The Memory ~ Happy for you - The Memory ~ Happy for you นิยาย The Memory ~ Happy for you : Dek-D.com - Writer

    The Memory ~ Happy for you

    fiction นะคะ ฟิคฉลองวันเกิดให้คิรัวร์จากการ์ตูนเรื่องฮันเตอร์... วันที่ 7 กรกฎาคม ค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    228

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    228

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ก.ค. 47 / 13:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สิ่งที่ถูกลืม สิ่งที่ถูกเก็บไว้ในห้วงลึกของสมอง บางที วันหนึ่งมันก็ปรากฏขึ้นมาราวกับน้ำพุที่ผุดมาจากใต้บาดาล ผุดขึ้นมาจากความทรงจำที่เราเคยลืมมันไป อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เปรียบเสมือนดังน้ำวนใหญ่กลางมหาสมุทร ที่คอยจะดึงเราให้ฝังจมไปกับมัน อดีตไม่ใช่ความทรงจำที่น่ากลัว มีส่วนดี แต่นั่นก็เปรียบเสมือนเป็นพายุกลางทะเล หากไม่พยายามมองไปข้างหน้า รังคิดแต่จะคิดถึงอดีตเราก็ไม่มีวันหลุดพ้นจากมัน ไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจและมั่นคง อย่ายึดติดกับอดีต และก็อย่าลืมอดีต เพราะมันก็มีเข็มทิศเล็กๆคอยชี้ทางไปสู่อนาคตข้างหน้าให้เรา อยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือไม่… ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆยามเช้าของฤดูร้อน ใบไม้นานาพันธุ์เริ่มแห้งเหี่ยวและโรยร่วงไปตามฤดูกาล เด็กหนุ่มวัย 13 ผมสีเงินยุ่งเหยิงโบกสะบัดไปตามสายลม ใบเมเปิลร่วงโรยลงมา สีหน้าของเขาดูอิดโรยทั้งๆที่ สีหน้าแบบนี้ไม่น่าจะได้เห็นในหน้าตากวนๆของเขา ปากซีดเซียวกับใบหน้าหมองเศร้า สถานที่ที่เขามองไปรอบๆแล้วทำให้หวนนึกถึงอดีต ความทรงจำครั้งแรกในชีวิตที่เขาอยากจะลืมมันที่สุด มือที่เปื้อนเลือด กับกลิ่นคาวเลือด อดีตนักฆ่าผู้เย็นชาอย่างเขา… ทายาทนักฆ่าชื่อดัง คิรัวร์ โซลดิ๊กส์ คนอย่างเขาไม่เคยแม้แต่จะเสียใจให้กับเรื่องแบบนี้ได้ ไม่เคยคิดแม้แต่อยากจะสำนึกผิด แต่ทำไมกันนะ เขาถึงได้ลืมมันไม่ลงเสียที เขาก้มลงมองดูมือทั้งสองข้าง ไม่มีเลือด ไม่มีกลิ่นคาวของมัน แต่เขากลับสัมผัสถึงมันได้ ในอดีตที่ยากจะลืม วันที่มีแสงแดดแรงจ้า 7 ปีมาแล้ว…นักฆ่าอย่างเขาถูกจ้างวานให้มาฆ่าเศรษฐีคนหนึ่ง ในเมืองที่อบไปด้วยอากาศร้อนระอุ บ้านเป้าหมายหลังใหญ่ตั้งอยู่โดดเด่นท่ามกลางเมืองที่แสนจะยากจนแร้นแค้น เด็กน้อยวัยย่าง 7 ขวบอย่างเขาไม่เคยมีแม้แต่สีหน้ายี่หระกับเมืองต่างแดนเมืองนี้เลยแม้แต่น้อย เป้าหมายก็อยู่ข้างหน้าแล้ว ที่เหลือก็แค่จัดการให้เสร็จๆไปเสียที เขาตัดสินใจพักผ่อนที่เมืองนี้สักหน่อยก่อนทำงาน ร้านน้ำชาเล็กๆข้างทางดูจะไม่น่าพึงประสงค์จะเข้ามาพักดื่มเอาเสียเลย แต่ด้วยอากาศที่ร้อนอย่างนี้ก็ทำให้มีลูกค้ามากพอที่จะมานั่งพักดื่มน้ำเพื่อแก้กระหาย… แล้วเจ้าของบ้านหลังใหญ่จะแร้นแค้นอย่างนี้มั๊ยนะ… เด็กชายคิดขณะจิบชาอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขานี่ ความคิดที่อยากจะมาพักเมืองนี้มันดับวูบลงทันทีเมื่อยามบ่ายอากาศนั้นร้อนเกินกว่าเขาจะอยากอยู่เที่ยวเล่น เขาเดินผ่านซอยเล็กๆ ผ่านขอทาน ผ่านกลุ่มคนขี้เมา และชาวบ้านยากจนอีกนับไม่ถ้วน บรรยากาศที่ชวนให้หดหู่ใจเสียเหลือเกิน