เรื่องเล่าจากปลายฟ้า - เรื่องเล่าจากปลายฟ้า นิยาย เรื่องเล่าจากปลายฟ้า : Dek-D.com - Writer

    เรื่องเล่าจากปลายฟ้า

    แรกรัก...รักแรก...ด้วยรอยยิ้มและนำ้ตา เพื่อใครคนหนึ่ง ณ ปลายฟ้าไกล

    ผู้เข้าชมรวม

    1,145

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.14K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ก.ค. 46 / 09:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรื่องเล่าจากปลายฟ้า

      เคยสงสัยไหม  ว่าที่สุดขอบฟ้ามีอะไรอยู่…
      ดวงอาทิตย์   ดวงจันทร์   ดวงดาว  หรือว่าเทพเทวาองค์ใด
      สุดขอบฟ้า  มีอะไรอยู่นั้นฉันไม่อาจรู้ได้  
      แต่สุดดวงใจฉัน…มีเธอ

          “ใครกัน ?  ผู้ชายคนนั้นน่ะ  นิสัยดีจัง  อยากรู้จักแล้วสิ”
          เราทั้งสอง   รู้จักกันได้  เพราะความอยากรู้อยากเห็นของฉันเอง   แต่ด้วยความที่เธอเป็นรุ่นพี่   ตอนนั้นเธออยู่ ม.3 แล้ว   แต่ฉันยังเป็นแค่เพียงเด็กประถมอยู่เลย   โชคดีที่ฉันมีพี่ชาย   ( ข้างบ้าน )…พี่ต่อ     เป็นเพื่อนของเธอ   ฉันจึงรู้จักเธอได้โดยผ่านทางพี่ชายของฉัน   ข้ออ้างที่สรรหามาได้ในเหตุผลของการอยากทำความรู้จัก  ( ซึ่งอันที่จริงฉันคิดว่าพี่ต่อก็น่าจะรู้เหตุผลที่แท้จริง )   ก็คือ   “อยากยืมการ์ตูนของเธอ”   ทั้งๆที่ไม่ใช่คนที่ชอบอ่านการ์ตูนเลยสักนิด  ยิ่งการ์ตูนแบบของเด็กผู้ชายด้วยแล้ว  ไม่เคยแตะเลย  จนมาเจอเธอนี่แหละ  เพราะเธอชอบอ่านการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ  อ่าน 3  เวลาหลังอาหารเลยมั้ง   ( ตอนนี้…ฉันก็กลายเป็นคนที่ติดการ์ตูนเหมือนกัน )
          และวันที่ฉันรอคอยก็มาถึง  วันที่ฉันจะได้รู้จักเธอ   พี่ต่อพาฉันไปหาเธอถึงบ้าน  
      “บัว…นี่พี่โจนะ “
          “ค่ะ…บัวค่ะ”
          ทักทายกันด้วยความเขินทั้ง 2 ฝ่าย
          “โจ …มันชอบอ่านการ์ตูน  อยากอ่านก็ยืมมันได้  อ้อ…แต่มันมีแต่การ์ตูนผู้ชายนะ”  
          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ   บัวอ่านได้อยู่แล้ว”
          หลังจากนั้น   เธอก็เอาการ์ตูนมาให้ฉันอ่านเรื่อย ๆ   บางเล่มยังไม่แกะพลาสติกที่ห่ออกด้วยซ้ำ  แต่เธอก็เอามาให้ฉันอ่านก่อน   ฉันรู้สึก…ขอบคุณเธอมากเลยนะ  เธอไม่เคยสงสัยในตัวฉันเลย  ว่าทำไมถึงได้มาใกล้ชิดกับเธอ  เธอเชื่อในสิ่งที่ฉันบอก  ว่าแค่ขอยืมการ์ตูนอ่านเท่านั้น
          มาถึงตอนนี้  เราสองคนก็เริ่มสนิทกัน   และยิ่งสนิทมากขึ้นกว่าเดิม  เมื่อฉันขึ้นชั้นมัธยม   ซึ่งฉันเลือกที่จะสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับเธอ   เราเลยได้ขึ้นรถนักเรียนคันเดียวกัน   ฉันจึงได้เจอเธอทุกวันทั้งเช้าและเย็น   เราสองคนนั่งคู่กันบ่อย   จนหลายๆคนมองว่าเราเป็นแฟนกันไปแล้ว  ซึ่งเวลาใครถามว่า  ฉันเป็นแฟนเธอรึเปล่า ?  เธอก็ตอบแบบหน้าตาเฉยเลยว่า  “ใช่”   เล่นเอาฉันงง   แต่ก็แอบดีใจนิดๆ   โดยไม่ได้รู้เลยว่าที่เธอตอบแบบนั้น  เพราะ  เธอเบื่อกับคำถามนี้   และหากตอบว่าไม่  ก็ต้องโดนซักอีกหลายข้อคำถาม  เลยตอบปัดๆ  ไปอย่างงั้นเอง  ก็ไม่มีใครติดใจอะไร  เมื่อเธอก็ยังทำตัวสม่ำเสมอกับฉัน  คล้ายๆ ว่าทุกอย่างจะคงเดิม
          ฉันคิดว่าตัวเธอเองก็น่าจะรู้ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอ  ว่าไม่ใช่แค่   “น้องสาวกับพี่ชาย”  แต่เธอก็ไม่เคยพูดอะไร  ไม่เคยทำตัวห่างเหินด้วย  สิ่งนั้นมันทำให้ฉันยิ่งรักเธอมากขึ้นไปอีก   หลายครั้ง  เธอแสดงออกคล้ายกับว่าเธอก็มีใจให้ฉัน   ตั้งแต่คอยถามสารทุกข์สุกดิบ  คอยเป็นห่วงอยู่เสมอ  เมื่อตอนฉันมีปัญหา   ฉันจะเล่าให้เธอฟังทุกครั้ง   ซึ่งเธอก็ช่วยฉันคลี่คลายมันออกไปได้ทุกครั้งเช่นกัน   ยามเธอไปไหนไกลๆ  เธอก็มักจะมีของฝากติดมือมาฝากฉันประจำ   ตอนที่ฉันไม่สบายมาก  เธอก็ยังมาเยี่ยม  (  โดยมากับพี่ต่อ…ขนมปังของเยี่ยมคราวนั้นอร่อยมากเลยนะ )    ฉันอยากจะขอบคุณเธออีกครั้ง   สำหรับทุกๆสิ่งที่ให้ฉันมา   ฉันยังจำได้ดี  ถึงรอยยิ้มของเธอ   ที่เมื่อมองมาก็จะเจออยู่เสมอ  เธอไม่เคยโกรธฉันเลย  ไม่ว่าฉันจะทำอะไรผิดสักแค่ไหน  เธอก็ไม่เคยโกรธ  ไม่เคยมีแม้สายตาที่แสดงอาการไม่พอใจด้วยซ้ำไป  คงจะอีกนานนะ  กว่าฉันจะเจอผู้ชายอีกคนที่ดีต่อฉันอย่างเธอ   หรืออาจจะไม่พบแล้วก็ได้

