คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Happiness [Fin]
19
ปาร์ตี้เริ่มขึ้นแล้ว
เรียวสุเกะนั่งมองความโกลาหลที่เกิดขึ้นในบ้าน ตั้งแต่ที่พีซังและชิเงะซัง หอบเอาเสบียงชุดใหญ่มาตั้งกลางโต้ะในห้องรับแขกที่ถูกประดับประดาด้วยของตกแต่งที่เข้ากับเทศกาล ทั้งไฟประดับ ทั้งต้นสนแผงขนาดใหญ่ตรงมุมห้องถูกพันรอบด้วยสายรุ้งหลากสี แขวนด้วยกระดิ่ง ตุ๊กตา กล่องของขวัญขนาดเล็ก และ....เอ่อ....ถ้าเขาตาไม่ฝาด มันคือถุงเท้าสีสดใสลายการ์ตูนน่ารักแขวนรวมอยู่ด้วย
“เฮ้ย ใครเอาถุงเท้ามาแขวนไว้บนต้นคริสต์มาสเนี่ยยยย” ฮิคารุที่เพิ่งจะเดินมาเห็นเข้าก็โวยวายขึ้นมาทันที หนำซ้ำยังกระชากมันออกอย่างไม่ปรานีสักนิด
“อ๋า ทำไมทำแบบนี้ล่ะ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจติดนะ” ไม่ต้องเสียเวลาตามหา ผู้ร้ายก็แสดงตัวออกมาให้จับได้โดยง่าย ....ยูโตะทำปากอูดใส่ฮิคารุอย่างไม่พอใจ
“นายนั่นแหละ จะบ้ารึไง!! ของแบบนี้ใครเค้าเอามาแขวนบนต้นคริสต์มาสกันเล่า”
“อ้าว นายไม่รู้รึไง ว่าตอนที่เราหลับไปแล้วลุงซานต้าจะเอาของขวัญมาใส่ไว้ในถุงเท้าที่เราเตรียมไว้น่ะ”
“นายอายุเท่าไหร่กันแล้วห๊า!!! ยูโตะ!!! ยังจะเชื่อเรื่องหลอกเด็กพรรค์นั้นอีก...แล้วอีกอย่างนะ ไม่มีใครเค้าแขวนถุงเท้าไว้บนต้นคริสต์มาสหรอก เค้าแขวนไว้หน้าเตาผิงเพราะซานต้าจะเข้ามาทางปล่องไฟต่างหาก!”
“ก็บ้านเราไม่มีเตาผิงนี่นา” น้ำเสียงยูโตะเงื่องหงอยลงไปอย่างน่าสงสาร
“งั้นก็แปลว่าซานต้าจะไม่มาที่บ้านเรา เพราะฉะนั้น มาเอาถุงเท้าของนายไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย!!”
ร่างเล็กนั่งดูทั้งสองคนทะเลาะกันเป็นเด็กแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ...ร่าเริงกันได้ตลอดเวลาจริงๆนะ...
“ยามะจัง กินเยอะๆเลยสิ เดี๋ยวจะไม่ทันเจ้าพวกนี้นะ” ยามะพีที่นั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามพูดอย่างใจดี....ข้างๆกันนั้นเป็นยูยะที่ไม่เคยปล่อยโอกาสให้จานว่างเลย ปากสีสดนั่นก็ขยับเคี้ยวหยับๆอยู่ตลอดเวลา
“อะไร ผมกินไปแค่จานเดียวเองนะ” แม้พีซังจะไม่ได้เอ่ยนามใคร แต่ก็มีคนบ้าบางคนที่ร้อนตัวแล้วรีบเถียงออกมา
“จานเดียวแต่เติมหลายรอบนั่นก็นับเว้ย หนอย น้ำหนักลดลงมาเท่าไหร่แล้วล่ะถึงได้กินเอาๆ” ประธานหนุ่มหันมาถามยูยะอย่างเอาจริงเอาจัง ....ยูยะก็เลยชูสองนิ้วใส่หน้ายามะพีด้วยความภูมิใจแบบสุด
“สองขีด” ยามะพีแกล้งตอบอย่างดูแคลน
“สองโลต่างหาก!!! พีซังอย่ามาดูถูก” ถ้าลองได้พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ยูยะก็มักจะอารมณ์ขึ้นทุกที..... ยามะพีเองก็รู้ดีถึงได้แซวเป็นเรื่องสนุกไป
“แต่ถ้านับรวมที่นายกินเข้าไปวันนี้ทั้งหมด ฉันว่าป่านนี้มันคงขึ้นมาสักสามสี่โลแล้วล่ะ” เคย์พูดแทรกด้วยความไม่พอใจส่วนตัว เพราะก่อนหน้านี้เขาถูกยูยะแย่งเนื้ออบซอสชิ้นที่หมายตาไว้ไปต่อหน้าต่อตา ส้อมในมือเค้ากำลังจะจิ้มสัมผัสถูกเนื้อนุ่มๆนั่นแล้วแท้ๆ เสร็จโจรไปซะได้...