แต่สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรสำคัญเลยนอกจากทำงานให้เสร็จแล้วจะได้หาอะไรทำแก้เซ็งฆ่าเวลา รู้สึกไม่อยากจะกลับบ้านที่เต็มไปด้วยความเย็นชา แต่ก็ไม่อยากจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้นานเกินไป ไม่ใช่เขาทนอากาศร้อนไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่ชอบบรรยากาศชวนหดหู่รอบตัวมากกว่า “นี่... นายน่ะ มาจากที่อื่นหรอ” เด็กชายตัวเล็กกว่าเขา ผมยุ่งสีดำ ร่างกายผอมซูบซีด เสื้อผ้าเก่า ขาดรุ่งริ่ง ดวงตาสีดำมีประกายระริกเมื่อสบตากับคิรัวร์ เขาเห็นคิรัวร์เป็นคนแปลกหน้า แต่ก็อยากจะรู้จักด้วย แต่ถึงกระนั้นคิรัวร์กลับไม่สนใจ เขายังคงเดินต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กชายมองคิรัวร์ เขาเดินตามคิรัวร์ที่ไม่แม้แต่จะใส่ใจหันมามอง เหมือนกำลังต้องการอะไรบางอย่าง เด็กชายจากต่างแดนในวัยเดียวกับเขา ทำให้เขาต้องการจะทำความรู้จักด้วย แต่เพราะอะไรกันนะ เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย “เอ่อ ฉันชื่อ... เรย์นะ... ยินดีที่ได้รู้จัก อยากจะเป็นเพื่อนด้วย แต่ถ้านายไม่อยากคุย งั้นชั้นก็ไปก่อนนะ...” เขาตะโกนไล่หลังเด็กชายพร้อมกับความหวังอันเลือนลาง แล้วค่อยๆหันหลังเดินจากไป คิรัวร์เพิ่งรู้สึกได้ตอนนี้เองว่า คำว่า ‘เพื่อน’ ที่เด็กคนนั้นพูดมันคืออะไรกันแน่... เขาหันหน้ากลับมามองอีกฝ่ายที่เดินหันหลังให้เขา “นี่...นายน่ะ... อยากจะถามอะไรหน่อยได้มั๊ย...” คิรัวร์เรียก เด็กชายหยุดชะงักทันที เขาหันมายิ้มร่าให้คิรัวร์ แม้ใบหน้าจะดูซูบซีด แต่รอยยิ้มนั้นบ่งบอกถึงความจริงใจอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มของเขานั้นมีแววฉงนอยู่บ้าง แต่คิรัวร์ก็ไม่ใส่ใจ “ทำไมนายถึงอยากจะมีเพื่อนนักล่ะ...” คิรัวร์ถาม นึกถึงดวงตาโหยหาเมื่อกี้นี้ คำถามที่ทำให้อีกฝ่ายต้องก้มหน้าอย่างนึกเศร้า “ก็เพราะที่นี่ไม่เหลือเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับฉันแล้วน่ะสิ...ฉันก็เลยดีใจที่ได้เจอนาย...” เขาก้มหน้าตอบ แต่คำตอบนั้นก็ไม่สามารถบอกคิรัวร์ได้เลยถึงความหมายของคำว่าเพื่อน “แสดงว่านายเคยมีเพื่อน แล้วเพื่อนายหายไปไหนหมดล่ะ...” แทนคำตอบเด็กชายกลับก้มหน้า คิรัวร์ครุ่นคิด วัยอย่างเขากำลังอยากรู้อะไรแปลกใหม่ …เพื่อนเหรอ?... “งั้นชั้นจะเป็นเพื่อนกับนายสักวันดีมั๊ย...” คิรัวร์ตอบ เขาเห็นสีหน้ายิ้มร่าของอีกฝ่าย แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากจะยิ้มเหมือนหมอนั่นเลยสักนิด “อืม...แต่อีกสองชั่วโมงฉันจะไม่อยู่ งั้นนายมาบ้านฉันนะ ฉันจะแนะนำแม่ให้รู้จัก...” เด็กชายยิ้มกว้าง แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ฉันชื่อเรย์นะ แล้วนายล่ะ ยังไม่ได้บอกชื่อฉันเลยนี่...” “คิรัวร์...” เขาตอบเสียงสั้น ก่อนจะถูกเด็กชายวัยเดียวกันที่ตัวเล็กกว่าเขาลากไปข้างหน้า ทั้งๆที่ไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ความรู้สึกประหลาดค่อยๆปรากฏขึ้นในหัวใจที่ไร้ความรู้สึก อุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกที่ไม่เคยประสบพบพานเลยสักครั้งตั้งแต่เขาจำความได้... บ้านหลังเล็กๆ หลังคามุงด้วยไม้กระดานเปราะบางที่บางทีมันอาจจะพังลงมาเมื่อไรก็ได้ตามแต่โอกาสของภัยธรรมชาติเล็กๆน้อยๆ หรือแค่พ่นเอาลมหายใจรดมัน