          แต่เมื่อฉันขึ้น  ม.2  อะไรหลายๆอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป   เราเริ่มห่างกัน  เพราะ เธอเริ่มเรียนหนักขึ้น  และเรียนพิเศษเพิ่มด้วย   เราทั้งคู่ก็เลยได้เจอกันเฉพาะตอนเช้า   ซึ่งก็ไม่ได้นั่งด้วยกัน  หรือนั่งคุยกันอย่างเก่า  เมื่อเธอเอาแต่นอน  และก็นอน  ตลอดทางที่มาโรงเรียน ( ก็เพราะอ่านหนังสือดึกเกินไปนั่นแหละ…นี่ละน้า  ชีวิตเด็ก ม.ปลาย )   ในตอนหลัง  เธอจึงย้ายออกมมาอยู่หอใกล้ๆ  โรงเรียนแทน  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า   เราแทบจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  ถึงแม้ว่าจะอยู่โรงเรียนเดียวกันก็ตาม  แต่โอกาสที่จะเจอกันน้อยมาก  แต่โชคก็เข้าข้างฉันจนได้  เมื่อวันหนึ่ง   ฉันได้เจอเธอตอนเช้า   ที่โรงอาหาร  ( และเธอก็กำลังกินข้าวเช้าอยู่เพียงคนเดียว )  ฉันรีบเดินไปหาเธอทันที
          “หวัดดีค่ะ…พี่โจ”
          “อืม…หวัดดี…บัว   เป็นไงบ้างล่ะ”
          “ก็เรื่อยๆ  ว่าแต่พี่เหอะ   ดูผอมลงไปนะ  ไม่เจอกันตั้งนาน”
          “ผอมตรงไหนกัน  พี่ว่าตัวเองจะกลายเป็นหมีอยู่แล้ว”
          “เนี่ยนะหมี   หมีพันธุ์ไหนมิทราบ  ผอมยังกับกุ้งแห้ง”
          “เว่อร์ ๆๆ…”
          ต่อจากนั้น  ก็คุยกันต่อเรื่อยเปื่อย  แต่ว่าก็ได้ไม่ถึง 10 นาที    เมื่อข้าวในจานของเธอก็หมดลง   นั่นมันหมายถึงเวลาที่เราต้องจากกันอีกแล้วใช่ไหม  
          “พี่ต้องไปแล้วล่ะ  ถ้าว่างจะโทรหานะ”
          “ค่ะ”