บรรยากาศกำลังจะเริ่มมาคุขึ้นเมื่อสองหนุ่มหล่อต่างใช้สายตาปะทะกันอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร .... เรียวสุเกะหันซ้ายทีขวาทีเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก …จะทะเลาะกันจริงๆเหรอ!? ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ....ชิเงะซังเองก็มีท่าทีกังวล คงกลัวว่างานจะล่มถ้าสองคนนี้เกิดครึ้มใจลุกขึ้นมาปะทะกันโดยใช้อวัยวะอื่นๆนอกจากสายตาแทน ... เคโตะนั่งจิบชามองดูอย่างสงบ ในขณะยามะพีซึ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะสูงสุดในที่นี้...กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน นั่งตั้งใจดูเป็นผู้ชมด้วยแววตาพราวระยับ
“อิ่มกันรึยังครับ ยังมีเค้กอีกนะ^^”
ไดกิเดินประคองเค้ก 2 ปอนด์ออกมาจากในครัวอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ใบหน้าน่ารักที่ประดับด้วยรอยยิ้มสดใสนั้นดูเข้ากันดีกับเค้กสตรอเบอร์รี่ครีมสดที่เจ้าตัวถือมาอย่างบอกไม่ถูก เสมือนเป็นนางฟ้าที่เข้ามาปราบมารยังไงอย่างนั้น เป็นเพราะว่าเคย์ได้เบนสายตาจากยูยะมาจับจ้องที่ไดกิด้วยแววตาหวานเยิ้มแทนเสียแล้ว ขณะเดียวกันยูยะก็เบนสายตาไปที่เค้กเช่นกัน
ชั่วพริบตาโต๊ะกลางห้องรับแขกก็ถูกเคลียร์เสียจนเรี่ยมเร้ โดยมีเคโตะและฮิคารุอาสายกจานของคาวไปเก็บในครัว ...เรียวสุเกะมองตามคนทั้งคู่ไปด้วยความรู้สึกผิด จริงๆเขาควรจะเป็นฝ่ายช่วยยกจานพวกนั้นด้วยซ้ำ ถ้าหากว่า….
........สตรอเบอร์รี่สีแด๊งแดงลูกโตๆบนเค้กจะไม่ดึงดูดใจขนาดนี้!!!.......
“ว้าว ฉันขอกินคุณซานต้านะ” ทันทีที่เค้กถูกวางลงกลางโต๊ะ ยูโตะโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ได้ จู่ๆก็พุ่งเข้ามาคว้าเอาก้อนน้ำตาลบนเค้กที่ทำเป็นรูปซานตาครอสเป็นของตัวเองด้วยความไวแสง ....นี่ถ้าฮิคารุไม่ลุกไปเก็บจานพอดีล่ะก็ ยูโตะคงโดนตีมือเพียะแล้วอบรมสั่งสอนยาวอย่างแน่นอน
“รอบนี้ฉันไม่เป็นคนตัดเค้กแล้วนะ” ชิเงะป้องปากกระซิบบอกข้างหูยามะพี สีหน้าของชิเงะยังคงหลงเหลือซึ่งความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด .....เขายังจำได้ดี คราวก่อนที่จับผลัดจับผลูกลายเป็นคนตัดแบ่งเค้กแล้วถูกกดดันจากรอบด้าน ถ้าหากว่ามีชิ้นไหนที่ใหญ่หรือเล็กเกินกว่าปกติ คนพวกนี้ก็พร้อมจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นโดยทันที
...........บรื๋อออออ ไม่ไหว ขอไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงดีกว่า .........
ยามะพีพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วก็บังเกิดไอเดียดีๆจึงโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
“วันนี้เรามากินเค้กกันแบบหมู่กันดีกว่า ยูโตะไปเอาส้อมสำหรับทุกคนมาซิ” ยูโตะทำหน้ายู่เล็กน้อย แต่โดนพีซังยิ้มหวาน(ที่มองแล้วขนลุก)ใส่ จึงยอมวิ่งกระโดดด้องแด้งเข้าไปหยิบส้อมในครัวตามประสาคนไฮเปอร์
จากนั้นก็กลายเป็นเรื่องหรรษาสำหรับท่านประธานอีกแล้ว เมื่อพีซังเสนอให้ไม่มีการแบ่งเค้กอย่างเสมอภาค แต่ให้ทุกคนถือส้อมคนละคัน แล้วจ้วงกินกันเอาเอง ....ดังนั้นความสวยงามของหน้าเค้กจากร้านชื่อดังราคาแพงที่ได้เชยชมกันเพียงไม่นานก็สูญสลายไปเพียงชั่วพริบตา สตรอเบอร์รี่ลูกโตที่ประดับบนหน้าเค้กถูกแย่งชิงจับจองเป็นอันดับแรกจนเกิดเสียงสงครามชนส้อมเป็นแบ็คกราวน์
“ยามะจังชอบกินสตรอเบอร์รี่ใช่มั้ยล่ะ อ้ามม อ้าปากเร็ว ฉันจะป้อนเอง” ยูโตะมีสีหน้าร่าเริงสุดขีดเมื่อเบียดตัวเองเข้ามานั่งอยู่บนพนักโซฟาเดี่ยวที่เรียวสุเกะจับจองอยู่ ....มือยาวๆนั่นช่วงชิงจิ้มเอาสตรอเบอร์รี่ลูกโตมาได้ แล้วมันก็กำลังจออยู่ตรงปากของร่างเล็กนี่เอง
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ล้วนหันมาจ้องมองกันเป็นตาเดียว โดยเฉพาะยูยะและเคโตะที่ดูจะจ้องนิ่งเป็นพิเศษ ....เรียวสุเกะมองหน้าคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็ข่มความเขินอายแล้วอ้าปากงับสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นมาเคี้ยวจนแก้มพอง
“อ้าว จะไปไหนล่ะยูยะ กินเค้กไปนิดเดียวเองนี่” ยามะพีที่นั่งข้างๆทักขึ้น เมื่อจู่ๆยูยะลุกเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นแบบไม่บอกกล่าว
“ผมพอแล้ว ....เลี่ยน”
เรียวสุเกะไม่แน่ใจว่าวลีสุดท้ายนี่ยูยะจงใจพูดใส่หน้าเขารึเปล่า หรือว่าเขาแค่บังเอิญไปสบสายตาคมในจังหวะนั้นพอดี ...เพื่อความแน่ใจ ร่างเล็กเลยมองไปที่คนอื่นๆเพื่อดูปฏิกิริยา แต่ทุกคนต่างเอนจอยกับการกินต่ออย่างไม่สนใจ เพราะรู้ดียูยะก็ลมเพลมพัดเป็นปกติอยู่แล้ว เดี๋ยวอารมณ์ดีก็กลับมาเอง
“เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงไป” เคย์หันมาพูดยิ้มๆ แล้วก็หันกลับไปหนุงหนิงกินเค้กกับไดกิราวกับโลกนี้มีเพียงสองเราอย่างเดิม
........เป็นห่วง...... นี่เขาแสดงออกทางหน้าตาออกมาชัดขนาดนั้นเลยหรือ..........
