รักจรดนิรันดร์(รีรัน) - นิยาย รักจรดนิรันดร์(รีรัน) : Dek-D.com - Writer
×

    รักจรดนิรันดร์(รีรัน)

    มหาเศรษฐีหมื่นล้านติดอันดับต้นๆของโลก เมฆินทร์ ไอยราช ทายาทสายตรงของผู้ที่ก่อตั้งไอยราชกรุ๊ป และเป็นผู้ซึ่งดูแลบริษัทนับร้อยในเครือ ไม่เคยต้องใส่ใจหรือสนใจใครแม้แต่คนเดียว ยกเว้นเธอ มุจลินท์ คนเดียว!

    ผู้เข้าชมรวม

    11,428

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    15

    ผู้เข้าชมรวม


    11.42K

    ความคิดเห็น


    34

    คนติดตาม


    115
    จำนวนตอน :  33 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  24 ต.ค. 67 / 10:49 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    1

    สวนสไตล์อังกฤษอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แนวรอบอาณาบริเวณของพื้นที่แห่งนี้แทบจะเท่าไม้ขีดเมื่อมองจากตัวบ้าน บ้านอันกว้างใหญ่ในสายตาของผู้พบเห็น ตั้งตระหง่านอยู่เพียงหลังเดียวในละแวกแห่งนี้

       บ้านหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าคฤหาสน์นี้ ถูกสร้างขึ้นสมัยรุ่นปู่และย่าทวดของทายาทคนเดียวในปัจจุบัน แม้จะมีพื้นที่ภายในกว้างขวาง การตกแต่งเรียกว่าไม่แพ้ความงามของราชวังไหนๆ ทำให้ผู้ที่เคยเข้ามาสัมผัสต่างรู้สึกแบบเดียวกันคือ อิจฉาผู้ที่ได้ครอบครอง ห้องหับที่มีร่วมๆห้าสิบห้อง แทบไม่เคยมีคนใช้สอยมาก่อน จะเคยมีก็สมัยรุ่นปู่ย่าที่จัดงานเลี้ยงแล้วอำนวยความสะดวกแก่บรรดาแขกเหรื่อหรือเครือญาติทั้งหลาย ที่แต่ก่อนจะมีมาพบปะสังสรรค์กันแทบจะทุกสัปดาห์ แต่เมื่อสิ้นบุญพวกท่านไป เหล่าสายเครือญาติก็เริ่มมาพบปะกันน้อยลง เนื่องจากพวกญาติทั้งหลายไม่ค่อยชอบใจในตัวผู้เป็นสะใภ้มากนัก เพราะเธอเป็นคนธรรมดาไม่มีชาติตระกูลและการศึกษาที่สูงนัก และที่สำคัญเธอเป็นแค่ลูกคนงานในบ้าน

       ตระกูลไอยราชส่วนใหญ่การแต่งงานจะมาจากความเหมาะสมเป็นหลัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่บรรดาญาติๆที่เคยมาจะไม่ได้มากันครบทั้งบ้าน เพราะส่วนใหญ่ต่างมีปัญหาเรื่องชีวิตคู่กันเป็นส่วนมาก จะมีน้อยคู่นักที่รักกันอย่างจริงใจแล้วพากันไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอก 

       เมฆินทร์ ไอยราช ทายาทสายตรงคนเดียวของตระกูลที่มาจากบุคคลที่ก่อร่างสร้างตัวจากการเก็บหอมรอมริบค้าขายเล็กๆน้อยๆจนสามารถสร้างความปึกแผ่นได้จนถึงปัจจุบัน

        ธุรกิจตระกูลไอยราชมีหลายอย่าง ทั้งต้นน้ำไปยังถึงปลายน้ำเรียกว่าแทบจะครอบคลุมไว้เกือบหมด ทั้งยังขยายแผ่ออกไปยังทั่วทุกทวีปของโลก ไม่มีใครไม่รู้จักไอยราชกรุ๊ป 

