[fic] วาเลนไทน์ของชาวป้อมอัศวิน๑ ^-^ ๑ - [fic] วาเลนไทน์ของชาวป้อมอัศวิน๑ ^-^ ๑ นิยาย [fic] วาเลนไทน์ของชาวป้อมอัศวิน๑ ^-^ ๑ : Dek-D.com - Writer

    [fic] วาเลนไทน์ของชาวป้อมอัศวิน๑ ^-^ ๑

    ตามชื่อเรื่องเป๊ะเลยค่ะ วาเลนไทน์ของป้อมอัศวิน หุหุ จะให้อธิบายอะไรได้มากกว่านี้ละเนี่ย >> โอ้ยเสร่อตัวเองจริงๆ เล้ย ลืมบอกค่ะว่าเป็นฟิกของเรื่องหัวขโมยบารามอส - - \"

    ผู้เข้าชมรวม

    1,651

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.65K

    ความคิดเห็น


    21

    คนติดตาม


    6
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.พ. 48 / 21:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ผ้าสีขาวชุ่มน้ำผืนเล็กถูกโปะลงมาบนใบหน้ารูปสลัก   ความเย็นจากผ้าทำให้เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่อยู่ภายใน  มือใหญ่ที่เอื้อมมายึดมือคนที่กำลังสาละวนเช็ดหน้าเช็ดตัวให้  ทำให้ใบหน้ามนร้อนวูบด้วยความเขิน   รีบโวยวายแก้เก้อด้วยความเคยปากตามนิสัย

      “จับมือฉันทำซากอะไรของแก คาโล  เป็นคนป่วยก็หัดนอนให้มันนิ่งๆ  หน่อยไม่ได้รึไง”   คำพูดที่ขัดกับเสียงหวานๆทำให้คนที่นอนเป็นคนป่วยชักจะหงุดหงิด

      “ถ้านายคิดว่าฉันเป็นคนป่วยก็ช่วยบิดน้ำให้มันหมาดกว่านี้หน่อยได้ไหม”   คำประท้วงจากคนป่วยทำให้คนที่โวยวายเงียบเสียง   ดวงตากลมโตมองหยดน้ำที่ไหลเป็นทางจากหน้ารูปสลักไปยังหมอนที่ตอนนี้เริ่มจะเปียกเป็นหย่อมๆ ก่อนส่งยิ้มแห้งๆให้อีกฝ่าย   ไม่วายเถียงเสียงอ่อย

      “แหม ก็ฉันเคยทำซะที่ไหนกัน ไอ้เรื่องแบบนี้”    คำพูดเรื่อยๆจากคนช่างพูด ทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดขึ้นสีเรื่อ

      “นายหมายความว่า นายไม่เคยทำให้ใคร งั้นใช่ไหม”   แววตาแปลกๆของคนถามทำให้คนมองใจเต้นแรง ก่อนแย้มรอยยิ้มที่ละลายหัวใจของอีกฝ่าย  

      “นายหึงฉันรึไง  คาโล”   น้ำเสียงกึ่งยั่วกึ่งกระเซ้าทำให้หน้าที่ขึ้นสีเรื่อเปลี่ยนเป็นเข้มจัดสมใจคนชอบยั่ว   นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวย นิ่งนาน ราวจะถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้กับอีกฝ่าย

      “ถ้านายอยากรู้  ฉันก็จะบอก  ฉันไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครนอกจากนาย  คาโล”  

      ‘ก็จะให้ไปทำกับใครได้ ในเมื่อแต่ก่อนเธอเป็นหนุ่มน้อยเฟริน ไม่ใช่นางสาวเฟรินเหมือนตอนนี้  ขืนทำให้มีหวังฟ้าผ่าตายไปข้าง’  ความคิดที่เจ้าตัวปรารถนาจะเก็บไว้ในใจเงียบๆ เพียงคนเดียว ด้วยไม่ต้องการทำให้คนป่วยอารมณ์เสีย

      “ไม่สบายก็นอนสิ  จะมานอนลืมตาแป๋วอยู่ทำไม  เดี๋ยวก็หายไม่ทันกันพอดี”   คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังประโยคตอนท้าย

      “ทันอะไรของนาย”   ถามเสร็จคนถามก็ไอค่อกแค่กจนไม่ทันเห็นอาการส่อพิรุธของเฟริน

      “ก็ทันวันพรุ่งนี้ไง”   คำตอบคลุมเครือที่ทำให้คนฟังฉงนใจ  จนต้องเอ่ยทวนคำตอบซ้ำ

      “พรุ่งนี้?  พรุ่งนี้ทำไมฮึ”   เมื่อถูกถามซ้ำคนเก็บความลับไม่เก่งก็เกือบจะหลุดปาก

      “ก็พรุ่งนี้น่ะสิ  คาโลนายจำไม่ได้รึไงว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”    แทนคำตอบคนตอบกลับย้อนถามคนถามซะดื้อๆ  

      “พรุ่งนี้เป็นวันที่บารามอสส่งทูตไปคาโนวาลเป็นครั้งแรกตามหนังสือวิชาประวัติศาสตร์คาโนวาล”  

      คำตอบที่ทำให้คนฟังช็อคสนิทคาที่   แม้จะโล่งใจที่ความลับไม่แตก  แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะงัดเอาวันสำคัญในวิชาประวัติศาสตร์มาพูดได้หน้าตาเฉยแบบนี้    
      “ตกลงนายจะบอกฉันได้รึยังว่าพรุ่งนี้ทำไม”    คำถามที่สามเป็นหนที่สามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่สบอารมณ์ของคนพูดทำให้อีกฝ่ายต้องเอาตัวรอดแบบสดๆร้อนๆ กับความคิดที่เพิ่งวาบเข้ามาในหัว

      “ก็อย่างที่นายบอกแหละ  พรุ่งนี้เป็นวันที่บารามอสส่งทูตไปคาโนวาลเป็นครั้งแรก  ป้อมอัศวินของเราเลยจะจำลองเหตุการณ์โดยจะจัดการแข่งขันคัดเลือกคนเป็นทูตแล้วส่งไปตามปราสาทขุนนาง   ปราการปราชญ์  แล้วก็แผ่นดินประชาชน  ฉันเลยเสียดายแทนถ้านายหายไม่ทันพรุ่งนี้”  

      คาโลมองคนที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วยังไม่ปักใจเชื่อ  โดยไม่พูดอะไร ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ

      “ทีนี้นายก็นอนได้แล้ว  คาโล”   สุ้มเสียงของคนพูดที่สั่งราวกับเป็นแม่ทำให้คนถูกสั่งยอมหลับตาลงอย่างอ่อนใจ  ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาต่อมาด้วยฤทธิ์ยา

      “เฟริน”  เสียงเรียกค่อยๆ  ทำให้คนที่กำลังนั่งหลับตัวเอียงอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงงัวเงียตื่นขึ้น

      “เรื่องที่นายให้ฉันไปทำ....”   พอได้ยินประโยคต่อมาของคนเรียก  อาการงัวเงียก็หายเป็นปลิดทิ้ง  ร่างบางค่อยๆย่องออกจากห้องด้วยกลัวว่าอีกคนที่กำลังหลับอยู่จะตื่นขึ้นมา  ก่อนบรรจงปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาผิดนิสัย

      “ว่าไง เรียบร้อยมั้ย”   คนพูดพูดพลางสวมแหวนวงโตเข้าที่นิ้วเรียว  พลันก็ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มแทนที่หญิงสาว  

      คนถูกถามส่ายหน้าวืด ก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

      “ขากลับฉันกับโรเจอรุ่นพี่ลูคัสกับรุ่นพี่โรเวนพอดี โรก็เลยให้ฉันหลบมาบอกนายก่อน ส่วนเค้าตอนนี้กำลังคุยอยู่กับรุ่นพี่นั่นล่ะ”  

      “อืม งั้นเหรอ  ดีๆ  ฉันก็กำลังอยากคุยกับพวกพี่ๆ ผู้คุ้มกฎอยู่พอดีเลย  นายพาฉันไปทีสิ คิล”    คิลมองเพื่อนอย่างไม่เชื่อหูแต่ก็ยอมพาไปแต่โดยดี



      “พี่โรเวน  พี่ลูคัสฮะ”   เสียงของหัวขโมยประจำป้อมทำให้ผู้เป็นรุ่นพี่ทั้งสองละมือจากการซักไซ้โร หันมาสนใจกับคนเรียกแทน

      “ว่าไง เฟริน สบายดีนะ”  ดวงตาสีน้ำเงินที่กวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนมาใหม่อย่างจับสังเกต  ทำให้คนถูกมองทำหน้าไม่ถูก   นึกรู้ว่าการถามสารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายมีความนัยบางอย่างแอบแฝง   ความนัยที่คงจะมีเพียงรุ่นพี่ลูคัสคนเดียวที่ไม่เข้าใจ

      “ก็สบายดีเหมือนทุกทีน่ะแหละฮะ  ว่าแต่ผมมีเรื่องจะปรึกษาพี่สองคนหน่อยฮะ”  คำพูดเป็นการเป็นงานของคนที่ดูไม่เอาอ่าวที่สุดในป้อมทำให้คนฟังต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

      “มีอะไรก็ว่ามา”    โรเวนเอ่ยเสียงเรียบ

      “คือว่าผมอยากจะขออนุญาตจัดงานวันครบรอบที่บารามอสส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับคาโนวาลเป็นครั้งแรกฮะ”   คำขออนุญาตที่ทำให้โรเวนนิ่งไปชั่วอึดใจอย่างคาดไม่ถึง ก่อนตอบปฏิเสธ

      “คงไม่ได้  เท่าที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การส่งทูตจากบารามอสไปยังคาโนวาลก็ล้มเหลวเสียเป็นส่วนมาก   ฉันจึงไม่เห็นความจำเป็นในการจัดงานครบรอบวันที่ว่า  เสียใจด้วยเฟริน”  

      คนถูกปฏิเสธ ฉีกยิ้มกว้างด้วยเหตุการณ์เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด  นัยน์ตาสีน้ำตาลเบือนไปยังรุ่นพี่อีกคนผู้เป็นความหวัง  ก่อนโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน    โดยไม่แคร์สายตาที่มองมาอย่างสงสัยของเจ้าชายแห่งเจมิไน และเพื่อนร่วมชั้นปีอีกสองคน    

      ทันทีที่คนทั้งคู่ผละจากกัน  คิลก็ปราดเข้าไปหาเพื่อนซี้จอมวางแผนที่เอาแต่หัวเราะหึหึไม่ยอมปริปาก  ในขณะที่รุ่นพี่ทั้งสองเดินแยกไปคุยกันที่มุมห้อง     นัยน์ตาสีมรกตลอบมองสีหน้าของคนทั้งสองอย่างแปลกใจ  คนพูดมีท่าทีสบายๆ ในขณะ ที่คนฟังมีสีหน้าเครียดราวกับพูดกันคนละเรื่องก็ไม่ปาน   หลังจากคุยกันครู่หนึ่งคนทั้งคู่ก็เดินกลับมาหารุ่นน้องทั้งสามที่ไปนั่งรออยู่บนโซฟาตัวเขื่องกลางห้องเรียบร้อยแล้ว

      “ลูคัสกับฉันจะไปขออนุญาตเรื่องการจัดงานให้นาย เฟริน  ส่วนจะได้ไม่ได้ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกฉัน  เอาเป็นว่าพวกนายสามคนรออยู่ในนี้ก่อน  เดี๋ยวพวกฉันกลับมา   แล้วห้ามก่อเรื่องยุ่งยากขึ้นในห้องนี้เป็นอันขาด”  

      โรเวนกำชับเสียงเข้ม เน้นหนักไปที่เจ้าคนที่นั่งตรงกลางที่มักจะเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในป้อมอัศวินอยู่เป็นนิจ  ก่อนเดินออกไปจากห้อง    นัยน์ตาสีนิลภายใต้กรอบแว่นตามองประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่บัดนี้เป็นประกายพราวระยับแวบหนึ่ง  ใบหน้าขาวปรากฏรอยยิ้มจางๆ  ก่อนเดินตามโรเวนออกไป

      “รุ่นพี่ลูคัสนี่เยี่ยมจริงๆ”   พูดจบคนพูดก็หัวเราะหึๆอย่างชอบใจกับรุ่นพี่คนเก่งผู้มีฉายาซาตานแห่งป้อมอัศวิน

      “นายไปพูดอะไรกับเค้า เค้าถึงได้ยอมช่วยเราน่ะเฟริน”   คิลถามอย่างข้องใจ

      “หึหึ ก็พูดเหมือนที่พูดกับพวกนายน่ะแหละ  ฉันยื่นข้อเสนอให้พี่ลูคัสแบบเดียวกับที่ให้พวกนายเป๊ะ”   คำเฉลยของคนเจ้าแผนการทำเอาคนถามหน้าขึ้นสีเมื่อนึกถึงข้อเสนอที่เพื่อนตัวแสบยัดเยียดให้โดยที่เขาไม่ได้เต็มใจรับซักนิด

      “ไม่อยากจะเชื่อว่าอย่างรุ่นพี่ลูคัสจะสนใจข้อเสนอบ้าๆของนายที่ยัดเยียดให้ฉัน”  

      “พี่เค้าฉลาดไม่เหมือนแก   มีอย่างที่ไหนฉันอุตส่าห์หาโอกาสงามๆให้แกได้อยู่กับเรนอนสองต่อสองทั้งที่ยังมาทำหน้าบางปฏิเสธ”   คนพูดพูดพลางส่ายหัวกับความไม่เอาไหนของเพื่อนซี้ที่มีอันต้องหน้าขึ้นสีอีกรอบ  

      “แต่ฉันก็ไม่เห็นพี่ลูคัสจะสนใจใครเป็นพิเศษ  ที่เห็นอยู่ด้วยกันประจำก็มีแต่รุ่นพี่ลอเรนซ์  หรือว่า....”   อยู่ๆคนพูดก็หยุดพูดไปเฉยๆ  ด้วยจินตนาการในหัวมันทำให้คนพูดไม่สามารถพูดต่อไปได้

      “นั่นแหละ”   คำพูดสั้นๆ ที่ตอกย้ำความจริงของเฟรินทำให้คนสงสัยนิ่งเป็นหุ่นเหมือนถูกสาปไม่รับรู้กับอะไรอีกต่อไป

      “ฉันสงสัยว่านายไปเอาความคิดเรื่องงานวันครบรอบนี่มาจากไหน  คงไม่ได้ไปเปิดหนังสือประวัติศาสตร์บารามอสหรือคาโนวาลมาดูหรอกนะ”   โรพูดขึ้นหลังจากที่เงียบปล่อยให้เฟรินกับคิลคุยกันอยู่นาน  

