อะไรจะน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย - อะไรจะน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย นิยาย อะไรจะน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย : Dek-D.com - Writer

    อะไรจะน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย

    อันนี้ผมเขียน เมื่อราว 3 ปีที่แล้วครับ เห็นมันน่าสนใจดีก็เลยเอามาลง

    ผู้เข้าชมรวม

    330

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    330

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ธ.ค. 50 / 23:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Lost in Dream ตื่นไม่ได้…

                         คืนนั้นขณะที่ผมนอนเล่นๆเพราะกะว่าจะตื่นขึ้นมาทำงานตอนดึก นั่นคือกิจวัตรเดิมๆของผมคือ
      นอนตอนหัวค่ำ ตื่นทำงานเล็กน้อยๆตอนดึก สักสองสามชั่วโมงก็นอนหลับจริงๆ มักจะเป็นเวลาราวๆตีสอง และตื่นขึ้นมาเฝ้าร้านตอนรุ่งเช้า แล้วก็นอนต่อถึงสี่โมงเช้า บางทีผมก็คิดว่าเมื่อไหร่ถึงจะหลุดจากวงโคจรอันน่าเบื่อและดูไร้อนาคตเช่นนี้
                         ในขณะที่ผมนอนเล่นไปพลางคิดไปก็ยังไม่รู้คำตอบอยู่ดี หรือผมอาจจะหลอกตัวเองว่ายังไม่รู้คำตอบก็ได้ ซึ่งที่แท้จริงแล้วคำตอบมันง่ายนิดเดียว
                         ผมได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังอยู่ข้างล่าง “ยังไม่มีใครขึ้นนอนอีกหรือ?” ผมคิด ซึ่งในห้องที่ผมนอนไม่มีนาฬิกา ผมเลยไม่รู้ว่าเวลาเท่าไรแล้ว ผมนอนรอจนกว่าจะมีใครขึ้นมาข้างบนจนหมด พ่อ แม่ จะนอนแต่หัวค่ำคงเหลือแต่น้องสาวผมคนเดียวเท่านั้น ผมนอนรอเรื่อยๆ พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แสงไฟจากข้างล่างยังคงสว่างอยู่
      แล้วผมก็หลับไป
                         ผมตื่นขึ้นมาราวกับนาฬิกาปลุก ในใจคิดว่าประมาณห้าทุ่ม ไฟข้างล่างมืดสนิทแล้ว เวลาในช่วงนี้มักยาวนานกว่าที่เราคิด ความจริงผมว่าน่าจะเลยหกทุ่มไปแล้ว แต่พอลงมาข้างล่างมาดูนาฬิกาก็ปรากฏว่า ประมาณห้าทุ่มเศษๆทุกครั้งไป แต่คราวนี้พอผมลงมาข้างล่างด้วยอาการมึนงง เปิดไฟดูก็เป็นเวลาตีสองเสียแล้ว
      ผมคงไม่คิดจะทำอะไรต่อแล้ว จึงเข้าห้องน้ำแปรงฟันแล้วจึงเข้านอน คราวนี้คือการนอนจริงๆ แล้วสักครู่ผมก็หลับ
                         ผมรู้สึกว่าอากาศร้อนกว่าทุกวัน ทั้งๆที่ในห้องเปิดแอร์ แต่ความจริงก็คือแอร์ได้ปิดไปแล้ว พ่อได้ลุกจากเตียงออกไปจากห้อง
                         “เช้าแล้วหรือ?” ผมนึกในใจ
                         “ยังไม่เช้าเลย ปิดแอร์เร็วไปหน่อย เพิ่งตีสี่อยู่เลย” ผมได้ยินพ่อพูดก่อนออกไปจากห้อง
                         พ่อผมมักจะปิดแอร์ก่อนเช้าทุกครั้งซึ่งก็เป็นการประหยัดไฟวิธีหนึ่ง แต่คราวนี้ดูจะเร็วเกินไป และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ผมต้องตื่นมาแต่เช้าเพราะทนอากาศร้อนไม่ไหว ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาแต่เช้าแล้วก็ไปนอนต่ออีกห้อง ซี่งเป็นห้องที่มีพัดลม และคืนนี้ผมก็คิดเช่นนี้…
                        … เป็นเพราะยังไม่เช้าดีหรืออย่างไร ทำให้ผมลืมตายากเหลือเกิน ผมลุกขึ้นมานอนพิงผนังห้อง ใจจริงก็อยากจะหลับต่อเหลือเกิน และรู้สึกตัวอีกครั้งปรากฏว่าผมกำลังฝันอยู่ ผมพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
                         “ลุกขึ้นมาสิ” ผมพยายามปลุกตัวเอง ที่นอนที่ปูกับพื้นยังคงอบอุ่นอยู่ มันยังนอนสบายอยู่ อากาศก็ยังไม่ร้อนเกินไปนัก อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่านอนต่อไปอีกสักหน่อย ไว้เช้าแล้วค่อยตื่นก็ได้ เวลานี้คงจะราวๆตีสี่อยู่กระมัง แต่ผมตั้งใจว่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ผมลุกขึ้นมาแล้ว และกำลังจะเอื้อมไปเปิดประตู
                         “งึม งำ” ผมได้ยินเสียงคนในห้อง ดูเหมือนเวลานั้นสติผมก็เลือนลางลงไปทุกที ปรากฏว่าผมกลับไปอยู่ที่ ที่นอนอันเดิมอีกครั้งและกำลังหลับอยู่
                         “อะไรกัน?” ผมนึกในใจ “ทำไมเรามาอยู่ที่เดิมได้?” ตอนนั้นผมคิดว่าความตั้งใจคงยังไม่พอ “ใช่แล้ว สติเราคงหลุดก่อนที่จะลืมตาทำให้ฝันไปนี่เอง”
