การที่เราเคยได้รักใครสักคน แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว - การที่เราเคยได้รักใครสักคน แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว นิยาย การที่เราเคยได้รักใครสักคน แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว : Dek-D.com - Writer

    การที่เราเคยได้รักใครสักคน แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว

    ผู้ขายคนนึงซึ่งเฝ้ารอเวลา ในการกลับมาของคนรัก

    ผู้เข้าชมรวม

    451

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    451

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 มี.ค. 47 / 13:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      คุณเคยคิด หรือ ว่ารู้สึกอะไรเหมือนอย่างผมรึเปล่า การที่คนเราทุกคนเกิดมา ก็ต้องมีคู่ ซึ่งผู้ชายกับผู้หญิงมันเป็นของคู่กันอยู่แล้ว แต่ใครจะคิดว่า การที่เรา ตามหาความ   รัก   นั้น ส่วนมากมัก จะไม่ค่อยเจอ หรือ เจอ แต่ก็อยู่กับเราได้ไม่นาน ลองมาดูเรื่องราวของผมนะครับ
          ผมในตอนนั้นก็เปรียบเสมือนเด็ก วัยรุ่นผู้ชายทั่วๆไป ที่ใช้ชีวิตในรั้วมหาลัย เอกชน แห่งหนึ่ง ซึ่ง มีเพื่อนฝูงมากมาย ซึ่งมีทั้งกิจกรรม ทางด้าน กีฬา การศึกษา และ ราตรี แต่ผมก็ยังคิดได้นะเพราะ กิจกรรมที่ผมร่วมกับเพื่อนๆนั้นมัน เป็น ราตรี (แต่ผมก็ไม่เคย drop หรือ ไม่เคยหยุดเรียนเพราะเมาแล้วตื่นสาย)  ซึ่งก็ คงไม่ต่าง จาก วัยรุ่นทุกคนที่เที่ยวกลางคืน พยายาม ที่จะมองหาประสบการณ์ ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆไม่ว่า หญิง หรือ ชาย  ชีวิต ผมในตอนนั้น ก็รู้สึกว่า ดีนะ ที่ได้ประสบการณ์ใหม่ สังคมกลางคืน แต่ไม่มีเรื่องยาเสพติด ผมเชื่อเลยว่า สถานบันเทิงทุกที่นั้นมันต้องมี และผมเคย เห็นมันมาแล้ว  แล้วก็ไม่แปลกเลยที่จะเห็น ผู้ชาย เข้าไปสร้างสัมพันธ์และตีสนิท กับ ผู้หญิง อย่างง่ายดายด้วยฤทธิ์ของเหล้า วันนึง ผมก็ใช้ชีวิตของผมไปเรื่อยๆเปลี่ยนที่เที่ยวบ้าง เที่ยวที่เดิมบ้าง แต่ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ผม จะต้องจดจำไปตลอด มันเป็นร้านๆนึงที่ถนนข้าวสาร ซึ่งสมัย 4-5 ปีที่ แล้ว คนนิยมมาเที่ยวที่นี่ไม่แพ้ Susie เลย ซึ่งนั่นก็คือ ร้านAustin ซึ่งเสน่ห์ ของถนนข้าวสาร ก็คือ ผู้คนที่เดินซื้อของตามริมทาง  นักท่องเที่ยว ทั้ง เอเชีย และ ยุโรป ต่างนั่ง ร้านขายเครื่องดื่ม ข้างทาง นั่งแลกเปลี่ยนทัศนะคติ และ วัฒนธรรม ส่วนในผับในสถานบันเทิง ผู้คนที่มาเที่ยวกัน ก็มีแต่เป็นมิตร ไม่ค่อยถือตัว(แต่ไม่ปล่อยตัวนะ) ซึ่งคุณสามารถไปเที่ยวคนเดียวได้และ ก็สามารถคุยได้กับ ทุกคนในร้าน ซึ่งมันไม่เหมือนที่เที่ยว ย่านอื่น