          หลังจากวันนั้น   ฉันนั่งรอโทรศัพท์ของเธอตลอดมา   จากวันเป็นอาทิตย์   จากอาทิตย์เป็นเดือน   ก็ยังเงียบ   ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากเธอให้ได้ยินสักแอะ   “เธอคงไม่ว่าง”   ปลอบตัวเองอยู่เรื่อยไป
          กริ๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
          “ฮัลโหล…บัวพูดค่ะ”
          “บัว…นี่พี่โจนะ”
          “หา…พี่โจ”
          “อืม…พี่เองล่ะ   เป็นไงบ้างล่ะ”
          “ก็ยังเหมือนเดิม”
          “เหรอ…พี่ก็เรื่อยๆ   คิดถึงนะ”
          “เหมือนกันแหละ”
          “ตั้งใจเรียนนะ   รักษาสุขภาพด้วย  พี่ต้องวางแล้ว”
          “ค่ะ…Bye  Bye”
          “หวัดดีครับ”
          อ่านะ…แม้จะแค่  23  วินาที   แต่มันก็มีความหมายมากทีเดียว  มันทำให้ฉันมีความสุขไปหลายวันอยู่   เมื่อเธอโทรมาหาฉันครั้งแรกแล้ว  ฉันก็กล้าที่จะโทรไปหาเธอบ้าง  แต่ก็ไม่เคยได้คุยกันเกิน  5  นาทีเลย  แถมในทุกคำที่เราคุยกัน   หากมีโอกาส  เธอก็จะพูดกลายๆคล้ายจะเตือนฉันทางอ้อมว่า  “เรา 2  คนคบกันในฐานะพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้นนะ   อย่าคิดไปเป็นอื่น…”   เธอจะให้ฉันทำยังไงล่ะ   เมื่อฉันรู้สึกกับเธอเกินกว่าคำว่า  “พี่ชาย”  ไปตั้งนานแล้ว   จะให้ฉันตัดใจงั้นเหรอ  ถ้ามันง่ายเหมือนตัดผมล่ะก็  ฉันคงไม่เจ็บอยู่ทุกวันนี้หรอก  เจ็บเพราะรักเธอ…
          
          ฉันกำลังรู้สึกว่า   เราสองคนชักจะเหมือนคนที่ไม่รู้จักกันแล้ว   เมื่อไม่ได้คุยกันเลย  ฉันก็ไม่กล้าโทรไป  กลัวว่าจะรบกวนเธอ  ถึงแม้จะเจอกัน   เธอก็ทักแค่คำสองคำแล้วก็ไป   กี่เดือนแล้วนะ   ที่เราไม่ได้คุยกันมากกว่า   คำว่า   “เป็นไงบ้าง”  อยากย้อนเวลากลับไป   แล้วหยุดเวลาไว้แค่ตรงนั้น   อย่าให้มันเดินทางต่อไป  อย่าให้มันเดินทางจากไป  พร้อมกับ…เธอ

          




      จันทร์เอ๋ย…จันทร์เจ้า…
          ฉันยังมีหวังอยู่บ้างไหม ?
          กับการเลื่อนฐานะจากน้องสาว   ไปเป็นคนรัก…
          ฉันจะทำอย่างไร  ?
          เพื่อที่จะลบเธอออกไปจากความทรงจำได้
          ลบรักข้างเดียวที่แสนช้ำครั้งนี้ออกไป
          ทำไม ?  ทำไมยิ่งพยายาม  
      มันก็เหมือนยิ่งทำให้ชัดขึ้น…
          ฉันจะทำอย่างไร ?

          ตัดสินใจแล้ว  ฉันจะบอกความรู้สึกของฉันกับเธอ   แม้คำตอบที่ได้  อาจทำให้ฉันต้องเสียใจแค่ไหน  แต่มันก็จะเป็นตัวล็อกความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอ  ให้หยุดอยู่แค่นั้น  ไม่ให้มันดำเนินเติบโตหยั่งรากลึกในใจฉันต่อไป   แม้เท่าที่เป็นอยู่ก็ไม่สามารถถอนออกได้แล้วก็เหอะ…
          และแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง  ก็เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้
          วันนี้…วันสุดท้ายของการสอบปลายภาคเทอมที่ 1  ของ ม .3  ฉันสารภาพรักกับเธอ…
          “พี่โจ…รู้ไหมว่า  บัวรักพี่โจนะ”
          เธอมองหน้าฉันนิ่ง  ก่อนจะค่อยๆ ตอบออกมา
          “รู้สิ…และพี่ก็ขอขอบคุณมากนะ   กับความรู้สึกดีๆ  ที่บัวมีให้พี่   แต่ขอโทษจริงๆ  พี่รับมันไว้ไม่ได้”
          แม้คำพูดจะสวยหรูแค่ไหน   แต่ความหมายเดียวของมันก็คือ   “เธอไม่รักกัน”  ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้ว  ว่ามันต้องเป็นแบบนี้   แต่น้ำตามันก็พาลจะไหลซะให้ได้   เลยต้องรีบกลบเกลื่อน  ซุกหน้าลงกับท่อนแขน   เธอนิ่งอยู่นาน    แต่แล้วเธอก็โอบกอดฉันไว้   ในอาการคล้ายจะปลอบ  ฉันก็ได้เอียงหน้าซบกับอกของเธอ…อกของพี่ชาย…