      คนคิดแผนฉีกยิ้มกว้าง ก่อนตอบอย่างภาคภูมิใจ

      “ฉันได้ความคิดนี้มาจากคาโลมัน”  

      ชื่อคนเป็นเจ้าของแผนการที่ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ทำให้นัยน์ตาสีมรกตมีแววประหลาดใจฉายแวบขึ้น  เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง เพื่อไขข้อข้องใจก่อนสรุปตบท้ายด้วยเสียงเจือหัวเราะ

      “นี่ถ้าคาโลมันรู้ มันเอาฉันเละแน่”  

      “รู้อะไรเหรอ”   คนที่ช็อกไปพักใหญ่เพิ่งคืนสติมาจึงไม่ทันฟังเรื่องที่เพื่อนตัวแสบเล่าไป ทำให้คนเล่าต้องเล่าซ้ำเป็นหนที่สอง  กว่าจะเล่าจบ รุ่นพี่ทั้งสองก็กลับเข้ามาในห้องพอดิบพอดี


      “ว่าไงฮะพี่ ได้หรือไม่ได้”   หัวขโมยประจำป้อมถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

      “ได้”      คำตอบสั้นจากโรเวนเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายให้ปรากฏบนใบหน้าอีกครา    นัยน์ตาสีนิลมองอาการของรุ่นน้องยิ้มๆ  ก่อนเอ่ยแสดงความยินดี

      “ดีใจด้วยนะ เฟริน”

      “ฮะพี่  งั้นพวกผมขอตัวไปเตรียมงานเลยละกันนะฮะ เดี๋ยวจะไม่ทันพรุ่งนี้”  

      ดวงตาสีน้ำเงินมองตามเด็กหนุ่มรุ่นน้องสามคนไปอย่างหนักใจ  ก่อนเปรยลอยๆ อย่างให้อีกคนได้ยิน

      “หวังว่าคงจะไม่ก่อเรื่องอะไรให้ต้องตามแก้อีกนะ  หวั่นใจจริงๆ”    





      เพียงไม่กี่นาที  นักเรียนปีสองแห่งป้อมอัศวินก็มาชุมนุมกัน ณ ห้องโถงใหญ่  โดยมีเฟรินเป็นโต้โผใหญ่ ยืนอยู่กลางวงล้อมคอยเล่ารายละเอียดของงานให้เพื่อนร่วมป้อมฟังเป็นที่สนุกสนาน

      “และต่อไป  จะเป็นการสาธิตการทำหน้าที่ทูตที่ดีแห่งป้อมอัศวินโดย  คิล  ฟีลมัส”   คำประกาศที่ถูกกลบด้วยเสียงเชียร์ที่ดังขึ้นรอบทิศ   ในขณะที่คนถูกเรียกชื่อกลับยืนเหวออย่างงงจัด  ก่อนก้าวพรวดๆไปยังเพื่อนตัวแสบกระซิบเสียงลอดไรฟันอย่างโมโหจัด

      “ทำอะไรของนาย เฟริน  ฉันไม่.....”    

      คนถูกต่อว่ายิ้มรับคำว่าอย่างไม่รู้สึกรู้สม ออกแรงดันเพื่อนรักให้ไปยืนอยู่กลางวงล้อม  ก่อนเดินไปลากเจ้าหญิงคนงามแห่งป้อมอัศวินที่อยู่อีกทางให้มาหยุดยืนข้างๆกัน    จากนั้นก็โน้มหน้าเข้าไปกระซิบบางอย่างกับคิล  บางอย่างที่ทำให้คนฟังหน้าขึ้นสีเรื่อ   นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายวาวมองตามคนที่ถอยไปยืนหน้าเป็นรวมกับคนอื่นๆอย่างฝากไว้ก่อน    ก่อนข่มอารมณ์เดินไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงสดจากตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะกลางวงมาหนึ่งดอก  ยื่นให้กับเจ้าหญิงคนงามที่ดวงหน้าขึ้นสีเข้มดูน่ารักไปอีกแบบ     เมื่อเห็นเจ้าหล่อนยังยืนเฉย  คนยื่นดอกไม้ให้ก็ชักจะเก้อๆ  ตัดสินใจใช้มืออีกข้างที่ว่างเอื้อมไปจับมือเล็กนุ่มนิ่ม  เรียกเสียงเชียร์จากคนรอบข้างได้อีกยก  หากคนถูกเชียร์กลับทำให้คนเชียร์ผิดหวังด้วยการยื่นกึ่งยัดดอกไม้ใส่มืออีกฝ่ายก่อนผละออกห่างเจ้าหล่อนแทบจะทันที

      “อุ๊ย”  

      เสียงอุทานจากเจ้าหญิงคนสวยทำให้คิลต้องเขยิบเข้าไปหาเจ้าหล่อนอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้      เลือดบนมือขาวนวลที่เป็นผลมาจากหนามของกุหลาบที่เขายื่นส่งให้เจ้าหล่อนทำให้คนยื่นอดรู้สึกผิดไม่ได้   คิลลงมือหักกิ่งกุหลาบจนเหลือแต่ส่วนไม่มีหนามก่อนส่งให้คนตรงหน้าที่รับไว้ด้วยมืออีกข้างที่ไม่เจ็บ  ก่อนจะหันมาจัดการกับบาดแผลที่ฝ่ามือของเจ้าหล่อนจนเรียบร้อย    สัมผัสจากมือเล็ก  นุ่ม เบา  จนทำให้คนจับทำสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน   ริมฝีปากบางแตะลงบนหลังมือขาวๆอย่างแผ่วเบา   ทั่วทั้งห้องเงียบกริบไร้เสียงคนพูดคุยด้วยตะลึงกับภาพที่เห็น  ไม่เว้นแม้แต่คนที่ชอบโวยวายที่สุดอย่างเฟริน ที่ตอนนี้ถึงกับอึ้งไปอย่างไม่เชื่อสายตา

      “ถ้าไม่รังเกียจ เวลาของเธอในวันพรุ่งนี้ทั้งหมด ฉันขอ”  คำพูดที่ทำให้คนฟังที่คนพูดไม่ตั้งใจจะพูดให้ฟังครางฮือ

      ใบหน้าของเจ้าหญิงคนงามแดงก่ำ ก่อนพยักหน้ารับน้อยๆแทนคำตอบ   พลันเสียงปรบมือเปาะแปะก็ดังขึ้นจากหัวขโมยตัวแสบผู้ที่หลุดจากภวังค์ของหนังสดที่ได้ดูไปสดๆร้อนๆ เป็นคนแรก

      “ดี ดีมาก  เยี่ยมจริงๆ  ขอให้ทุกคนดูไว้เป็นตัวอย่างละกัน  ต่อไปโรจะเป็นคนจัดการแบ่งสายพวกนายออกเป็นสี่กลุ่มเพื่อกระจายกันไป   ส่วนคนที่ได้อยู่ป้อมอัศวินก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปเพราะทางปราสาทขุนนาง  ปราการแห่งปราชญ์ แล้วก็แผ่นดินประชาชนก็จะส่งคนมายังป้อมของเราด้วย”  

