รัก - รัก นิยาย รัก : Dek-D.com - Writer

    รัก

    สายใยที่ตัดไม่มีวันขาด มีเพียงสายใยเดียว นั่นคือ \"สายใยแห่งรัก\"

    ผู้เข้าชมรวม

    791

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    791

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 มิ.ย. 46 / 14:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ฤดูร้อน โรงเรียนปิดเทอมแล้ว
      มันพลันเปลี่ยนจากสถานศึกษาอันครื้นเครง เป็นสถานที่อันเงียบสงบ
      เช่นเดียวกับจิตใจของผู้มาเยือน
      ทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวอาคารงดงามนัก
      ประกอบกับอากาศอันอบอุ่น เสริมสร้างให้โรงเรียน เป็นที่น่าเจริญตาเจริญใจอย่างยิ่ง
      ดอกราชพฤกษ์ร่วงหล่น เนื่องจากมิได้ผ่านการกวาดมาหลายวัน จึงปกคลุมอยู่เต็มทางเดิน
      นักศึกษาชายสี่คนกำลังคุยกันอย่างเบิกบาน เที่ยวชมนกชมไม้ ประหนึ่งโรงเรียนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของพวกมันฉะนั้น
      บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งพลันกล่าวขึ้น
      “วสันต์ รู้ข่าวยัง ห้องของเราจะจัดงานราตรีอาทิตย์หน้า”
      “รู้แล้ว แต่เรายังหาคู่เต้นรำไม่ได้เลย นายล่ะโชติหาได้ยัง”
      นักศึกษาคนที่สาม หน้าตาเป็นคนเจ้าชู้กรุ้มกริ่มยิ้มพลางตอบ
      “ฝีมือเราระดับไหนแล้ว ตอนแรกก็ทำใจดี ๆ แล้วเดินเข้าไปขอ ก็เท่านั้นเอง”
      “นายไม่กลัวเสียหน้าเหรอ ถ้าเค้าไม่ยอมไป”
      “นี่ วสันต์ มั่นใจนิดนึงนะ งานนี้เป็นโอกาสดีที่นายจะได้เผยความในใจให้เค้า น้ำขึ้นให้รีบตักนา เดี๋ยวมีคนตัดหน้าไปซะก่อนล่ะยุ่งเชียว”
      นักศึกษาคนที่สี่ รู้สึกน้อยหน้าจึงส่งเสียงบ้าง
      “พวกนายนี่น่าสมเพชจริง ต้องดิ้นรนหาคู่เต้นรำด้วย”
      บุรุษหนุ่มคนแรกถองเข้าที่ลิ้นปี่ของมันอย่างจัง
      “เออ ๆ ไอ้ปราชญ์พวกเราไม่ได้มีแฟนอย่างแกนิ”
      ปราชญ์ขบฟัน กล่าวตอบ
      “ฮา เพียร ก็นายไม่ยอมหาเอง พญาหงส์โผผินบินร่อน ถ้าไม่เอาตาข่ายไปดัก มันจะลงมาให้จับเองรึ”
      วสันต์ปั้นหน้าเคร่งเครียด
      “นายพูดยังกับผู้หญิงไม่ใช่คนอย่างนั้นแหละ พวกเธอมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่สิ่งของที่ไขว่คว้าหากันมาได้ง่าย ๆ”
      ปราชญ์ตอนแรกตกใจ ตอนหลังเพิ่งถึงบางอ้อ
      เมื่อทั้งสี่เลี้ยวหัวมุมตึก ก็เจอกับกลุ่มนักศึกษาหญิงสี่คน
      โชติสะกิดวสันต์ แล้วส่งสายตาราวกับจะบอกว่า
      ‘นายนี่สร้างภาพเก่งเหมือนกันนะ’
      วสันต์ก็ส่งตอบ
      ‘แหงล่ะ ไม่งั้นเราจะเป็นเพื่อนกับพวกนายได้ไง’
      เพียรมองกลุ่มสตรีที่กำลังหัวเราะคิกคักอย่างเหม่อลอย
      ตัวมันเองก็เหมือนกับวสันต์ เจอหน้าขวัญก็หายแล้ว อย่าว่าแต่เข้าไปขอเต้นรำด้วยเลย
      มิคาด หญิงสาวทั้งสี่หันกลับมา
      “เอ่อ เพียร คุณจะรังเกียจหรือเปล่าถ้าเราขอเป็นคู่เต้นรำของคุณ”
      คนกล่าววาจาเป็นนางในฝันของมันเอง ผู้มีนามศศิธร
      เพียรเหมือนล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์ วันนี้เป็นวันที่มันดีใจที่สุดในชีวิตถ้าไม่นับวันเกิด เงียบงันอยู่ช้านาน จนปราชญ์ต้องกระตุ้นเตือน
      เพียรพลันก้มหน้าคุกเข่าลง
      “เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับคุณผู้หญิง”
      ศศิธรหัวเราะคิกคักกล่าวตอบ
      “ค่ะ”
      แล้วสตรีทั้งสี่ก็หันกายจากไปด้วยอาการเบิกบานเช่นเดิม
      เมื่อสตรีมีความสุข บุรุษย่อมมีความสุขตามไปด้วย
      โชติและปราชญ์กระทุ้งเข้าที่สีข้างของเพียร
      “เยี่ยม!”
      เพียรหน้าแดง กล่าวตัดบท
      “พวกเราไปหาชุดใส่กันดีกว่า”
      มีเพียงวสันต์ที่ก้มหน้านิ่งเงียบ
      “เฮ้ วสันต์เป็นไรไป”
      “เปล่า เราเพียงแต่คิดถึงณัฐษิณา เธอไม่เห็นชวนเราเหมือนที่ชวนนายเลย”
      “เอาน่า ของอย่างนี้ต้องใช้เวลา เราไปสยามหาซื้อเสื้อผ้าประเสริฐกว่า”
      วสันต์ได้แต่พยักหน้ายอมรับ



