จะต้องการลูกหลานเพื่อชดเชยกับความหงอยเหงาในบั้นปลายชีวิต
      แต่พวกเขาก็มักจะถูกทอดทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่งหนึ่งเสมอ
          แกมองดูไอ้จ้อง  ครู่หนึ่งมันเหลือบตาขึ้นมองดูแก  
      ดวงตาของแกมีแววชอกช้ำ  ทำให้ตามของไอ้จ้องมีแววกังวลขึ้นมา  
      แน่นอนว่าหมามีความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของมนุษย์ได้  
      โดยในจำนวนนั้นจะมีเพียงบางตัวที่รู้สึกเอื้ออาทร  และไอ้จ้องมีแววตาที่แสดง
      ความห่วงใยชายชราอยู่เต็มเปี่ยมเช่นเดียวกับที่มนุษย์อาจจะมีต่อกัน  
      ตาสีเหลืองอมเทาของมันครุ่นคิดมีกังวลและแฝงแววเป็นห่วง  
      แกสวมเสื้อตัวเก่าแล้วเดินออกจากบ้าน  
      ไอ้จ้องรีบลุกขึ้นเดินตามชายชราไปโดยไม่รอช้า
          ชายชราหันหน้ากลับไปมองดูบ้าน  ความรู้สึกอย่างหนึ่ง
      แผ่ซ่านอยู่ในตัวแก  แกนึกถึงวันคืนอันยาวนานของชีวิตในบ้านหลังนั้น  
      ทุกข์  สุข  หวานชื่น  และขื่นขม  ตอนนี้ไม่มีสิ่งมีค่าใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว  
      นอกจากสามล้อเก่าๆ ประทุนขาดของแก  มันอาจจะขายได้สักพันบาท  
      แต่จะมีประโยชน์อะไรละถ้าแกไม่มีมัน
          แกพาไอ้จ้องเดินออกสู่ถนนใหญ่  ข้ามถนนแล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ อีกซอย
      แกมาถึงบ้านหลังหนึ่ง  เป็นบ้านชั้นเดียวมีรั้วไม้เก่าๆ กั้นเป็นบริเวณ  
      ชายชราตะโกนเรียกเจ้าของบ้านสองสามคำ
          “เต็มใจ  เต็มใจเอ้ย”
          ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน
          “อ้าว  ลุงโปรด  มีธุระอะไรหรือลุง  เข้ามาข้างในก่อนสิ”  
      เขาเดินมาที่ประตูรั้ว  ผลักบานประตูให้เปิดออก
          “ไม่เข้าไปละ  ข้าจะไปธุระ  จะเอาไอ้จ้องมาฝาก”
          เต็มใจมองดูหมา  เขารู้จักมัน  รู้ว่ามันเป็นหมาแสนรู้
          “อ้อ  ได้สิลุง  ให้มันเข้ามาข้างในเหอะ”
          ชายชราผลักไอ้จ้องเข้าไปในรั้วบ้าน  มันขัดขืนและส่งเสียงครางหงิงๆ
      เหมือนกับได้รับความทุกข์ทรมาน  เต็มใจต้องช่วยแกอีกแรงจึงผลักมันพ้นช่องประตูเข้าไปได้  
      ประตูถูกปิด  ไอ้จ้องถูกขังอยู่ในรั้วบ้าน  มันมองดูชายชรา  
      ร้องครางและเห่าร้อนรน  แววตาเต็มไปด้วยแววห่วงใยและเศร้า    
          “อยู่ที่นี่แหละจ้อง  เต็มใจเขาจะดูแลแกเอง”
          ชายชราพูดกับมัน  มองดูมันครั้งสุดท้าย  
      แล้วหันหลังกลับเดินลึกเข้าไปในซอย  ตรงไปที่ท่าน้ำหน้าวัด  
      ที่ซึ่งเมื่อปีที่แล้วไอ้จ้องเคยช่วยเด็กตกน้ำให้รอดชีวิต  แกยืนมองกระแสน้ำที่ไหลช้าๆ
      แกรู้ว่ามันลึก  ลึกพอที่จะกลืนชีวิตของใครก็ได้ที่ว่ายน้ำไม่เป็น  