          หลังจากวันนั้น   ก็เป็นวันปิดเทอม  แน่นอนว่าเราสองคน  คงไม่มีทางเจอกันอยู่แล้ว   อีกอย่างเธอต้องไปเรียนพิเศษอีก  เพื่อเตรียมตัว ‘Ent  และก็เหมือนกัน  พอเปิดเทอมใหม่  เธอก็กลับไปอยู่หอ  ดังนั้น  เวลาที่เราจะได้พบปะพูดคุยกัน  ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการพูดคุยแบบคนรู้จักกันอย่างผิวเผินเท่านั้น  ก็แทบจะไม่มีเลย
          
          เวลาผ่านไปเรื่อยๆ   ฉันก็เรื่อยๆ  ตามเวลา  มันเป็นการดีต่อตัวฉันมาก  ในเมื่อถึงช่วงใกล้สอบเข้าเรียนต่อ ม.4  เพราะต้องขยันอ่านหนังสือ   ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาคิดฟุ้งซ่านถึงใครบางคน  ที่อยู่ไกลถึงสุด
      ปลายฟ้า…

          ในที่สุด  ฉันก็ได้เป็นเด็ก ม.ปลาย  กะเขาสักที   รู้จากพี่ต่อว่า   เธอ ‘Ent  ได้ที่มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง  แต่ก็รู้เพียงแค่นี้   ( ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ไหน…คณะอะไร… )  ต่อจากนั้น   เธอเป็นไง  ฉันไม่เคยรู้ข่าวอีกเลย    แย่จัง…
          ในตอนนี้เอง  ที่ได้มีผู้ชายคนหนึ่ง  แวะเข้ามาป้วนเปี้ยน  อยู่แถวหน้าประตูหัวใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม  ฉันถึงไม่เปิดรับเขาเข้ามาสักที  ยังคงให้เขานั่งกินน้ำชารออยู่ตรงนั้น  เขาคนนี้ คือ เพื่อนห้องข้างๆ
          “นายวุธ”
          เราเจอกันตอนวันปฐมนิเทศ ม.4  เห็นครั้งแรก ก็แบบว่า  “ผู้ชายอะไรเนี่ย  กวนตีนชะมัด”  ไม่รู้ว่าความรู้สึกครั้งแรกของวุธที่เจอฉันจะเป็นไงบ้าง  มันคงไม่ได้เลิศเลอพอๆกับฉันแน่เลย  ติดจะไม่ชอบด้วยซ้ำมั้ง   แต่ด้วยความที่เราอยู่ห้องใกล้กัน  จึงต้องเจอหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว  และหลายครั้งที่ต้องทำกิจกรรมร่วมกัน  มันก็ทำให้เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น  ( ขนาดยืมของไปเป็นเดือนแล้ว  ทวงยังไม่ได้คืนเลย…สงสัยว่าโดนชิ่งแล้วแหง ! )  แต่ก็ตามนิสัยของวุธที่  ( คิดว่า )  ค่อนข้างจะรุนแรง  เจอกัน  ทักที…หลังเกือบหัก  รู้ว่ามือตัวเองหนัก  ยังทุบลงมาได้  ( เขาบอกว่า  ก็ทักทายตามประสาเพื่อนฝูง )   ความรู้สึกดี ๆ มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา  แต่มันก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่า  “รัก”  ฉันรู้ดีว่ามันคงต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียว  กว่าจะรักใครได้อีกหน  จริงอยู่ที่ว่า  ในชีวิตของคนๆหนึ่ง  สามารถมีรักแท้ได้มากกว่าครั้งเดียว  แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะรักใคร  และรู้ไหมว่า  “ฉันยังลืมเธอไม่ได้”
          ฉันไม่รู้ว่า  วุธรู้เรื่องราวของฉันมากน้อยแค่ไหน  แต่ถ้าไม่เคยรู้  วุธคงเป็นหมอดู  ( ที่เดา )  เก่งทีเดียว  วุธรู้ว่า  ฉันรักคนๆหนึ่งอยู่   เป็นรักข้างเดียวซะด้วย  ก็ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับฉันนี่ว่า
          “บัว…เราไม่รู้นะว่าเธอรักใครอยู่   หรือคิดยังไงต่อใคร   แต่เราอยากให้เธอเปิดใจให้กว้าง  รับใครเข้าไปบ้าง  อย่าปิดตายประตูหัวใจของเธออีกเลย  มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขนะ    เชื่อสิ…”