      นักศึกษาทั้งสี่หาซื้อเสื้อผ้าจนลืมดูเวลา เมื่อมารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว
      วสันต์กับปราชญ์ได้ชุดสูทคนละตัว ส่วนโชติกับเพียรได้เสื้อมีปกสีแดงสด
      ทั้งสี่แยกย้ายกันกลับบ้าน
      วสันต์เดินลงบันไดเลื่อนอย่างเหงาหงอย พลันสายตาเหลือบไปเห็นดรุณีน้อยนั่งอยู่อย่างเดียวดายเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง
      กลับเป็นณัฐษิณานางในฝันของมัน
      วสันต์ลูบผมและจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เดินไปทักทายนางอย่างยิ้มแย้ม
      “สวัสดี กำลังรออะไรเหรอ”
      “อ้อ สวัสดี เรามาซื้อเสื้อผ้าน่ะ แต่ว่าฝนตกเลยเดินไปหาพ่อไม่ได้ นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย”
      วสันต์เกิดความคิดแล่นเข้ามาในหัว
      “เอ่อ ถ้ายังไงให้เราไปส่งมั้ย เรามีร่ม”
      ณัฐษิณาเงยหน้าขึ้นมองวสันต์
      “จะดีเหรอ เอ่องั้นก็ขอรบกวนหน่อยละกัน”

