ความเป็น \"แม่\" - ความเป็น \"แม่\" นิยาย ความเป็น \"แม่\" : Dek-D.com - Writer

    ความเป็น \"แม่\"

    ภาพของบ้านไม้หลังหนึ่งท่ามกลางชุมชนแออัด บ้านไม้หลังเก่าๆโทรมๆที่มีเพียงเด็กน้อยตัวเล็กๆ นั่งอยู่ตรงหน้าบ้านเพียงลำพัง นั่งอยู่ตรงนั้น หวังจะคอยคุณแม่ให้กลับบ้านแต่คุณแม่ก็ไม่ยอมกลับเสียที

    ผู้เข้าชมรวม

    147

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    147

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 เม.ย. 52 / 22:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
          มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในตัวเมืองกรุงเทพมหานคร คนที่มีอายุน้อยที่สุดในบ้านคือ หนูดี หนูดีเพิ่งมีอายุครบ 5 ขวบเมื่อไม่นานมานี้เอง หนูดีเป็นเด็กที่ฉลาด มีไหวพริบ อีกทั้งยังมีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักตามประสาเด็กๆทั่วไป ใบหน้ามีลักษณะคล้ายแม่คือมีหน้าคมคาย และมีตาที่กลมโตใหญ่แบบธรรมชาติ หนูดีอาศัยอยู่กับคุณแม่ 2 คน เพราะพ่อของหนูดีเพิ่งเสียไปจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อเดือนที่แล้ว ปกติหนูดีจะรักพ่อมาก เพราะพ่อจะชอบเล่นกับหนูดีเป็นประจำ แต่หลังจากที่พ่อเสียชีวิตไป หนูดีก็ต้องอยู่เพียง 2 คนกับแม่ ครอบครัวของหนูดีขาดกำลังหลักของรอบครัวไป แต่ก็ใช่ว่าหนูดีจะอยู่ไม่ได้ ตั้งแต่ที่หนูดีขาดไออุ่นจากอกของพ่อไป หนูดีก็ยังอยู่อย่างมีความสุขได้ เพราะมีแม่ แม่ของหนูดีเป็นส่วนเติมเต็มไออุ่นจากพ่ออย่างสมบูรณ์ แม่ของหนูดีรักหนูดีมาก คุณแม่จะพยายามเล่นกับหนูดีตลอดเวลาเพื่อให้หนูดีมีความสุข ทุกๆวันที่คุณแม่กลับมาจากที่ทำงาน ไม่ว่าคุณแม่จะเหนื่อยสักแค่ไหน ท่านก็จะพยายามพาหนูดีไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ทุกวันเราได้วิ่งเล่นด้วยกัน ได้ปั่นจักระยานด้วยกัน ได้ทำอะไรหลายๆอย่างด้วยกันในทุกๆวัน และที่หนูดีชอบมากๆก็คือทุกๆวันอาทิตย์หนูดีกับคุณแมจะออกไปปิ๊กนิ๊กที่สวนหลังบ้านด้วยกัน คุณแม่จะปิ้งบาร์บีคิวให้หนูดีกิน และหนูดีจะเป็นผู้ช่วยที่ดีในการทำอาหารของคุณแม่ เรานั่งปิ้งบาร์บีคิวกันจนถึงเย็นแล้วคุณแม่จะพาหนูดีเข้าบ้านไปอาบน้ำแปรงฟัน แล้วจึงค่อยพาหนูดีเข้านอน ก่อนนอนทุกคืนคุณแม่จะมีนิทานเล่าให้หนูดีฟัง หนูดีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณแม่ไปเอานิทานมาจากไหนให้เล่าได้ไม่ซ้ำกันทุกวัน หนูดีชอบฟังนิทานจากเสียงของคุณแม่มากๆ ทุกๆวันที่ผ่านไปหนูดีรู้สึกมีความสุขมากๆ อาจจะมากกว่าเด็กที่มีทั้งพ่อและแม่คนอื่นๆด้วยซ้ำไป เหตุการณ์อย่างนี้ก็เป็นเรื่องปรกติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆวัน จนในที่สุด ...........วันนั้นก็มาถึง
