[SF] Until forever - Krislay - [SF] Until forever - Krislay นิยาย [SF] Until forever - Krislay : Dek-D.com - Writer

    [SF] Until forever - Krislay

    เลย์ .. ไปหาคุณเค้าสิ ต่อไปนี้คุณคริสเป็นผู้ปกครองของเธอแล้วนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    2,614

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    2.61K

    ความคิดเห็น


    22

    คนติดตาม


    47
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 พ.ย. 56 / 02:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น









    Heartbeats fast 
    Colors and promises 
    How to be brave 
    How can I love when I'm afraid to fall 
    But watching you stand alone 
    All of my doubt suddenly goes away somehow

     

     


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       



       

      “ได้ยินว่าที่บ้านพายุเข้าเหรอครับ”

      “ครับคุณหนู ปีนี้หิมะตกหนักกว่าทุกปี อีกไม่เกินสองวันคงต้องปิดถนน  เดินทางข้ามเมืองไม่ได้แล้วล่ะครับ คุณท่านเลยสั่งให้ลุงมารับคุณหนูวันนี้เลย” คุณพ่อบ้านตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยิ้มให้เด็กหนุ่มผ่านกระจกมองหลัง

      ตาใสมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่กำลังแล่นด้วยความเร็วไม่สูงนัก นิ้วเรียวเล็กยกขึ้นลูบกระจกแผ่วเบาราวกับจะสามารถสัมผัสสิ่งที่เห็นอยู่ได้ ทุ่งกว้างหลายร้อยเอเคอร์ข้างนอกนั่นเหมือนมีน้ำตาลไอซ์ซิ่งแสนหวานโรยอยู่เต็มไปหมด สวยงาม...แต่ความจริงแสนโหดร้าย แค่ลองจินตนาการว่าถูกทิ้งไว้กลางทุ่งเวิ้งว้างนั่น  ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาคงขาดใจตายเพราะความหนาว

      “จอดรถทำไมครับ?”

      “หิมะหนามากครับคุณหนู ผมจะเอาโซ่ไปใส่ล้อ” เข้าเขตที่หิมะตกหนัก ถ้าหิมะบนพื้นหนามากถนนจะลื่นเกินไปจนอาจเป็นอันตราย ต้องใช้โซ่หุ้มล้อทั้งหมดเพื่อกันรถลื่นออกนอกเส้นทาง  พ่อบ้านเปิดประตูรถแว้บเดียวก่อนจะปิดมันลงอย่างเดิม แต่เท่านั้นก็เพียงพอให้ลมหนาวมีโอกาสเล็ดลอดเข้ามาปะทะผิวกาย ไหล่บางห่อลงเพียงเล็กน้อยก่อนจะยืดเต็มตัว มองภาพทุ่งหิมะโล่งกว้างที่บัดนี้นิ่งสนิทอยู่ตรงหน้า

      ใจหนึ่งก็อยากเจอ อยากเห็นหน้าคนที่รอเขาอยู่ที่บ้านให้เร็วที่สุด แต่อีกใจหนึ่งกลับค้านว่าอยากจะถ่วงเวลานี้เอาไว้ให้นานแสนนาน เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย ...ที่จะได้พบกัน

      .

      .

      “เลย์ .. ไปหาคุณเค้าสิ ต่อไปนี้คุณคริสเป็นผู้ปกครองของเธอแล้วนะ” เด็กชายชาวเอเชียวัย 6 ขวบยืนนิ่ง เงยมองชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ด้านในห้อง ไม่มีรอยยิ้มแม้สักเล็กน้อยเปื้อนที่ริมฝีปากของคนตรงหน้า หากแต่นัยน์ตาสีเข้มดุดันที่จ้องมากลับทำให้เด็กน้อยรู้สึกวางใจ ไม่รู้เพราะอะไร

      “ไปสิจ้ะ” ป้ามาร์ทาร์หันมายิ้มให้แล้วดันหลังเด็กชายตัวเล็กให้เดินไปข้างหน้า มือใหญ่ยื่นออกมารอรับมือน้อยแสนบอบบางที่เอื้อมคว้ามือของเขาเอาไว้

      “มาอยู่กับฉันนะ...”

      .

      .

      จางอี้ชิง...เด็กกำพร้าจากเบเกอร์สฟีลด์

      หิมะแรกโปรยปรายลงมาในเช้าวันหยุด พร้อมการมาถึงของผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียร์  เขายังจำภาพนั้นได้ติดตา ผู้ดูแลทุกคนดูตื่นเต้นกันมาก ป้ามาร์ทาร์ ป้าเจนวิ่งวุ่นเพื่อรอต้อนรับ ได้ยินว่าวันนี้เด็กหนึ่งคนจะถูกรับไปอยู่ด้วย…

      หลังจากนั้นไม่นานอี้ชิงถูกป้ามาร์ทาร์พามาที่ห้องทำงานอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้เด็กคนอื่นสนใจ ความจริงก็ไม่เคยมีเด็กคนไหนสนใจเขาอยู่แล้ว

      ผู้ชายชื่อคริสที่ป้าทั้งสองคนพูดถึงให้ได้ยินบ่อยๆยืนอยู่ตรงนั้น ร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีทอง สวมเสื้อโค้ทกันหนาวสีเข้มยาวถึงเข่า ยืนหันหลังมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเกล็ดหิมะขาวสะอาดร่วงลงมาเป็นฉากหลัง มันเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกินในความคิดของอี้ชิง

      “เธอชื่ออะไร?”

      “...ล ...เลย์”

      .           .

      .

      .           “คุณหนูครับ  คุณหนู!

      “ครับ?”