      บุรุษหนึ่ง สตรีหนึ่งเดินเคียงคู่กันใต้ร่มคันน้อย ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
      บางครั้งสตรีสะดุด บุรุษก็ดึงมือไว้ บางครั้งบุรุษสะดุดบ้าง สตรีก็ดึงมือไว้
      เป็นภาพที่ผู้ใดเห็นแล้วย่อมมีความสุข แต่ใครเล่าจะมีความสุขเท่าบุรุษสตรีคู่นั้น
      ณัฐษิณาชวนคุย
      “วสันต์คุณรู้มั้ย ความจริงเราชอบสายฝนนะ”
      “เหรอ ทำไมล่ะ”
      “เราว่ามันเป็นเครื่องหมายของความสดชื่น เราเห็นฝนตอนไหน ก็สดชื่นตอนนั้นล่ะ”
      วสันต์พลางคิดในใจ
      ‘ถ้าอย่างงั้นคุณก็เป็นสายฝนของผมแล้ว’
      แต่มันไม่ยอมปล่อยออกมา กลับกล่าว
      “เหมือนกันเลย ตอนเด็ก ๆ เราชอบวิ่งเล่นกลางสายฝนมาก แต่ถูกพ่อดุทุกครั้ง”
      “เหมือนแม่เราเลยแต่ที่ท่านทำก็เพราะหวังดีนะ อ๊ะ ถึงที่ทำงานพ่อเราแล้ว”
      วสันต์แม้ปรารถนาให้การเดินทางครั้งนี้ยืดยาวไม่จบสิ้น แต่จริง ๆ แล้วมันก็ทำไม่ได้
      “ขอบคุณมากนะ คุณเป็นคนดีจริง ๆ วันหลังเราต้องตอบแทนคุณแน่นอน”
      วสันต์กลั้นคำพูดไม่อยู่แล้ว
      “เอ่อ ไม่ต้องวันหลังหรอก เราขอคุณวันนี้เลย”
      “อะไรล่ะ ค่าเดินเหรอ”
      วสันต์แทบเป็นลม
      “ไม่ใช่ คือคุณให้เกียรติเป็นคู่เต้นรำของเราในงานวันราตรีได้มั้ย”
      ตอนแรกเหมือนภูเขาหนักอก แต่เมื่อมันพูดออกไปแล้วก็เหมือนตัวเบาหวิว ท้องไส้บิดเกลียว
      “เอ่อขอโทษนะ เรามีคู่เต้นรำอยู่แล้ว”
      ที่แท้นางมีคู่เต้นรำอยู่แล้ว!
      อนิจจา! วสันต์ที่น่าสงสาร แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังอดถามไม่ได้
      “ใคร… เอ่อใครที่ได้ไปกับคุณ”
      ณัฐษิณายกนิ้วมืออันเรียวยาวขาวผ่อง กรีดกรายไปหยุดอยู่ตรงหน้าวสันต์
      “ก็คุณไง”


      ห้องประชุมที่เคยเงียบเชียบ บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยนักเรียนชั้นม. 3/7    
      เหม่อมองไปทิศทางใดก็พบแต่นักเรียนชายหญิง หยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่กันเป็น คู่ ๆ
      เสียงหัวเราะเป็นเสียงแห่งมิตรภาพจริง ๆ
      อาจารย์ประจำชั้นร่างอ้อนแอ้นพูดใส่ไมโครโฟนกล่าวเปิดงาน
      “สวัสดีนักเรียนม. 3/7 ที่รักทุก ๆ คน ครูรู้สึกดีใจมากที่พวกหนูมีความสามัคคีกันเช่นนี้ ขอให้สนุกกับงานราตรียามค่ำคืนให้เต็มที่ พวกหนูเป็นเด็กดีขอให้รักษาความดีนั้นไว้ตลอดกาล เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็อย่าลืมกลับมาเยี่ยมครูด้วยนะ ครูคิดถึงนักเรียนทุกคนจ้ะ”
      สิ้นเสียงอาจารย์ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว
      อาจารย์ประจำชั้นเป็นศูนย์รวมจิตใจของเด็กทุก ๆ คนจริง ๆ
      เมื่อเสร็จจากอาหารค่ำ งานเต้นรำก็เริ่มขึ้น
      สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่วสันต์กับณัฐษิณา
      ผู้หญิงอิจฉาณัฐษิณา ส่วนผู้ชายอิจฉาวสันต์
      ณัฐษิณาหน้าตาสะสวยปานนางฟ้าอยู่แล้ว แต่ค่ำคืนนี้ เธอดูเหมือนจะสะคราญกว่าวันไหน ๆ สมกับเป็นหญิงงามในหมู่หญิงงามจริง ๆ
      ทุกก้าวย่างที่ร่ายรำกับวสันต์ ไม่เพียงแฝงด้วยพลังชนิดหนึ่ง ทั้งยังมีความอ่อนช้อยสดใสในตัว ดวงตาอันกลมโตของนางส่งประกายระยิบระยับสะกดทุกลมหายใจของเด็กชายภายในห้อง วสันต์รู้สึกว่ามันได้เสพทิพยสมบัติในวิมานชั้นดาวดึงส์แล้วก็มิปาน
      ทั้งสองเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง มิติที่มีเพียงมันสองคน
      นักเรียนรวมถึงอาจารย์ที่ควรจะจับคู่เต้นรำ กลับมานั่งชมทั้งคู่เต้นแทน
      “เต้นไปก็อายเค้าเปล่า ๆ” ปราชญ์ปรับทุกข์กับโชติอย่างเศร้าสร้อย
      นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน วสันต์กับณัฐษิณาจึงหยุดเต้น
      เธอหอบเล็กน้อย กล่าวคำ
      “ขอบคุณ”
      “ด้วยความยินดี คุณผู้หญิง”
      วสันต์พลางคิด มันควรจะเป็นคนกล่าวคำนั้นมากกว่า
      ทันใดโทรศัพท์ไร้สายของนางดังขึ้น
      ณัฐษิณาคุยได้เพียงชั่วครู่ เหมือนได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอตกใจถึงกับเป็นลมล้มลงไปในอ้อมอกของวสันต์
      เด็กชายคล้ายได้ยินเสียงเบา ๆ จากโทรศัพท์ว่า
      “จะอยู่กับใคร เลือกเอา”