ก็อาจจะทำให้มันพังลงมาก็เป็นได้ เด็กชายผมดำกำลังจูงมือคิรัวร์มายังที่แห่งนี้ กลิ่นฉุนของผัดอะไรบางอย่างโชยออกมาจากเพิงหลังนั้น ชวนให้น้ำลายสออย่างหยุดไม่ได้ “ขอโทษนะ บ้านฉันมันอาจจะเล็กไปหน่อย...” เด็กชายผมดำรีบขอโทษขอโพยก่อนจะผลักประตูหน้าบ้านเข้าไป เขาดึงคิรัวร์เข้าไปด้วย พร้อมกับส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ ใบหน้าขาวซีดชวนหดหู่โผล่ออกมาจากด้านหลังที่ดูเหมือนจะเป็นห้องครัว ใบหน้าของเธอผอมซีด คิรัวร์สังเกตเห็นใบหน้าของเธอก็พอจะเดาได้ว่าหล่อนคงอายุประมาณ 30 กว่าๆเท่านั้น แต่ใบหน้ากลับมีรอยเหี่ยวย่น ผมของเธอเริ่มเป็นสีเทาก่อนวัยอันควร บ่งบอกถึงความลำบากของเธอที่ผ่านๆมาอย่างชัดเจน “สวัสดีจ้ะ” เสียงแหบเล็กๆของหญิงสาวเอ่ยทักทายผู้มาเยือน “พ่อหนูเป็นใครกันจ้ะ” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แม้ใบหน้าของเธอจะไม่รับกับใบหน้าที่แสนจะจริงใจก็ตามที คิรัวร์มองไปรอบๆอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาไม่ตอบคำถามของหญิงเบื้องหน้า แต่เธอก็ยังยิ้ม... “เขาชื่อคิรัวร์ฮะ... เขาบอกว่าจะเป็นเพื่อนกับผม” เรย์เป็นผู้ตอบแทน เขาหาที่นั่งให้คิรัวร์ได้บนเก้าอี้ไม้เก่าๆตัวหนึ่ง “แล้วนี่แม่ของฉันเองนะ...” เขาแนะหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้า หล่อนยิ้มให้คิรัวร์ สายตาเย็นชาเมื่อคู่เริ่มจางลงเมื่อรู้สึกถึงรอยยิ้มที่อ่อนโยนเบื้องหน้า หลังจากแนะนำตัว หล่อนก็กลับเขาไปในห้องครัว ส่วนเรย์ก็เข้ามาคุยกับคิรัวร์อย่างร่าเริง เสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้ยินมาตลอดชีวิต ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้สัมผัส ...ทำไมกันนะ ทั้งๆที่มีผู้คนห้อมล้อมมากมาก พี่ชาย น้องสาว พ่อ แม่ ปู่ โกโต้... ทุกคน แต่เขาเองกลับไม่เคยได้เห็นเสียงหัวเราะแบบนี้ ความอุ่นใจแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง... เขานั่งมองเด็กชายตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ชั่วชีวิตของเขาถูกสอนมาไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้ไม่ใช่...เขาไว้ใจเด็กคนนี้ได้ ...นายเป็นใครกันน่ะ? ทำไมถึงอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันล่ะ...แล้วนายจะบอกได้ไหม เพื่อน...หมายความว่าอะไรกันแน่...ช่วยบอกฉันที... “...รัวร์...คิ...รัวร์...เหม่ออะไรน่ะ... กินข้าวกลางวันไหม...” เรย์โบกมืออยู่ข้างหน้าคิรัวร์ เสียงเรียกเมื่อครู่ทำให้เขาตื่นจากความคิด กลิ่นของอาหารตรงหน้าโชยมา... “นี่อะไรน่ะ...” คิรัวร์มองอาหารในจาน ไม่เคยเห็นอาหารแบบนี้มาก่อน... “นายต้องเป็นพวกลูกผู้ดีแน่ๆเลย...นี่เป็นผัดผักธรรมดา นายจะกินลงมั๊ยเนี่ย” เรย์หยอกล้ออย่างกล้าๆกลัวๆ ใจหนึ่งก็คิด... หมอนี่ยิ้มยากจริงๆ... ถ้าคิรัวร์ยิ้มเขาก็คงจะดีใจมากเป็นแน่ “ผัดผักหรือ? จะลองกินดู...” คิรัวร์พูด เป็นครั้งแรกที่เขาพูดอะไรตรงๆออกไป ไม่นานจานอาหารตรงหน้าก็หมดเกลี้ยง หญิงสาวผู้เป็นแม่ยกจานอาหารไปเก็บ ขณะที่เรย์ยังคงถามนู่นถามนี่จากคิรัวร์หลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งคิรัวร์เองก็ยอมตอบบ้าง เงียบบ้าง บางครั้งที่เขาไม่พอใจ เขาก็ชอบส่งสายตาเย็นชามาให้เรย์เสียวสันหลังอยู่บ่อยๆ “นี่ นายเกิดวันที่เท่าไรเหรอ...” เรย์ถาม