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ทุกๆอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แม่ของหนูดีทำตัวห่างเหินกีบหนูดีอย่างชัดเจน ท่านไม่ยอมพูดกับหนูดี ไม่ยอมเล่านิทานให้หนูดีฟัง แม้กระทั่งวันอาทิตย์ที่มีการปิ้งบาร์บีคิว มันก็ไม่เกิดขึ้นอีก แม่ของหนูดีไม่ยอมมาเล่นกับหนูดีเหมือนแต่ก่อนวันๆหนึ่งหลังจากกลับจากที่ทำงาน ท่านเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าซังกะตายไร้ความรู้สึก ตามปกติในทุกๆวัน เมื่อคุณแม่องหนูดีเดินเข้าบ้าน ไม่ว่าหนูดีจะทำอะไรอยู่ หนูดีจะหยุดทำสิ่งนั้นแล้วรีบมากอดคุณแม่ให้เร็วที่สุดแต่ตอนนี้ทุกๆอย่างเปลี่ยนไปTV ดู เปรียบเสมือนท่านอยู่ในโลกส่วนตัวของท่าน ไม่ว่าหนูดีจะพยายามกอด-รัด-ฟัด-เหวี่ยง ตัวท่าน ให้ท่านเพียงหันมาพูดกับหนูดีซักครั้ง แต่มันก็ไม่เป็นผล ท่านไม่ยอมคุยกับหนูดีเลยซักนิด ไม่ยอมเล่นกับหนูดี หรือแม้กระทั้งเพียงแค่หันมามองท่านก็ไม่หันด้วยซ้ำไปท่านทำตัวเปรีบยเสมือนไม่มีหนูดีอยู่ในบ้านหลังนี้ เมื่อเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าการณ์เวลาก็ผ่านไปเป็นวัน เป็นสัปดาห์ก็ยังไม่มีดีขึ้น แน่นอนที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นมันคงจะเลวร้ายเกินกว่าที่เด็กหญิงวัยเพียง 5 ขวบจะรับใหว เด็กสาวที่เคยมีทั้งพ่อ ทั้งแม่ และมีความสุข แต่ตอนนี้หนูดีไม่เหลืออะไรแล้วหนูดีได้แต่เพียงแหกปากให้ลั่นบ้านหวังแต่เพียงให้คุณแม่ได้หันมามองหนูดีซักนิด แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลย ไม่ว่าหนูดีจะแหกปากร้องให้ขนาดไหนแม่ของหนูดีก็ไม่สนใจเลย ท่านเพียงแค่เดินผ่านไป ไม่แม้แต่หันมาเหลือบมองเลยซักนิด หนูดี เด็กน้อยวัย 5 ขวบ หมดหนทาง หมดจุดหมายในการมีชีวิต หมดสิ้นทุกๆอย่าง หนูดีคิดแต่เพียงว่า หนูดีอยากตายให้พ้นๆจากโลกนี้ไปซะ   ท่านไม่สนใจใยดีหนูดีเลยซักนิด ท่านทำท่าทางปรีบยเสมือนเดินชนกับเก้าอี้แล้วก็เดินเลยผ่านหนูดีไปโดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆเลย ท่านเดินเข้าบ้าน ท่านก็จะไปนั้งบนโซฟาเก่าๆตัวโปรดของท่าน พร้อมกับเปิด
               แต่ในที่สุดเหมือนสวรรค์จะเข้าข้างหนูดี เช้าตรู่ของวันหนึ่งขณะหนูดีกำลังหลับ คุณแม่ของหนูดีเดินมาปลุกหนูดีอย่างเงีบยๆ หนูดีตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือพร้อมกับคราบน้ำตาบนใบหน้าที่หลงเหลือจากเมื่อคืน ภาพที่หนูดีกำลังเห็นมันเหมือนกับหนูดีกำลังฝันไม่มีผิด หนูดีเห็นแม่ของตนหันมามองที่ตน ถึงท่านจะไม่ได้ยิ้มแต่นี่ก็เป็นสิ่งที่หนูดีรอคอยและอยากได้ที่สุด
        “หนูดี”    เสียงของผู้เป็นแม่เรียกหนูดี เพื่อดึงสติของเด็กสาวกลับมา
          “จ๊ะแม่ แม่จ๋า  
      แม่มีอะไรหรือจ๊ะ
         แม่เป็นอะไรจ๊ะแม่ 
       ทำไมแม่ไม่ยอมคุยกับหนู
      หนูทำอะไรผิดหรือจ๊ะแม่
      หนูดีขอโทษ
      หนูดีจะไม่ทำอะไรผิดอีกแล้ว
      นะจ๊ะแม่จ๋า
      แม่ แม่ยอมคุยกับหนู.....    (คำถามมากมายถูกระดมออกมาจากปากหนูดีอย่างต่อเนื่อง)
       