      “ลงจากรถเถอะครับ ถึงแล้ว” คุณลุงพ่อบ้านยิ้มใจดีก่อนจะเดินลงมาเปิดประตูรถให้ ระยะทางหลายร้อยไมล์กว่าจะเดินทางมาถึงที่หมายกินเวลานานจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อุณหภูมิข้างนอกต่ำลงยิ่งกว่าตอนกลางวันเป็นสิบองศา

      มือเล็กกระชับเสื้อโค้ทสีครีมที่สวมอยู่ให้เข้าที่เข้าทาง หิมะหยุดตกแล้ว ทิ้งไว้เพียงผ้าห่มผืนใหญ่สีขาวสะอาดที่ปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ คนตัวเล็กหายใจเอาอากาศเย็นเยียบเข้าปอดลึกๆครั้งหนึ่ง ก้มหน้าหลบลมหนาวที่ระแก้มใส เท้าย่ำช้าๆเป็นจังหวะลงบนพรมหิมะผืนหนา

      เขาเรียกมันว่าบ้าน แม้ว่าคนอื่นจะเรียกที่นี่ว่าคฤหาสน์

      อี้ชิงไม่เคยเล่าความจริงเวลาแต่งเรียงความสมัยประถม ไม่เคยบอกใครว่าเขาอยู่ในคฤหาสน์บนเนินเขาที่ไกลจากสายตาผู้คนทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย มองจากหน้าต่างห้องนอนเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบกว้างใหญ่ มีภูเขาที่ดูราวกับอัญมณีสีน้ำเงินเข้มโอบล้อมเรียงรายเหมือนในภาพวาด

      เด็กชายวัย14ปีเลือกจะแต่งเรื่องหลอกๆที่ฟังดูเหมือนจริงมากกว่าอย่างเช่น เขามีบ้านหลังไม่ใหญ่นักที่ชานเมือง บางครั้งในวันที่หิมะตกเขาจะนั่งอยู่หน้าเตาผิงกับคุณพ่อที่ใจดี ปิ้งมาร์ชเมลโล่ ดื่มโกโก้อุ่นๆและเล่าเรื่องตลกกัน

      อี้ชิงหัวเราะในคอเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองแต่งขึ้น จริงๆเขาเคยดื่มโกโก้หน้าเตาผิงกับคริสหนหนึ่ง แต่นั่นก็นานมาแล้ว

      “คุณท่านรออยู่ที่ห้องครับคุณหนู”  ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับไป อี้ชิงแค่พยักหน้าแสดงการรับรู้ เด็กหนุ่มดูตัวเล็กลงไปมากเมื่อถอดโค้ทกันหนาวตัวหนาและผ้าพันคอนุ่มผืนใหญ่ส่งให้ชายผู้ดูแล หัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้นทุกก้าวที่เท้าเหยียบขั้นบันไดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้ว่าคริสเรียกให้เขากลับมากลางเทอมเพราะอะไร แต่ก็ดี เขาก็มีเรื่องสำคัญอยากจะขออนุญาต ผู้ปกครองอยู่เหมือนกัน

       

      ลมเย็นสัมผัสผิวกายทันทีที่ผลักบานประตูกว้างเข้าไปด้านในห้อง ประตูที่ระเบียงเปิดอยู่ ผู้ปกครองของเขายืนหันหน้าออกไปทางทะเลสาบ คงกำลังมองผืนน้ำสีเงินเหมือนผ้าแพรผืนใหญ่ที่พลิ้วไหวอยู่ในความมืดนั่น

      “มาถึงแล้วเหรอ”

      “...ครับ...”  คริสยังคงเหมือนเดิม เครื่องหน้าทุกส่วนราวรูปปั้นที่รังสรรค์โดยศิลปินเอก รูปร่างสง่างาม น้ำเสียงทุ้มเยือกเย็น กิริยาสุขุมน่าเกรงขาม นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ทำให้อี้ชิงใจสั่นได้ทุกครั้งที่มองสบ ... เหมือนเดิมกับเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรกไม่ผิดเพี้ยน

      “ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”

      “ก็ดีครับ เพื่อนๆเริ่มพูดเรื่องเรียนต่อมหาวิทยาลัยบ้างแล้ว”

      “งั้นเหรอ” นิ้วเรียวยาวหยิบซิการ์ขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากสีอ่อน ควันเบาบางลอยม้วนตัวขึ้นบนอากาศยามที่ริมฝีปากนั้นเผยอออกเพียงเล็กน้อย อี้ชิงคุ้นเคยกับกลิ่นหอมหวานของมันดี เขาแอบมองคริสมาตลอด ทุกรายละเอียดอยู่ในความทรงจำของเขาทั้งหมด

      “หลังจากจบไฮสคูลอยากทำอะไร”

      “ผมอยากมีประโยชน์กับคุณบ้าง”

      “หืม?”

      “เรื่องนั้น...เป็นผมได้มั๊ยครับ” ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววจริงจังยืนยันคำพูด คริสหัวเราะหึในลำคอ น้ำเสียงจริงจังของคนตรงหน้าจุดยิ้มร้ายที่มุมปากข้างหนึ่งของเขาให้ปรากฏขึ้น

      “เธอเป็นเด็กฉลาดอี้ชิง... รู้แล้วสินะว่าฉันเป็นอะไร...” มือใหญ่ยกขึ้นลูบแก้มที่เริ่มขึ้นสีเพราะความหนาว ถ้ารู้ว่าจะต้องมายืนคุยกันที่ระเบียงเขาคงไม่ถอดผ้าพันคอออก

      “ครับ ให้ผมได้ทำอะไรให้คุณบ้าง ถ้าผมทำได้ ถ้าเป็นผมได้” อี้ชิงแทบไม่กระพริบตาตอนที่ดวงตาสีเข้มที่เขาหลงไหลจ้องลึกเข้ามา นิ้วซุกซนของคริสไล้จากแก้มลงมาลูบผิวอุ่นลื่นที่หลังคอ กระซิบที่ข้างหูแผ่วเบาเหมือนเพียงลมพัดผ่านแต่ก็เพียงพอให้อี้ชิงขนลุกไปทั้งตัว

      “ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอมงั้นเหรอ”

      .

      .