คิรัวร์มองหน้าเรย์ เขาไม่ตอบ... “ทำไมถึงถาม...” “เปล่าๆ แค่อยากรู้น่ะ... เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วนะ...” เรย์พูดพร้อมกับมองแสงตะวันนอกหน้าต่าง แสงแดดจ้าบอกให้รู้ว่าเขาได้เวลาไปแล้ว “เหรอ? ฉันเองก็มีงานต้องทำเหมือนกัน...” คิรัวร์ว่าพลางลุกขึ้น “แล้วเราจะได้เจอกันอีกมั๊ย คิรัวร์...” แววตาเศร้าปรากฏบนใบหน้าของเรย์อีกครั้ง “หึ... คงไม่มั้ง” คิรัวร์พูด เขายิ้มที่มุมปากนิดๆ เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มให้คนอื่น ถึงจะไม่ใช่รอยยิ้มที่น่าพึงประสงค์นัก แต่เรย์กลับดีใจที่ได้เห็นเขายิ้ม อย่างน้อยขาก็ได้รู้แล้วว่า คิรัวร์เองก็ยิ้มได้เหมือนกัน... “เราคงได้เจอกันอีกนะ...” เรย์โบกมือลา เขากำสิ่งหนึ่งในกระเป๋าไว้แน่น แต่คิรัวร์ไม่ได้มอง... เขามุ่งหน้าไปทำงานที่พ่อให้มา... เย็นๆหน่อยค่อยลอบเข้าไปแล้วกัน...เขาตัดสินใจ ขณะที่เรย์วิ่งไปทางท้ายของหมู่บ้าน ที่ปลายสุดของหมู่บ้าน บ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ปลาสุดของถนนสายแคบๆ จากที่เขาสำรวจไปรอบๆ บ้าน บ้านหลังนี้ดูสุดแสนจะหรูหราเกินกว่าจะมาตั้งอยู่ในเมืองอันแร้นแค้นแห่งนี้ได้ หลังคาทำด้วยกระเบื้องอย่างดี รอบบ้านรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายของความสดชื่น แต่สำหรับเด็กชายแล้ว ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าบ้านโกโรโกโสของเรย์เสียอีก… …รีบทำงานให้เสร็จแล้วจะได้ไปๆซะที… เด็กชายคิดกับตัวเอง ก่อนจะใช้ความสามารถย่องเบาที่เขาชำนาญแอบลอบเข้าไปในบ้านอย่างง่ายดาย เขาสามารถหลบยามร่างยักษ์กว่า 10 คนโดยที่พวกนั้นไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่ามีคนแอบลอบเข้ามา ให้ตายสิ! เจ้าของบ้านหลังนี้ต้องกดขี่ชาวเมืองอะไรสักอย่างแน่ เห็นแก่ตัวชัดๆ… บ้านสะอาด น้ำดื่นน้ำใช้มีเพียบพร้อม ทุกอย่างในบ้านล้วนเป็นของดีๆทั้งนั้น... คิรัวร์ชักอยากจะจัดการกับเจ้าของบ้านซะเร็วๆ ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงได้คิดอะไรนอกจากการฆ่าได้…ใช่สิ…เขามาฆ่าหมอนั่นอยู่แล้ว แล้วก็ต้องรีบๆจัดการด้วย หรือว่าค่อยๆควักหัวใจออกมาให้มันทรมานเล่นดีนะ ให้สาสมกับที่นานๆครั้งเขาจะได้มีโอกาสหมั่นไส้ใครซักคน... คิดไป ก็เดินผ่านรอบๆบ้านไป สำรวจให้ทั่ว อยากจะรู้นักว่าหมอนี่กดขี่คนอื่นยังไงบ้าง... ขาเพิ่งประจักษ์ก็ตอนนี้แหละ ว่าทำไมถึงมีคนจ้างให้มาฆ่าหมอนี่ เพราะเป็นคนไม่ดีสินะ อยากจะรู้นักว่าใครกันที่จ้างเขามา คงไม่ใช่ชาวเมืองหรอก ก็คนพวกนั้นมีเงินกันซะที่ไหน เงินจะเลี้ยงชีวิตไปวันๆก็ยังจะไม่มีเลย... คิรัวร์เดินขึ้นไปชั้นบน ผ่านห้องนอนหลายห้อง เขาเดินอย่างเชื่องช้า แล้วในที่สุดก็ไปหยุดอยู่ตรงประตูบานหนึ่ง บานที่เขารู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างใน เสียงทุ้มของผู้ชายร่างใหญ่ดังออกมา เป็นน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจ “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้... ไอ้เด็กไม่รู้จักบุญคุณคน รู้มั๊ย ที่แกอยู่รอดมาจนทุกวันนี้ได้ก็เพราะใคร...” เสียงกรรโชกดังลอดออกมา คิรัวร์ย่องเงียบเข้าไปใกล้ๆ รู้สึกแปลกๆ “ไปทำงานให้เสร็จ หนี้ของแกกับแม่แกมันยังไม่หมดนะ... คิดหรือว่าหนี้ที่แกติดฉัน ชั่วชีวิตของแกแกก็จ่ายให้ฉันไม่หมดหรอก เจ้าเด็กสกปรก...