          “เราลืมเขาไม่ได้หรอก   เขาเป็นรักแรกของเรานะ”
          “ก็ไม่ได้ขอให้ลืมนี่   แค่บอกว่าให้ลองรับใครเข้าไปบ้างเท่านั้นเอง   มีใครอีกหลายคนนะ  ที่อยากเรียงหน้ามาเคาะประตูหัวใจของเธอ   อย่างน้อยก็ตรงนี้คนหนึ่งล่ะ   ว่าไง…จะรับกระผมเข้าไปไว้ในห้องหัวใจของคุณบัวได้ไหมครับ”
          เกิดอาการใบ้รับประทานไปชั่วขณะ   ก็ตั้งแต่เกิดมา  ยังไม่เคยมีใครพูดทำนองจะสารภาพรักแบบนี้กับฉันเลย   แม้แต่เธอก็ตาม  และในที่สุด  คำตอบที่วุธได้รับก็คือ
          “อืม…เรายอมรับนะ  ว่าเราก็มีความรู้สึกดีๆ ให้นาย   แต่ตอนนี้เรายังไม่พร้อมที่จะรักใคร   นายจะคบกับได้เหรอ  ทั้งๆที่รู้ว่า  ในใจเรายังมีใครอีกคนอยู่”
          “ยังไม่ได้ขอคบสักหน่อย  แค่ถามว่า  ลองเอาเราเข้าไปไว้ในใจเธอ  ไปไว้แทนใครคนนั้น  แล้วสักวันที่ใจเธอมีแต่เรา   เราค่อยขอเธอเป็นแฟนอีกครั้งแล้วกัน”
          ง่ายๆ  แต่ได้ใจความ  หลังจากนั้น   วุธก็ดีต่อฉันมาก  ถึงจะยังไม่ใช่แฟน   แต่มันก็เหมือนแล้ว  และเราก็เริ่มคบกันเมื่อตอนขึ้น  ม.5  พวกเราดูจะเป็นคู่รักที่มีความสุขมากๆ  เรื่องที่จะโกรธกันไม่มีอยู่แล้ว  อาจมีงอนกันบ้างตามประสา  แต่ไม่ทันจะข้ามวันก็ดีกันได้เหมือนเดิม   ช่วงเวลานั้น  ฉันสามารถที่จะรับวุธเข้ามาในห้องหัวใจได้แล้ว   แม้มันต้องใช้เวลาเป็นปี  แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้สักหน่อย  ยอมรับกับตัวเอง  ว่าเธอเป็นแค่เพียงอดีต  ที่มีแต่เงาอยู่ในใจ  ฉันเชื่อว่าคงไม่นานนัก  นับจากนี้  วุธคงเป็นคนที่เข้ามาลบเงาของเธอออกไปจนหมดได้…สักวัน
          แต่สิ่งที่ฉันเคยคิดว่าจะเป็นจริง   มันก็พังทลายลงตรงหน้า  เมื่อใกล้จะเรียนจบแล้ว  ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง  ฉันทั้งไม่เข้าใจและไม่เชื่อ  ว่าสิ่งที่คนอื่นพูดถึงวุธกับผู้หญิงอีกคนจะเป็นจริง   “หวาน”   ผู้หญิงคนนั้นเธออยู่บ้านใกล้ๆกับวุธ   พ่อแม่ของเธอกำลังมีปัญหากัน    ในฐานะเพื่อนและเพื่อนบ้าน   จึงยื่นมือเข้าไปช่วย  แม้ทำได้แค่ปลอบประโลม  แต่ก็ยังดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลย  ( เขาคงคิดงั้น )  พอเรื่องมันหนักเข้า  พ่อแม่ของหวานหย่ากัน   ต่างคนก็ต่างไป  ทีแรกจะให้หวานย้ายโรงเรียน  เพื่อไปอยู่กับพ่อหรือแม่  คนใดคนหนึ่ง  แต่ญาติผู้ใหญ่บางคน  บอกว่าน่าจะให้เรียนจบ ม.6  ก่อน  ยังไงๆก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว  สุดท้ายจึงตกลงกันว่า   ให้หวานอยู่ที่นี่ต่อไป   แต่จะไปอยู่ที่ไหน   บ้านเก่า…ถ้าจะอยู่ก็ต้องอยู่คนเดียว   หอพัก…ก็คงไม่ค่อยปลอดภัย   ดังนั้น   แม่ของวุธจึงเสนอให้หวานมาอยู่ที่บ้านของนาง   เพราะอยู่กันแค่  3  คน  พ่อ…แม่…ลูก   และก็ยังมีห้องว่างเหลือ  ทั้งนี้ไม่ได้รบกวนอะไรเลย  จนเรียนจบแล้ว   พ่อหรือแม่ค่อยมารับก็ไม่มีปัญหา  เป็นอันว่า  “ทุกอย่างลงตัว”  เมื่อตกลงกันเรียบร้อย  หวานก็ย้ายเข้าบ้านของวุธ  ฉันไม่เคยระแวง  หรือสงสัย   และไม่เคยซักถามอะไรวุธให้เขาไม่สบายใจหรือไม่พอใจ   แต่เมื่อเพื่อนหลายๆคนพูดถึงหวานกับวุธในแง่ที่ไม่ค่อยดีต่อประสาทการรับฟังของฉันเท่าไรนัก  นิสัยผู้หญิงก็ต้องเริ่มที่จะสงสัย  เมื่อถามวุธว่าที่เขาพูดกัน  จริงหรือเปล่า ?  คำตอบที่ได้ทุกครั้ง  คือ  “ไม่จริงสักหน่อย   ไม่มีอะไรหรอก  เชื่อเรานะ”  ฉันก็อยากจะเชื่อหรอกนะ  ถ้าไม่มีเพื่อนผู้หวังดี   พาฉันไปพิสูจน์ความจริงจากปากมันถึงบ้านวุธ  เมื่อเคาะประตูเรียก  ไร้เสียงตอบรับ   เหลือบเห็นหน้าต่างเปิดอยู่  เลยตกลงกันว่าจะงัดหน้าต่างเข้าไป  ( ทั้งที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง )  ก็เลยลงมือปฏิบัติการกันด้วยความเงียบ  จนในที่สุด  ก็เข้ามาในบ้านได้  แต่ก็ยังหาวุธไม่เจอ   ในตอนนี้เองที่เพื่อนของฉันของหนึ่งเดินชนตู้ ( ด้วยความซุ่มซ่ามของตัวมันเอง )  วุธก็เดินออกมาพอดี  ( คิดว่าคงจะเพราะได้ยินเสียงดังมั้ง )  เขามีท่าทีที่ตกใจมาก  เมื่อเห็นพวกเรา  ชะงักไปนิดหนึ่ง  แล้วก็กลับเป็นปกติ  พวกเพื่อนมันก็หวังดีอีก  แสร้งทำเป็นว่า  อุตส่าห์มาเยี่ยมบ้านนายทั้งที  ขอดูให้ทั่วบ้านหน่อยสิ  ( ถ้าจะใช้คำให้ถูก  น่าจะเป็นคำว่า “สำรวจ” มากกว่า )  แล้วพวกเขาก็ลากฉันดูทุกซอกทุกมุม  โดยที่ไม่ฟังเสียงห้ามของวุธเลยแม้แต่น้อย  เมื่อห้ามไม่ได้แล้ว  ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย   วุธเดินตามหลังพวกเรามา   ท่าทางเหมือนคนกำลังเครียด  ก็ไม่รู้นะว่าเรื่องอะไร  จนมาถึงห้องๆหนึ่ง  พวกเราตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น  ภาพที่หวานกำลังใส่เสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ  ฉันคงไม่สงสัยอะไร  ถ้าห้องๆนั้นจะไม่ใช่ห้องนอนของวุธ…    หวานมาทำอะไรที่นี่ ? ไม่ต้องบอกก็รู้   ฉันมองหน้าวุธที   มองหวานที  อย่างสับสนมาก  
          “บัว…”  
          “ไม่…ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น   เราเข้าใจเรื่องทุกอย่างดีแล้ว”
          “ไม่…เธอไม่เข้าใจ   ฟังเราก่อนนะ”
          “นายจะให้เราฟังอะไรอีก  แค่นี้มันก็ชัดอยู่แล้ว  จะบอกว่า  หวานเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนของนายรึไง   ตลกเกินไปล่ะ   เราไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนนะ…วุธ”
          “บัว…”
          แต่สายไปแล้ว   ฉันไม่มีทางจะเชื่ออะไรในตัววุธอีก  แม้ว่าวุธจะพยายามอธิบายยังไง  ประสาทการรับรู้ของฉัน  มันไม่ทำงานซะแล้ว  
          “เราไม่อยากจะตบหน้านายให้เสียมือหรอกนะวุธ  เพราะงั้น  อย่ามายุ่งกับเราอีกเลย…ขอร้อง”
          จบ…เป็นอันว่าจบ  ฉันไม่สนใจวุธอีกแล้ว  ไม่ว่าเขาจะมาง้อยังไงก็ตาม  เขาก็คงหมดหวังที่จะพยายามแล้วมั้ง  ช่วงหลังเลยไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีก  เวลานั้น  รู้ไหมว่าฉันคิดถึงเธอขึ้นมาทันที  ( ทั้งที่เกือบลืมไปแล้ว )  ในยามที่ฉันกำลังเสียใจ   ปวดร้าว  และต้องการกำลังใจจากใครสักคน  เพื่อที่จะลุกขึ้นเดินต่อไปได้  ถ้าเป็นเมื่อก่อน  กำลังใจอย่างเหลือเฟือที่ได้มา  คงไม่ใช่จากใคร  ถ้าไม่ใช่จากเธอ  แต่ตอนนี้  ฉันไม่มีเธอแล้ว…    จะทำยังไงล่ะ ?