ครืดๆ ครืดๆ
แรงสั่นจากมือถือช่วยเป็นข้ออ้างชั้นเลิศให้เรียวสุเกะขอปลีกตัวออกมาจากยูโตะที่เกาะติดแจ ถึงจะคอยเอาใจใส่ป้อนนั่นป้อนนี่ให้ไม่หยุดก็ตามทีเถอะ เขาไม่รู้จะหลบเลี่ยงยังไงแล้ว ....ถ้าไม่ยอมกินยูโตะก็จะเบะปากงอแง เผลอๆก็โดนงอนเข้าให้อีก ....
ร่างเล็กหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู บนหน้าจอที่มีรูปเขากับไดจังเป็นวอลเปเปอร์นั้นปรากฏเป็นสัญลักษณ์เตือนว่ามีเมล์เข้า เขากดเปิดดูไม่รอช้า
////มาหาฉันที่ดาดฟ้าบริษัท ด่วน!!! - ยูยะ////
เนื้อหาในเมล์ยังไม่น่าตกใจเท่าชื่อผู้ส่งที่แนบมาในตอนท้ายของอีเมล์ .....ยูยะมีเรื่องอะไรถึงต้องเรียกเขาไปที่บริษัท ทั้งๆที่เมื่อกี้ก็นั่งอยู่ในบ้านด้วยกันแท้ๆ ......
ครืดๆ
เรียวสุเกะยังงงไม่ทันหาย ก็มีเมล์เข้ามาอีกฉบับจากผู้ส่งคนเดิม
////บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ชอบการรอคอยอะไรนานๆ - ยูยะ////
ร่างเล็กได้สติแล้วรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านทันที ...แล้วก็พบว่า รถของยูยะไม่อยู่แล้ว.....
........ถ้าไม่ชอบรอนัก ทำไมถึงไม่เรียกเขาขึ้นรถไปพร้อมกันให้รู้แล้วรู้รอดกันเล่า ตาบ้า...........
............................
...............
.......
“ขอบคุณนะครับชิเงะซังที่มาส่ง”
เรียวสุเกะโค้งขอบคุณชิเงะซังที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งเขาถึงบริษัท นี่ถ้าไม่ได้ชิเงะซังเรียกเอาไว้ล่ะก็ ป่านนี้เขาจะเดินหาแท็กซี่ได้สักคันรึยังนะ
“อื้อไม่เป็นไร ฉันจะกลับแล้วเหมือนกัน พอดีมีนัดต่อน่ะ”
“นัดกับคนพิเศษรึเปล่าครับ”
“พิเศษ พิเสิดอะไรกัน ไม่มีหรอกน่า... ว่าแต่ยามะจังเถอะ ดึกดื่นป่านนี้มาที่บริษัททำไมอีก ทุกคนก็อยู่ที่บ้านนี่นา”
โอเค...เพื่อไม่ให้ชิเงะซังเขินไปมากกว่านี้ เรียวสุเกะจะเป็นคนดีไม่พูดแซวเรื่องที่ชิเงะซังหน้าแดงขัดกับคำพูดก็ด้ายยยย
“เอ่อ ผมลืมของสำคัญไว้ที่บริษัทนะครับ พอดีต้องใช้วันนี้ด้วย” ร่างเล็กหาข้ออ้างแถไปได้อย่างเนียนๆ ชิเงะไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ได้แต่บอกให้เขาดูแลตัวเองดีๆแล้วจึงขับรถออกไป
เมื่อรถของชิเงะเคลื่อนตัวออกไปแล้ว อากาศยามค่ำคืนของเดือนธันวาคมก็โถมเข้าใส่ให้เรียวสุเกะรู้สึกหนาวจนต้องห่อตัว มือเล็กกระชับเสื้อเข้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เสื้อผ้าที่เขาใส่ติดมาก็ดูเหมือนจะต้านทานความหนาวได้ไม่เท่าไหร่
...ร่างเล็กยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลา ....นี่ก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้วนับจากที่ยูยะส่งเมล์มา
“ตายแน่! ทาคาคิคุงต้องโกรธอีกแน่ๆเลย” ร่างเล็กรีบวิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าทันที ด้วยกลัวว่าใครบางคนจะรอนานไปกว่านี้
.