      แวมไพร์......คริสไม่ใช่คนอี้ชิงรู้ เด็กหนุ่มหลงรักปีศาจกินเลือด

      ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่อี้ชิงรู้มากกว่านั้น

      อีกไม่นานคริสจะต้องเข้าพิธีสำคัญมากที่สุดในชีวิต เขาไม่รู้ว่าคริสมีชีวิตอยู่มาแล้วกี่ร้อยปี ดูดเลือดใครมาแล้วกี่ร้อยคน ย้ายที่อยู่มาแล้วกี่สิบเมือง รู้เพียงว่าเขากำลังต้องการมนุษย์ผู้มีดวงจิตบริสุทธิ์เพื่อทำพิธีสำคัญของตัวเอง เพื่อให้จิตวิญญาณปีศาจแข็งแกร่งขึ้น หรือเพื่อพละกำลัง หรือเพื่อความเป็นอมตะ อี้ชิงไม่รู้มากขนาดนั้นแต่เขาไม่ได้ใส่ใจ

      รู้เพียงว่าชายหรือหญิงสักคนที่เกิดในคืนขึ้น 15 ค่ำยามเมื่อจันทราสุกสว่างเต็มดวงเป็นสีน้ำเงิน...จะเป็นผู้ถูกเลือก พิธีจะถูกจัดขึ้นเมื่อพระจันทร์สีน้ำเงินขึ้นเหนือท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้งในอีกสิบปี ยี่สิบปี หรือในอีกร้อยปี โลหิตในกายของเหยื่อผู้ถูกเลือกมาเซ่นสังเวยจะเดือดปุดและถูกสูบออกไปจนหมดร่าง... และเมื่อถึงตอนนั้น ดวงจิตที่แสนบริสุทธิ์จะได้หลุดลอยไปเจอพระผู้เป็นเจ้าบนสรวงสวรรค์

      อี้ชิงเกิดในคืนพระจันทร์สีน้ำเงินเมื่อ 19 ปีก่อน

      การเป็นเด็กชายตัวเล็กผิวขาวซีดชาวเอเชียเพียงคนเดียวในสถานสงเคราะห์ ทำให้เขาแตกต่าง โดนเด็กโตกว่ารังแก ไม่มีเพื่อน เข้ากับใครไม่ได้ทั้งๆที่พูดภาษาเดียวกัน ใช่ว่าจิตใจของเด็กน้อยจะรับรู้มันไม่ได้ เขาเจ็บปวด เหนื่อยล้าทุกครั้งที่ลืมตาตื่น เด็กๆมากมายวิ่งเล่นไปมาแต่เขากลับรู้สึกเหมือนอยู่เพียงลำพังในห้องนั้น เดชะบุญที่อี้ชิงมีเลือดจีนอยู่ในตัวเหมือนคริส

      ใครๆต่างคิดว่าอี้ชิงเป็นเด็กชายผู้โชคดี แต่ไม่เลย อี้ชิงหลงรักคริสที่เป็นผู้มีพระคุณสุดหัวใจ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวใจของอี้ชิงไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป

       

      “ผมไม่มีใครแล้วนอกจากคุณ ชีวิตของผม รับมันไว้นะครับ”

      “คิดดีแล้วเหรอ”

      “ครับ” เสียงหวานย้ำคำหนักแน่น น้ำใสหล่อเลี้ยงหน่วยตาต้องกับแสงพระจันทร์เป็นประกายวิบวับ จมูกเล็กแดงก่ำ ริมฝีปากหอบเอาอากาศเข้าปอด เหลือเพียงควันสีขาวที่เป็นหลักฐานว่าอากาศเย็นเฉียบทำร้ายร่างกายบอบบางนี้ได้มากเพียงใด

      “ทำแบบนั้น เธอจะไม่ได้อยู่กับฉันหรอกนะ”

      “ผมรู้ ผมแค่...อยากทำอะไรเพื่อคุณบ้าง”

      “พูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า นี่ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น”

      “ผมคิดดีแล้วครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะคิดยังไงแต่ว่าผมรัก...อื้ออ”

      พยางค์สุดท้ายที่อี้ชิงไม่มีโอกาสเอื้อนเอ่ยออกมาถูกกลืนกลับเข้าไป เขาไม่รู้ว่าคริสจะโกรธหรือเปล่าที่เขารู้สึกแบบนั้นกับคนที่เลี้ยงตัวเองมาจนเติบโต เขาอยากบอกว่ารักมากแค่ไหน...แค่อยากบอก แต่อีกคนคงไม่อยากได้ยิน

      คางมนถูกนิ้วเย็นงัดขึ้นรับจุมพิตหนักแน่น กลีบปากอิ่มถูกบดด้วยกลีบปากสีสดของคนตรงหน้า เส้นผมสีเข้มขยับเบาๆตามจังหวะของสายลมเหมันตฤดูที่พัดมาต้อง เขาควรจะหนาวถึงขั้วหัวใจแต่เลือดในกายกลับปั่นปวน เหมือนมีผีเสื้อนับร้อยบินอยู่ช่องท้อง ไม่สิ ผีเสื้อแสนสวยพวกนั้นบินอยู่ทั่วบริเวณนี้ไปหมด

      เปลือกตาปิดลงช้าๆ เขากำลังลุ่มหลงกับสัมผัสของปีศาจร้าย แต่อี้ชิงก็เลือกที่จะหลับตาเพื่อจดจำจูบเจือกลิ่นซิการ์นั้นไว้ให้ขึ้นใจ กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งที่ผสมกับสมุนไพรชั้นยอดจากแดนไกล เหมือนสัมผัสจากคริส...ชัดเจน ละมุนละไม มีรสหวานติดอยู่ที่ปลายลิ้น

       

      จูบของคริสทำให้อี้ชิงไม่รู้จักพอ...

       

      ลมหายใจทั้งหมดถูกช่วงชิง วิญญาณเหมือนกำลังถูกดูดดึงให้ออกจากร่าง มือขาวข้างหนึ่งกำตรงอกเสื้อของคริสจนยับเมื่อมือใหญ่ลูบเรื่อยจากลาดไหล่ลงมาที่ต้นแขนทั้งที่กลีบปากทั้งคู่ไม่ห่างกันสักวินาที

      คริสดันร่างบอบบางร้อนผ่าวออกห่างตัวก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิด ตาคมกวาดไล่จากต้นคอขึ้นมาหยุดที่ริมฝีปากแดงฉ่ำน้ำที่เผยอหอบน้อยๆ ไม่รู้ทำไม แต่สายตาแบบนั้นทำให้อี้ชิงตัวสั่นอีกครั้ง

      “อย่าพูดอะไรมั่วๆอี้ชิง เตรียมตัวสำหรับพิธีซะ พ่อบ้านจะเป็นคนแนะนำเธอ”

      คริสก้าวผ่านอี้ชิงไปเหมือนเป็นอากาศธาตุ ขายาวก้าวพ้นประตูห้องของตัวเองออกไปด้านนอก ทิ้งอีกคนที่แข้งขาอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่เอาไว้กลางอากาศเย็นจัด มือเล็กอ่อนเปลี้ยคว้าราวระเบียงประคองตัวเองเอาไว้ไม่ให้ทรุดลงที่พื้น