                         ผมแน่ในว่าได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว และกำลังลุกขึ้นมา แต่พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนอยู่บนที่เดิม ผมพยายามจะเรียกสติสัมปชัญญะคืนมา คราวนี้ผมได้ลุกขึ้นมาและเปิดประตูออกไป แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าใช่ความจริงแน่หรือ? และที่จริงแล้วผมก็นอนอยู่บนที่นอนอันเดิมนี่เอง
                         “ตื่นสิ ตื่น” ผมเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลซะแล้ว ผมลุกออกจากที่นอนนับไม่รู้กี่สิบครั้งแต่ก็ปรากฏว่าผมยังคงนอนอยู่บนที่นอนนั่นเอง
                         “ลุกขึ้น!!” ผมคิดเสียงดัง แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าได้ตะโกนออกมาจริงๆ ใจจริงผมอยากตะโกนออกมาจริงๆด้วยซ้ำ แต่คนในห้องคงสะดุ้งตื่นมาแน่ ผมไม่อยากปลุกคนอื่นขึ้นมาด้วย คราวนี้ผมเดินออกไปยังอีกห้องหนึ่งได้สำเร็จ “คราวนี้มาไกลกว่าทุกครั้ง” ต้องพยายามตั้งสติให้ดี ผมเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียง นอนกินที่เสียด้วยท่าผมจะนอนคงต้องเบียดกันน่าดู ผมลงไปเบียดพ่อ นอนลงไป แต่ ไม่น่าเชื่อ…ผมกลับนอนอยู่บนที่นอนอันเดิมนี่เอง นี่ผมฝันอยู่ตลอดเลยหรือ ความจริงก็คือผมไม่เคยได้ตื่นขึ้นมาเลย
                         ในระหว่างนี้ความฝันต่างๆก็กรูกันเข้ามา จนสับสนปนเปไปหมด “เห็นทีผมคงจะต้องตื่นจริงๆเสียที”
      ผมลุกขึ้นแต่ก็ปรากฏว่าตัวเองนอนอยู่ในที่นอนอันเดิม ตอนนี้ผมคิดไปว่าอาจจะมีอะไรมาเล่นตลกกับผมแล้วก็ได้ หรือว่าเป็น “ผี” ผมก็ไม่เคยโดนผีอำจริงๆเสียที แต่ตอนนี้ร่างกายผมมันขยับไม่ได้ตามใจคิดเลยแม้แต่นิด นี่ผมถูกผีอำหรือนี่ ตอนนี้ผมเริ่มสวดมนตร์แล้ว และก็ท่องนะโมสามจบ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่านี่ก็เป็นฝันหรือเปล่าเพราะผมแน่ใจว่าคงไม่ได้พูดออกมาแน่ มันอาจจะเป็นอีกฝันหนึ่งที่แทรกเข้ามาก็เป็นได้
                         ผมเริ่มถอดใจแล้วว่าคงไม่สามารถปลุกตัวเองขึ้นมาได้แน่ “นี่ผมจะตื่นไม่ได้แล้วหรือ“ ผมเริ่มกลัวจริงๆ แล้ว “มีทางเดียว คงต้องรอให้คนอื่นมาปลุก”
                         “ตื่นได้แล้ว” เสียงคนปลุก ผมลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้งพ่อผมนี่เอง เขาสกิดผมอยู่ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ตื่นขึ้นมาจริงหรือเปล่า แต่เวลาได้ผ่านไปสักครู่ ผมก็ยังไม่กลับไปนอนที่เดิม นี่ผมคงตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ
      ผมนั่งอยู่บนเตียง รู้สึกเหนื่อยที่สุดครั้งหนึ่งเลยที่เดียว ผมถามพ่อที่ยืนอยู่ที่ประตู
                         “กี่โมงแล้วครับ?”
                         “….” ไม่มีเสียงตอบ
                         “พ่อ.. ผมถามว่ากี่โมงแล้ว”
                         “… เอ่อ ไม่รู้สิ ไม่ดูนาฬิกาข้างล่างล่ะ”
                         ที่จริงผมสามารถดูนาฬิกาที่อยู่ในรีโมทแอร์ได้ แต่ในตอนนั้นผมกลับนึกไม่ถึง ผมลองถามพ่อดูอีกที
                         “ไม่รู้…” พ่อผมตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใช่..ถ้าเป็นโลกแห่งความฝันเวลาจะไม่มีความสำคัญเลย โลกที่ไร้เวลา? โลกแห่งความฝัน? นี่มันต้องเป็นโลกแห่งความฝันแน่ๆ ผมพยายามปลุกตัวเอง “พอได้แล้ว!!” ผมรู้สึกกลัวจับใจ นี่ผมจะติดอยู่ในโลกแห่งความฝันตลอกกาลอย่างนั้นหรือ ผมรู้สึกอยากตื่น ไม่อยากฝันอีกแล้ว ลืมตาแล้วลุกขึ้นมาอย่าได้ลังเลใจอีก…
                         ผมลุกขึ้นมาเปิดประตู รู้สึกว่ายังไม่ใกล้เช้าเท่าไร ผมอยากจะลงไปดูนาฬิกาข้างล่าง แต่ผมเลือกที่จะเดินตรงไปยังห้องที่มีพัดลมห้องนั้น นั่นคือจุดหมายในคืนนี้ที่ผมจะต้องไป และเปิดประตูเข้าไปพบเตียงนอนที่ว่างเปล่า และผมก็ลงไปนอนด้วยความมึนงง
                                                                                            
                                                           THE        END

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×