.
ครืดดดดดด
สิ่งที่เรียวสุเกะได้พบเห็นบนดาดฟ้านั้นมีอะไรให้ตื่นตะลึงได้มากกว่าที่คิด .... บนพื้นคอนกรีตธรรมดาๆเต็มไปด้วยเหล่าเทียนไขสีหวานน้อยใหญ่ที่ให้แสงสว่างแสนอบอุ่นวางไว้ทั่วบริเวณ โดยที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีดำสนิทและแม้จะมีดวงดาวอยู่ไม่มากก็ตาม เพราะมันถูกทดแทนด้วยวัตถุขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางดาดฟ้า ....ต้นคริสมาสต์ที่ถูกประดับประดาด้วยดวงดาวนับร้อยหลากสีสัน เมื่อต้องแสงไฟแล้วเกิดเป็นประกายระยิบระยับงดงามจับตา ...ความน่าตื่นตาตื่นใจทั้งหมดนี้นำพาให้ขาของร่างเล็กค่อยๆขยับเดินเข้าไปใกล้ความสวยงามนั้นทีละนิดๆ
และใต้ต้นคริสมาสที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เค้าชอบนั้นเอง ผู้ชายร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งกำลังนอนหงายอาบไล้แสงจันทร์ ขาเรียวยาวข้างหนึ่งยกตั้งชัน อีกข้างหนึ่งเหยียดยาวขนานกับพื้นอยู่บนม้านั่ง ....เปลือกตาบางปิดสนิทเผยให้เห็นแพขนตายาว...จมูกโด่งเป็นสัน.... ลมหายใจสม่ำเสมอ
.........หลับสนิท.......
“ยูยะเป็นคนทำทั้งหมดนี่......ให้ฉันงั้นเหรอ”
ต่อให้โง่แค่ไหน เขาก็คิดเป็นอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว.... หรือที่อยู่ดีๆก็ลุกหนีออกมาก่อนก็เป็นแผนถ่วงเวลาเพื่อมาจัดที่นี่ด้วยรึเปล่า
เรียวสุเกะคิดได้อย่างนั้น จึงเผลอตัวยื่นหน้าไปใกล้เพื่อพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายให้ชัดๆ
....หากว่านัยน์ตาคมๆที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาบางๆนี้ไม่ได้ฉายแววดุๆจนไม่น่าเข้าใกล้อยู่ตลอดเวลา...
.... หากว่าปากแดงๆนี้ไม่ได้ชอบเอ่ยเอื้อนวาทะร้ายกาจแล้วล่ะก็....
ก่อนจะมาสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อสายตาเลื่อนลงมายังริมฝีปากอิ่มสีแดงที่ปิดสนิท
“ขอบคุณนะ...”
ด้วยความคิดบางอย่างทำให้ร่างเล็กค่อยๆก้มลงแนบริมฝีปากบางลงไปสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบด้วยอากาศเพียงแผ่วเบา ทว่าหวานและอุ่นยิ่งนักในความรู้สึก
....เดิมทีเรียวสุเกะคิดว่าจะผละออกในระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อร่างเล็กทำท่าจะถอนริมฝีปากออกกลับถูกอีกฝ่ายตวัดแขนรัดช่วงเอวบางเอาไว้จนขยับไม่ได้ แถมริมฝีปากเย็นเฉียบที่ไร้การตอบสนองเมื่อครู่ก็กลายเป็นฝ่ายมอบความหวานล้ำมาแทนจนเรียวสุเกะหายใจไม่ทัน ....จนเมื่อยูยะถอนจูบ ร่างเล็กถึงได้ลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้นข้างๆกันนั้นเอง
ร่างสูงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ประกายหวานในดวงตาคมจัดและริมฝีปากที่วาดเป็นรอยยิ้มในแบบที่เค้าไม่ค่อยได้เห็นนั้นทำให้เรียวสุเกะต้องนั่งแก้มแดง รู้สึกร่างกายร้อนผ่าวทั้งๆที่อากาศในเวลานี้หนาวจัด
.....ทาคาคิ ยูยะ คนที่มักจะอารมณ์เสียได้ง่ายๆโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องของเขา แต่วันนี้นอกจากจะไม่ดุว่าเรื่องที่เขามาสายแล้วยังยิ้มให้เขาอีกด้วย......