      จูบนี่คงเป็นรางวัล...สำหรับอี้ชิงผู้ซื่อสัตย์

       

      Time stands still 
      Beauty in all she is 
      I will be brave 
      I will not let anything take away 
      What's standing in front of me 
      Every breath 
      Every hour has come to this

       

      “ผมเข้าไปได้มั๊ย” เจ้าของห้องละสายตาจากหนังสือในมือ เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ถือวิสาสะแง้มประตูห้องเขาโดยไม่ได้บอกก่อน

      “เปิดมาขนาดนั้นแล้วนี่ จะเข้าก็เข้ามาสิ” อี้ชิงคลี่ยิ้มซุกซนให้ชายหนุ่มที่นั่งท่าสบายๆอยู่ตรงเก้าอี้นวม คริสวางหนังสือเล่มเล็กในมือลงที่โต๊ะข้างเก้าอี้ มองคนตัวเล็กที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปที่หน้าเตาผิง

      “นั่นหอบอะไรมาเยอะแยะ”

      “ขนม”

      “ขนม?”

      “ครับ คุณคริสคงไม่ค่อยได้ทานขนม” คิ้วเข้มยกขึ้นสูง ก็ใช่ล่ะ เขาไม่ได้ชอบกินขนม

      “เอามาให้ฉันเหรอ”

      “เปล่า” ในเมื่อความเงียบคือสิ่งที่ได้รับจากอีกฝ่าย เสียงหวานก็เป็นฝ่ายเอื่อยเจื้อยแจ้วต่อ “ผมเอามากินเอง วันนี้ขอผมอยู่ห้องนี้ทั้งวันได้มั๊ยครับ ข้างนอกหิมะตกผมไม่อยากออกไปไหน”

      “แล้วทำไมต้องมาที่นี่”

      “มาดูคุณ ... อีกสองวันก็ถึงเวลาแล้วนะครับ เผื่อเราจะไม่ได้เจอกันอีก ผมอยากนั่งดูคุณทั้งวันเลย”

      เรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่ก็เลี่ยงจะพูดถึง อี้ชิงใช้เวลาสองสามวันก่อนหน้านี้อยู่ในห้องตัวเอง นอนอ่านไดอารี่เก่าๆที่เขียนถึงคริส เอากล่องของเล่นไม้ออกมาปัดฝุ่น หนังสือหลายเล่มที่คริสบังคับให้อ่านให้จบอยู่ในหีบใบหนึ่งที่กุญแจขึ้นสนิม อี้ชิงหัวเราะ

      ความทรงจำเหมือนภาพถ่ายเก่าๆปลิวกระจัดจายอยู่ในสมอง ทั้งเรื่องที่มีความสุข เรื่องแสนเศร้า เขาเคยโดนดุหนักมากครั้งหนึ่งตอนแอบเข้าไปเล่นในป่าด้านหลังคฤหาสน์คนเดียว อี้ชิงหลงอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงกระทั่งคริสตามหาจนพบ เขาร้องไห้กอดคนตัวใหญ่หวังได้รับคำปลอบใจ แต่เปล่า...คริสจูงมือน้อยกลับมาที่ห้องนอนแล้วขังอี้ชิงไว้ในนั้นเป็นการลงโทษ ตอนนั้นเด็กชายตัวขาวร้องไห้เสียใจยกใหญ่

      แต่ตอนนี้อี้ชิงกำลังยิ้ม คริสโกรธเพราะเป็นห่วงเขามากต่างหาก

       

      เจ้าของห้องมัวแต่ตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ก็พอจะรับรู้ว่ามีคนเดินแว้บไปแว้บมาผ่านหน้า บางทีก็ได้ยินเสียงฝากล่องบิสกิตหล่นกระทบพื้นดังกร๊องแกร๊ง เสียงฟืนลั่นในเตาผิงดังเปาะแปะเพราะอี้ชิงเอาไม้ไปเขี่ยเล่น เสียงดังเอี๊ยดๆเพราะคนตัวเล็กเอานิ้ววาดภาพลงบนหน้าต่างที่มีไอน้ำเกาะ เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่แต่รับรู้ทุกอย่าง

      ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ตอนที่คริสอ่านหนังสือทั้งเล่มจบ อี้ชิงนอนขดอยู่บนโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ๆ คงเล่นอะไรจนเหนื่อยเลยเผลอหลับ คริสยืดเต็มตัวลุกขึ้นมายืนค้ำโซฟาที่ถูกยึดเป็นที่นอน มอง”เด็กที่รับมาเลี้ยง”อย่างพิจารณา เส้นผมสีเข้มแบบคนเอเชียหยักเป็นคลื่นโดยเป็นธรรมชาติ เงางามและนิ่มเหมือนเส้นไหม นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาบังกรอบหน้าสวย ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบอกเขาว่าคนคนนี้กำลังอยู่ในห้วงนิทราแสนสุข

      อี้ชิงอายุ 19 ปีที่โครงหน้าชัดเจนขึ้นกว่าตอน 16 และเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับตอน 10 ขวบ เขาควรจะเป็นพ่อที่มีโอกาสเห็นพัฒนาการของลูกในทุกช่วงเวลา แต่การอยู่ใกล้เด็กคนนี้นั้นเสี่ยงเกินไป แต่อย่างไรอี้ชิงก็ยังเป็นอี้ชิง ใบหน้าสวยงามพริ้มหลับราวกับเด็กน้อย ขนตายาวรับกับรูปตาเรียวรี จมูกโด่งสวย ริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รี่ยามที่คลี่ยิ้มโชว์ฟันเรียงเป็นระเบียบจะเกิดรอยบุ๋มเล็กๆที่แก้มข้างหนึ่ง  เส้นขากรรไกรไม่คมชัดอย่างผู้ชายควรจะเป็น

      อี้ชิงสวย....กว่าผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนในความคิดเขา

       

      เขากำลังจะทำให้ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งเปลี่ยนไปตลอดกาล ได้แต่หวังว่าอี้ชิงจะเข้าใจและจะยอมรับมันได้

       

      And all along I believed I would find you 
      Time has brought your heart to me 
      I have loved you for a thousand years 
      I love you for a thousand more

       

      เสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวสีขาวสะอาดถูกหยิบขึ้นมาสวม ไม่มีเครื่องประดับติดกายสักชิ้น แม้แต่เท้าเล็กก็ยังเปลือยเปล่า  พ่อบ้านปิดประตูลงหลังจากพาคุณหนูคนเดียวของบ้านมาถึงห้องบนหอคอย ไม่มีแสงไฟ ห้องมืดมีเพียงแสงจันทร์สีน้ำเงินที่ทำให้ห้องนี้มีแสงสว่าง อี้ชิงไม่เคยมาที่นี่...