       จากวัยเด็กที่เคยมีเพื่อนวิ่งเล่น เมื่อโตขึ้นกลายเป็นแทบไม่มี จวบจนปัจจุบันที่เขาพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่มีเพื่อนเลยสักคน เพราะเมื่อโตขึ้น ทุกคนที่เคยเล่นก็แปรเปลี่ยนเป็นคนอื่น จากที่เคยจริงใจก็ไม่ใช่เหมือนก่อน ดังนั้นปัจจุบัน เมฆินทร์ ไอยราช จึงเป็นคนที่เก็บตัว แทบไม่เคยออกงานหรือพบปะเพื่อจะสังสรรค์กับใครนักถ้าไม่ใช่เรื่องงาน แม้เขาจะอายุสามสิบห้าปีแล้ว แต่การต้องคุมบังเหียนธุรกิจนับร้อย ทำให้เขาเป็นคนสันโดษ ไม่แคร์ผู้คน แต่ถึงกระนั้นข้อดีของมันก็มีคือการทำให้เขารู้เท่าทันคนมากขึ้น

       ชายหนุ่มร่างสูงร้อยแปดสิบห้า ยืนล้วงกระเป๋าอยู่บริเวณระเบียงห้องนอน เขายืนมองวิวสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงามไปจนสุดตา ใบหน้าเข้ม คิ้วกับตาที่รับกันอย่างเหมาะเจาะขมวดเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด 

       ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

       “คุณผู้ชายคะ มีสายจากคุณเมนี่ค่ะ” เสียงคนรับใช้ดังเข้ามาจากหน้าประตู ทำให้ชายหนุ่มหยุดความคิดทุกอย่างลงทันที 

       “บอกเธอว่าถ้าฉันว่างจะโทรกลับไป” เสียงเข้มตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใครทั้งนั้น เขาจะทำเฉพาะสิ่งที่เขาพอใจเท่านั้น

       “เอ่อ แต่คุณเมนี่เธอโทรมาหลายรอบแล้วนะคะ” สาวใช้พูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจคนปลายสาย

       “บอกไปตามที่ฉันพูด” เสียงติดจะเริ่มไม่พอใจดังกลับไป ทำให้คนรับใช้รีบรับคำแล้วกลับลงไปแจ้งตามที่ได้ยินทันที

       เมฆินทร์รู้ดีว่าหญิงสาวที่โทรมาต้องการอะไร แต่เขาให้เธอตามที่เธอหวังไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรเหมือนเช่นเธอ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังทำตามที่เขาเคยบอกว่าห้ามโทรเข้ามือถือถ้าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงานเด็ดขาด

       หญิงสาวที่วางสายไป ชักสีหน้าไม่พอใจด้วยอารมณ์โกรธ เมนี่หรือเมทินี เป็นลูกสาวคนเดียวของอดีตท่านทูตที่ผันตัวเองมาทำการค้าและตอนนี้เธอยังเข้าสู่วงการบันเทิงอีกด้วย เธอหลงรักชายหนุ่มตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อได้พบเขาในงานเลี้ยงต้อนรับคณะการค้าต่างประเทศ เมฆินทร์ในชุดสูทร่างสูงสง่า ใบหน้านิ่งเรียบ ท้าทายเธอให้เอาชนะเขาอยู่ในที แม้เขาไม่ได้มีท่าทีจะสนใจใครในงานแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เธออยากเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวของเขาให้ได้

       “คอยดูนะฉันจะเอาชนะคุณให้ได้เมฆินทร์”

     

    ต้นลีลาวดีสีขาวสองต้น ที่ปลูกอยู่หน้าบ้านไม้หลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเล็กๆภายในซอยแออัดแห่งหนึ่ง ตอนนี้ดอกกำลังร่วงโรย ใต้ต้นจึงมีดอกสีขาวกองเต็มไปหมด หญิงสาวคนหนึ่งกำลังก้มลงเก็บเพื่อเอาไปลอยน้ำเล่น