          โรงพยาบาลจุฬาฯ ณ ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน
      แพทย์และพยาบาลวิ่งวุ่น
      วสันต์นั่งกุมขมับอยู่ภายนอก ศีรษะของมันแทบระเบิด
      นางพยาบาลคนหนึ่งวิ่งออกมา
      “เชิญเข้าเยี่ยมคนไข้ได้แล้วค่ะ”
      วสันต์ก้าวเข้าไปในห้อง ภาพที่ปรากฏแก่สายตามัน เป็นเด็กหญิงมีสายระโยงระยางทั่วตัว หนำซ้ำยังต้องใช้เครื่องหายใจอีกด้วย
      “หมอครับ เธอเป็นอะไรไป”
      “วัณโรคครับ เธอเป็นวัณโรคปอด แต่ก่อนยังไม่ออกอาการแต่พอเธอได้รับอะไรที่สะเทือนใจมาก ๆ ผลก็จะเป็นเช่นนี้ครับ”
      วสันต์มองหน้าที่เคยสดใสของณัฐษิณา เปลี่ยนเป็นซูบซีดไร้สีเลือด
      มันยังติดใจคำพูดในโทรศัพท์ อะไรคือให้เลือกว่าจะอยู่กับใคร
      อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านการเต้นรำติดต่อกันสามชั่วโมง วสันต์ทราบดี ถึงคิดอะไรก็คิดไม่ออกแล้ว มันจึงทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยเฝ้าไข้นางตลอดคืน
      บุรุษหนุ่มที่ทุ่มเทกับความรัก มักเป็นเช่นนี้เอง

      รุ่งเช้าวสันต์ตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย มันถึงกับเผลอหลับไปได้พลางได้ยินเสียงคุ้นหู
      “วสันต์ตื่นแล้วรึ”
      ผู้กล่าววาจากำลังยิ้มแฉ่ง ไม่ใช่ใครอื่นกลับเป็นปราชญ์ โชติและเพียรนั่นเอง
      “น่ายกย่องจริง ๆ ถ้าใครได้เป็นแฟนนาย คงดีใจตายเลย”
      วสันต์ไม่มีเรี่ยวแรงถกเถียงกับเพื่อนอีกแล้ว ได้แต่พยักหน้ารับ
      สิ่งที่อยู่ในหัวของมันตอนนี้มีเพียงณัฐษิณาผู้เดียว
      นางพยาบาลเข้ามาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือ เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กหญิงไอออกมา
      เธอฟื้นแล้ว! วสันต์วิ่งเข้าไปพูดคุย
      เพียรรีบสะกิดเพื่อนทั้งสอง เป็นเชิงให้ออกไปข้างนอก
      “ณัฐษิณา ในที่สุดคุณก็ฟื้น”
      เด็กหญิงพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไอออกมาแทน
      “อ้อ ลืมไปหมอบอกว่าตอนนี้คุณอย่าเพิ่งพูดอะไร”
      ณัฐษิณาส่ายหน้า พยายามกล่าว
      “ไม่ เรารู้ว่าเวลาของเราเหลืออีกเพียงน้อยนิด อยากคุยกับคุณให้มากที่สุด”
      “อย่าพูดอย่างงั้นสิ คุณจะต้องไม่เป็นไร เอ่อจริงสิเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
      เด็กหญิงน้ำตานอง
      “พ่อกับแม่หย่ากันเมื่อคืน”
      เมื่อหนุ่มสาวแต่งงานกันแล้ว สิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตคู่ก็คือการหย่าร้าง
      ยิ่งหากทั้งสองมีบุตร ผลกระทบจะส่งถึงเลือดเนื้อของทั้งสองโดยตรง
      วสันต์เพียงอยากเตะตัวเอง เรื่องแค่นี้มันกลับคิดไม่ถึง
      “อ่าเสียใจด้วยนะ”
      ณัฐษิณาหยักหน้า เธอดูเหมือนจะหลุดลอยไปได้ทุกเมื่อ พยาบาลสะกิดวสันต์
      “ให้คนไข้พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ อีกอย่างจะถึงเวลาตรวจอาการแล้ว”