ซึ่งมีแต่จะคอยประชันกันในด้านการแต่งตัวและเฟอร์นิเจอร์  เอาละผมเกริ่นมามากพอแล้ว วันนั้นผมอยู่ที่ ร้าน Austin ผมได้มองไปทั่วๆร้าน ดูพฤติกรรมของคนในร้าน ซึ่งมีทั้ง ดื่ม ทั้งปล่อย ร่ายกายของตนไปตามจังหวะเพลง ที่สนุก และสายตาของผมก็ต้องไปหยุดกับมุมนึงของร้าน ซึ่งภาพที่ผมเห็นนั้น เป็นภาพของสาวน้อยผู้นึง ซึ่งมีรอยยิ้มที่น่าประทับใจมาก เธอดูเป็นผู้หญิงที่ สดใสร่าเริง และเรียบร้อย เธอมากับเพื่อนสาวของเธอประมาณ 4-5 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงหมดเลย  ผมมองเธออยู่นานแต่ก็ไม่ ยิ่งได้เห็นกริยาท่าทางต่างๆของแล้ว ผมอยากเข้าไปคุยด้วยเหลือเกิน  แต่จะให้ทำยังไงหล่ะ มีผู้หญิงตั้งเยอะขนาดนั้น ผมได้แต่เฝ้านั่งจ้องสายตาเธอ จนโชคดีเป็นของผมเธอได้มองมาทางผมเหมือนกัน แต่รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม พอสายตาเธอมองมาแต่ผมนั่นเองที่หลบสายตาของเธอแบบไม่รู้ไม่ชี้ ผมเริ่มสนใจเธอมากขึ้น จนผมได้เจอรุ่นน้องคนนึงซึ่งเป็น ทอม ซึ่งความคิดผมในตอนนั้น คือ ถ้าผู้หญิงกับผู้หญิง คุยกันมันง่ายกว่าที่ ผู้ชายเข้าไปหาผู้หญิง  แต่ผมหาผู้หญิงแท้ไม่ได้ ก็เลยต้องให้รุ่นน้องช่วย และก็เป็นผลสำเร็จ ครับ รุ่นน้องผมได้แนะนำไปว่า ผมแอบมองเธออยู่และคนไหนเป็นผม แต่ผมก็อายเสียเหลือเกินที่จะ กล้าเปิดเผยตัวตอนที่สายตาเธอมองมา รุ่นน้องผมกลับมาพร้อม ชื่อ และ เบอร์ ของเธอ ผมรู้ตัวเองแล้วว่า ต่อ จากนี้ผมต้องทำอะไร ซึ่งรุ่นน้องผม บอกว่า ที่เหลือก็เหลือแต่โทรแล้วนะ คืนนั้นผมก็ได้โทรหาเธอเลยนะ ตอนที่เที่ยวปิด ผมได้ยินเสียงปลายทาง ซึ่งเป็นเสียงของสาวน้อยผู้นึง และผมก็ได้ขอพูดกับ เธอ ซึ่ง เธอตอบกลับมาว่าเธอพูดอยู่ ผมถามชื่อเธออย่างสงสัย ทำไมชื่อแปลกจัง ผมเลยพูดชื่อขึ้นมาชื่อนึง ซึ่งเป็นการทายชื่อเธอซึ่งเป็นชื่อของคนญี่ปุ่น เธอบอกผมว่าเกือบถูกแล้วหล่ะ และคำถามต่อไปก็เริ่มขึ้นจากผมว่า คุณเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นเหรอ เธอ ตอบอย่างมั่นใจว่าใช่ค่ะ เท่านั้นแหละ ผมเริ่มแนะนำตัวเองอย่างพูดผิดพูดถูกเลย ซึ่ง เธอก็ขำ และถามว่าผมเป็นอะไร ผมก็บอกความรู้รึกตอนที่มองเธออยู่ ตั้งนาน แล้วสิ่งที่ผมไม่ได้คิดมันเกิดขึ้น เมื่อเราคุยกันได้สักพัก เธอบอกผมว่า เธอรู้แล้วหล่ะ ว่าผมมองเธออยู่ ซึ่ง เธอตกใจมากตอนที่ ทอม รุ่นน้องผมไปขอเบอร์ แต่โชคดีตรงที่ว่า รุ่นน้องผมบอกเธอว่า มีคนให้มาขอเบอร์ แล้วก็ชี้มาที่ผม ผมคุยกับเธอแบบสไตล์กวนๆ พูดไม่ค่อยเพราะ เท่าไร แต่ใครจะรู้ว่าผมจริงใจนะ แล้วเธอก็บอกว่าไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมาคุยกับเธอแบบนี้เลย เธอบอกว่ามันแปลกดี เราคุยโทรศัพท์ กันอยู่ 2-3 