       มุจลินท์หรือลิน หญิงสาวอายุยี่สิบสามปี เธอเพิ่งจบการศึกษาปริญญาตรีมาได้ไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น เนื่องจากชีวิตที่ไม่ได้สบายเพราะไม่มีญาติเหลือสักคนบนโลกใบนี้แล้ว ทำให้เธอต้องเลี้ยงชีวิตมาเพียงลำพังตั้งแต่อายุสิบห้าปี ญาติคนสุดท้ายที่จากเธอไปคือผู้เป็นยาย พ่อกับแม่เธอเสียชีวิตพร้อมกันจากอุบัติเหตุตอนเธออายุย่างเข้าสิบขวบ ยายจึงได้รับเธอมาอยู่ด้วยที่บ้านไม้หลังเล็กแห่งนี้ มุจลินท์เป็นคนใจสู้ เธอทำงานแทบทุกอย่างที่เขาว่าจ้าง แม้กระทั่งตัดหญ้าเธอก็รับทำ เพราะยายเธอมีอาชีพร้อยพวงมาลัยขายเพื่อส่งให้คนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นค่าจ้างจึงไม่พอสำหรับสองคน เธอจึงต้องทำงานทุกอย่าง ยายสอนเธอให้ไม่ท้อ ถ้าท้อก็อย่าถอย เพราะถ้าเราถอยมากๆเราจะล้มลงเอง จากการที่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยทำให้กว่าจะจบจึงช้ากว่าคนอื่นๆ แม้ตอนนี้จะจบแล้วปัญหาก็คืองานที่หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก เธอไม่ใช่คนเกี่ยงงานก็จริง แต่เธอก็อยากจะใช้วุฒิที่เธอเรียนมามากกว่าเพราะมันจะทำให้เธอมีเงินเดือนที่มั่นคงขึ้น ไม่ต้องได้จากการทำเป็นลูกจ้างชั่วคราวของร้านที่เธอรับทำอยู่ในตอนนี้ 

       หน้าปากซอยที่เธออาศัยอยู่นี้มีร้านถ่ายเอกสารเล็กๆตั้งอยู่ เธอสมัครเป็นลูกจ้างมาได้ตั้งแต่เธอเรียนมัธยมปลายแล้ว กินค่าแรงรายวันซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไรเพราะเจ้าของร้านกดค่าแรง ข้อดีของการเป็นลูกจ้างร้านถ่ายเอกสารก็คือเธอได้อ่านเอกสารที่เขามาฝากไว้ให้เธอถ่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชน ที่ร้านใหญ่ๆหน้ามหาวิทยาลัยทำไม่ทันจึงมาให้ร้านเล็กๆนี้ทำแทน แต่ข้อเสียของร้านนี้ก็คือ เจ้าของร้านหยุดบ่อยมากแล้วยังระแวงไม่ให้เธอเปิดร้านทำแทนด้วย ดังนั้นวันที่หยุดเธอต้องวิ่งโร่รับจ้างหางานทำต่อ เช่นล้างจาน เป็นแม่บ้านชั่วคราวให้แก่บรรดาลูกคุณหนูทั้งหลายที่มาเช่าคอนโดหรือซื้อคอนโดแถวนี้อยู่ “ยายจ๋า ลินคิดถึงยายจังเลย” มุจลินท์เอ่ยขึ้นอย่างเหงาๆขณะนั่งเล่นอยู่ที่บันไดท่าน้ำ เธอมักมานั่งเล่นอยู่ตรงนี้เป็นประจำเพราะมันเงียบสงบ ดอกลีลาวดีที่เธอโยนลงแม่น้ำขยับไปมาคล้ายอยากจะสนทนาด้วยกับเธอ “ลินสัญญาว่าลินจะไม่ท้อเด็ดขาดจ้ะยาย พรุ่งนี้ลินก็จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ยายเอาใจช่วยลินด้วยนะจ๊ะ”

    หญิงสาวมีแรงฮึดขึ้นมาเพียงเธอได้มองดอกลีลาวดีเหล่านั้น เพราะต้นไม้สองต้นนั้นยายเธอเป็นคนปลูกเองกับมือ