พวกแกต้องคอยรับชั้นไปตลอดชีวิต” เสียงแห่งความเหยียดหยามดังออกมา เสียงที่ชวนให้เขาอยากจะโผล่ไปควักหัวใจออกมาค่อยๆบดขยี้อย่างอดไม่อยู่ เขากำลังรอเวลา ถ้ามีคนอยู่ด้วย แสดงว่างานของเขายังไม่สามารถเริ่มได้ เพราะนี่เป็นการลอบสังหาร จะต้องไม่มีผู้เห็นเหตุการณ์ ไม่งั้นก็ต้องฆ่าให้หมดทุกคน... คิรัวร์เดินเขาไปใกล้อีก หูของเขาดีพอทีจะแอบฟังทุกประโยคคำพูดภายในห้อง และนั่นก็ทำให้เขารู้ว่ามีคนอยู่ในนั้นเพียงแค่ 2 คน “หึ... อย่ามองฉันด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างนั้นสิ... เจ้าเด็กสกปรก...” เสียงชวนสะอิดสะเอียนดังขึ้นไม่หยุด “ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างหรือไง เจ้าเด็กน้อย...” คิรัวร์ได้ยินเสียงกระชากอะไรบางอย่างอย่างแรง พร้อมกับเสียงลากของเก้าอี้ “ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ...เมื่อไรจะให้ผมไปทำงานซะที...” เสียงคุ้นดังขึ้นแทรก... นั่นมันเรย์นี่? “ได้...ฉันจะให้แกทำงานตลอดคืนเลย... ไปขนหินที่ท้ายสุดของหมู่บ้านมาให้หมดภายในคืนนี้... ฉันจะเอาหินนั่นไปส่งขายทอดตลาด แกคงทำคนเดียวสินะ ก็เพื่อนของแกไม่มีแรงทำกันแล้วนี่ ถ้าแกอ่อนแออีกเมื่อไร แกก็จะได้ตายเหมือนเพื่อนๆของแกนั่นแหละ ชอบมั๊ยล่ะ ถูกฝังอยู่ในกองหินน่ะ...ฮ่าๆๆๆ” “แก...โอ๊ย...!” เสียงกระแทกแรงๆดังขึ้น ...ทนไม่ไหวแล้ว... “เรย์...!!!!!!!!!” คิรัวร์พังประตูเข้าไป สภาพที่เขาเห็นคือ เด็กชายที่เขารู้จักดีเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ชายร่างใหญ่ หนวดดกเฟิ้มกระชากคอเสื้อเขาอยู่ “ค...คิรัวร์...นายมาได้ไงน่ะ...” เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ความโกรธเข้าครอบงำเขาเป็นครั้งแรก “แกกำลังทำอะไรน่ะ...” คิรัวร์กระชากเสียง แววตาที่ใครเห็นก็ต้องกลัวอย่างลนลาน แววตาของคนในโลกมืดปรากฏอยู่บนดวงตาของเด็กชายอย่างคิรัวร์ ชายร่างใหญ่รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล “เฮ้ พวกยามไปไหนกันหมดหะ... มาเร็วเข้า ใครปล่อยให้ไอ้เด็กนี่เข้ามา...” เขาตะโกนก้อง ท่าทางวางอำนาจที่เรย์เห็นเมื่อครู่กลับหดหายไป เหลือเพียงแต่ความกลัวที่เขาพยายามจะสะกดไว้ “แกเป็นใคร...” เขากระชากคอเรย์อีกเพื่อขู่คนตรงหน้า “คิรัวร์...” เรย์มองคิรัวร์ แต่ท่าทางคิรัวร์จะไม่ได้ยิน... “แกจะปล่อยหมอนั่นได้หรือยัง...” คิรัวร์พูดเสียงหนักแน่น แววตานั่นทำให้เจ้าของร่างใหญ่โตต้องยอมทำตาม ชั่วครู่เดียวพลทหารยามที่คิรัวร์ผ่านมาก็โผล่พรวดเข้ามา แต่ทว่า... พริบตาเดียว ไม่ทันจะมีใครกระพริบตาด้วยซ้ำ เด็กชายวัยย่าง 7 ขวบก็ใช้มือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมผ่านทะลุร่างกายของชายฉกรรจ์กว่า 10 คนล้มลงขาดใจตายทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองถูกแทง... “แก...เป็นใครกันแน่...” เขาเค้นเสียง แต่เรย์รู้ว่าชายคนนี้กำลังหวาดกลัว “คิรัวร์ โซลดิ๊กส์...” เขาพูด ดวงตายังคงเย็นชาเหมือนเดิม “นักฆ่าตระกูลโซลดิ๊กส์ หึ งั้นฉันจะฆ่าเด็กนี่ก่อนก็แล้วกัน...” เขาหยิบมีดพกออกมาจี้ที่คอของเรย์ที่แทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นอีกแล้ว... “คิรัวร์...