      “หนูดี” เสียงของผู้เป็นแม่เรียกชื่อหนูดีอีกครั้ง
      หนูดีเงียบภายในทันทีเพื่อรอสิ่งที่แม่กำลังจะพูด
       
      “หนูดี....ถ้ามีคนให้เงินหนูดี หนึ่งพัน หนูดีจะเอามั้ย”
         หนูดีรู้สึกสับสนกับคำถามของคุณแม่มากๆๆ ตอนนี้หนูดีไม่มีสมองพอที่จะไปคิดเรื่องอื่นอีกแล้ว
         “หนูดี....ถ้ามีคนให้เงินหนูดี หนึ่งพัน หนูดีจะเอามั้ย” คุณแม่ย้ำถามคำถามเดิมอีกครั้ง
      หนูดีนิ่งเงียบซักพัก แล้วรีบตอบคุณแม่ไปว่า “เอาจ๊ะแม่ เอา เอา” หนูดีตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่คุณแม่ที่ได้ฟังคำตอบของหนูดีก็นิ่งเงียบไปซักพักแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดใดทั้งสิ้น
       
                หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณแม่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง กลับไปเป็นคุณแม่ที่ไม่มีหนูดีอยู่ในสายตา ไม่ว่าหนูดีจะพูดอะไรคุณแม่ก็ไม่ฟัง ไม่สน ไม่แม้แต่จะหันมามองเลยซักนิด ทันใดนั้นเอง หนูดีก็กลับเป็นเด็กอ้างว้างอีกครั้ง เด็กหญิงที่ได้คุยกับคุณแม่เพียงครั้งแรกหลังจากที่ได้รอคอยเป็นสัปดาห์แต่ตอนนี้มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกครั้ง เปรียบเสมือนเด็กที่เพิ่งได้เจอกับสิ่งที่รอคอยมานาน แต่กลับต้องสูญเสียมันไปอีก มันเป็นสิ่งที่ทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆของเด็กหญิงคนนี้อย่างมาก หนูดีเริ่มกลับมานึกย้อนคำถามของผู้เป็นแม่แล้วก็เกิดคำถามในใจมากมาย
         ทำไมคุณแม่ต้องถามเราอย่างนี้
         มันเกี่ยวอะไรกับเงิน หนึ่งพัน
         ทำไมถึงจะมีคนให้เงินเราตั้ง หนึ่งพัน
         แล้วมันจะไปผิดตรงไหนถ้าเราจะเอามัน
      เด็กหญิงเริ่มนึกถึงคำถามของผู้เป็นแม่ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา มันเป็นสัปดาห์ที่สับสนและอ้างว้างที่สุดเท่าที่หนูดีเคยเจอมาเลยทีเดียว
      แต่เนื่องจากหนูดีเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่หนูดีจะคิดออก หนูดีคิดย้อนกลับไปในอดีตว่า คุณแม่เคยสอยหนูดีตั้งแต่เล็กไว้ว่า อย่าเอาของจากคนแปลกหน้า “ต้องเป็นเพราะเรื่องนี้แน่ๆ คุณแม่ถึงไม่ยอมคุยกับเรา “
      “ต้องเป็นเพราะว่าเราตอบส่งๆ ไปว่าเราเอา คุณแม่ต้องโกรธเราเรื่องนี้แน่ๆ”
      หนูดีคิดได้ดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบวิ่งไปหาคุณแม่ที่กำลันั่งดูTV อยู่บนโซฟาตัวเก่าตัวเดิม
      “แม่จ๋า หนูรู้แล้ว หนูขอโทษจะแม่”………..คุณแม่ไม่มีอาการตอบโต้ใดใด
      หนูดีเริ่มเขย่าแขนคุณแม่ “แม่จ๋า แม่อย่าโกรธหนูเลยนะ เงินหนึ่งพันนั่น หนูไม่เอามันแล้ว”.............คุณแม่ก็ยังไม่มีอาการตอบโต้ใดใด
      “แม่จ๋า หนูตอบแม่แล้วไง หนูจะไม่เอาเงินนั่นแน่ๆ หนูจะไม่เอามัน”
      “แม่จ๋า แม่ หนูขอโทษ”
      “แม่จ๋า แม่ให้อภัยหนูนะ”   
      “แม่จ๋า ________”
      “แม่_______”
                    ไม่ว่าหนูดีจะเรียกคุณแม่ซักกี่ครั้ง คุณแม่ก็ไม่ยองสนใจหนูดีเลยแม้แต่น้อย คุณแม่ยังทำท่าทางเหมือนเดิม ท่าทางที่ไม่เห็นหนูดีอยู่ในสายตาเลยซักนิด ตอนนี้สมองของหนูดีมึนตึ้บไปหมดแล้ว หนูดีไร้ที่พึ่ง หนูดีไม่เหลือใครอีกแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครรักหนูดีแล้ว หนูดีคงไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แน่ๆ   ขณะที่หนูดีกำลังสับสนในชีวิตอยู่นั้น “พ่อ” หนูดีกลับนึกถึงหน้าพ่อขึ้นมาทันที หนูดีเริ่มวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องพระ ห้องเล็กๆที่อยู่บนสุดของตัวบ้าน ห้องที่ซึ่งมีรูปพ่อของหนูดีที่เพิ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งอยู่ หนูดีรีบวิ่งเข้าไปกอดรูปนั้น น้ำตาของหนูดีใหลออกมาเป็นสายยากที่จะหยุดยั้ง