          เนื่องด้วยว่าจะต้อง ‘Ent  แล้ว  เลยตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ  ( เหมือนครั้งเก่า )  แต่การอ่านหนังสือก็ช่วยให้ไม่ต้องคิดมาก  ซึ่งมันดีต่อตัวฉันอย่างมหาศาลเลยล่ะ  แล้วชีวิตเด็ก ม.ปลาย  ก็จบลงอย่างไม่ค่อยจะสวยงามเท่าไร  แต่มันเป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว  ฉันได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง   ชีวิตของฉันคงจะเริ่มต้นใหม่ได้ที่นี่…
          ก้าวมาเป็นเด็กมหา’ลัยได้  3  เดือนกว่าแล้ว  ชีวิตต่อจากนี้คงจะไม่มีอะไรมาทำให้ใจต้องเจ็บอีก  แต่ทุกสิ่งที่คิด  มันไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็น  ฉันคงไม่รู้ว่า   เธอก็เรียนที่นี่   แต่ต่างคณะกัน  หากวันนั้น  ฉันไม่เดินไปชนเพื่อนของเธอ   “พี่นัท”   ฉันเลยได้เจอเธออีกครั้ง  หลังจากไม่เจอกันมานานมาก  เธอแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย  อาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย  ผมที่ยาวขึ้น   และร่างกายที่ดูล่ำขึ้นจากการเล่นกีฬา  แต่รู้สึกว่า  เธอจะมีอาการป่วยอยู่ ( ปวดหัวมั้ง )  แต่ก็คงไม่มากมายอะไร   อาจจะเครียด  ก็ปี่นี้  เธออยู่ปี 4 แล้วนี่…
          ฉันรู้ข่าวว่า  พี่นัทสนใจฉัน  และเธอก็ถูกขอร้องให้เป็นกามเทพจำเป็น  หลังจากที่รู้ว่า  ฉันกับเธอรู้จักกันมาก่อน  ฉันไม่รู้ว่าเธอจำยอม  หรือว่าเต็มใจทำ  แต่คิดว่าคงจะเป็นอย่างหลัง  เพราะพี่นัทเป็นคนดีพอสมควร  เธอที่สวมบทบาทพี่ชายที่แสนดี  ก็คงอยากให้น้องสาวได้คบกับคนดีๆ  ทั้งๆที่น่าจะรู้  ว่าน้องสาวคนนี้  ยังลืมพี่ชายไม่ได้  เงาในใจที่น่าจะจางลงกลับเด่นชัดขึ้นมาเป็นภาพอีกครั้ง   ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ?