      เฟรินร่ายยาวรวดเดียวจนจบก่อนหันไปหาคนถูกกล่าวชื่อที่ส่งยิ้มน้อยๆมาให้  อย่างนับถือในความกะล่อนของคนจัดการที่เข้าใจโยนงานมาให้เขาหน้าตาเฉยโดยไม่มีการบอกกล่าว   ก่อนก้าวออกมายืนกลางวงแทนคิลกับเรนอนที่เดินออกจากวงไปคนละทาง

      “เฟริน แกกับฉันมีเรื่องต้องคุยกัน”  น้ำเสียงแฝงแววอาฆาตจากเพื่อนซี้ทำให้คนจอมวางแผนกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ รีบคิดหาทางเอาตัวรอดโดยปัจจุบันทันด่วน

      “ถ้าใครไม่อยากรอนาน ให้มาลงชื่อไว้กับคิลก่อนได้เลย   ฉันไปล่ะ”   พูดจบคนพูดก็รีบเผ่นแน่บไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนกัดฟันกร้วมๆ  อย่างเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะเพื่อนร่วมป้อมพากันแห่เข้ามารุมล้อมขอลงชื่อด้วย


          ประตูห้องถูกผลักให้เปิดอ้าออกอย่างเงียบเชียบ  แหวนวงโตเลื่อนออกจากนิ้วก่อนที่ร่างบางจะรีบผลุบกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกครั้ง  ดวงตากลมโตมองใบหน้ารูปสลักอย่างพินิจ   ดวงตาสีฟ้าคู่สวยบัดนี้ปิดสนิท มือเล็กปัดเส้นผมสีเงินที่ตกระใบหน้าออก  ใบหน้าที่แม้ยามหลับก็ยังชวนให้คนมองใจเต้นไม่เป็นส่ำ   ใบหน้ามนค่อยๆโน้มลงไปใกล้โดยไม่รู้ตัวตามใจปรารถนา   แต่แล้วคนที่กำลังหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้น  

      “นายไปไหนมา เฟริน”  คนถูกถามสะดุ้งโหยง รีบผละออกห่างแทบไม่ทัน ก่อนส่งยิ้มแหยๆให้อีกฝ่าย เมื่อนึกรู้ว่าถูกจับได้เสียแล้ว

      “ไปประชุมเรื่องงานวันพรุ่งนี้น่ะ”   คาโลฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายที่หลบตาวูบส่อพิรุธอย่างไม่เชื่อ   แต่ก็ไม่พูดอะไรเหมือนเคย ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ แทนการรับรู้  

      “แล้วเมื่อกี๊ นายกำลังทำอะไรอยู่”   คาโลมองใบหน้ามนที่ขึ้นสีเรื่อชวนมองอย่างสงสัย

      คิดสิ  เฟริน  คิด แกต้องคิดให้ออก  จะให้บอกว่ากำลังจะจู.....มันได้ยังไงกัน เสียเชิงกันพอดี  มือใหญ่ที่ยึดข้อมือบางไว้มั่นทำให้หนีไม่ได้อย่างใจคิด   ถึงจะป่วยแต่เรี่ยวแรงของคนป่วยช่างมากซะจนไม่เหมือนคนไม่สบาย  คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ขึ้นมาได้  

      “คาโล นายป่วยเป็นอะไรกันแน่  ทำไมยังมีเรี่ยวแรงเหมือนเมื่อตอนปกติ  หรือว่านายแกล้งป่วย”  ดวงตาสีน้ำตาลจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น  ดูเหมือนเจ้าตัวจะลืมเรื่องที่ถูกถามเสียสนิท  แถมยังผันตัวกลับมาเป็นฝ่ายถามซะเอง    ทำเอาคนโดนถามต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี  ปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ      แต่คนถามกลับไม่ยอมเลิกราง่ายๆ   กระโดดขึ้นนั่งบนตัวคนป่วยอย่างลืมไปว่ามันป่วย  มือเล็กจับใบหน้ารูปสลักให้หันมาเผชิญหน้าด้วย   ก่อนจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย ค้นหาความจริง

      “เฟริน  นายจะทำอะไร  ไม่เห็นรึไงว่าคาโลมันไม่สบายอยู่”   เสียงของคิลที่มาพร้อมกับตัว ลากเพื่อนซี้ลงจากตัวคนไม่สบายอย่างทุลักทุเล

      “ไอ้บ้า  คิดอะไรของแกวะ”     นัยน์ตาสีม่วงมีแววฉงน  ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะระบายรอยยิ้มด้วยความขบขัน

      “แล้วไอ้ภาพเมื่อกี๊ที่ฉันเห็น  นายจะให้ฉันคิดอะไรล่ะ”  คำพูดกลั้วหัวเราะของเพื่อนซี้ที่จงใจแก้เผ็ดเธอด้วยเรื่องในห้องโถง ทำให้ใบหน้าของคนฟังทั้งคู่แดงแข่งกันเองจนไม่รู้ว่าใครจะแดงกว่ากัน

      “หึ นายไม่ต้องตอบฉันหรอก  รีบไปหาพี่ลูคัสเถอะ เค้ารออยู่หน้าห้องแน่ะ”    ชื่อของหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎแห่งป้อมอัศวินเรียกความสนใจจากคนบนเตียงได้ชะงัด


      “พี่ลูคัสมีธุระอะไรกับเฟริน”      น้ำเสียงกับแววตาที่คนเห็นบอกได้คำเดียวว่าไม่สามารถปฏิเสธได้   คิลจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง  ขณะปล่อยให้เฟรินออกไปพบลูคัส

      “นายจะไม่พูดอะไรเลยรึไง  คาโล”   คิลถามหลังจากที่เขาเล่าจบคาโลก็นิ่งเงียบไม่ปริปากพูดอะไรซักคำ  ไม่รู้ว่าโกรธหรือว่าคิดอะไรอยู่

      “ฉันอยากพักผ่อน  นายออกไปก่อนแล้วกัน”   คำตัดบทที่ทำให้คนซักต้องล่าถอยออกไปแต่โดยดี





      การเคลื่อนไหวของร่างสองร่างที่ย่องเข้ามาในห้องยามวิกาลทำให้คนตื่นง่ายไหวตัวตื่นขึ้น  หากยังคงนอนนิ่งแสร้งว่าหลับอย่างแนบเนียน    

      “เฮ้อ  กว่าจะเสร็จได้เหนื่อยแทบตาย”   เสียงคนชอบโวยวายดังขึ้นในความมืด  ตามมาด้วยเสียงเจ้าตัวล้มตัวลงนอน  จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง    ปล่อยให้คนที่ถูกปลุกให้ตื่นโดยไม่รู้ตัวนอนลืมตาโพลงครุ่นคิดอะไรเงียบๆ ลำพัง




      “เฟริน  จะนอนไปถึงไหนกัน”   เสียงเย็นๆ ที่แว่วมาเข้าหู  ปลุกให้คนขี้เซาตื่นจากนิทรา

      “คาโล  นายหายแล้วเหรอ”   นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องคนร่างสูงที่มายืนอยู่ข้างเตียงตาแป๋วอย่างประหลาดใจ แอบดีใจอยู่ลึกๆ  

      “เสร็จแล้วไปหาฉันที่โรงอาหารดรากอน  มีเรื่องจะคุยด้วย”  

      คาโลสั่งโดยไม่ตอบคำถามเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องไป  ทิ้งให้คนถูกสั่งมองตามตาปริบๆ อย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก บ่นออกมาเซ็งๆ