        “พ่อจ๋า หนูควรจะทำยังไงดีจ๊ะ   พ่อจ๋า
      “ พ่อจ๋า ทำไมจ๊ะ ทำไมคุณแม่ถึงทำอย่างนี้กับหนู”
      “พ่อจ๋า แม่ไม่รักหนูแล้วหรือจ๊ะ พ่อจ๋า”
         “พ่อจ๋า หนูคิดถึงพ่อ”   T__T
      “พ่อจ๋า คอยดูนะจ๊ะพ่อจ๋า ถ้าคุณแม่ถามหนูอีกครั้ง หนูจะตอบว่าไม่เอา”
      “”หนูจะตอบให้ขัดถ้อยชัดคำ หนูจะทำจะพ่อ หนูจะทำ .....หนูจะทำ .....หนูจะทำ....”
      (หนูดีเผลอหลับไป )
               คืนนี้เป็นคืนที่หนาวเหน็บ ในห้องเล็กๆบนสุดชองบ้าน มีพียงร่างกายของเด็กน้อย กำลังขดตัวแน่นจากความหนาเหน็บ แขนทั้งสองข้างโอบกอดรูปผู้ป็นพ่อไว้ไม่ยอมให้ห่างกาย
               ในวันรุ่งขึ้น เหมือนสวรรค์จะให้โอกาสให้หนูดีได้แก้ตัวอีกครั้ง หนูดีตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าของคุณแม่ที่กำลังจ้องมองมาที่ตน เป็นสายตาที่หนูดีไม่ได้เห็นมาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่หนูดีกำลังสับสนปนดีใจอยู่นั้น
      “หนูดี ......ถ้ามีคนให้เงินหนูดี หนึ่งพัน หนูดีจะเอามั้ย”
       เมื่อหนูดีเรียกสติของตัวเองกลับมาได้สำเร็จ หนูดีรีบตอบออกทันทีเลยว่า
        “ไม่เอาจ๊ะแม่ หนูดีไม่เอา”
      “หนูดีจำได้ว่า คุณแม่เคยสอนหนูดีไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า”
      “หนูดีจะไม่เอาจ๊ะแม่จ๋า หนูดีไม่เอา”
                  เมิ่อคุณแม่ได้ยิงคำตอบของหนูดี คุณแม่ก็นิ่งเงียบไปซักพัก แล้วจึงเดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีปฏิกิริยาใดใดอีกตามเคย หนูดีไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปกอดคุณแม่ทันที หนูดีกอดคุณแม่จากด้านหลังแล้วพูดว่า
      “แม่จ๋า หนูดีตอบถูกแล้วไง แม่จ๋า แม่หันมาทางนี้สิจ๊ะ แม่จ๋า แม่”
          คุณแม่หยูดเดิน ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ท่านนิ่งเงียบอยู่ซักพัก 
      “แม่จ๋า แม่ แม่ให้อภัยหนูแล้วใช่มั้ย แม่ แม่จ๋า หนูดีใจจังเลย แม่ให้อภัยหนูแล้ว แม่ หนูรักแม่นะ แม่จ๋า”
              น้ำเสียงออดอ้อนและความไม่ค่อยรู้เดียงสาของเด็กหญิงคนนี่ มิได้ทำให้คุณแม่หันมาสนใจแต่อย่างใด คุณแม่แกะมือของหนูดีที่กำลังสวมกอดคุณแม่จากทางด้านหลังออก แล้วเดินออกไปด้วยความเย็นชา
            ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น มันโหดร้ายเกินไปสำหรับหนูดี สมองของหนูดีตอนนี้ คงจะไม่มีที่ว่างเหลือพอให้เด็กหญิงวัย 5 ขวบได้ใช้ความคิดอีกแล้ว หนูดีทำได้แต่เพียงกรีดร้อง แหกปากโวยวาย ตะโกนร้องให้ แผดเสียงออกมาให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีอะไรเลย และที่สำคัญ ตอนนี้หนูดีไม่เหลือใครอีกแล้ว น้ำเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงวัย 5 ขวบได้แผดเสียงออกมาได้ตลอดทั้งวัน หนูดีทำได้แค่เพียงตะโกน ตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง ตะโกนจนแทบจะไม่มีเสียงเหลือพอให้ตะโกนอีกแล้ว ตอนนี้ หนูดีทำได้แค่เพียงร้องให้อยู่อย่างนั้น