“ผีเสื้อบินผ่านหน้า ดึงดูดสายตาให้มองตาม มาหยุดเกาะอยู่ดูไว้ท่าทีอยู่ในเชิงหากดูเป็นธรรมชาติ เมื่อมันเหมือนมั่นใจว่าดึงดูดความสนใจไว้ได้แล้ว ก็ออกโบยบินสู่ห้องด้านใน ชักพาเด็กน้อยให้เข้าไปพบระนาดหลังนั้น ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องเล็ก รายล้อมด้วยเครื่องดนตรีอื่น ๆ แสงแดดส่องลอดลงมาเป็นลำท่ามกลางความมืดในห้อง    ฉากตัดไปที่ชายชรานอนบนเตียง  หายใจแผ่วใกล้ตาย มิวายฝากฝังดนตรีไว้กับเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็ก มิวายยังเพ้อ หลงไปว่าได้ยินเสียงระนาดเอกดัง ในความเงียบสงบของห้องพัก ณ วาระสุดท้ายของชีวิต...”
    หลังชั่วขณะอันตรึงใจนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะปกติ พี่ชายเดินเข้าห้องมา หิ้วเจ้าน้องชายตัวซนไปหยอกอย่างเอ็นดู โทษฐานซนริเทียบรุ่น ทุกคนเฮกันครืน บรรยากาศสนุกสนาน ผ่อนคลายลงทันที
    เด็กชายผมจุกไร้เดียงสา น่ารักน่าเอ็นดู แต่กลับสงบสุขุมในชั่วขณะที่นั่งขับเพลง ฉายแววทางดนตรีชัดเจน เห็นอนาคตกันแล้วว่าเด็กคนนี้ต่อไปต้องได้ดี ตีระนาดเสียงดังฟังได้ยินไกล ..ทั้งจากฝีมือและการบอกต่อร่ำลือ
    นี่คือฉากเปิดเรื่องโหมโรง สั้น ๆ ไม่กี่นาที หากสำหรับเรากลับลึกซึ้งดื่มด่ำราวเวลาได้หยุดหายใจไปชั่วขณะ ฉากบ้านไม้ในชนบทที่ดูสงบและถ่อมตนนั้นอาจไม่ดึงดูดใจเท่าใด แต่เมื่อผีเสื้อบินตัดสายตาของเด็กน้อยมาเท่านั้น บรรยากาศก็แปลกไปทันที ทุกสิ่งดูแสนสุข เรียบง่ายและสวยงาม ผีเสื้อธรรมดา ๆ ปีกเหลืองลายดำที่ที่ไหนก็มีนั่นล่ะ  แต่นานเท่าไหร่มาแล้ว ที่ไม่ได้เห็น และนานเท่าไหร่มาแล้ว ที่ไม่ได้เห็นว่ามันสวยงาม ทำให้รู้สึกถึงความซาบซึ้ง เพียงเริ่มเรื่องไปได้ไม่ทันไร “โหมโรง” ก็ได้คะแนนประทับใจจากเราไปแล้วเต็ม ๆ ด้วยมุมกล้องและการถ่ายทำที่กระชับ หมดจด และงดงาม ฉากต่าง ๆ ประทับลงในใจเราอย่างอ่อนโยน และแล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไป ตัดฉากวัยเด็ก วัยรุ่น วัยกลางคน และวัยชรา สลับกันไปมา แต่แจงบริบทของแต่ละฉากอย่างชัดเจน และเรียบเรียงลำดับได้อย่างดี ทำให้ไม่งง และติดตามได้ไม่สับสน แต่ละตอนตัดมาฉายเฉพาะฉากหลัก ๆ แต่อารมณ์ก็ไม่สะดุด เพราะไม่สักแต่ตัดลวก ๆ จนลืมความละเมียดผ่อนคลายอย่างฉากตามส่งนางเอกถึงบ้านที่ดูน่ารักและแอบหวานในความรู้สึก แต่ละฉากแม้สั้น แต่ก็ไม่ห้วน ชวนให้จินตนาการถึงมุมมอง ความคิดและความรู้สึกของตัวละคร