      “พอหายก็กลายเป็นน้ำแข็งเดินได้เหมือนเดิม  ไม่น่ารักเอาซะเลย ให้ตายสิ”    

      เฟรินขยับลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วด้วยสงสัยว่าคนที่บอกว่าจะไปรอเขาที่โรงอาหารมีเรื่องอะไรจะพูดด้วย  หากแต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าพื้นห้องโคลงเคลงจนต้องเกาะขอบเตียงไว้เป็นที่ยึด

      “เฮ้ย เฟริน เป็นอะไรน่ะ”  คิลที่เพิ่งกลับมาจากการอาบน้ำรีบเข้ามาประคองเพื่อนให้นั่งลงอย่างเป็นห่วงก่อนบ่นขึ้นอย่างกังวลใจ

      “นายแน่ใจนะว่านายไหว   ฉันบอกนายแล้วว่าดอกไม้น่ะต้องใช้พลังเวทย์สูง  ถ้ายังไงเปลี่ยนเป็นที่คั่นหนังสือแทน  นายจะได้ไม่เปลืองพลังเวทย์มาก”    

      “คิล แกนี่น้า  ไม่รู้อะไรซะมั่งเลย   จะจีบผู้หญิงมันต้องใช้ดอกไม้สวยๆ   ขืนให้ที่คั่นหนังสือมีหวังเจ้าหล่อนคงคิดว่าแกเห็นเธฮน่าเบื่อเหมือนหนังสือเรียนกันพอดี”      คิลมองเพื่อนที่ทำท่าจะไม่ไหวแต่ยังไม่วายปากดีอย่างหมั่นไส้แกมเป็นห่วง

      “ฉันกลัวว่าแกจะเป็นลมไปก่อนที่จะได้ให้ดอกไม้คาโลมันน่ะสิ”     ชื่อบุคคลที่สามที่โผล่เข้ามาในบทสนทนาทำให้ใบหน้าคนฟังร้อนวูบวาบ  รีบโวยวายเสียงดัง

      “ไอ้บ้า  ใครบอกว่าฉันจะให้ดอกไม้กับก้อนน้ำแข็งอย่างคาโลมัน  คนอย่างเฟรินจะให้ดอกไม้กับสาวน้อยน่ารักระดับเอเท่านั้นรู้ไว้ซะ”      

      “นั่นมันเมื่อตอนนายเป็นผู้ชาย เฟริน แต่ตอนนี้นายเป็นผู้หญิง อย่าลืมสิ”    คิลเอ่ยเตือนความจำให้กับคนไม่เจียมบอดี้ที่ทำหน้าขัดใจทันทีที่ได้ยิน

      “ไหน ตรงไหนของฉันที่เป็นผู้หญิงไม่ทราบ  ไม่ว่าจะตรงนี้ ตรงนี้  หรือว่าตรงนี้  ดูยังไงก็ผู้ชายทั้งแท่ง”   พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังใช้มือตัวเองลูบขึ้นๆลงตามตัวเป็นการพิสูจน์

      “นั่นมันก็เพราะอำนาจแหวนของพ่อนาย  แต่จริงๆแล้วนายเป็นผู้หญิง”   คนอธิบายเพียรอธิบายให้อีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับความจริงฟังอย่างอ่อนใจก่อนเอ่ยเหตุผลที่ทำให้คนที่ทำท่าว่าจะไม่ยอมฟังง่ายๆต้องยอมแพ้โดยดุษฎี

      “หรือว่านายลืมโรคฤดูนางของนายไปแล้วฮึ”     นัยน์ตาคนพูดมีแววขบขันเมื่อเห็นสีหน้าอยากจะร้องไห้ของคนฟัง

      “ว่าไง ตกลงว่าจะให้ดอกไม้คาโลมันเมื่อไหร่ หือ”   เมื่อถูกวกกลับมาคำถามที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุด   คนไม่อยากได้ยินจึงคว้าหมอนใกล้ตัวปาหมับไปยังหน้าคนถาม ก่อนเข้าตะลุมบอนอีกฝ่ายไม่ให้ทันตั้งตัว   แล้วศึกย่อยๆ ก็เริ่มขึ้นอย่างไม่มีใครยอมใคร


          คาโลยืนกอดอกมองเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนที่ปฏิบัติตัวราวกับชาติที่แล้วเป็นหมา ก่อนผ่อนลมหายใจยาวด้วยความอ่อนใจ  เมื่อดูทีท่าว่าเหตุการณ์จะยืดเยื้อคนชอบออกคำสั่งจึงออกคำสั่งด้วยเสียงทรงอำนาจที่ทำให้คนทั้งคู่หยุดตีกันในทันที   ดวงตาคู่สวยมองผมเผ้ากระเซอะกระเซิงกับเสื้อผ้ายับยู่ยี่ของคิลกับเฟรินที่พยายามส่งยิ้มจืดๆมาให้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกที่มีแต่คนถูกมองเท่านั้นที่รู้ดีว่าคนมองกำลังอารมณ์เสีย

      “เรนอนรอนายอยู่ข้างล่าง   เฟริน นายมากับฉัน”  

      คิลใช้มือจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ให้เข้าที่เข้าทางก่อนรีบเดินออกไปจากห้องด้วยไม่อยากเห็นภาพที่มักจะบังเอิญได้เห็นจนชินตา


      “นายจะพาฉันไปไหน”    คนพูดถามพลางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย

      “พาไปรับผิดชอบสิ่งที่นายก่อไงล่ะ”    คาโลทิ้งคำพูดเป็นปริศนาให้คนฟังขบคิด  ก่อนเดินนำออกไปจากห้อง




      “ขอบใจนะจ๊ะ  ที่อุตส่าห์มีน้ำใจเอาดอกไม้สวยๆ  มาให้ฉันถึงห้อง”   มิสแรมเซิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

      “ไม่เป็นไรฮะ  ดอกไม้สวยย่อมต้องคู่กับสาวงามเป็นของธรรมดา”    คาโลมองคนพูดที่พูดได้คล่องปากโดยไม่รู้สึกรู้สมถึงสถานภาพร่างกายของตัวเองอย่างไม่ชอบใจ

      “งั้นพวกผมขอตัวก่อน”   มิสแรมเซิลพยักหน้าน้อยๆ  เป็นเชิงอนุญาต  แววตาเปี่ยมเมตตามองตามหลังลูกศิษย์ทั้งสองที่เดินพ้นประตูห้องหายลับไป


      “แกจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคาโล  แกจะทำลายวีเดย์ของฉันไม่ได้นะ”    ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่ของคนพูดเปลี่ยนเป็นงอหงิกทันทีที่พ้นออกมาจากห้อง

      “ในที่สุดนายก็ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่างานครบรอบวันเจริญสัมพันธไมตรีเป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อที่นายจะได้จัดงานวีเดย์”   คำเปรยเรียบๆจากเจ้าชายแห่งคาโนวาลทำเอาคนที่ตั้งป้อมจะบ่นถึงกับสะอึก  คำพูดที่คิดจะพูดถูกกลืนลงคอไปจนหมด