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมต้องทำให้เธอสนใจในตัวผมและ อยากเจอผม และแล้วโชคก็เข้าข้าง ผมนัดเจอเธอ สำเร็จเธอตอบตกลง เราได้ไปดูหนังกันบ่อยมากในช่วงนั้น เราเจอกันแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ ซึ่งเธอเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาล และผมเรียน มหาวิทยาลัยเอกชน แน่นอนเวลาเรียนเราไม่ตรงกันอยู่แล้ว แต่โชคดีที่บ้านของเราสองคน อยู่ถนนเส้นเดียวกัน ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 30 นาที ทุกเช้า 9 โมง ที่บ้านผม จะมีเธอมายืนอยู่หน้าบ้าน และแน่นอนผมยังไม่ตื่น ผมลงมาเปิดประตูด้วยท่าทีที่ อยากนอนต่อ พอเธอเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็เลยให้เธอนั่งรอในห้องก่อนส่วนผมก็อาบน้ำแต่ตัวเพื่อ  ออกไปทานข้าวกัน กิจกรรมทุกเช้าของผมจะเป็นอย่างนี้ทุกวันเราเจอกันตอนเช้า 1 ชั่วโมง แล้วก็แยกกันไปเรียน ซึ่ง ต่างคนต่างเข้าใจว่า ไม่ต้องมีใครไปส่งใคร เพราะมันจะสายทั้งคู่ เราเลย แยกกันไปเรียนกันอย่างสบายใจและมีความสุข  ทุกเย็น เธอจะมาหาผมที่บ้าน ซึ่งบ้านผมค่อนข้างอิสระ ผมอยู่กับพี่ชายผม 2 คน ผมกับเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน ผมทำกับข้าว แล้วเธอชิม ตามสูตรครับ ใครต่อใครที่ชิมต้องบอกว่าไม่อร่อย เพื่อแกล้งให้หมดกำลังใจ  ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ร่ำรวยอะไรมากมาย เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ฐานะปานกลางคนนึง ไม่มี รถยนต์ ไม่มีคำหวานๆที่จะพูดทุกวันๆ มีแต่การกระทำที่แสดงออก  สิ่งที่เราชอบกันมันไม่ใช่เรื่อง เงินทอง เรื่องมีรถหรือไม่มีรถ เราสองคนคบกันแบบสนิทใจมาก โดยที่ไม่ต้องระแวงเรื่องการมีคนอื่น  ตอนนี้เราคบกันได้ประมาณ 1 เดือนเศษ แล้วที่ผมว่าเธอพิเศษ เธอพิเศษตรงที่ว่า เธอไม่เรื่องมาก ผมเคยลองใจเธออยู่ครั้งนึง ซึ่งตอนนั้นเป็นวันแรกที่นัดเจอกัน กิจกรรมทุกอย่างเราทำเสร็จหมดแล้วไม่ว่า ดูหนัง หรือ ทาน ข้าว และแน่นอนผู้ชายทุกคน ก็ย่อมอยากจะรู้ จักบ้านของผู้หญิงเป็นธรรมดา เพื่อที่ว่า วันนึงจะได้ทำ Surprise ผมถามเธอว่าจะกลับเลยมั้ย เธอน่า รัก มาก ถามผมกลับมาว่า ผมมีธุระอะไรต้องทำต่อหรือเปล่า ผมตอบ ว่ามี ซึ่งผมต้องไปซื้อแผ่นโปรแกรม เพื่อที่จะต้องเอามาใช้ทำงานส่งอาจารย์ เธอบอกผมว่าไปด้วยกันก่อนก็ได้ยังไม่รีบ เข้าทางผมเลย ด้วยนิสัยที่กวนประสาทและอยากรู้ จาก  ห้างชั้นนำ ย่าน ปิ่นเกล้า ซึ่ง ไปห้าง อีกแห่ง ในถนนปิ่นเกล้าที่ มีแผ่นโปรแกรม ขายก็ไกลพอควรอยู่  ผมถามเธอ ว่า จะไป TAXI หรือ รถ เมล์ เธอตอบผมแบบมีรีรอว่า ... ทำไมต้องไป TAXI ด้วย แค่นี้เอง รถเมล์ก็ได้ ปอ. เยอะแยะ ในใจผมคิดว่า เอาแล้ว