      ร่างสง่างามของคริสยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมชุดสีดำอย่างที่เห็นจนชินตา แต่ครั้งนี้ใบหน้างดงามนิ่งสงบกว่าปกติ ดวงตาคมเย็นยะเยือกจนอี้ชิงไม่แน่ใจว่าเพราะสายตาที่มองมาหรือเพราะเสื้อผ้าที่สวมอยู่กันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกหนาวสั่น

      แต่ช่างมันเถอะ ... ยังไงซะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาก็ไม่ได้อยู่รับรู้มันแล้ว

       

      “มานี่สิ” มือใหญ่ยื่นมาข้างหน้ารอให้อี้ชิงก้าวเข้าไปหา เหมือนฟิล์มภาพยนต์เก่าที่ฉายซ้ำ ต่างแค่ตอนนั้นที่เขายังเป็นเด็กน้อยกับตอนนี้ที่เขากลายเป็นเด็กหนุ่ม

      ภาพคนตรงหน้าเริ่มพร่ามัว เปลือกตากระพริบสองสามทีไล่น้ำใสที่รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นบีบโดยแรงเข้าที่หัวใจ อี้ชิงปิดแน่นด้วยความเจ็บปวด เขาจะไม่ได้เห็นหน้าผู้ชายที่รักสุดหัวใจอีกแล้วตลอดชีวิต

      มือเล็กยื่นออกไปตรงหน้าจับคว้ามือที่รอรับอย่างมั่นคง มือของคริสอุ่น ไม่ได้เย็นชืดไร้ชีวิตอย่างเรื่องเล่าทั้งหลายเกี่ยวกับผีดูดเลือดในหนังสือที่เขาเคยอ่าน

      “กลัวหรือเปล่า” คนถูกถามส่ายหน้าแทนคำตอบ

      เขากลัว...กลัวเหลือเกิน แต่เขาโกหก...

      “เคยได้ยินเรื่องนักบุญวาเลนไทน์มั๊ยอี้ชิง”

      “.......................”

      “เขาเป็นคนที่มีความศรัทธาในพระเจ้า แม้ความตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนความศรัทธาอันแรงกล้านั้นได้”

      “.......................”

      “เขาพบรักกับลูกสาวของผู้คุมตอนอยู่ในคุกรอประหารชีวิต เธอเป็นสาวงาม...แต่โชคร้ายที่ดวงตามองไม่เห็น วันหนึ่งเธอถามเขาว่าพระเจ้าจะได้ยินคำอธิษฐานของเธอไหม...”

      “เขาตอบว่ายังไงครับ” ดวงตาเศร้าสร้อยจับจ้องใบหน้าสมส่วนของคนที่กำลังเล่าเรื่องให้เขาฟัง แสงนวลสีน้ำเงินส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้าราวรูปปั้นเพียงเสี้ยวหนึ่ง แสงเงาทำให้อี้ชิงได้เห็นความงดงามของคริสในแบบที่ต่างไปจากที่เคยเห็น สวยงามจนไม่อยากจะละสายตา

      “ท่านได้ยินเราทุกคน”

      “ถ้าอย่างงั้นพระเจ้าจะได้ยินผมมั๊ย....”

      “เธออธิษฐานอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า” คริสไม่ได้ตอบคำถามของอี้ชิง  “แล้วก็เกิดปาฏิหาริย์...เธอกลับมามองเห็นอีกครั้ง ได้เห็นโลกที่ชายคนรักพร่ำเล่าให้ฟัง เธอมองเห็นชายคนรักของเธอ ... ก่อนที่เขาจะโดนตัดคอในวันต่อมา”

      “.......................”

      “เรื่องมันแฟนตาซีเกินไปว่ามั๊ย”  อี้ชิงฝืนหัวเราะให้กับคำถามที่ได้ยิน สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ไม่ยิ่งกว่านั้นเหรอ คริสเป็นผีดูดเลือด กำลังจะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์อันแสนสำคัญ มีพิธีกรรมอะไรมากมายที่เขาไม่เคยเห็น มีบางชีวิตที่ต้องสังเวย...

      “คุณศรัทธาในพระเจ้ามั๊ยครับ”

      “ฉันเหรอ” ความเงียบปกคลุมบริเวณอยู่เพียงอึดใจหนึ่ง    “...ไม่”

      .

       

      พระจันทร์ดวงโตดูเหมือนอัญมณีสีน้ำเงินที่ประดับอยู่บนท้องฟ้า สวยงาม แต่ทำให้คืนนี้เหน็บหนาวและน่าหวาดกลัวกว่าคืนไหนๆที่เคยเจอมาทั้งชีวิต ถ้าขอได้ อี้ชิงอยากได้โกโก้อุ่นๆมาปลอบหัวใจที่ตื่นกลัวซักแก้ว

      “พร้อมมั๊ย” มือที่กุมมือน้อยเอาไว้คลายออก มองสบดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นแต่แสนเศร้าเหมือนฤดูใบไม้ร่วงของอี้ชิง

      “ผมจะเจ็บมั๊ยครับ”

      “แค่แป๊บเดียว ...แล้วเธอก็จะไม่รับรู้ความเจ็บปวดใดอีกเลยตลอดไป” คนฟังเหมือนถูกปลิดหัวใจออกจากขั้ว เขาเป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาที่มีความรัก และกำลังจะตายเพราะมัน

      “คุณคริส...ผม...” นัยน์ตาสวยฉายแววสับสนอย่างปิดไม่อยู่ “ผม...กลัว”

      “เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อฉันก็ได้” สองมือประคองใบหน้าหวานที่เปียกปอนด้วยน้ำตาให้หันมาสบดวงตาคม

      “ไม่ครับ ทำเถอะ...”

      “แต่..”

      แขนขาวโน้มคอคนสูงกว่าลงมาหาตัว อี้ชิงแหงนเงยใบหน้าขึ้นประกบริมฝีปากหยุ่นชื้นกับริมฝีปากของคริสทั้งที่น้ำตายังเปื้อนดวงหน้า ไม่มีกลิ่นซิการ์อุ่นๆอย่างครั้งก่อน แต่พิษสงไม่ต่างกัน อี้ชิงแทบกระอักกับจูบแสนหวานปนขมขื่น ร่างสูงได้รสเค็มปร่าของน้ำตาที่ปลายลิ้น ร่างเล็กในอ้อมกอดสะอื้นจนเจ็บอกทั้งที่ยังขบเม้มริมฝีปากล่างของเขา ศีรษะเล็กเอียงเปลี่ยนองศารับจูบหวานขมที่เค้ามอบกลับ

      .

      สองร่างแนบชิดแลกจุมพิตกระทั่งร่างเล็กก้าวถอยหลังชนเข้ากับแท่นหินอ่อนกลางห้อง อี้ชิงผละออกยืนนิ่งสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ร่างสูงรวบเอวเล็กด้วยแขนแกร่งทั้งสองข้างยกคนตัวเล็กกว่าขึ้นนั่งบนแท่นบูชาโดย ยืนหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ... ไม่มีใครสบตากัน

      มือแกร่งลูบเกลี่ยต้นคอขาว เส้นเลือดภายใต้ผิวบอบบางเต้นตุบรัวแรงตามจังหวะการบีบตัวของหัวใจ อี้ชิงหลับตาแน่น นิ้วเล็กทั้งห้าขยุ้มยึดไหล่กว้างไว้ เอียงคอเชิดใบหน้าขึ้นเมื่อปลายจมูกของอีกคนเป่าลมหายใจอุ่นร้อนตรงเส้นเลือดที่กำลังเต้น กลิ่นหอมรัญจวนของเลือดอุ่นๆในกายมนุษย์ทำให้คริสครางฮือในลำคอ

      เสียงทุ้มที่ดังข้างหูทำให้อี้ชิงขนลุกไปทั้งร่าง เสียวสันหลังวาบเมื่อรับรู้ถึงริมฝีปากร้อนที่แตะลงมาที่ต้นคอ  คมเขี้ยวที่เขายังไม่เคยได้เห็นกดลงเบาๆอย่างหยอกเอินที่ตรงนั้น มันปวดเล็กๆ เหมือนหัวใจดวงน้อยที่กำลังเต้นรัวอยู่ในอก น้ำใสยังไหลอาบหน้า ... คริสบอกว่าเขาจะเจ็บแค่ประเดี๋ยว ...

      “อือออ คุณ..คริส”

      “เรียกแค่ชื่อฉันก็พอ”

      “ค..คริส..”  กระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ถูกปลดจากรังดุมโดยไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็ตอนที่โดนไล่จูบจากต้นคอลงมาตามลาดไหล่ขาวนวลเนียน มือใหญ่ล้วงลอดเสื้อตัวบางลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเนียนนุ่ม คริสหลงไหลอี้ชิง... อยากสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มให้ทั่ว อยากสูดดมกลิ่นกายเฉพาะตัวที่หอมกรุ่นของคนตัวเล็กไม่ให้หลงเหลือ  อยากฝังเขี้ยวแล้วสูบเลือดหอมหวานของอี้ชิงจนหมดทั้งตัว  คนตรงหน้าทำให้สัญชาตญาณนักล่าที่ถูกฝังไว้เบื้องลึกมานานแสนนานพลุ่งพล่านจนหยุดไม่อยู่

      ไหล่แคบถูกกดให้เอนแผ่นหลังลงบนแท่นหินเย็นเฉียบ ร่างบางสะดุ้งในตอนแรก แต่อีกร่างที่ทาบทับลงมามอบสัมผัสรุ่มร้อนก็ทำให้ลืมทุกสิ่งอย่างหมดสิ้น เสียงเล็กครางอือขาดห้วงยามถูกฟันคมขบลงบนผิวเนื้ออ่อนนิ่ม  เขาอยากให้คริสกอด...

      ถ้านี่เป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องจากกันไปชั่วกาล ไม่ว่าจะสรวงสวรรค์หรือดินแดนของซาตานมืดมิดหนาวเหน็บ อี้ชิงก็ยินดีให้คนคนนี้นำพาไป

      เขาเลือกมันเอง เลือกทางนี้เอง

      “อี้ชิง....”

      .

      .

      แสงนวลสาดส่องอาบสองร่างเปล่าเปลือยที่กอดก่ายแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน คืนหิมะตกไม่ได้ทำให้ความรุ่มร้อนในกายลดน้อยตามไปด้วย ร่างกายแข็งแรงตระกองกอดร่างผอมบางอ่อนปวกเปียกของอี้ชิงไว้แนบอก จำไม่ได้ว่ากอดร่างเล็กนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะตอนที่อี้ชิงอายุ 13 ก่อนเขาจะส่งเด็กชายไปอยู่โรงเรียนประจำ หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นคนเย็นชา รักษาระยะห่างระหว่างตัวเองกับอี้ชิงมาโดยตลอด

      “หลับตาซะ”  เสียงทุ้มกระซิบชิดใบหู จมูกโด่งได้รูปกดจมลงบนผิวแก้มนิ่ม ริมฝีปากกดลงบนหัวไหล่กลมกลึงฝากรอยรักไว้เป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนจะบรรจงฝังคมเขี้ยวลงตรงตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด

      “อื้ออออออ ฮึก!”  เสียงหวานครวญคราง แผ่นหลังบอบบางลอยแอ่นขึ้นจากแท่นหินอย่างเจ็บปวด สะบัดศีรษะอย่างแรงเพราะความปวดหนึบที่ต้นคอ คนตัวโตกว่าออกแรงกดร่างเล็กที่ดิ้นรนจนร่างกายบิดเบี้ยวทั้งที่ยังไม่ละเขี้ยวคมออกมา อกขาวเบียดเข้ากับอกกว้าง  อี้ชิงหายใจติดขัดส่ายศีรษะไปมา น้ำตามากมายไหลจากดวงตาที่ปิดสนิท  เสียงร้องหวีดหวิวเหมือนจะขาดใจเพราะอุณหภูมิของเลือดในกายสูงขึ้นทำให้คริสรู้สึกเจ็บเจียนตายไปด้วย  แต่เขาหยุดไม่ได้แล้ว

