คนไทยแต่ก่อนจะคิดจะทำอะไรเป็นต้องคิดถึงความดีความชั่วก่อนสิ่งอื่น ชมลูกชมเต้าก็ให้เป็นคนดีต่างกับสมัยนี้ที่ชอบให้เป็นคนเก่งมากกว่าคนดี การตั้งชื่อแซ่เช่นเดียวกัน ต้องตั้งแต่ในทางมงคล ดี งาม เช่น บุญมาก บุญหล่น บุญร่วง บุญทิ้ง ฯลฯ ไม่ก็ชื่อง่าย ๆ อย่างอีแดงอีเขียว นางนาค นางเกลื่อน อะไรไป นัยว่าการตั้งชื่อให้ยาวมากเป็นการทำตัวเทียมเจ้า เป็นกาลกิณีอัปมงคล ต่างกับสมัยนี้อีกเช่นกัน กล้าแม้กระทั่งนำชื่อของพระบรมวงศ์ชั้นสูงมาเป็นชื่อตัว
ผ่านมาถึงยุคที่รัฐบาลบอกว่าประชาธิปไตยเบ่งบานเหลือเกิน ขัดกับพฤติกรรม “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” ซึ่งดูเหมือนท่านชอบรวบอำนาจให้ใครคิดตามท่าน มากกว่าท่านจะฟังคนอื่น
ผู้นำท่านนี้ไม่พอใจอะไรที่เป็นไทย ๆ หลายอย่าง ทั้งการกินหมาก การนุ่งโจงกระเบน แม้กระทั่งชื่อประเทศหรือชื่อคน ประเทศเราถูกเรียกขานว่าสยามมานานนับร้อย ๆ ปี ท่านไม่พอใจด้วยไม่สอดคล้องกับลัทธิชาตินิยมสุดโต่งของท่าน ท่านเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองไทย ไทยแลนด์ แลนด์ออฟเด็ก เอ๊ย.. แลนด์ออฟสไมล์
ชื่อบุคคลทั่วไปท่านไม่พอใจก็สั่งให้เปลี่ยนอีก นัยว่าชื่อนั้นต้องบ่งเพศได้อย่างชื่อฝรั่ง ถ้าเรียกว่าอีตาจอร์จทีไหนทีนั้นต้องเป็นผู้ชายแน่ ๆ ถ้าเรียกลิลลีต้องเป็นสตรีทุกทีไป (แต่ลิลลีเมืองไทยยังสรุปไม่ได้ว่าชายหรือหญิง.. ฮา
) ท่านสั่งว่าชื่อชายต้องมีเดช ชื่อหญิงต้องมีศรี ชื่อคนไทยยุคนั้นจึงกลายเป็นชื่อน้ำเน่า เดินไปไหนมีแต่ อำนาจ สมชาย อาคม สมหญิง ศรีสมร ฯลฯ อย่างชื่อผู้เขียนเองหากเกิดในยุคนั้น เห็นทีท่านต้องให้เปลี่ยนเพราะชื่อกระเดียดคล้ายสตรี ถ้าต้องเปลี่ยนจริงผู้เขียนคิดว่าคงเปลี่ยนเป็น “ฌานวยหัวคิด” เพราะแสดงความเป็นชายอย่างเหลือเกิน
ท่านผู้นำท่านนี้สั่งให้ประชาชนคนไทยเปลี่ยนชื่ออย่างเดียวไม่พอ ท่านยังเหิมเกริมอาจเอื้อมเข้าไปถึงในรั้วในวัง หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะให้ใครเปลี่ยน แลเห็นไปทางสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระนามท่านคือ “สว่างวัฒนา” ท่านผู้นำคงคิดว่าได้ทีฉันล่ะหวา เดินทางไปขอเข้าเฝ้าพระองค์ท่านทันที แล้วกราบบังคมทูลว่า
“ตอนนี้รัฐบาลเป็นยุครัฐนิยม เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย กฎประการหนึ่งคนไทยต้องตั้งชื่อให้ตรงเพศ พระนามของสมเด็จพระองค์ท่านคล้ายชายมากกว่าหญิง รัฐบาลขอให้ท่านเปลี่ยนพระนามเสียใหม่”
สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ฟังแล้วตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ ว่า
“พ่อตั้งชื่อฉันมา พ่อรู้ดีว่าฉันเป็นลูกชายหรือลูกสาว” !!!
ท่านผู้นำจอมพลได้ยินดังนั้นไม่พูดพล่ามทำเพลง กราบปะหลก ๆ ครบสามคาบก็นั่งรถกลับไปเลียแผลที่ทำเนียบ นี่เรียกว่าทำอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
มาถึงยุคนี้เป็นยุค “ถิ่นกาขาว” หรือไงไม่ทราบ ชื่อใครต่อใครต้องเป็นฝรั่งหัวดำ ฟังชื่องี้ฝรั่งจ๋า
ไม่ว่าบ้านจะอยู่ติดชายแดนเขมรหรือลาว เห็นสาว ๆ มีแต่น้องโน้ต นู๋แหม่ม น้องนิว ยัยสเตลลา  ไอ้บ้าเอริ์ธ ฯลฯ หาชื่อบุญมีบุญหล่นได้น้อยเต็มทน ถ้าจะตั้งชื่อไทยให้เก๋หน่อยต้องเป็นชื่อมากพยางค์อย่างน้องข้าวฟ่างหรือข้าวโพด แต่ยังไงก็ไม่มีวันเริ่ดเท่าชื่อฝรั่ง
ถ้าท่านผู้นำมีอายุถึงยุคนี้ท่านคงประท้วงโดยการแก้ผ้าวิ่งรอบสนามหลวง แต่เอ๊ะ.. ท่านอาจชอบก็ได้ เพราะท่านอยากให้เมืองไทยศิวิไลซ์เหมือนเมืองฝรั่ง !!!
สมัยที่ผู้เขียนไปศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี ผู้เขียนได้ยินชื่อรุ่นพี่แปลก ๆ หลายชื่อ (ชื่อแปลก ไม่ใช่รุ่นพี่แปลก) เช่น พี่ถ่าง.. คนอะไรชื่อน่าเกลียดมาก ถ่าง.. แล้วอะไรหนอที่ถ่าง.. นี่ไม่สำคัญเท่าอะไรที่ทำให้พี่ต้องถ่าง ???
พี่อีกคนหนึ่งหล่อเหลาเอาการมาก ถ้าประกวดหนุ่มดัชชีคงติดอันดับไม่เกินที่ ๓ วันนั้นผู้เขียนป่วยหนัก พี่คนนี้พาผู้เขียนไปหาหมอ เสร็จแล้วใจดีพาน้องไปกินน้ำเต้าหู้ในตลาด ผู้เขียนซดน้ำเต้าหู้สักพักจึงถามนามกรของพี่ท่าน พี่ท่านตอบว่า “พี่ชื่อเห่า”
ผู้เขียนแทบสำลักน้ำเต้าหู้ คิดในใจว่า “เออหนอ
หน้าตาออกจะหล่อเหลาทำไมพ่อแม่ตั้งชื่อเหมือนกลั่นแกล้ง อยากให้ลูกเป็นหมาหรือไง” ท่าทางพี่ท่านจะจับกิริยาออกรีบอธิบายว่า “เห่า.. งูเห่าน่ะ” เป็นอันรอดตัวไปที คิดว่าคนรูปงามต้องหมดท่าเพราะ “หมาเห่า”
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น