นาย...” เรย์มองคิรัวร์อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเป็นนักฆ่า “แกจะฆ่าเพื่อนแกคนนี้ไปด้วยหรือไง” ชายร่างใหญ่ขู่... แต่คงจะไม่เป็นผลอะไรให้กับคิรัวร์เท่าไรนัก เมื่อเขาเข้าไปประชิดตัวทั้งสองอย่างรวดเร็ว ชูมือขวาที่หยาบกร้านและเปื้อนเลือดขึ้นมา... “ฉันก็จะฆ่าแกอยู่ดี…” เขาเหยียดยิ้ม คิรัวร์กระชากตัวเรย์กระเด็นออกไปกระแทกผนังด้านข้างอย่างง่ายดาย ก่อนที่เขาจะใช้มือที่เปื้อนเลือดควักดวงใจสีแดงสดออกมา มันกำลังเต้นเร่าอย่างตกใจเมื่อรู้ว่ามันไม่ได้อยู่ในรางกายอีกต่อไป ชายร่างใหญ่มองมันอย่างตกใจก่อนที่จะสิ้นลมหายใจอยู่ตรงนั้น ดวงตายังคงลืมค้างอยู่อย่างตื่นตระหนก และแล้วคิรัวร์ก็ค่อยๆบดขยี้หัวใจนั้นจนแหลกเหลวคามือ ใบหน้าของคิรัวร์ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เลือดและเศษเสี้ยวของหัวใจกระจายไปทั่วห้อง เปื้อนใบหน้าและร่างกายของคิรัวร์ กระเด็นใส่เด็กชายนามเรย์ที่นั่งตะลึงอยู่ด้านหน้าคิรัวร์ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะพูดอะไรออกมา การได้บดขยี้หัวใจทำให้คิรัวร์เกิดอาการกระหาย เขาอยากฆ่าอีก อยากสังหารอีก... ยังไม่พอ... เลือดกับศพแค่นี้ยังไม่พอ... เขากระหายการฆ่าเหลือเกิน อีกศพเดียว ตรงหน้านั่นไง ตรงนั้น ยังมีคนมีลมหายใจอยู่อีกคน ตรงหน้านายนั่นไง... ฆ่าทิ้งซะสิ...อย่าให้เหลือ ฆ่ามันให้หมด ไม่มีความปรานีอยู่ในใจคิรัวร์อีกต่อไปแล้ว... ใครก็ได้ ช่วยสนองกับความกระหายเลือดของเขาทีสิ... ใช่ เรย์ นายนั่นแหละ นายช่วยฉันได้... ไม่มีแววตาของความเมตตา มือของเขากระชากร่างของเรย์ขึ้นมาอย่างไม่ปรานี เรย์ไม่ขัดขืน คิรัวร์ส่งสายตาแห่งความพึงพอใจมาให้เรย์ เขาใช้มือมีดแทงทะลุร่างกายของเรย์ไป เลือดกระเด็นไปทั่ว เขายังไม่สิ้นลมทันที เรย์ยิ้มให้คิรัวร์อย่างอ่อนโยน “รู้...มั๊ย...คิ...รั...ว...ฉัน...อา...ยุ...ครบ...7...ขว...บ...วัน...นี้...ล่ะ...” เขาพูดเสียงแผ่วเบา แรงของความดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเด็กชายช่วยให้เขาสามารถพูดออกมาได้...”ขอ...บ...คุ...ณ...สำ...หรับ...ความ...เป็...น...เพื่อ...น...นะ...ฉั...น...ก็จะตอบ...แทน...ความ...ปรารถนาข....อง..น...า...” ไม่ทันจะพูดจบ แรงเฮือกสุดท้ายของเขาก็หยุดลง เขาหลับตาพริ้มอย่างสงบ นอนไม่ไหวติงอยู่บนมือของคิรัวร์...มือข้างหนึ่งของเขายังคงกำอะไรบางอย่างในกระเป๋า แต่คิรัวร์ก็ไม่สังเกตมันอีกต่อไป ...เพื่อน... ...คำว่าเพื่อตะโกนก้องอยู่ในหัวของคิรัวร์... “เรย์!” คิรัวร์ร้องออกมา... เขาทำอะไรลงไปกันนี่... กลิ่นคาวเลือดโชยออกมารอบๆห้องที่เขายืนนั่งอยู่ มองร่างไร้วิญญาณของคนที่เรียกเขาว่าเป็นเพื่อนเป็นครั้งแรก...เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง เพื่อนเหรอ...เพื่อนเขาทำกันอย่างนี้เหรอ...ยิ้มได้แม้เวลาจะตายเหรอ...นายคิดอะไรกันแน่...ไม่มีน้ำตา มีแต่ความครุ่นคิด เขาเดินจากที่แห่งนั้นมาโดยไม่เหลียวหลังหันไปมองมันอีกเลย... ...จนกระทั่งวันนี้...ที่นี่...เขากลับมาที่นี่อีกครั้งแล้ว...ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่มีบานหลังเล็กๆใกล้จะพัง ไม่มีคฤหาสน์หลังใหญ่ ไม่มีร้านน้ำชาโทรมๆ ไม่มีกลิ่นคาวเลือด ไม่มีนาย...เรย์...มีแต่ป่า ป่าเมเปิล ถึงจะดูแห้งแล้ง แต่ก็ดูดีกว่าที่แล้วๆมา... เขากลับมา เขากลับมา...