      อี้ชิงคิดว่าเลือดอาจจะเดือดอยู่ภายใน เขาปวดไปหมดทั้งสรรร่าง เรือนร่างสวยงามบิดตัวดิ้นอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนทั้งร่างจะร่วงลงแน่นิ่งอยู่กับที่  คนด้านบนถอนเขี้ยวออกจากลำคอบอบช้ำ  โลหิตร้อนข้นคลั่กไหลจากแผลกัดลงเปรอะต้นคอด้านหลัง หัวไหล่ ไหปลาร้า สีแดงสดของมันตัดกับผิวสีน้ำนมอย่างน่ากลัว

      ลมหายใจรวยริน ทุกอย่างที่ดวงตาพร่ามัวของอี้ชิงจะยังพอมองเห็นหมุนวนจนเวียนหัว  เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่ไหวแล้ว เขาคงต้องพักผ่อนเสียที

       

      ไม่ต้องเป็นห่วง ...ผมเจ็บแค่นิดเดียว ...

      คุณว่าผมจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์หรือเปล่า

      อวยพรให้ผมด้วยนะ...

       

      ริมฝีปากซีดเผือดเผยอครางชื่อคริสออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนรัตติกาลจะกลืนกินทุกสิ่งลงสู่ทะเลดำมืดไปตลอดกาล

       

      I have died everyday waiting for you 
      Darling don't be afraid I have loved you 
      For a thousand years 
      I love you for a thousand more 

      .

      .

      เปลือกตาหนักปรือขึ้นก่อนจะปิดลงอีกครั้งเพื่อปรับสายตา อี้ชิงลืมตาขึ้นช้าๆอีกครั้งบนเตียงกว้างสีขาวสะอาด นอนตะแคงมองม่านสีขาวโปร่งแสงที่คลุมเตียงอยู่รอบด้าน ไม่หลงเหลือความเจ็บปวดตามร่างกายแม้แต่น้อยทั้งที่ก่อนหน้านี้ทรมานแทบขาดใจ มือขาวยกขึ้นแตะที่คอ ลูบวนตรงที่มีรอยเขี้ยวเล็กๆสองรอย เขาไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย

      ตากลมเบิกกว้างทันทีเมื่อระลึกได้ว่ามีลมหายใจอุ่นชื้นเป่ารดต้นคอด้านหลัง เอวเล็กถูกแขนแกร่งรัดแน่น แผ่นหลังแนบชิดอกกว้างของคนที่นอนกกกอดเขาอยู่

      “หยุดดิ้นขยุกขยิกได้แล้วอี้ชิง นอนซะ เธอต้องพักผ่อน”

      “นี่ผม...ยังไม่ตายเหรอครับ”  คนตัวเล็กรีบพลิกตัวเข้าหาแผ่นอกแกร่งที่ให้ไออุ่นเขามาทั้งคืน เขย่าไหล่เปลือยของคริสที่นอนหลับตาไม่ตอบคำ เขาตื่นตระหนกกับสิ่งที่เห็น หรือเรื่องทั้งหมดเขาแค่ฝันไป

      อุ้งมือเล็กตีแปะๆลงบนแก้มตอบของคริส เสียงหวานเรียกชื่อคนหลับหงุงหงิงซ้ำๆพลางเขย่าตัวเรียกให้เจ้าของชื่อตื่นขึ้นมาอธิบาย

      “เมื่อกี้ฉันบอกว่ายังไง!“ เสียงทุ้มตวาดไม่ดังนัก ร่างใหญ่โตพลิกตัวขึ้นคร่อม แขนแข็งแรงยันไว้กับฟูกนิ่มกักคนตัวเล็กกว่าให้อยู่ใต้ร่าง “อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นฉันจะกัดเธอให้จมเขี้ยว...เธอรู้แล้วว่ามันทรมานยังไง แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน”

      “ผะ ..ผม .. ขอโทษ”

      “อย่าหลบตาฉันอี้ชิง”  อย่าหลบตาเขาเลย... เพราะคริสลุ่มหลงนัยน์ตาสีน้ำตาลแสนอ่อนโยนของอี้ชิงเหลือเกิน ไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าการหักห้ามไม่ให้ทำลายเรือนกายงดงามตรงหน้ามันยากมากแค่ไหน ข้อนิ้วแข็งเกลี่ยแก้มใสอย่างรู้สึกผิดที่แกล้งตะคอกเสียงดัง อี้ชิงที่หดตัวลงเพราะความกลัวช้อนตามอง แววตารื้นน้ำไหวระริก ก็น่ารักดี...

      “พูดว่ารักฉันสิ ตอนนี้ฉันอนุญาตให้เธอพูดได้แล้ว” คริสคลี่ยิ้มเอ็นดู เขี่ยผมนิ่มที่ปรกใบหน้าใสออก คนข้างล่างที่รู้ตัวว่าโดนแกล้งถอนหายใจเฮือก

      “ทำไมผมไม่ตายล่ะครับ”

      “ใครบอกนายว่าจะตาย” เด็กโง่ คริสรู้ว่าอี้ชิงรู้ไม่หมดแต่เลือกจะปล่อยไว้โดยไม่บอก

      “........................”  ไม่มีใครบอก เรื่องราวลึกลับในคฤหาสน์มากมาย เขาแค่ปะติดปะต่อเรื่องที่แอบรู้มาอย่างละนิดละหน่อยเข้าด้วยกัน  แล้วถ้าโดนกัดแต่ไม่ตายจะให้เป็นยังไงได้อีก

      “อยากตายนักหรือไงหืม  อยู่กับฉันตลอดไปเถอะ”  ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงประทับริมฝีปากอุ่นที่หน้าผากมนอ้อยอิ่งเนิ่นนาน อี้ชิงหลับตา แนบฝ่ามือเล็กลงบนอกข้างซ้ายของคนที่มอบสัมผัสอ่อนโยนให้เขาอยู่ตอนนี้ อี้ชิงรู้สึกได้ ... ว่าหัวใจของคริสเต้นอยู่ในนั้น “ไม่รักฉันแล้วเหรอ...พูดสิ เร็วนะก่อนที่ฉันจะงับคอเธอ  ฉันใจร้อน”