      “นายต้องรับผิดชอบการกระทำของนายด้วยการส่งดอกไม้ให้กับอาจารย์ทุกคนในโรงเรียนพระราชาพร้อมกับฉัน”      คำประกาศิตของคาโลที่ทำให้เฟรินรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ  ก็อาจารย์ในโรงเรียนพระราชามีน้อยเสียเมื่อไหร่    แล้วเทียบการให้ดอกไม้กับสาวๆนอกป้อมกับการแจกดอกไม้ให้กับอาจารย์ด้วยแล้ว   คงไม่มีใครหน้าไหนอาสาทำอย่างหลังเหมือนอย่างกับที่คนข้างๆเขากำลังบังคับให้เขาทำเป็นแน่

      “เดินให้มันเร็วหน่อย  เรายังต้องไปหาอาจารย์อีกหลายท่าน”    คนถูกสั่งแยกเขี้ยวรับคำสั่งอย่างจำใจก่อนเร่งฝีเท้าให้ทันอีกฝ่ายอย่างสุดเซ็ง


          คาโลนั่งมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจใครมาตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเงียบๆ  หลังจากไปพบมิสแรมเซิล  เขากับเฟรินก็ไปพบบรรดาอาจารย์ในโรงเรียนพระราชาเป็นต้นว่า  เจ้าชายชามัล   กิบบอน   ลาเวน มหาปราชญ์ เลโมธี   วิงกี้      ที่ทำให้คนช่างพูดต้องพูดแทบไม่ได้หยุดปาก

      “ค่อยยังชั่วหน่อย”    คนพูดพูดขึ้นหลังจากจัดการบะหมี่ชามที่สามเสร็จเรียบร้อย   พลางยกมือเช็ดปากลวกๆ  ไม่แคร์สายตาของคนตรงหน้าที่มองมาอย่างไม่วางตา    ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

      “เฮ้ย  พี่ลูคัส     คาโล นี่มันกี่โมงแล้ว”      

      “ห้าโมงเย็น”      คำตอบที่ได้รับทำให้คนฟังตกใจตาเหลือก  สบถออกมาไม่เป็นภาษา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน

      “ฉันต้องไปแล้ว”    

      “นายจะไปไหน”     คำถามที่ถามสวนขึ้นมาแทบจะทันทีของอีกฝ่าย

      “ดาดฟ้าป้อมอัศวิน”     สถานที่ที่ทำให้คนฟังชะงักไปเล็กน้อย

      “นายจะไปทำอะไรที่ดาดฟ้าป้อมอัศวิน”   เพราะความรีบร้อนทำให้คนฟังไม่ทันสังเกตความกังวลที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของคนพูด  

      “ฉันไม่มีเวลาอธิบาย  ถ้านายอยากรู้ก็ไปกับฉันแล้วกัน”    พูดจบคนพูดก็คว้าแขนอีกฝ่ายพาวิ่งไปยังดาดฟ้าป้อมอัศวินอย่างรีบเร่ง


      “ไอ้บ้าเอ๊ย  ประตูล็อก”     เฟรินทุบประตูดาดฟ้าที่จู่ๆก็เกิดล็อกขึ้นมาอย่างหัวเสียทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกล็อกมาก่อน

      ทันใดเสียงพึมพำร่ายเวทย์ก็ดังขึ้นจากคนข้างๆอยู่ชั่วครู่  เฟรินมองมือขาวที่เอื้อมไปผลักประตูให้เปิดออกอย่างง่ายดาย ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะพาร่างสูงหายลับไปยังอีกฝั่งของประตู ด้วยความงุนงง

          ดอกไม้ประหลาดที่บานสะพรั่งทั่วบริเวณดาดฟ้าทำให้คนเห็นต้องเบิกตากว้างอย่างตื่นตาตื่นใจ  ลืมเรื่องสำคัญที่ตั้งใจมาทำไปชั่วครู่   นัยน์ตาสี้น้ำตาลกวาดตามองหาร่างสูงที่เข้ามาก่อนหน้าก่อนพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนรอตนอยู่อย่างสงบนิ่ง  แววตาอ่อนโยนจากดวงตาสีฟ้าที่ส่งมาทำให้หัวใจคนมองเริ่มเต้นไม่ตรงจังหวะ จนต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีไปเอง   พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างของคนสองคนที่กำลังยืนอยู่กลางลานประลองของป้อมอัศวินเบื้องล่าง   เรื่องสำคัญที่ถูกลืมก็กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

      “แกคอยดูให้ดีนะคาโล”   คนพูดก้าวไปยืนชิดขอบกำแพงดาดฟ้า พร้อมทั้งเรียกคฑามาอยู่ในมือ   ก่อนลงมือตั้งสมาธิพึมพำร่ายเวทย์



      “นายพาฉันมาที่นี่ทำไม  ลูคัส”    คนพูดมองอีกฝ่ายที่ยืนทำหน้ายิ้มๆอย่างหงุดหงิด

      “ฉันมีบางอย่างอยากให้นายได้เห็น    หลับตาสิ”   เมื่อเห็นประกายตาอ่อนโยนที่ฉายอยู่ในดวงตาสีนิล  ความคิดที่จะต่อต้านก็มลายไป    ยอมทำตามคำขอแกมสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี

      “ลอเรนซ์   นายเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับฉัน   ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้นายรู้ไว้ว่าฉันจะอยู่กับนายเสมอและตลอดไป”     คำพูดที่ทำให้คนหลับตาลืมตาขึ้นโดยฉับพลัน

          ความประหลาดใจฉายชัดบนนัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์เมื่อพบว่าดอกไม้หลากสีโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเหนือลานประลองก่อนค่อยๆแผ่ขยายวงกว้างออกไปทั่วโรงเรียนพระราชา

      “แฮปปี้ วีเดย์   ลอรี่”   คนพูดพูดพลางคว้าดอกไม้ดอกหนึ่งที่กำลังหล่นผ่านหน้ายื่นให้คนตรงหน้าที่ยืนมองนิ่งอยู่ครู่  ก่อนยื่นมือไปรับมาในที่สุด

      ไม่มีคำพูดใดๆจากปากของนักบวชแห่งป้อมอัศวิน มีเพียงสายตาแทนคำพูดส่งไปยังดวงตาสีนิลของอีกฝ่าย   ข้อความที่ทำให้คนรับแย้มรอยยิ้มกว้าง


      “เอ๋  ดอกไม้พวกนี้มาจากไหนกันคะคุณคิล”  เสียงหวานๆจากคนข้างๆ  ทำให้คิลละสายตาจากดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงบนผืนน้ำก่อนหันมาตอบคำถาม

      “ฝีมือเฟรินมัน”    คำตอบที่ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับคนฟัง

      “คุณเฟรินหรือคะ”   เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะซักอีกนาน  คิลจึงตัดปัญหาด้วยการเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้สาวเจ้าหน้าแดงก่ำโดยที่คนพูดไม่รู้ตัว

      “เมื่อวานฉันบอกว่าขอเวลาของเธอทั้งวันเป็นของฉัน เพราะงั้นอย่าพูดถึงคนอื่นให้เสียอารมณ์เลย  ถ้าจะพูดก็พูดเรื่องของเราดีกว่า”   พูดพลางเอื้อมมือไปหยิบดอกไม้ที่ตกลงบนพื้นหญ้าข้างตัวขึ้นมาหมายจะส่งให้คนข้างๆ  พลันคิ้วเข้มก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อเห็นถึงความผิดปกติของดอกไม้ในมือ

      “ดอกกุหลาบไม่มีหนาม.....หวังว่าเฟรินมันคงไม่เป็นไรนะ”  