ตลอด ๒ ชั่วโมง เราติดตามเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของศร ตัวละครเอกไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ความสนุกสนานซุกซนในวัยเด็ก ความประทับใจแรกพบต่อเครื่องดนตรี ความภาคภูมิใจ คะนองในฝีมือ เสียหน้าเมื่อถูกหักเชิง เจ็บใจที่ไม่อาจโต้ตอบหรือเอาคืนได้ พ่ายแพ้ ท้อแท้จนสิ้นหวัง ต้องหลบหนีอย่างเสียขวัญโดยสิ้นเชิง ความรัก หวงแหนต่อดนตรี ความหวานซึ้ง ความมั่นใจ คึกคักหักหาญ ความอ่อนน้อม ความพร้อมเผชิญหน้า และความยินดีเมื่อได้รับการยอมรับ หลากหลายนานา ทุกฉากทุกบรรยากาศช่างมีเสน่ห์อย่างไทย ๆ เหลือเกิน จนเราอดถอนใจไม่ได้เมื่อคิดขึ้นมาว่าทุกวันนี้ไม่มีเหลือแล้วหรืออย่างไร ภาพสังคมไทยอันมีเสน่ห์นั้นถูกปรามาส    เหยียดหยามสิ้น ด้วยน้ำมือของคนไทยด้วยกันเอง ด้วยหลงเชื่อท่านผู้นำว่าศิวิไลซ์ที่จะได้มาจะดีกว่าความเป็นไทยอันเก่าแก่แต่เดิมที่มีมา ที่กลายเป็นความคร่ำครึในสายตาไป แล้วเราก็ต้องถอนใจอีกครั้งเมื่อเผลอคิดมาถึงปัจจุบันนี้ และทัศนคติของเราเองที่เคยมีต่อความเป็นไทยอย่างสมัยก่อน ไม่อยากคิดเลยว่า วิถีปัจจุบันจะทำลายภาพความงามบนจอนั้นไปแล้วหรืออย่างไร
ไม่ได้จะต่อต้านต่างชาติหรือวิทยาการทันสมัย แต่หากจะหวนหวงแหนวัฒนธรรมงาม ๆ ของไทยไว้บ้าง และปรับให้อยู่ร่วมกันไป อย่างในฉากที่พ่อครูจับจังหวะตีระนาดคู่คลอไปกับเสียงเปียโนที่ลูกชายดีด จะได้หรือไม่
เราทึ่งจริง ๆ นะกับฉากนั้น ลูกชายซื้อเปียโนมือสองมาจากเมืองนอก พ่อสั่งให้ดีดให้ฟัง แล้วครั้งที่สอง ก็ตีระนาดผสานซ้อนกันไป คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า วัฒนธรรมเรากับวัฒนธรรมเขาแนบเนากันกลมเกลียว
แวบแรก นับถือ ทึ่งในฝีมือของพ่อครู แวบต่อมา พลันคิดได้ว่าที่เราเคยมองข้ามดนตรีไทย และวัฒนธรรมไทยไปนั้น เป็นเพราะเราไม่สนใจ ไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้ จึงไม่เห็นคุณค่า
    แรกเลย คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นแค่การย้อนความเล่าชีวิตของครูดนตรีคนหนึ่ง จับแก่นเรื่องไม่ได้ แต่เมื่อค่อยคิดไป ก็รู้สึกได้ถึงชีวิตตั้งแต่ต้นจนจบของยอดครูดนตรีคนหนึ่ง มีการต่อสู้ที่สำคัญยิ่งอยู่สองครั้ง ครั้งแรกคือการเผชิญหน้ากับขุนอิน ยอดนักดนตรีผู้อาวุโสกว่า เมื่อพบกันครั้งแรก ชายหนุ่มภาคภูมิ ทะนงกับฝีมือของตน จนถูกหักหาญด้วยการขู่ข่มอย่างไม่ไว้เชิงของผู้ใหญ่ที่ฝีมือเฉียบกว่า เด็ดขาดกว่า จนกลายเป็นรอยแผลเป็นอยู่ในใจ ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่ก็สามารถกู้ความเชื่อมั่นในตนเองกลับมาและเอาชนะได้ และได้รับการยอมรับฝีมือจากนักดนตรีรุ่นใหญ่กว่านั้น เหนือกว่าการต่อสู้กับขุนอิน คือการต่อสู้กับความอ่อนแอของตัวเองซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก แม้ว่าจะแลเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าก็ตาม
    การต่อสู้อีกครั้ง เมื่อญี่ปุ่นยกทัพเข้าประเทศไทย และทางการออกนโยบายปฏิรูปสังคมวัฒนธรรม จนดนตรีและศิลปะการแสดงต่าง ๆ แทบจะถูกถอนรากถอนโคน แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็แทบจะแตะเครื่องดนตรีเล่นไม่ได้เลย
ภายใต้การจับตามองอย่างเข้มงวดของตำรวจ เข้มงวดจนกระเดียดไปในทางจ้องจับผิด.. เรื่องหนักข้นเมื่อศิษย์โปรดของครูศรทนความเหยียดหยันของตำรวจไม่ได้เผลอตอบโต้ไปด้วยความรุนแรง จนกลางดึกคืนหนึ่ง ตำรวจมาค้นบ้าน หาตัวผู้กระทำผิด และเผชิญหน้ากับครูศร รากเหง้าของความเป็นไทยและการปฏิรูปเพื่อศิวิไลซ์ คำอธิบายกึ่งคำสั่งของนายตำรวจทำให้เราอดขัดใจไม่ได้กับเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลและกฎที่ตราขึ้นเพื่อปรับปรุงประเทศ โดยไม่คำนึงถึงคนในชาติเลย เพียงจบบทสนทนา ไม่ทันที่ตำรวจจะก้าวพ้นบันไดบ้าน ครูศรก็ประกาศสงครามด้วยการตีระนาดเอกเสียงดัง ใสและกังวานจนได้ยินไปไกล ชาวบ้านต่างหอบผ้าคลุมห่มผ้าขาวม้ามาทรุดตัวลงนั่งฟัง จนตำรวจต้องถอยยอมให้ด้วยสีหน้าที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูก แม้เห็นตัวผู้ต้องหาอยู่ท่ามกลางชาวบ้านก็ผ่านเลยไป
    เมื่อบรรเลงจบเพลง เราแทบจะยิ้มตามไปด้วยอิ่มเอม อิ่มใจ แต่แล้วอาการโรคหัวใจของครูศรกลับกำเริบขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ครูก็ล้มจนเสียชีวิตลง แม้ในวาระสุดท้าย นิ้วมือยังทำทำนองตีระนาดทั้งที่อ่อนแรงเหลือเกิน
    ชั่วขณะที่มือทั้งสองตกลง เรารู้สึกราวกับไทยได้ตกลงไปพร้อม ๆ กัน
   
ชั่วขณะที่กำลังใจหายนั้น ผีเสื้อปีกเหลืองลายดำนั้นบินผ่านสายตา บินวนอ่อนช้อยเข้าไปในห้อง และออกมาหยุดนิ่งอยู่อย่างจับตา
    แล้วหนังก็จบลง ชีวิตของนักดนตรี เรื่องราวของระนาดเอกก็จบลง แต่ยังคงประทับตราอยู่ในใจ...