      ใช่...เขาเป็นคนใจร้อน แต่อดทนรอนับสิบปีเพื่อเด็กขี้แยคนนี้ ไม่สิ..สิบปีที่รอให้เด็กชายจางอี้ชิงคนนี้เติบโต  ร้อยปี...ตั้งแต่อี้ชิงจากเขาไปก่อนที่จะกลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง

      ร้อยปีอย่างโดดเดี่ยวเพราะคนรักที่เป็นเพียงคนธรรมดาตายจาก ปีศาจร้ายไม่เด็ดขาดพอจะเปลี่ยนมนุษย์แสนงดงามอย่างอี้ชิงให้แปดเปื้อนไปด้วยกัน

      แต่อี้ชิงจะกลับมา...เขาแค่ต้องรอ และออกตามหาเมื่อถึงเวลา

      กลางฤดูหนาวเมื่อ 19 ปีก่อน ทารกเพศชายผิวขาวถูกมารดาชาวจีนทิ้งเอาไว้ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในลอสแองเจิลลิส เด็กน้อยถูกส่งมาที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในเมืองเบเกอร์สฟีลด์ที่อยู่ใกล้ที่สุด

      แวมไพร์หนุ่มรับอี้ชิงมาอยู่ด้วยเมื่ออายุครบ 6 ขวบตามที่พ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์แนะนำ วินาทีแรกที่เห็นดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นเขาก็จำได้ในทันที หัวใจเหี่ยวแห้งไร้ความรักของปีศาจกลับชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง อี้ชิงกลับมาหาเขา...

      อี้ชิงรักคริสและรู้สึกปลอดภัยเสมอในอ้อมกอดแสนอบอุ่นเขารู้ดี แต่หัวใจคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก้อนเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้ถูกสมองสั่งให้เก็บความปรารถนาในตัวอี้ชิงเอาไว้  เขาส่งเด็กที่ติดเขาแจไปอยู่โรงเรียนประจำในเนวาด้า ไม่อยากอยู่ใกล้อี้ชิงเมื่อยังไม่ถึงเวลา ...เพราะกลัวจะห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่

      รักมากแต่ไม่อาจครอบครอง ... ปรารถนา ... แต่แตะต้องไม่ได้

      “เร็วเข้า พูดสิ ฉันรออยู่” มือใหญ่กุมมือเล็กขึ้นมาประทับจุมพิตนุ่มนวลที่กลางฝ่ามือ

      “ผมรักคุณ รักคุณมากที่สุด รักจนแม้แต่ชีวิตของผมก็..”  ริมฝีปากสีแดงสดหอมหวานถูกปิดลงก่อนพูดจบ สำหรับคริสมันเหมือนผลเชอร์รี่ในแชมเปญชั้นยอดที่ลิ้มรสได้ไม่รู้เบื่อ มือเล็กเปลี่ยนมาขยุ้มเส้นผมสีทองนุ่มนิ่มที่ท้ายทอยของคนด้านบน แขนขาวคล้องลำคอรั้งอีกคนไว้แนบกาย รักมากเหลือเกิน...

      คนรักที่ตายจากหวนคืนกลับมาตามที่เฝ้าอ้อนวอนขอ

      นี่อาจจะถึงเวลาที่เขาต้องศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าเสียที

      อี้ชิงในร่างมนุษย์ตายไปแล้ว เหลือเพียงอี้ชิงที่มีชีวิตอมตะในร่างแวมไพร์


      และเป็นของเขาผู้เดียว...ตลอดกาล...

       

       



       

      //////////////////////////////////////////////////

       

       

       

      อยากลงฟิคคคคค

      ขออธิบายนิดนึงนะฮะ เมื่อปลายปีที่แล้วบ้าน @KrisLayInHeaven มีโปรเจครวมช็อตฟิคจากนักแต่งฟิคหลายๆ คน รวมเล่ม 13 ช็อตฟิตธีมฤดูหนาวขายตอนวาเลนไทน์ เอากำไรเก็บไว้ทำโปรเจคซัพพอร์ตคล.งี้ หลายคนคงมีเล่มนั้นไว้ครอบครองเนอะ คงได้อ่านกันแล้ว

      แต่วันนี้เรามีอารมณ์อยากลงฟิคจริงๆ ฮะ แต่ไม่มีฟิคอ่ะ เลยเอาเรื่องเก่ามาลง ถถถถถถถถ

                      ตอนนั้นแอดมินบ้านสวรรค์ชวนเราว่าจะร่วมด้วยมั๊ย เราตอบตกลงแบบ เออก็ได้วะ เพราะเห็นว่าคนแต่งฟิคคริสเลย์ยังมีน้อยมาก มีเวลาอยู่ 1 เดือน คิดในใจเลยว่าธีมฤดูหนาวใช่มั๊ย งั้นไม่เอาหิมะ ในฟิคต้องไม่มีหิมะนะ ไม่มีการเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทด้วยกันนะ มันต้องหนาวแบบอื่นดิ แต่งไปๆมันยาวเกินลิมิตว่ะ ก็พับเรื่องเก่าเก็บเข้ากรุ แล้วก็แต่งเรื่องใหม่

                      กลายเป็นเรื่องนี้ ... หิมะเต็มเลย พโถ่วววว

                      มาเปลี่ยนใจเอาตอนเหลือเจ็ดวันสุดท้ายต้องส่งต้นฉบับ สวรรค์ก็ทวงมายิกๆ นี่ก็เครียดฮะ มันเป็นความรู้สึกแบบ...นี่คนอ่านต้องจ่ายเงินซื้อใช่มั๊ยทั้งที่ยังไม่เคยอ่าน มันกิลตี้ ความรู้สึกรับผิดชอบถาโถมเข้าใส่มาก 5555555555 แต่งไปเครียดไป อยากถอนตัวแต่ก็รับปากเค้าไปแล้ว ถ้าแต่งลงเองในนี้จะไม่เครียดเลยเนี่ย

                      เรื่องนี้เป็นฟิคคริสเลย์ที่เราแต่งเป็นเรื่องที่สาม ตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็นะ หวังว่าใครมีฟิคเล่มนั้นในมือจะไม่เสียใจที่เรื่องนี้รวมอยู่ด้วยนะฮะ ดีใจจังมีโอกาสได้แก้ตัวแล้ว 55555555555

       

      เลิฟยูนะฮะ

      @WithKrisLay

       

       





       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×