      ท้องฟ้ายามราตรีที่งดงามราวผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มที่ถูกประดับประดาด้วยแสงระยิบระยับจากดวงดาว และแสงสีนวลจากเสี้ยวของพระจันทร์  ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นในดวงตากลมโตที่ลืมขึ้นช้าๆ  

      “ตื่นแล้วหรือ”   เสียงนุ่มทุ้มที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยทำให้หัวใจคนฟังไหววูบ    วงแขนแข็งแรงที่โอบรอบร่างบางทำให้ใบหน้ามนขึ้นสีเรื่อ  รีบผละออกห่างอย่างเขินจัด   เฟรินก้มลงสำรวจร่างกายตัวเองแล้วก็ต้องใจหายวูบเมื่อพบว่าร่างของเด็กหนุ่มเมื่อเย็นบัดนี้กลับกลายเป็นร่างอ้อนแอ้นอรชรของสาวน้อย  ทั้งที่แหวนของพ่อก็ยังสวมติดนิ้ว  คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างข้องใจ

      “ไข่มุกแสงจันทร์มีอำนาจมากกว่าที่นายคิดนัก เฟริน”     นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไข่มุกเม็ดจิ๋วที่ห้อยอยู่บนลำคอระหงอย่างทึ่งๆ  ก่อนเอ่ยปากถามอีกฝ่าย

      “แล้วดอกไม้พวกนี้ล่ะ”     ใบหน้ารูปสลักขึ้นสีจางๆ  เมื่อได้ยินคำถาม

      “ดอกไม้พวกนี้เป็นดอกไม้จากคาโนวาล”      คำตอบที่ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับคนถามด้วยนึกรู้อยู่แต่แรกว่าดอกไม้สีขาวพวกนี้คงมาจากที่ไหนไม่ได้เป็นแน่  

      “คงไม่มีกลีบดอกไม้ที่ไหนที่เป็นเกล็ดน้ำแข็งแบบนี้ได้นอกจากที่คาโนวาล เรื่องนั้นฉันพอเดาได้  แต่ที่สงสัยก็คือ บารามอสกับคาโนวาลมีสภาพอากาศที่ต่างกันมาก  ฉันอยากรู้ว่านายเก็บดอกไม้พวกนี้ไว้ได้ยังไงโดยที่มันไม่ตาย หือ คาโล”      

      “พลังเวทย์ของฉันทำให้มันคงสภาพไว้ได้”   คำตอบสั้นๆ  จากคนตรงหน้าทำให้คนฟังยิ้มพราวก่อนเอ่ยอย่างรู้ทัน

      “สาเหตุที่นายป่วยก็เพราะใช้พลังเวทย์มากเกินไปสินะ    คนที่นายจะให้ดอกไม้คงจะเป็นคนสำคัญไม่ใช่น้อย”  

      พลันคนพูดก็ชะงักไปเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมา  

      “คนที่ฉันอยากให้เห็นดอกไม้พวกนี้ก็คือนาย  เฟริน”    ใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้มจางๆเมื่อเห็นอาการเขินจัดของอีกฝ่าย

      “แล้วนายมีอะไรจะให้ฉันรึเปล่า”   คำถามตรงๆ ที่ทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไปพักใหญ่อย่างคิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะทวงกันซึ่งๆหน้า   พลันริมฝีปากอิ่มก็แย้มรอยยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส

      “มีสิ”     ขาดคำคนพูดก็ประกบปากลงบนปากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ทันตั้งตัว    

      “ของขวัญนายมีแค่นี้”   คาโลถามด้วยน้ำเสียงที่เดาได้ยาก เมื่ออีกฝ่ายผละห่างจากตัวเอง

      “ฉันกลัวแต่นายจะรับไม่ไหวก็เท่านั้น”   น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของคนพูดยั่วอารมณ์ของคนฟังให้หงุดหงิดได้อย่างประหลาด

      “หมายความว่าไง”   น้ำเสียงเย็นเยียบที่ทำให้คนช่างยั่วยิ่งได้ใจว่ายั่วขึ้น

      “ก็นายมันนักรักชั้นอนุบาลนี่น้า ยังห่างไกลกับฉันอีกเยอะ”    

      พูดจบคนพูดก็ได้รับจูบหนักหน่วงจากนักรักชั้นอนุบาล ที่นอกจากไม่คิดสนใจอาการดิ้นประท้วงของคนถูกขโมยจูบแล้ว  มือไม้ยังเริ่มซุกซนจนคนในอ้อมแขนหมดแรงขัดขืนไปดื้อๆ     นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจ้องมองใบหน้ามนที่บัดนี้แดงก่ำไปจนถึงใบหูก่อนขยับรอยยิ้มเย็นอย่างผู้กำชัย

      “ฉันหวังว่านายคงไม่คิดสงสัยในตัวฉันอีก”     คนพูดพูดพลางดึงร่างบางเข้ามากอดไว้อย่างไม่อาจห้ามใจ    ทำเอาคนโดนกอดถอนใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยอมให้กอดโดยไม่ขัดขืนอีกเพราะรู้ว่าคงเปล่าประโยชน์

      “ไม่รู้ป่านนี้พี่โรเวนเป็นไงบ้าง”   คำรำพึงจากคนในอ้อมแขนสร้างความสงสัยให้กับคนฟังจนต้องเอ่ยปากถาม

      “นายไปก่อเรื่องอะไรอีก หือ”   น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้คนถูกซักใจชื้น  ยอมเล่าเรื่องให้อีกฝ่ายฟังแต่โดยดี

      “เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าเคยเล่าให้ฉันฟังเมื่อตอนที่ไปเดมอสว่า.....”

          

      ต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ใช้นัดพบปะระหว่างเขากับใครคนนั้นอยู่เสมอเมื่อยามที่เขาเดินทางมาเยือนเวนอลในวัยเยาว์    หากบัดนี้กาลเวลาได้ผ่านไปใครคนนั้นได้เติบโตขึ้นจากเด็กหญิงผมม้า ใบหน้าตกกระ ไม่มีเค้าของความน่ารัก  กลายเป็นเจ้าหญิงผู้งดงามอย่างที่สุด     หากเพียงแต่เธอจะไม่เป็นเจ้าหญิงคนสำคัญของเวนอลเท่านั้น   นัยน์ตาสีน้ำเงินหม่นลงเมื่อตระหนักถึงความจริงที่เจ็บปวด

      “เจ้าชายแห่งเจมิไน ให้เกียรติเสด็จมาเยือนเวนอล ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดกับเวนอลหรือเพคะ”   น้ำเสียงห่างเหินจากจักรพรรดินีสาวแห่งเวนอลทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์หันขวับไปมองอย่างตกใจ

      “เฟรินให้หม่อมฉันนำของสิ่งนี้มามอบให้พระองค์ให้ถึงมือ  ทราบจากนางกำนัลว่าพระองค์จะทรงเสด็จมาที่นี่  หม่อมฉันเลยมาคอย”    ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว  ทั้งที่เป็นฝ่ายแสดงความห่างเหินก่อน แต่พอได้ฟังวาจาไร้เยื่อใยจากบุรุษเบื้องหน้า กำแพงที่เพียรก่อขึ้นในหัวใจก็พังครืนไม่มีชิ้นดี