          เธอทำงานในหน้าที่กามเทพจำเป็นของเธอ  และนั่นมันก็ทำให้เธอกับฉันมาใกล้ชิดกันอีก  แต่ทุกอย่างไม่เหมือนเก่า  เมื่อทุกอย่างที่เธอทำ  มันแค่ความจำเป็นที่จะต้องทำ  จำเป็นที่จะต้องมาใกล้ชิดกับฉัน  รู้ไหมว่า   พี่ชายกำลังปั่นหัวใจน้องสาวคนนี้ให้ทรมาน…
          เมื่อพี่นัทมาขอคบกับฉันตรงๆ  ฉันก็เลยตอบตกลงไป  โดยเหตุผลข้างนอก  “ก็ชอบพี่นัทนะ”  เหตุผลข้างใน  “ประชดเธอ”   แค่นั้นแหละ  สำหรับพี่นัท  ฉันทำได้ตอนนี้แค่เชิญให้เขานั่งกินลมอยู่หน้าประตูหัวใจไปพลางๆ  ยังไม่สามารถที่จะเชื้อเชิญเขาเข้ามาข้างใน  แต่สิ่งที่พี่นัททำให้ฉัน  มันทำให้ฉันรู้สึกเสียใจต่อการตอบตกลงที่คบกับพี่นัท  ฉันไม่น่าทำให้คนดีๆแบบนี้ต้องเสียใจเลย  ในที่สุดฉันก็เป็นฝ่ายบอกเลิก
          “พี่นัทค่ะ…เราเลิกกันเถอะ”
          “ทำไมล่ะครับ…น้องบัว”
          “บัวรักคนอื่นค่ะ   รัก…รักมาก   บัวลืมเขาไม่ได้”
          “อืม…ไม่เป็นไรหรอก   คิดอยู่แล้วเชียว   พี่ก็อยากลองใจบัวเล่น  ว่าแต่คนที่บัวรักอยู่น่ะ   เพื่อนพี่ใช่ไหม”
          “พี่นัท…ขอโทษนะค่ะ”
          เป็นอันว่า  บทบาทของฉันในการเป็นแฟนพี่นัท  ยุติลงเพียงแค่นี้  คงเหลือแค่บทน้องสาวที่แสนดี  เมื่อเธอรู้เรื่องนี้    เธอกลับไม่เข้าใจฉันเลยสักนิด    มาต่อว่าฉันแทบจะทันทีที่รู้เรื่อง
          “บัว…ทำไมทำแบบนี้ล่ะ   ไม่รู้รึไงว่านัท   มันรักบัวมากแค่ไหน   แล้วทำไมทำให้มันเสียใจ”
          “ก็จะให้บัวทำไงล่ะ   ในเมื่อบัวรักพี่โจนะ  ไม่ใช่พี่นัท”
          เกิดความเงียบปกคลุมชั่วขณะ
          “แต่พี่โจไม่ต้องพูดอะไรหรอก  บัวรู้แล้วว่าคำตอบมันก็คงเหมือนเมื่อ  4  ปีก่อนใช่ไหม  ทำยังไง  บัวก็เป็นได้แค่น้องสาวของพี่”
          แล้วฉันก็เดินจากมา…
          หากวันนั้น  ฉันได้หันหลังกลับไปมอง  ฉันคงเห็นว่า  เธอยืนก้มหน้านิ่ง  สายตาช่างปวดร้าวเหลือเกิน  แล้วน้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลรื้นรอบดวงตา  เอ่ยคำๆหนึ่ง  ที่ฉันไม่มีทางรู้ได้เลยว่า  
          “พี่รักบัวนะ   รักมาตลอดตั้งแต่ได้รู้จักกันแล้ว  ตอนนี้ก็ยังรัก   แต่จะให้พี่ทำไง  ในเมื่อพี่กำลังป่วยด้วยโรคที่ไม่รู้ว่าจะหายรึเปล่า   พี่ไม่อยากให้บัวเอาชีวิตมาฝากไว้กับคนที่รอวันตายอย่างพี่”
          เรื่องที่เธอป่วยนั้น  ไม่มีใครสักคนรู้ว่า  มันเป็นมาตั้งนานแล้ว  เพราะเธอก็ไม่เคยแสดงอาการ  ไม่มีใครเคยสงสัยว่าเธอจะเป็นอะไรที่มากกว่าการปวดหัวธรรมดาๆ   และเมื่อเธอปวดหัวมากๆ   มากจนน่าตกใจ   ซึ่งมันคงไม่ได้มาจากแค่ความเครียดเพียงอย่างเดียว   เธอจึงไปหาหมอ   และก็พบว่า   ตัวเองนั้นมีเนื้องอกในสมอง  ซึ่งมันลุกลามจนไม่อาจผ่าตัด  หรือรักษาให้หายขาดได้แล้ว   ทำได้ก็แค่ให้ยาบรรเทาอาการเมื่อเจ็บปวดเท่านั้น    เธอไม่บอกให้ใครรับรู้เรื่องนี้เลย   แม้กระทั่งพี่นัท  หรือฉัน…
          เธอลาออกจากมหาวิทยาลัย  ไม่มีใครรู้ว่าเธอลาออกทำไม   เธอไปไหน ?  ฉันเฝ้าตามหาเธอแทบพลิกแผ่นดิน  แต่ก็เจอแค่ความว่างเปล่า   แม้ตอนนี้  เวลาจะผ่านไปเป็นปีแล้ว   ฉันก็ยังไม่ลืมผู้ชายคนนี้   คนที่ชื่อ “โจ”  ภาพของเธอยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ  แม้ว่าจะกลายเป็นแค่เงาของวันวาน      ภาพทุกภาพยังติดตา  ทุกอย่างยังติดอยู่ที่ใจ   แต่ฉันก็ยังลืมเธอไม่ได้   และคงไม่ลืมไปตลอดกาล…

          จันทร์เอ๋ย…จันทร์เจ้า…
          สุดปลายฟ้ากว้างนั้น  มีสิ่งใดอยู่กันหนอ ?
          จันทร์เอ๋ย…จันทร์เจ้า…
          ฉันจะมีสิทธิ์ได้เหยียบย่างไปไหม ?
          เพื่อไปหาเธอ  เธอที่ฉันรัก
          เธอที่อยู่  ณ  ปลายฟ้าไกล  แห่งนั้น…
          ใช่แล้ว…จันทร์เอย…
          ว่าถึงยังไง…ก็ไม่มีทาง…

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×