      แกว่ายน้ำเป็น  แต่แกจะไม่ว่าย
          ชายชรากระโดดสุดแรง  ขาที่ปราศจากกล้ามเนื้อผลักแกหล่นโครมลงไปในน้ำ  
      แกไม่ว่าย  และแกจะไม่ว่าย  แกปล่อยแขนขาไปตามยถากรรม  มันถูกใช้งานมามาก  
      ขอให้มันได้หยุดบ้างเถอะ  ขอให้มันได้พักผ่อนบ้าง  ขอให้มันได้พักผ่อนไปชั่วกาลนาน
          ร่างของแกจมดิ่งลงไปช้าๆ แกหายใจไม่ออก  ลาก่อนโลกที่เจริญรุ่งเรือง  
      ลาก่อนชีวิตที่แสนเศร้า  ลาก่อนลมหายใจครั้งสุดท้าย…  
      แกรู้สึกอึดอัด  น้ำทะลักเข้าทางรูจมูก  สมองมึนใกล้จะหมดความรู้สึก
          มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
      ร่างของใครคนหนึ่งกระทบตัวแกอย่างแรง  
      เสื้อของแกถูกดึง  ร่างของแกลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ  
      แกสำลักน้ำเข้าไปอีก  ก่อนที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  ความรู้สึกของแกก็ดับสูญไป
          ชายชรารู้สึกตัวอีกครั้ง  แกนอนอยู่ที่ท่าน้ำ  
      มีคนหลายคนยืนรายล้อมรอบตัว  ไอ้จ้องกำลังเลียใบหน้าของแกสลับกับร้องครางหงิงๆ
      เต็มใจคุกเข่าอยู่ข้างๆ เขาเล่าให้แกฟังด้วยประโยคสั้นๆ
          “มันพังรั้วบ้านผมออกมา  มันฉลาดวายวอดอะไรยังงี้”
          ชายชราลุกขึ้นนั่ง  นักข่าวหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง
      ถ่ายรูปชายชราและไอ้จ้องสามสี่ภาพ
          “ตัวเดียวกับที่ช่วยเด็กเมื่อปีที่แล้วใช่ไหม”  เขาถาม
          “ใช่  ตัวเดียวกันนี่แหละ”  เต็มใจตอบ
          “มันเป็นหมาที่วิเศษแท้ๆ”  นักข่าวหนังสือพิมพ์กล่าวชื่นชม  
      “คราวนี้ผมจะขอให้เขาลงรูปของมันในหน้าหนึ่ง  รูปขนาดโตๆ ด้วย
      บางทีอาจจะทำสกู๊ปพิเศษในฉบับต่อๆ ไป  ขอโทษครับ  หมาของลุงตัวนี้ชื่ออะไร”
          ชายชราเอามือโอบรอบคอไอ้จ้องพลางคร่ำครวญปนร่ำไห้
          “อย่า  แกอย่าเรียกมันว่าหมาอีกแม้แต่คำเดียว  
      มันไม่ใช่หมา  แกอย่ามองมันที่รูปร่าง  ว่าจมูกของมันยาว  หน้าของมันมีขน  
      มันมีสี่ตีนหรือมีหาง  แต่จงดูที่ตาของมัน  ดูที่จิตใจของมัน  ดูที่การกระทำของมัน  
      ผู้คนทุกวันนี้จะมีสักกี่คนที่มีจิตใจใสสะอาดเท่ามัน  แกจึงควรละอายที่จะเรียกมันว่าหมา”
          “ถ้างั้นลุงจะให้เรียกมันว่ายังไง”
          “เรียกมันว่า…ว่า  สัตว์ประเสริฐก็แล้วกัน”
          ด้วยเหตุนี้  หนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้นจึงเรียกไอ้จ้องว่า
          “ไอ้จ้อง  สัตว์ประเสริฐลูกบุญธรรมของตาบุญโปรด
      คนถีบสามล้อเมืองนนทบุรี”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×