     

       เช้าวันต่อมาหญิงสาวผู้ไม่ย่อท้อก็เดินตระเวนหางานไปทุกที่ตามที่เธอดูหนังสือพิมพ์มา มุจลินท์ไม่ค่อยได้รู้เรื่องโซเชียลมากนักเพราะเธอไม่มีอินเตอร์เน็ตหรือสัญญาณไวไฟที่บ้าน แม้แต่โทรศัพท์ที่ใช้อยู่ยังเป็นเครื่องเก่ามือสองที่ขอซื้อต่อมาจากเจ้าของร้านถ่ายเอกสารเลย

       มุจลินท์ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่เริ่มจะซึมออกมา เธอเดินมาหลบที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านออกมาจากรั้วบริษัทแห่งหนึ่ง วันนี้เธอต้องพยายามสมัครงานให้ได้มากที่สุด เพราะพรุ่งนี้ร้านถ่ายเอกสารเปิดเธอคงไม่ได้มาตระเวนเดินหางานแบบนี้เป็นแน่ หญิงสาวเหลือบมองเห็นป้ายผ้าใบที่ติดอยู่บริเวณรั้วเหล็กหน้าบริษัทนี้ จึงรีบเดินเข้าไปดู หญิงสาวยืนมองป้ายอยู่นานก่อนจะถอนหายใจออกมา

       “เฮ้อ ทำไมไม่รับสายงานเราบ้างน้า” มุจลินท์ทำหน้าเศร้าอย่างเสียดาย คณะบัญชีที่เธอจบมาจะว่าหางานง่ายก็ง่ายแต่จะว่ายากก็ยาก เพราะแม้ทุกบริษัทจะมีแผนกบัญชีแต่คนส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่ลาออกกันเลยหรือไม่บางแห่งยังมีคนจบสายอาชีพมาแข่งด้วย

       ขณะกำลังยืนคิดเสียดายอยู่นั้น ยามคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมส่งสายตากรุ่มกริ่มให้เล็กน้อย เขาเห็นเธอยืนมองป้ายรับประกาศอยู่สักพักแล้ว ดูท่าทางเพิ่งจบได้ไม่นาน หน้าตาแม้ไม่ได้แต่งมากนักแต่โดยรวมก็จัดว่าหน้าตาดีอยู่

       “น้องครับ จะมาสมัครงานหรือครับ”

       “เอ่อ ใช่ค่ะ แต่ว่าเขาไม่รับบัญชีเลย”

       “อ้อ ถ้าตำแหน่งนั้นเพิ่งปิดรับไปอาทิตย์ที่แล้วเองครับ”

       “โธ่ เสียดายจัง”

       “แล้วน้องพอทำอะไรอีกได้บ้างมั้ย”

       “จริงๆหนูทำได้ทุกตำแหน่งค่ะ แต่แค่อยากจะลองสมัครตำแหน่งที่เรียนมาก่อน แต่ไหนๆก็มาแล้วเดี๋ยวหนูขอไปกรอกใบสมัครไว้ดีกว่าค่ะ”

       “ถ้าน้องจะกรอกตำแหน่งบัญชีพี่เกรงว่าน้องน่าจะต้องรออีกนานเลยนะครับ ที่นี่บริษัทเกี่ยวกับมือถือ หลักๆรับแต่พวกโปรแกรมเมอร์หรือช่างอะไรพวกนี้แหละ” ยามพูดด้วยความเห็นใจ เพราะเข้าใจถึงการเดินหางานเป็นอย่างดี แม้จะอยากให้หญิงสาวหน้าตาดีคนนี้เข้ามาทำงานที่นี่ด้วยก็ตามแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากแนะนำออกไป

       “แล้วถ้าตำแหน่งแม่บ้านที่ตอนนี้ประกาศรับอยู่เงินเดือนดีมั้ยคะ” มุจลินท์เอ่ยถาม จากที่เดินหางานขาลากมาเป็นปีตอนนี้ถ้าได้อะไรที่มั่นคงขึ้นไม่ว่าจะตำแหน่งอะไรเธอว่าก็น่าจะดีกว่าเป็นลูกจ้างร้านถ่ายเอกสารอย่างแน่นอน อย่างน้อยรูปแบบบริษัทสวัสดิการก็น่าจะดีกว่าเป็นร้อยเท่า

       ยามตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยถาม “นี่น้องอย่าบอกนะว่าจะสมัครเป็นแม่บ้านน่ะ”

       “ก็ถ้ามันยังไม่ได้งานหนูก็ต้องทำค่ะ” หญิงสาวหันไปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

       “เงินเดือนก็น่าจะพอๆกับพี่หมื่นกว่าบาทไม่รวมโอที”

       “แค่นั้นก็ดีแล้วค่ะแล้วมีสวัสดิการด้วยใช่มั้ยคะ”

       “ใช่ก็เหมือนบริษัททั่วไปแหละ ค่ารักษา ค่าเจ็บป่วย”

       “งั้นเท่านี้ก็ดีแล้วค่ะ งั้นหนูขอเข้าไปสมัครก่อนนะคะ กลัวเต็มอีก” พูดจบมุจลินท์ก็ขอตัวแล้วรีบเดินเข้าไปในบริษัททันที

    หญิงสาวเดินตรงมาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อแจ้งความจำนงของตนเอง แม้หญิงสาวประชาสัมพันธ์จะมองหน้า รวมทั้งสอบถามเพื่อความมั่นใจ เพราะส่วนมากผู้ที่สมัครตำแหน่งแม่บ้านนั้นอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบทั้งสิ้น แต่หญิงสาวตรงหน้าดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วน่าจะไม่ถึงยี่สิบห้าด้วยซ้ำ

       “น้องแน่ใจหรือคะว่าจะมาสมัครตำแหน่งแม่บ้าน”

       “แน่ใจค่ะ หนูทำได้”

       “โอเคค่ะ ถ้าน้องแน่ใจก็กรอกเอกสารแล้วเดินไปด้านหลังได้เลยค่ะ เพราะตำแหน่งนี้รับด่วนจึงต้องสัมภาษณ์เลย น้องไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ”

       “ยินดีมากเลยค่ะ” มุจลินท์ส่งยิ้มด้วยความดีใจ ไม่แน่วันนี้เธออาจจะได้งานที่บริษัทใหญ่แห่งนี้ก็ได้

       มุจลินท์กรอกข้อมูลทุกอย่างพร้อมทั้งนั่งรอสัมภาษณ์อยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้าห้อง

       “เชิญเข้ามาได้ค่ะ” พนักงานคนหนึ่งเดินออกมาบอกเธอ โดยมองหญิงสาวที่นั่งรอตั้งแต่หัวจดเท้า “คุณมุจลินท์แน่ใจนะคะที่จะมาสมัครตำแหน่งแม่บ้าน”

    ###สวัสดีค่ะนักอ่านทั้งหลาย นามปากกาจันทร์ลดาหายไปนานเกือบสามปีเลยค่ะ เพราะไปทำหน้าที่แม่ลูกอ่อนอยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เพิ่มเติมเรื่องใหม่เลย แต่พอตเรื่องพอจะมีแล้วแต่จะหาเวลาแต่งให้ได้เลยค่ะ ยังไงฝากผลงานเรื่องเก่าไปอ่านแก้คิดถึงกันก่อนนะคะ ไรท์คิดถึงนักอ่านแฟนคลับมากมายเลยค่ะ ใครคิดถึงไรท์เข้าไป FB: จันทร์ลดานามปากกา ได้นะคะ จะหมั่นเข้าไปอัพเดตบ้างค่ะ  ปล.ลูกลิงกำลังซนเลี้ยงเองเลยแทบไม่มีเวลาเลยค่ะ

    ขอบคุณทุกๆคนที่ยังคิดถึงกันนะคะ รักๆค่ะ^^

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น