      วสันต์รับประทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินไปที่หน้าห้องฉุกเฉิน เป็นเวลาเดียวกับที่แพทย์ผู้ตรวจเดินออกมา
      “สวัสดีครับ เธออาการเป็นอย่างไรบ้าง”
      หมอส่ายหน้า
      “ผมเกรงว่าเธอจะอยู่ได้อีก… ไม่นาน”
      วสันต์หลับตาลง มันทราบอยู่แล้วว่าผลสุดท้ายจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้
      คนเราต้องตายทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็ว ทรมานหรือไปดี
      แต่นี่ ณัฐษิณาอายุเพียงสิบสี่ เป็นวัยที่กำลังเบ่งบาน ไฉนเลยจะต้องไปในลักษณะแบบนี้
      มันเพิ่งสนิทกับเธอได้ไม่กี่วัน เพียงเพราะการแตกร้าวของพ่อแม่ก็สามารถทำลายลูกสาวได้มากขนาดนี้เชียวหรือ?
      วสันต์ร้องไห้ตอนลืมตาดูโลกเพียงครั้งเดียว บัดนี้มันกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง
      ไม่ มันจะต่อสู้เพื่อเธอจนวินาทีสุดท้าย
      “ไม่มีวิธีรักษาเธอแล้วเหรอครับ”
      หมอส่ายหน้าอีกครั้ง
      “เกรงว่าไม่ครับ เอ่อ ผู้ป่วยขอร้องให้หมออนุญาตให้คุณเข้าไปคุย เชิญครับ”
      วสันต์เดินเข้าไป คล้ายเป็นร่างไร้วิญญาณเคลื่อนที่ได้
      เด็กหญิงทรุดโทรมแล้ว แต่เด็กชายทรุดโทรมกว่า
      “หมอบอกว่าเราจะอยู่ได้อีกไม่นานใช่มั้ย”
      วสันต์ได้แต่พยักหน้า แต่ณัฐษิณากลับยิ้มออก
      “เราคิดถึงสายฝน สายฝนอันเย็นฉ่ำ อยากกลับไปเป็นเด็กจังเลยเนอะ จะได้วิ่งเล่นแบบนั้นอีก พ่อกับแม่เคยรักกันมาก แต่พอพ่อติดเหล้าก็ทำลายทุกสิ่ง แม่เสียใจมากจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย บอกว่าถ้าเราไม่เกิดมาแม่คงฆ่าตัวตายไปแล้ว แย่จังเลยนะ เรายังจำได้ ตอนป. 2 พ่ออุ้มเราเล่นชิงช้า บอกว่ารักหนูที่สุดเลย ทำไมมาถึงตอนนี้ พ่อกับแม่จะแยกกันแล้วล่ะ แต่… แต่ที่น่าเสียดายคือ เรายังไม่ได้รู้จักคุณเท่าไหร่เลย การจากลามันขมอย่างนี้เลยเหรอ เราทำกรรมอะไรไว้ ทำไมสิ่งดี ๆ ในชีวิตถึงได้มาจากเราไปในเวลาอันสั้นอย่างนี้ แม้แต่… แม้แต่ชีวิตของเราก็ไม่เว้น”
      วสันต์หลับตาอีกครั้ง คราวนี้น้ำอุ่น ๆ ไหลออกจากตา มันกุมมือของเด็กหญิงไว้
      “ณัฐษิณา ถึงตายเราจะไม่พรากจากกัน ถ้าคุณเป็นอะไรไปเราจะตามคุณไปด้วย ชีวิตเราจะมีประโยชน์อะไรถ้าปราศจากน้ำฝนที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างคุณ มันอาจฟังดูงี่เง่า แต่…เราอยากให้คุณรู้ไว้ เรา รัก คุณ หมด หัว ใจ”
      เด็กหญิงยิ้มอีกครั้ง อาจเป็นยิ้มครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ ตาของเธอก็ส่องประกายอีกเป็นวาระสุดท้าย เหมือนกับต้องการจะสื่อกับวสันต์ว่า
      ‘เราก็รักคุณเหมือนกัน’
      กราฟการเต้นของหัวใจเธอขนานกับแกน x แล้ว
      ไฟในห้องดับลง ดับไปพร้อมกับเทียนชีวิตของวสันต์และณัฐษิณา
      พวกเขาทั้งคู่แม้มิได้เกิดวันเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็ยังดีใจที่ได้ตายพร้อมกัน และหัวอกเดียวกัน คือทั้งคู่ตายเพราะขาดคนที่ตนรัก ไม่ได้
      ปราชญ์ เพียรและโชติ มองขึ้นไปบนฟากฟ้า ทั้งสามเหมือนกับมองเห็น
      วสันต์และณัฐษิณา เดินเคียงคู่กันใต้ร่มคันน้อย ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ไปตามหนทางยาวไกลที่ไม่มีวันจบสิ้น แม้ความตายก็มิอาจแยกพวกเขาทั้งสองจริง ๆ เพราะทั้งคู่มีสายใยอันไม่มีวันขาดที่เรียกว่า ‘ความรัก’ เชื่อมกันอยู่แล้ว