เจอของจริงแล้ว แล้วก็กวนประสาทกับไปอีกว่า งั้น แค่นี้เอง ปอ. ก็ไม่ต้องก็ได้มั้ง เดินดีกว่า เธอกลับตอบตกลงเพราะเธอคงเห็นมันเป็นเรื่องสนุก  ซึ่งระหว่างนั้นเอง อะไรหลายๆอย่างในตัวเธอ ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้รู้ จากการที่ผมสังเกตเธอและพูดคุยกับเธอ  อย่างแรกเลย เธอไม่เคยลำบากแน่ๆ เธอเลยลองเดินไปกับผมดู ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าผมพาคุณหนู มาเดินตากแดด เปรี้ยงๆ ร้อนก็ร้อน ผมเห็นนาฬิกาข้อมือเธอ ซึ่ง แน่นอน เป็นนาฬิกา ข้อมือของผู้หญิงซึ่งเธอใช้ Rolex ผมนึกในใจ เอาแล้วกู พาคุณหนูมาตากแดดซะแล้ว แต่เธอก็ยังคงยิ้มแย้ม ดูท่าทางจะไม่เมื่อยและไม่ล้า ผมเลยถามเธอ แกล้งพูดว่า เป็นไงนึกในใจล่ะสิ ว่ารู้งี้เมื่อกี้ขึ้นรถดีกว่าไม่ต้องมาเดินให้เมื่อยด้วย  เธอบอกว่าดูถูกแล้วยังไหวๆ  ซึ่งนั่นเป็นความน่า รัก ของเธอ
          เวลาที่ผมอยู่กับเธอผมมีความสุขมาก ผมไม่ไปเที่ยวกลางคืนเลย เพราะเธอไม่ใช่คนเที่ยวกลางคืน ผมถามเธอนะว่าทำไมวันนั้นถึงไปเที่ยวที่นั่น เธอบอกว่า เธอเพิ่งกลับมาจากเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ แล้วเธอกะจะนอนค้างที่บ้านเพื่อน แล้ววันรุ่งขึ้นเธอจะกลับบ้าน แต่เพื่อนเธอชวนกันออกมาเธอเลยต้องมาด้วย ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นโชคของผมแล้ว ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้ผมไม่ไปไหนเลย จนบางทีเธอบอกว่าให้ไปกับเพื่อนๆ เถอะ เดี๋ยวเธอกลับบ้านเองได้ แล้วยังสั่งผมว่าถึงบ้านโทรมาด้วยนะ เป็นไงเธอ น่า รัก มั้ยครับ ผมคบกับเธอ จนได้ไปเจอ คุณแม่เธอ ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่ง แน่นอนเธอบอกกับคุณแม่ไปที่เรียบร้อยแล้วว่าเธอชอบผม แต่คุณแม่ก็บอกว่าให้เป็นเพื่อนกันไปก่อน  คุณแม่บอกว่าผมเก่ง เพราะผมสามารถ ซ่อมคอมให้คุณแม่ได้ และเลือกซื้ออุปกรณ์ ต่างให้ได้ มีวันนึง คุณ แม่ชวนผมไปทานข้าวที่บ้าน เพื่อที่ว่าจะได้เจอคุณพ่อของเธอด้วย ผมตื่นเต้นมาก เพราะว่า กลัวมากๆ ซึ่งผมไม่เคย เข้าหาผู้ใหญ่แบบจู่โจมอย่างนี้มาก่อน ผมนั่ง ลงโปรแกรมไปเรื่อย แล้วมีเสียงโทรศัพท์มาที่บ้าน คุณแม่เธอรับโทรศัพท์ แล้ว ก็บอกให้ผมกับเธอ ไปทานข้าวกันก่อน ไม่ต้อง คุณพ่อ เพราะคุณพ่อของเธอ ติดธุระอยู่กำลังเดินทางกลับมา ซึ่งผมกับเธอก็นั่งทานข้าวกันสองคน ผมถามเธอว่า ทำไมคุณแม่ไม่มาทานด้วยกัน เธอบอกผมว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นอย่างนี้แหล่ะ ต้องรอสามี ผมเข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงมีนิสัยที่น่า รัก ละเอียดอ่อนและอ่อนโยน เพราะ เธอได้ทั้ง ความเป็นไทย และ ความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งทั้ง 2 อย่าง ทำให้เธอมีเสน่ห์มาก แต่โชคดี ก็ไม่ได้เข้าข้างผมเสมอ ไปคุณแม่เธอบอกว่า ไม่ชอบคนไทยแต่คบผมเป็นเพื่อนได้นะ เธอเคยบอกผมว่าคุณพ่อคุณแม่เคยแนะนำลูกชายเพื่อนที่เป็น ลูกครึ่งญี่ปุ่น ให้เหมือนกัน แต่เธอไม่ชอบ ความรู้สึกผมตอนนั้น เศร้ามากเลยนะ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี ผมเลิกเที่ยว ตั้งใจเรียน มองอนาคตข้างหน้า แต่ เรื่องมันก็เกิด ขึ้น เราสองคนมีปัญหากัน แต่ไม่ใช่เรื่อง ใครมีคนใหม่แน่นอน เธอมาบอกว่าเธอจะต้องไป ญี่ปุ่น 1 เดือน ไปหาญาติ ของเธอ ซึ่ง มันเป็น 1 เดือน ที่ยาวนานสำหรับผม เพราะถ้าเธอไปในตอนนั้น เรายัง มีปัญหากันอยู่ ซึ่งยังคุยไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็เป็นจริง วันที่เธอจะไป เธอบอกว่า ถึงแม้เราจะ รัก กันแค่ไหนเราสองคนก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก ผมทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์และคำพูด แต่ผมก็ได้บอกกับเธอว่า ก็ลองใช้ช่วงเวลา 1 เดือนที่เราไม่เจอกัน ลองดูว่าเราจะคิดถึงกันรึเปล่า ถ้าเรายัง รัก กันอยู่ กลับมามันก็ต้องเป็นเหมือนเดิม หรือ ดีกว่าเดิม แต่ถ้า กลับมาแล้วรู้สึกว่าอยู่คนเดียวสบายกว่านั้น ก็ห้ามความรู้สึกกันไม่ได้ และสิ่งที่แย่กว่านั้นอีก เดือนที่เธอไปนั้นเป็นเดือนเมษา เดือนเกิดผมพอดี เราจะไม่เขียน mail หากันแต่จะใช้จดหมายส่งหากัน นั่นเป็นข้อตกลงที่เราคุยกันไว้ก่อนเธอไป เธอเขียนมาหาผม 1 ฉบับ และผมก็ตอบกลับเธอ 1 ฉบับ อะไรหลายๆอย่างเริ่มแย่ ผู้รู้สึกได้ในตอนที่เราห่างกัน และจากตัวหนังสือในจดหมาย ผมโทรหาเธอ ซึ่งเธอ ก็อยู่ในอาการที่เหงาเหมือนกัน ผมคิดถึงเธอมาก แต่มันต้องเก็บความรู้สึกไว้ ผมเฝ้ารอเธอกลับมานะ แต่ยังดีที่เธอไม่ลืมวันเกิดผม ตอนที่คุยโทรศัพท์ เธอบอกว่าใกล้วันเกิดแล้วนี่ ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้อยู่ข้างๆ เพราะผมเคยขอเธอไว้ว่า วันเกิดผมผมอยากให้คนที่ผม รัก ที่สุดอยู่ข้างๆ ไม่ว่าวันนั้นผมจะสุขหรือเศร้า แล้วอาจจะไม่ได้โทรหาในวันเกิด เพราะเธอต้องไป เมืองอื่นกับญาติของเธอ แต่ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว  และแล้วเวลาที่ รอคอยก็มาถึง 1 เดือนที่แสนยาวนาน เธอกลับมาและเธอมาหาผม เธอมีของฝากมาให้ผมด้วย ซึ่งมันเป็นคุ๊กกี้ กับการบอกลา ว่า จำได้รึเปล่าที่เธอพูดถึงแม้เราจะ รัก กันแค่ไหนเราสองคนก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอก เพราะอย่างแรก แม่เธอไม่ชอบคนไทย เป็นเพื่อนนะเป็นได้ ลองคิดดู ผมคบกับเธอ 5 เดือน แต่ผมบอกกับเพื่อนว่า ความรู้สึกผม ผม รัก เธอมากกว่า ผู้หญิง ที่ผมเคย คบเป็นปีเสียอีก เพราะอะไรเหรอครับ เธอไม่เคยใส่หน้ากากเข้าหาผมเราไม่เคยโกหกกันเลย ถ้าใครที่กำลังมีความ รัก อยู่ อย่างเดียวที่ผมแนะนำได้คือ อย่าพยายามหา ความ รัก ใหม่ มีเพื่อนใหม่ได้แต่อย่าเปิดใจรับเข้ามา มากไป ต้องซื่อสัตย์กับใจตัวเอง เท่านั้นแหล่ะคุณจะได้อยู่กับช่วงเวลาแห่งความ รัก ที่มีค่าที่สุด