ณ ที่ตรงนั้นที่คุณแม่เคยแกะมือของหนูดีออก ตรงที่ที่หนูดีเคยสวมกอดคุณแม่ครั้งสุดท้าย หนูดียังคงร้องให้ตลอดเวลา ร้องให้ตั้งแต่เช้ายันเย็น หนูดียังคงร้องให้อยู่ตรงนี้ หวังแต่เพียงว่าตอนคุณแม่กลับมา คุณแม่จะกลับมาขอโทษเรา แล้วยอมหันมาคุยกลับเราดีๆ ความหวังอันน้อยนิดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ของเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง ยังไงซะมันก็คงไม่เป็นผล เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เหมือนสวรรค์จะกลั่นแกล้ง“วันนี้คุณแม่ไม่กลับบ้าน”
      เด็กหญิงยังคงนั่งคอยคุณแม่ของตนตั้งแต่เช้ายันเย็น คุณแม่ก็ยังไม่กลับ เด็กหญิงยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยันค่ำก็แล้ว ยันมืดก็แล้ว คุณแม่ก็ยังไม่กลับเสียที
      “ภาพของบ้านไม้หลังหนึ่งกลางชุมชนแออัดที่ตั้งอยู่กลางกรุงเทพมหานคร บ้านไม้หลังเก่าๆโทรมๆที่มีเพียงเด็กน้อยตัวเล็กๆที่นั่งอยู่ตรงหน้าบ้านเพียงลำพัง นั่งอยู่ตรงพื้นอยู่อย่างนั้น หวังจะคอยคุณแม่ให้กลับบ้าน แต่คุณแม่ก็ไม่ยอมกลับเสียที”
      กาลเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว มันดึกเกินกว่าที่คุณแม่จะกลับมาแล้ว หนูดีนั่งมองประตูบ้านที่ปิดอ้าซ่าต้อนรับคุณแม่ แต่เมื่อหนูดียอมคิดถึงความเป็นจริงที่ว่าวันนี้คุณแม่คงไม่กลับมาแล้ว น้ำตาของหนูดีเริมคลอเต็มปริ่มในดวงตาคู่น้อยๆคู่นั้น หนูดีหมดสิ้นทุกๆอย่าง ทันใดนั้นเองที่หนูดีก็นึกขึ้นมาได้ นึกถึงคนคนหนึ่งที่หนูดีรักและเคารพอย่างมาก ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะไม่อยู่แล้วก็ตาม หนูดีรีบวิ่งตรงไปยังห้องสวดมนต์อีกครั้ง แล้วรีบหยิบรูปคุณพ่อขึ้นมากอด
      “พ่อจ๋า พ่อ หนูดีคิดถึงพ่อ”
      “พ่อจ๋า ทำไมแม่ทิ้งหนูไปหละจ๊ะ”
      “พ่อ หนูต้องทำยังไงดีหละจ๊ะ พ่อ พ่อ ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ ทำไม ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกลับหนูด้วย”   ……หนูดีพูดพลางเอามือทุบภาพของพ่อตนเองไปพลาง
      “ พ่อจ๋า พ่อก็ทิ้งหนูไปคนหนึ่งแล้ว แล้วทีนี้แม่ก็จะทิ้งหนูดีไปอีก”
      “แล้วอย่างนี้หนูดีจะอยู่ยังไงล่ะจ้ะพ่อจ๋า”
      “พ่อ พ่อเอาแม่หนูคืนมานะ พ่อ พ่อ........”
                คืนนั้นเป็นคืนที่เงียบสงัด เป็นคืนที่อ้างว้าง เดียวดาย เปล่าเปลี่ยว  เห็นแต่เพียงแสงของดวงจันทร์ ที่กำลังสาดส่องแสงอ่อนๆผ่านหน้าต่างใบกลมโตจนไปกระทบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กสาวคนหนึ่ง ที่กำลังกอดรูปของพ่อของตนไว้แน่น ยังกับว่าจะไม่ยอมให้ใครพรากมันไปอีกเป็นอันขาด
        เช้าวันรุ่งขึ้น หนูดีตื่นขึ้นมาเนื่องจากเสียงอึกทึกครึกโครมที่ประตูบ้าน“ทำไม ทำไมมีแต่คนชุดขาวอยู่เต็มบ้านไปหมด” หนูดีไม่รอช้า รีบวิ่งลงชั้นล่าง รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของหนูดี แต่พอหนูดีลงมาถึง ภาพที่เห็นมิใช่เป็นดั่งภาพที่หนูดีคิดเอาไว้
      ในขณะที่หนูดีกำลังตะลึงกับภาพเหตุการณ์ข้างหน้าอยู่นั้น มีชายวัยกลางคนเดินมาทักหนูดีด้วยใบหน้าที่เฉยชาปนเศร้าสร้อยเล็กๆ
      “นี้หนู หนูชื่อหนูดีใช้มั้ย” ชายคนนั้นถามหนูดี
      “ใช่ค่ะ”     หนูดีตอบกลับไปด้วยความสงสัยที่แน่นอยู่เต็มอกว่ามันคือเรื่องอะไร
      “หนูดีฟังอาดีๆ นะ”   ชายวัยกลางคน คนนั้นเริ่มใช้เสียงเครียดๆอย่างบอกไม่ถูก
       