      “หนู ๆ เป็นอะไรรึเปล่า”
      คนผู้หนึ่งกำลังเรียกวสันต์
      เรียกวสันต์? หรือเรียกศพวสันต์?
      แต่คนผู้นี้กำลังเรียกวสันต์จริง ๆ
      ที่แท้…
      วสันต์ร้องลั่น
      “อ๊ะ! อะไรกันฝันไปหรอกเหรอ”
      มีเสียงอันอ่อนโยนกล่าวตอบ
      “ใช่ คุณก็ฝันเหมือนกันเหรอ”
      กลับเป็นเสียงของณัฐษิณา
      เด็กชายขยี้ตามองเห็นเด็กหญิงนั่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด สีหน้าของนางไม่เพียงหายเป็นปกติ มิหนำซ้ำกลับดูน่ารักยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
      ที่ข้างเตียงมีบุรุษและสตรีวัยกลางคนขนาบข้าง
      วสันต์พอเดาออก สองคนนี้ย่อมเป็นบุพการีของณัฐษิณา
      “ลูกเอ๊ย เป็นความผิดของพ่อกับแม่เองที่ทะเลาะกัน ผู้ใหญ่น่ะลูก ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็เป็นแบบนี้ เราเข้าใจกันแล้วไม่มีอะไรหรอก เอ้อ วสันต์ ต้องขอบใจหนูมากนะที่ดูแลลูกของลุงอย่างดี ลุงกับป้าไม่รบกวนแล้วล่ะ ณัฐษิณาพักผ่อนให้เพียงพอนะลูก”
      “ค่ะพ่อ”
      เด็กหญิงยิ้มอย่างอ่อนหวาน อ่อนหวานจนเด็กชายแทบขาดใจ
      นางไม่ได้ยิ้มให้พ่อแม่ กลับยิ้มให้วสันต์

      ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนแล้ว
      เด็กชายจ้องหน้าเด็กหญิง
      เด็กหญิงก็จ้องหน้าเด็กชาย
      ทั้งสองเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ
      แล้วตะโกนพร้อมกัน
      “น้ำเน่า!!!!”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×