      “เจ้าพี่....”    ช่อดอกไม้สีสวยที่ถูกยื่นมาตรงหน้าทำให้บทสนทนาหยุดชะงักไป

      “หม่อมฉันเกรงว่าพระองค์จะทรงใช้สรรพนามไม่เหมาะสม  พระองค์เป็นถึงจักรพรรดินีแห่งเวนอล....”      คนพูดชะงักคำพูดไปเมื่อเห็นหยดน้ำใสๆจากดวงตาสีมรกตของอีกฝ่าย

      “คิดว่าทรงอยากอยู่ตามลำพัง  หม่อมฉันทูลลา”    

      มือเล็กโอบรอบตัวคนตัวโตกว่าที่หมุนตัวจะเดินจากไป  อย่างจะไม่ให้หนี่ไปไหน  ความในใจที่ถูกเก็บสะสมมานานพรั่งพรูออกมาแข่งกับน้ำตาที่ไหลเป็นสายอาบแก้มนวล

      “เจ้าพี่อย่าทรงใจร้ายกับหญิงอีกเลยเพคะ   อย่างน้อยก็แค่วันนี้  ขอให้หญิงได้เจอกับเจ้าพี่คนเก่าของหญิงอีกซักครั้ง  ทรงทราบดีใช่ไหมเพคะ  ว่าทำไมวันนี้หญิงถึงได้มาอยู่ที่นี่  เพราะที่นี่....”       ร่างบางที่สั่นเทิ้มไปด้วยแรงสะอื้นทำให้คนใจแข็งไม่อาจทนใจแข็งได้อีกต่อไป     โรเวนแกะแขนที่โอบรอบตัวออกก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

      “ตกลง วันนี้พี่จะอยู่กับหญิงจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ดีไหม”    คำพูดที่ทำให้คนฟังยิ้มได้ทั้งน้ำตาโผเข้ากอดร่างสูงแน่นราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกที่มีผ่านอ้อมกอดให้ได้มากที่สุด   ก่อนกระซิบเสียงแผ่ว

      “ค่ะ แค่วันนี้เท่านั้น”  



          ร่างสองร่างที่นอนอิงกันอยู่บนดาดฟ้าป้อมอัศวินหลับสนิทโดยไม่รู้ว่าแสงแรกแห่งรุ่งอรุณกำลังจะจับขอบฟ้าในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

      “ต้องเป็นดาดฟ้าแน่ๆ เฟรินบอกฉันว่าจะขึ้นไปร่ายเวทย์บนนั้น”    คิลบอกเพื่อนร่วมป้อมที่ช่วยกันออกตามหาเพื่อนซี้ที่หายตัวไปทั้งคืน

      “ฉันขึ้นไปดูเอง”   น้องนุชสุดท้องแห่งป้อมอัศวินเอ่ยอย่างร้อนใจ  ก่อนผลุนผลันวิ่งขึ้นบันไดไปโดยไม่รอคนอื่น

      “เฟริน..”      ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้คนเห็นช็อกสนิทคาที่    คนที่เธอกำลังนึกเป็นห่วงกำลังนอนหลับสบายใจ โดยยึดแขนของเพื่อนร่วมห้องอีกคนต่างหมอน  ส่วนมือของเจ้าตัวก็กอดคนข้างๆแน่นอย่างกับ.......

      คนตื่นง่ายไหวตัวตื่นขึ้นในขณะที่คนขี้เซายังนอนไม่ยอมตื่น   เมื่อเห็นสายตาที่มองมาแปลกๆของแองเจลีน่า ใบหน้ารูปสลักก็ขึ้นสีเข้ม  ด้วยภาพตรงหน้านั้นชวนให้คนเห็นเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง

      “เฟริน ตื่น”  มือขาวผลักคนนอนขี้เซาให้ออกห่างอย่างอายสายตาอีกคู่ที่มองมาแปลกๆ

      “ฮื้อ  อะไรกัน เมื่อคืนแกยังให้ชั้นนอนกอดแกอยู่เลย พอเช้ามาทำผลักไปได้  ไม่เอา ฉันง่วง  แกก็มานอนด้วยกันสิ”    คาโลนึกอยากถีบคนข้างๆขึ้นมาตงิดๆที่พูดไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ  เอ่ยเสียงเข้ม

      “ถ้านายไม่อยากให้คนอื่นเค้าเข้าใจผิด ก็ตื่นเดี๋ยวนี้”    

      เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร  คนนอนเพลินก็รีบเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างตกใจ  ก่อนส่งยิ้มจืดๆให้คนที่กำลังยืนช็อกไปกับประโยคที่เขาพล่ามไปเมื่อครู่

      “เฟริน  คาโล  พวกนายมาอยู่ที่นี่เอง”   คิลทักพลางมองหน้าเพื่อนสองคนสลับกันไปมาก่อนยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนคนทั้งคู่คงอยู่บนดาดฟ้านี่ด้วยกันทั้งคืน

      “งั้นฉันไปบอกพวกโร กับครี้ดให้ไปหาที่อื่นดีกว่า   แองเจลีน่าเธอก็ไปกับฉันเหอะ”    พูดแล้วคนพูดก็ออกแรงฉุดอีกคนที่ยืนนิ่งสติไม่อยู่กับตัวให้ไปด้วยกัน  ก่อนหันมากำชับเพื่อนอีกครั้ง

      “อย่าช้าล่ะ ฉันถ่วงเวลาให้ได้ไม่นานนะ”     คิลพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนเดินออกไป  ทิ้งให้คนที่เหลือยืนมองหน้ากันไม่ติดเล่นๆ   ถือซะว่าเป็นการแก้แค้นที่นายเอาฉันไปขายเมื่อวานละกันนะเฟริน

      “แล้วเราจะรออะไรอีกล่ะ ไปเหอะ ฉันหิวแล้ว”   พูดจบหญิงสาวในร่างเด็กหนุ่มก็เดินนำไปยังประตูดาดฟ้าในขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งอยู่    

      เฟรินชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวลงบันไดหันกลับมาหาอีกฝ่ายตาเป็นประกาย  ตัดสินใจเดินกลับมาหาร่างสูง พลางถอดแหวนวงโตออกจากนิ้ว ก่อนโน้มหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

      “ฉันรักนาย  คาโล”    

      ใบหน้าขาวขึ้นสีเข้มในขณะที่คนตรงหน้ารีบยัดแหวนกลับนิ้วอย่างรวดเร็ว

      “ของขวัญจากหัวขโมยอย่างฉัน คิดว่านายคงชอบ   แฮปปี้วีเดย์  คาโล”  




                                          @@============THE  END=============@@



         from the writer ^_^
                   จบแล้วค่ะ เป็นไงบ้างอ่ะคะ ถ้ามีพิมพ์ผิดพิมพ์พลาด+มั่วยังไงช่วยเม้นท์มาด้วยนะคะจะได้มาแก้ค่ะ  ส่วนเรื่องลูคัสกะลอเรนซ์........เปล่าวายนะ หุหุ เพื่อนกันๆ o^ ^o   เพราะตอนนี้บอร์ดมันยังเข้าไม่ได้+กลัวบอร์ดจะล่ม - - \"  ก็เลยมาแปะไว้ที่เด็กดีให้อ่านกัน (เดี๋ยวน้องส้มจะทำลิงก์ไปไว้ที่บอร์ดนู้นให้ >_< ขอบคุณค่า ขอบคุณทรายด้วยที่ช่วยเป็นธุระให้พี่ แหะๆ \\ ^ O ^ /  
                                                                                                                
                                                                                                             >>>> i_kalo ค่ะ ^^

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×