                อาก็ต้องบอกหนูอยู่ดี
              หนูดีฟังอาดีดีนะ
      คุณแม่หนูเสียแล้ว 
      ท่านเพิ่งเสียเมื่อคืน         ชายวัยกลางคนบอกหนูดีอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆให้แก่หนูดี
      “นี่คือกระดาษแผ่นเดียว ที่คุณแม่หนูกำไว้ 
      ขณะที่กำลังจะหมดลมหายใจ
         (หนูดีรับมันมาด้วยความมึนงง และกำลังสับสนในสิ่งที่ตนเองได้ยิน)
      ก่อนที่หัวใจดวงน้อยๆจะแตกสลาย หนูดีเปิดอ่านกระดาษใบนั้น มันเป็นกระดาษที่แทบจะว่างเปล่า เต็มไปด้วยสีขาวโพลน หากแต่เพียงตรงกลางกระดาษมีรอยปากกาเขียนด้วยตัวบรรจงว่าเพียงแค่นั้น น้ำตาที่ได้ครอเอ่อล้นในดวงตาของหนูดี มาถึงจุดนี้ มันก็พร้อมใจกันรินใหลออกมา น้ำตาของหนูดีใหลออกมาเป็นสาย น้ำตาแห่งความเศร้าโศกเสียใจได้หลั่งล้นออกมายากที่จะหยุดยั้ง    เพียงคำๆเดียวบนกระดาษใบนั้น มันทำให้หนูดีเข้าใจแล้ว    เข้าใจแล้วในคำตอบที่คุณแม่ต้องการจะได้รับ หนูดีไม่รอช้า รีบวิ่งขึ้นไปบนห้องพระทันที 
      “พ่อจ๋า หนูดีตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง”
      “พ่อ หนูดีเข้าใจแล้ว หนูดีเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว”   (หนูดีพูดพร้อมน้ำตา)
      “ที่คุณแม่ถามหนูว่า ถ้ามีคนให้เงินหนู หนึ่งพัน หนูจะเอามั้ย”
          