          หลังจากผมเลิกกับเธอไปผมพยายามหาวิธีหลายๆอย่างที่ พยายามจะให้เธอยอมที่จะพบแล้วก็พูดคุยกับผมก่อน ผมยังไม่หวังอะไรมากมายให้เรากับมา รัก กันเหมือนเดิม เพราะมันค่อนข้างเป็นไปได้ยาก อย่างแรกที่ผมทำกับตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่เชื่อว่าผมจะทำ มันเป็นสิ่งที่ใครต่อใครมองแล้วตลก นั่นคือ ถูกต้องครับ ผมไปตัดผม ซึ่งผมที่ผมตัดคือ Skin Head นั่นเอง ผมพยายามโทรหาเธอ แต่เธอก็ไม่รับสาย ถึงแม้เธอจะรับสายเธอก็บอกว่าจะโทรมาทำไมอีก ผมพูดอะไรไม่ออก ผมตัดสินใจไปหาเธอที่บ้าน ผมเจอเธอเธอให้ผมเข้ามานั่งในบ้านก่อน เธอมาผมแล้วก็หัวเราะ เพราะว่า ทรงผมผมเปลี่ยนไป  เธอถามผมว่าเป็นอะไรทำไมถึงตัดทรงนี้  ไม่วายด้วยความกวน ผมตอบเธอว่าผมอกหัก แล้วผมก็มองหน้าเธอ ซึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วน้ำตาผมเริ่มไหลออกมา ผมอยู่บ้านเธอ ได้ไม่ถึง 5 นาที แล้วผมก็ขอเธอกลับ เพราะไม่อยากให้เธอเห็นน้ำตา เธอบอกว่าจะรีบไปไหนล่ะเพิ่งมานี่  ผมฝืนใจนั่งต่อสักพัก และกลั้นน้ำตา และผมก็ถามเธอ ว่าไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมแล้วเหรอ เธอบอกว่าไม่แล้ว ผมอยากจะทำอะไรให้เธออีกหลายอย่างเลยนะ แต่ทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นพอได้เวลา ผมก็กลับบ้านเธอก็ยังน่า รัก เหมือนเดิม ออกมาส่งผมแล้ว กู้หยุดตรงประตูหน้าบ้าน สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้คือ เอามือ ลูบหัวเธอเบาๆ แล้วก็บอกกับเธอว่าดูแลตัวเองนะ แล้วเธอก็บอกกับผมว่า โตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆแล้วมาลูบหัวกัน แล้วเธอก็กลับเข้าบ้านไป หลังจากนั้น บ่อน้ำตาผมแตก ผมบ้าไปอยู่พักใหญ่ ประมาณ 1 เดือนได้ ผมเที่ยว ทุก คืนเลย(ตอนนั้นปิดเทอมอยู่นะครับ) คนเดียวก็ไป อย่างที่ผมบอกไงว่า ข้าวสารมีเสน่ห์ตรงที่ว่า คุณจะไปคนเดียวคุณก็รู้สึกว่าทุกคนเป็นกันเอง ผมยังโชคดีที่มีเพื่อนเป็นเด็กเสริฟ์อยู่ 1 คนและคนรู้จักในถนนข้าวสาร แม่บ้านยังแซว  ผมเลยว่า แหมเริ่มที่ Austin ก็จบที่ Austin เลยนะ ผมเริ่มคิดแล้วไงว่าจะหาวิธีอะไรที่จะได้คุยกับเธอ คืนนั้นเป็นคืนก่อนวัน วาเลนไทน์ ผมไปหาเธอหน้า บ้านตอน ตี 2 กว่า และนี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมบอกว่า ถ้าเรารู้จักบ้านผู้หญิงไว้ก็ดี เผื่อจะSurprise ได้ ผมได้เตรียมของที่จะให้กับเธอ ซึ่ง มี CD เพลงที่มีความหมาย และรูป ขนาด 8x10 ซึ่งเป็นรูป จากรูปสติ๊กเกอร์ที่เราเคยถ่ายไว้ด้วยกัน ซึ่งผมนำมาแต่งรูปเองทำอะไรเอง พร้อมกับจดหมาย ความยาว 2-3 แผ่นซึ่งความรู้สึกต่างๆของผมได้ถูกปิดผนึกไปพร้อม กับของต่างๆ ที่ผมเตรียมให้เธอ (น้ำเน่าเนอะ ระวังยุงนะกัดนะครับ แต่ผมทำอย่งนั้นจริงๆ) ผมไปถึงหน้าบ้านเธอผม ก็ไปเหน็บไว้หน้าบ้านของเธอโดยที่ไม่โทรบอก เพื่อหวังว่า ตอนเช้า เธอจะมาเห็นและเปิดมันออกดู  หลังจากนั้นผมไม่ทราบว่าเธอได้รับจดหมายหรือเปล่า  ผมไปรอเธอที่ที่เรานัดเจอกันครั้งแรก เพราะในจอหมายผมได้เขียนไว้ว่า ถ้าอย่างไรช่วยออกมาเจอกันหน่อยได้รึเปล่า ในเวลาบ่าย โมง ผมไปรอเธอนะพยายามที่จะมองหาเธอแต่ไม่เจอ ผมคิดว่าถ้าเธอได้รับจดหมายแล้ว ก็มีอยู่ 2 อย่างว่า เธออยากมา กับ เธอไม่อยากมาผมตัดสินใจโทรไปหาเธอ เธอรับโทรศัพท์ผมนะ แต่วาง แล้วผมโทรไปอีกที ผมขอร้องให้เธอฟังผมก่อนอย่าเพิ่งวาง แล้วผมถามเธอว่าไม่ได้รับจดหมายของผมเหรอ เธอถามว่า จดหมายอะไรไม่มีแล้วเธอก็วางไป  ผมกับบ้านกับความผิดหวังอีกแล้ว  มา ณ เวลาตอนนี้แล้ว 6 เดือนแล้ว นะที่เราเลิกกัน แต่ทำไมผมยังรู้สึกดีๆกับเธออยู่ ผมปล่อยตัวเองให้ดำเนินชีวิตต่อไปกับ การเรียน และ ทรงผมใหม่ของผม คือ  Skin Head และแล้วอีกไม่นานผมก็เรียนจบ ผมเฝ้า ติดตามข่าวของเธอ ดูเหมือนว่ามันจะเลือนลางลง เพราะเหมือนว่าเธอยิ่งห่างออกไปทุกที ผมรู้มาว่า ที่มหาวิทยาลัย จะมีงานรับปริญญา ซึ่งเธอก็เป็น 1 ในนั้น ด้วยที่จะต้องอยู่ในงาน  ผมจะทำยังไงดีจะถามใครได้บ้างว่า เธอจะรับวันที่เท่าไร เพื่อนเธอผมก็ไม่สามารถโทรหาได้ ครั้นผมก็ไม่มีเพื่อนอยู่ มหาวิทยาลัยนี้ซะด้วย ผมเลยไปลงข้อความใน Internet มหาวิทยาลัยนี้คณะนี้รับวันที่เท่าไหร่  ซึ่งมีคนใจดีตอบผมกลับมา  ก่อนหน้าแค่ไม่กี่วัน  ผมเตรียมตัวไปแสดงความยินดีกับเธอ ผมไปหาเธอประมาณ 3 โมงเย็น เพื่อที่จะได้เห็นเธอ สาวน้อยของผม ในวันที่เธอสำเร็จการศึกษา ผมรอเธอหน้าคณะของเธอ ซึ่งหาเธอเท่าไรก็ไม่เจอ เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ผมถามกับคนแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้จักเธอ รู้จักแต่คณะของเธอ และผมก็เริ่มออกเดินหาเรื่อยๆ ผมไปหยุดอยู่ที่สนามฟุตบอล เพราะมันเป็นที่โล่ง และกว้าง กะว่าถ้าเธอเห็นผมแล้วไปทักผม ผมก็ดีใจแล้ว แต่ถ้าผมเห็นเธอ ผมก็คงได้แต่ดูอยู่ห่างๆ  ผมไม่เจอเธอ ตอนนั้น ก็ประมาณ 6 โมงเศษ ฟ้าเริ่มมืด ผู้คนเริ่ม กลับบ้าน  และ มีอีกวิธีที่ ผมรู้ว่าไม่ได้ผลแน่คือ การโทรศัพท์ ผมโทรไปหาเธอที่บ้าน แต่ คนที่บ้านบอกว่า เธอออกไปงานรับปริญญา ผมดีใจนะเพราะอย่างน้อย เธออยู่ในงานแต่ผมยังหาไม่เจอ ผมบอกกับคนที่บ้านเธอว่า ตอนนี้ผมอยู่ในงานเหมือนกัน แต่ผมหาไม่เจอ และผมจะขอเบอร์มือถือของเธอเพราะเธอเปลี่ยนเบอร์แล้ว เพื่อที่จะติดต่อ แต่ไม่สำเร็จ ครับ คนที่บ้านเธอไม่ให้  ผมรู้สาเหตุนะว่าเพราะอะไร เธอจะสั่งคนที่บ้านไว้ว่า ถ้าใครโทรมาขอเบอร์มือถือ ไม่ต้องให้เพราะถ้าเป็นเพื่อนกันก็ต้องมีเบอร์อยู่แล้ว เท่านั้นแหละ 4 ชั่วโมงแห่งการรอคอยก็ค่อยๆหมดลงไป ในตอนนั้นจิตใจผมเริ่มฟุ้ง เริ่มคิดถึงวสานา ผมคิดว่า ถ้าคนเราเป็นคู่กันจริงยังไงเราคงได้เจอกันแน่ๆ แล้วผมก็กลับบ้าน โดยที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยของเธอซึ่งรถติดมาก และก็ลึกพอสมควรก็จะถึงปากซอย ผมเดินไปเรื่อยๆ และก็คิดอะไรเพลินๆว่า 1ปี กับ 7 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ผมอยากเจอเธอสักครั้งก็ทำไม่ได้ หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็เริ่มที่จะไม่ค่อยนึกถึงอีก พอเหมาะกับเวลาที่น้องชายผมกลับมาจากต่างประเทศ(ลูกพี่ลูกน้อง) น้องชายผมชวนผมออกเที่ยวทุก คืนเพราะเราไม่ได้เจอกันมาประมาณ 10 กว่าปี  ผมใช้ชีวิตอย่างเจ้าสำราญมาก และแล้วผมก็อดคิดถึงเธอไม่ได้อีกเพราะ มันเป็นเดือนที่เธอเกิด ซึ่งเป็นเดือนมีนาคม ผมได้โทรไปหาเธอในวันเกิด แล้วก็เกิดสิ่งที่ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่า เธอไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมโทรไปที่บ้านเธอคุณพ่อของเธอรับ คุณพ่อของเธอบอกว่าเธอไปเรียนต่างประเทศตั้งนานแล้ว และผมขอ e-mail ของเธอไว้ แต่คุณพ่อของเธอบอกให้ผมโทรไปถามน้องชายเธอดู ผมก็รีบโทรไปทันทีแล้วน้องชายเธอก็ได้ บอก e-mail ของเธอให้กลับผม และผมได้ถามน้องของเธอว่า เธอไปตั้งแต่เมื่อไหร่ น้องของเธอบอกว่า หลังจากรับปริญญาได้สักพัก ซึ่งตอนนี้มันก็ปาเข้าไป 1 ปี 10 เดือนแล้ว ผมก็ mail ไปหาเธอนะหวังว่าคงคงจะเปิดอ่านบ้างหล่ะ และผมก็พยายามทำที่สุดแล้ว ผมเริ่มรู้สึกว่าผมลองคบกับใครดูนะแต่มันก็ไม่ลืมเธอสักที ตอนนี้เธอคงยังอยู่ต่างประเทศอยู่ ผมอยากจะบอกว่าผม รัก เธอ  ผมพยายามเขียนเรื่องนี้เผื่อว่า เธอคงจะได้รับรู้ และสุดท้ายผมอยากบอกว่า สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้มีความสุข เพราะ วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดเธอ (10 มีนาคม) ตอนนี้ก็ 2 ปี 10 เดือนแล้ว เป็นไปได้ผมอยากเจอเธออีกสักครั้ง พรุ่งนี้ผมจะลองโทรไปหาเธอที่บ้านดู ....
      ขอบคุณทุกท่านนะครับที่อ่านจนจบ การที่เราได้เคย รัก ใครสักคนที่เรา รัก แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว
      ทั้งหมดนี้นามปากกาก็ชื่อของเธอนี่แหล่ะครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×