เขาเลิกแล้ว เลิกฆ่าแล้ว... และวันนี้ วันเกิดของนายสินะ...รู้มั๊ย ฉันก็เกิดวันเดียวกับนาย อายุเท่านาย ถึงแม้ว่านายจะตัวเล็กกว่าฉันก็ตาม...เพื่อน... “คิรัวร์...นายเกิดวันเดียวกับฉันเหรอ...” เด็กชายร่างเล็ก ใบหน้าผอมๆกับรอยยิ้มคุ้นตาปรากฏท่ามกลางความมืด มีแต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมา “เรย์ นี่นาย...” คิรัวร์มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เด็กชายยังคงยิ้ม “สุขสันต์วันเกิดนะ...” เขาพูดพร้อมกับวิ่งเข้ามาใกล้คิรัวร์ จับมือคิรัวร์มา แล้วก็ยื่นมีดพกเล็กๆให้ มันเป็นมีดแกะเอง ด้ามจับทำด้วยไม้สลักชื่อคิรัวร์เอาไว้ ปอกมีดก็สลักคำว่า “มิตรภาพ...เรย์” เอาไว้ มีดที่เขากำมันไว้อยู่ตลอดเมื่อครั้งก่อนเขาจะสิ้นใจ “ฉันนั่งมันตอนที่เราจากกันนั่นแหละ ใช่เวลาชั่วโมงกว่าๆ กะจะให้นายไงล่ะ...” เขายิ้ม “ไปก่อนนะ...” “เดี๋ยวก่อนสิ...” สายไปแล้ว เด็กชายวิ่งหายลับไปในความมืด คิรัวร์วิ่งตาม...วิ่ง วิ่งเข้าไปในความมืด ตามเรย์ไป มืด...มองไม่เห็นอะไรเลย “...เรย์...รอก่อน......” “เรย์....!!!!!!!” เปลือกตาของคิรัวร์ค่อยๆปรับตัวให้เขากับแสงแดดยามเช้า...ฝัน...เขาฝันไปเอง...เขากำลังนอนหลับอยู่ใต้ร่มเขาเมเปิล แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงอะไรแข็งๆอยู่ในมือ มีดพกที่มีชื่อของเขาสลักอยู่... ”เรย์...นี่นาย...” เขาไม่ได้ฝันไป คำขอบคุณค่อยเอ่อล้นในหัวใจ ไม่ว่าเรย์จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม...เขารู้สึกยินดีมาก และขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิด... วันนี้แหละ...วันนี้เอง วันเกิดของทั้งนายและฉัน... ติ๊ด...ติ๊ด... เสียงมือถือของเขาดังขึ้น เบอร์ของคนคุ้นเคยโชว์ขึ้นมา เขากดรับมัน “ไงกอร์น...โทรมาทำไม...” คิรัวร์พูดเสียงใส ยิ้มอย่างร่าเริง ** “คิรัวร์...นายไปทำอะไรอยู่ไหน รู้ไหม พวกเรานัดนายเอาไว้นะ รีบๆมาที่บ้านของเลโอลีโอเร็วเข้า เลโอลีโอชักจะยั้วะขึ้นมาทุกทีแล้วนะ” ** เสียงจากปลายสายรีบร้อน ทำเอาคิรัวร์ยิ้ม “เอาน่า...อีก 2 ชั่วโมงจะไปถึงแล้ว...แล้วเจอกันนะกอร์น...” “มาเร็วๆนะ...” เสียงใสซื่อตอบรับ... วางสายแล้วคิรัวร์ก็ออกเดิน วันนี้รู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ ใม่ใช่หรอก...จริงๆแล้วเขารู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ได้พบเพื่อน เพื่อนไงล่ะ เพื่อน...กอร์น...เลโอลีโอ...คุราปิก้า...และเด็กคนนั้น...เรย์...เขารู้ความหมายของเพื่อนอย่างถ่องแท้แล้ว และเขาก็ดีใจและโชคดีที่สุดที่ได้เจอคนเหล่านั้น มันทำให้เขารู้จักตัวเองมากขึ้น เปิดใจมากขึ้น รู้จักโลกกว้างใบใหญ่นี้กว่าเดิม เขาไม่ได้เป็นนักฆ่าอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ที่เขาเป็นอยู่ก็คือ...ฮันเตอร์... ...เพื่อนที่ดีที่สุดคือ คนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ ...แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด... [center]*******--------------------------------------------*******[/center] 07/07 เสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากบ้านหลังเล็กๆริมฝั่งทะเล แม้จะเป็นช่วงหน้าร้อน แต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างหน้าประหลาด... “คิรัวร์ นายมาช้านะ...” เจ้าของชายร่างสูงพูดอย่างหงุดหงิด เขาขยับเนคไทแล้วก็ตบไหล่คิรัวร์เบาๆ “เราต้องทำโทษนาย โดยการ ฉลองวันเกิดให้ดีมั๊ยเนี่ย...” “ค่าตอบแทนที่นายมาช้า ปล่อยให้เรารอกว่า 4 ชั่วโมง...