         “หนูรู้แล้วจ๊ะ พ่อจ๋า ว่า
                                   สิ่งสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่าจะเอาหรือไม่เอา
      แต่มันอยู่ที่คนให้ใช่มั้ยจ๊ะพ่อจ๋า
      หนูรู้แล้วจ๊ะพ่อ ...หนูจะจำหน้าคนให้ไว้ให้ดีที่สุด          
                       
      “ แล้วหาโอกาสตอบแทนบุญคุณให้ได้ ”
       
          “นี่คือคำตอบที่คุณแม่อยากได้ ใช่มั้ยจ๊ะ พ่อจ๋า”
       “พ่อจ๋า    “พ่อรีบคืนคุณแม่มาเลยนะ” หนูตอบถูกแล้วไง พ่อ พ่อ พ่อ ”
      “พ่อ คืนคุณแม่มา พ่อจ๋า พ่อ ช่วยคืนคุณแม่ให้หนูหน่อยนะจ๊ะ”
      “พ่อ พ่อ คืนคุณแม่มาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
          “ พ่อ...พ่อ......พ่อ............พ่อ .....................พ่อ ” 
       
      จบ.....บริบูรณ์
       
       ข้อเท็จจริง         -    คุณแม่ป่วยด้วยโรคมะ 
                                 -          หลังจากเหตูการณ์นี้ หนูดีถูส่งไปให้พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงดู
          -          หนูดีเคารพ เชื่อฟัง และกตัญญูต่อพ่อแม่บุญธรรมของตนมาก
          -          เมื่อหนูดีโตขึ้น หนูดีเป็นที่รักของทุกๆคน โตเนผู้ใหญ่ที่ดี มี   ความ    กตัญูกตเวที เลี้ยงดูพ่อแม่ (บุญธรรม) เมื่อแก่เฒ่า และเป็นผู้หญิงที่แกร่งพร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคขวากหนามอย่างม่ย่อท้อ
          -          ความจริงข้อสุดท้าย : หนูดีไมมีวันลืมพ่อแม่แท้แท้ของตน พ่อแม่ที่ทำให้ตนมีวันนี้
                                                               
       
        ปล. ท่านคิดไหรือว่า สิ่งที่แม่ทำลงไปนั้น จะเจ็บสักแค่ไหน
                                         แม่ที่ไม่มีวันได้บอกลาลูกก่อนตาย แรกกับอนาคตลูก
                                     คงจะมีแต่ แม่ เท่านั้นแหละ...ที่จะทำอย่างนี้ได้
            
                                                                                                  
                                                                 หนอนเห่า  

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×