   
ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ดีขนาดนี้ มันจะดีเยี่ยมเกินไปแล้ว
    ขอมอบเครดิตให้ผู้กำกับ กองถ่ายทำ คนเขียนบท นักแสดงทุกท่าน ฯลฯ ที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์งานชิ้นเยี่ยมนี้ออกมา และเพื่อน ๆ ที่บอกต่อความประทับใจให้เราได้มาดู ประทับใจหนังเรื่องนี้ตั้งแต่การถ่ายทำฉากที่คมชัดลึกซึ้ง สวยงามจนหากจับภาพออกมาก็ไม่ยากที่จะจับตาคนที่ได้เห็น บทสนทนาที่สมยุคฟังรื่นหู สภาพบ้านเมืองพาเราย้อนกลับไปในอดีต พาเราไปกับเรื่องราวนั้น  อารมณ์หนักแน่น รุนแรงและลึกซึ้งจนตรึงเราอยู่กับเรื่อง
    จริง ๆ เราไม่มีความรู้เรื่องดนตรีเลย อย่าว่าไทยหรือสากล จริง ๆ เราไม่ชอบหนังพีเรียดเท่าไหร่ พูดกันตรง ๆ นี่ก็ไม่ใช่หนังในสเป็กของเรา แต่ด้วยความคลาสสิกและงดงาม ทำให้เรายกตำแหน่ง-เป็นหนึ่ง-ให้ด้วยความเต็มใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนังที่ดีขนาดนี้ถึงไม่เด่น ไม่ดัง ฟังจากเพื่อน มันว่างบถ่ายทำ ๑๕ ล้าน งบโฆษณา ๕๐ ล้าน แต่รายได้เพิ่ง ๑๐ ล้านเอง ในขณะที่หนังไทยอีกเรื่องปาเข้าไป ๗๐ ล้านแล้ว เราสงสัยอย่างแรงว่าทำไมงบโฆษณาขนาดนั้น ถึงไม่เตะตาไปกว่าแค่เราได้รับรู้ว่าเออ มีหนังเรื่องนี้ฉาย ทำไมถึงไม่ตัดเอาฉากงาม ๆ มาให้เห็นจะได้ไปดูแต่เนิ่น  ๆ กว่านี้ ทำไมคนถึงไม่ชวนกันไปดูหนังดี ๆ อย่างนี้ ไม่พูดถึงกันเท่าไหร่ เป็นหนังไทยที่ยกให้เลยว่าคู่กับคำว่าดี จริง ๆ ไม่ใช่อย่างหนังอื่นบางเรื่องที่บอกว่าดีเหมือนกัน ..แต่ในความหมายว่าก็ดีนะ..ไม่รู้สึกหนักแน่นจริงจังอย่างเรื่องนี้
จะว่าเราพูดเว่อร์ไป แต่ฉากหญิงสาวเก็บดอกไม้อย่างอ่อนหวาน ค่อยช้อนดอกไม้ในอ่างน้ำที่สะท้อนเงาใบหน้าขึ้นมา โดยมีสายตาหนุ่มน้อยคอยมองอย่างลืมตัวตกอยู่ในภวังค์นั้น ไม่พาให้หวามในอารมณ์หรอกหรือ ฉากที่นักดนตรีอาวุโสตีระนาดหนักแน่นกรรโชก สายตาที่จับจ้องกลับนิ่งสงบอย่างมั่นใจและเป็นต่อ ทั้งที่นักดนตรีรุ่นเยาว์กว่าผวาจนเสียขวัญไปนั้น ไม่คุกคามความรู้สึกจนอดขนลุกไม่ได้หรอกหรือ  แล้วยังผีเสื้อหนึ่งตัว ที่บินมาเยือนเมื่อครั้งเยาว์ครั้งหนึ่ง แล้วหวนกลับมารับเมื่อสิ้นใจนั้น ไม่สั่นไหวให้สะท้อนอยู่ในอกหรอกหรือ หากจะให้เล่าความรู้สึก ความประทับใจ  แง่คิดต่าง ๆ ที่ได้จากเรื่องนี้ละก็ คงพล่ามไม่รู้จักจบจักสิ้นและเผลอชิงชังสิ่งที่ทำลายสภาพบ้านเมืองในเรื่องโหมโรงลงไปแน่ ๆ เสียดายจริง ๆ ที่ความงดงามของหนังเรื่องนี้ไม่ได้เด่นออกมาให้เห็นได้ชัดอย่างเสียงระนาด
ได้โปรดเถอะ ก่อนที่จะปรามาสคำว่าความเป็นไทยหรือมองอย่างไร้ค่าว่าดาษดื่นไป ได้โปรด ไปดูโหมโรงเถิด หากดูแล้วไม่ชอบก็ไม่ว่าสักคำ แต่ถ้ายังไม่ได้ดู อย่าเพิ่งดูเบาวัฒนธรรมไทยเลย
    กลับบ้าน แวะกินขนมก่อน เปิดหนังสือพิมพ์อ่านตามปกติ แต่พอผ่านหน้ารายการหนัง ก็กางออกมาดู
    คำว่าความภูมิใจในโฆษณาของโหมโรง ตัวเล็กจนต้องเพ่งถึงจะอ่านออก
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น