เอ้านี่...” ชายหนุ่มผมทองโยนห่อของให้คิรัวร์ เขารับมันมาแล้วรีบเปิดทันที มันเป็นซาวด์เบาท์ขนาดพกพาสีเงินเข้ากับสีผมของคิรัวร์อย่างดี เขาสวมมันไว้ที่คอ “ขอบใจ” เขาพูดเบาๆ พร้อมกับใช้นิ้มจิ้มครีมบนเค้กสวยตรงหน้ามากินอย่างไม่ใส่ใจนัก “หวา...คิรัวร์ อย่าเพิ่งกินสิ ยังไม่ได้เป่าเค้กเลยนะ...” เด็กชายผมดำโผล่พรวดเข้ามาห้ามเขาไว้ โพละ…! ใบหน้าของคิรัวร์และกอร์นคว่ำลงไปในหน้าเค้ก ใบหน้าของทั้งสองเลอะครีมและช๊อกโกแลตเต็มใบหน้า ทั้งสองหันหน้ามามองกัน แล้วก็ปล่อยพรืดออกมา เสียงหัวเราะไม่ได้หยุดอยู่ที่ทั้งสอง ชายร่างสูงก็ร่วมวงหัวเราะไปด้วย ขณะที่เด็กหนุ่มผมทองหยิบหนังสือปกหนามาฟาดหัวทั้งสามคนละที พร้อมกับร่วมวงหัวเราะไปด้วย อาหารที่มีอยู่ในบ้านเกลี้ยงเกลาลงในพริบตา เสียงหัวเราะครื้นเครงดังก้อง ไม่ต้องมีใครมาบอก โดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาคอยเตือน ความเป็นมิตรภาพก็สามารถเรียกรอยยิ้มของพวกเขาออกมาได้ตลอดเวลา... ...ไม่ต้องการอะไรมากมาย แค่มีความสุข อยู่กับเพื่อนๆ ยิ้ม หัวเราะไปกับคนที่เรายินดีจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ไม่ต้องไปมองเวลาที่ผ่านมา เพราะมันไม่อาจจะแก้ไขอะไรได้ และทุกวันนี้ การได้มีชีวิตอยู่ตามแบบที่ต้องการ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ก็ดีเกินพอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง...คิรัวร์ [b]******* Happy Birthday KILLUA *******[/b] บางสิ่ง บางอย่าง บางคน มีอิทธิพลต่อบางสิ่ง บางอย่าง บางคน อยู่เสมอ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ใครบางคนผ่านเข้ามา อาจทำให้ชีวิตเรา…เปลี่ยนไป เป็นราชสีห์มาตลอดอาจจะกลายเป็นลูกหมาตัวเล็กๆไปในทันที เมื่อสบตาใครบางคนเข้า ชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา คงได้ผ่านพบผู้คนมากมาย ได้พูดคุยกับใครบางคนทุกวัน โดยที่เราไม่รู้จักกันแม้แต่น้อย ยิ้มให้กันทุกครั้งที่เดินสวนทาง แต่เราไม่เคยเห็นกันในดวงตา บางคนเดินมาพร้อมเรา แต่เมื่อเขาหยุด เราก็จำต้องเดินล่วงหน้าไป หรือในวันใดเราสะดุด...หยุดไป ก็ไม่น่าแปลกใจ หากจะมีใครต่อใครเดินแซงหน้าเราขึ้นไปบ้าง ในท่ามกลางผู้คนสับสนบนโลกเรานี้ มันจึงดีแค่ไหน มหัศจรรย์แค่ไหน หากมีใครคนหนึ่งเดินฝ่าผู้คนเหล่านั้น มาหยุดอยู่ตรงหน้า เพื่อให้คุณได้รู้จักเขา การยินดีในสิ่งที่ควรยินดีเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อใดที่เราต้องเผื่อใจ ต้องเปิดกว้าง เพื่อยินดีในสิ่งที่เราไม่อยากยินดี เพราะสิ่งนั้นมันอยู่ในตัวใครคนนั้น ณ ช่วงเวลานาทีนั้น คือช่วงเวลานาทีอันยิ่งใหญ่ เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต ที่เราต้องให้เกียรติน้อมคำนับรับมันไว้ ขอบคุณใครบางคนที่ผ่านเข้ามา เพื่อทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป ใครคนที่ทำให้ เราก้าวออกจากตัวตนของตน ไปไกล ...ทำให้เราได้เป็น [center][b]…เ กิ น ก ว่ า ที่ เ ร า เ ค ย เ ป็ น…[/b][/center]

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×