“เรียวสุเกะ....” ยูยะขยับลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งดึงแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน เรียวสุเกะก็ลุกขึ้นตามอย่างงงๆ ในหัวก็คิดแค่ว่า ร่างสูงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันนะ คาดการณ์ได้ยากจริงๆ
“นายไม่รู้ใช่มั้ย”
“เอ้ะ!?”
“ไม่ได้มีใครบอกนายใช่มั้ย”
“เห...ทาคาคิคุงหมายถึงเรื่องอะไร?”
ยูยะตัดสินได้จากสีหน้างุนงงสงสัยเต็มพิกัดของเรียวสุเกะก็ยิ่งเปิดยิ้มกว้าง คว้าร่างเล็กๆปลิวเข้ามากอดแนบอกแล้วขยี้หัวกลมๆจนผมกระจุยด้วยความหมันเขี้ยว
“ถ้าไม่รู้ก็ดีแล้วล่ะ”
“อะไรกัน ขี้โกงนี่นา”
...... ให้ตายก็บอกไม่ได้ เรื่องที่เขาแอบเชื่อมาตลอดว่า คนที่มาปลุกเขาด้วยจุมพิตในวันศักดิ์สิทธิ์อย่างคืนวันคริสมาสต์คือคนที่พรหมลิขิตส่งมาเพื่อเป็นเจ้าหญิงของเค้าไปตลอดกาล .......
และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงยิ้มได้ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเจอหน้าเรียวสุเกะ
...... ความเชื่อแบบเด็กๆที่ไม่สมกับความเป็น ทาคาคิ ยูยะ ในสายตาคนอื่นแบบนี้ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เจ้าตัวเล็กนี่ล่วงรู้เป็นอันขาด.......
“แต่ฉันบอกนายได้อย่างนึงนะ”
“อะไรครับ” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นถามอย่างเดียงสา ตาเรียวใสกิ๊งแป๋วแหววจนร่างสูงต้องกระแอมออกมาด้วยความประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูบางด้วยเสียงอันทรงเสน่ห์
“ฉันชอบนาย ....เรียวสุเกะ”
......................................
..........................
.............
“ยามะจัง!!!! ไปไหนมาน่ะ ฉันว่าจะออกไปตามแล้วเชียว”
เรียวสุเกะชะงักเท้าที่ตั้งใจจะย่องเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆเงยหน้ามองมนุษย์ตัวยาวที่โผล่มาดักตรงทางเข้าแบบไม่มีการบอกกล่าวแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ทำไมไม่เข้าปะ...อ้ะ!” ยูยะที่เดินตามเข้ามาทีหลังก็ตกใจไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าจะมีใครรอเจออยู่ในเวลาดึกดื่นขนาดนี้ เขาคิดว่าทุกคนแยกย้ายเข้านอน ไม่ก็หลับกองกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเรียบร้อยไปแล้วด้วยซ้ำ
....แม้จะรู้ว่ายังไงเขาก็ต้องบอกความจริงกับทุกคน แต่ไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้....
“เอ่อ...ยังไม่นอนอีกเหรอยูโตะ” ยูยะพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศอึมครึม
“ฉันจะนอนหลับได้ยังไง ในเมื่อยามะจังยังไม่กลับบ้าน...ว่าแต่ ทำไมนายสองคนถึงกลับมาพร้อมกันล่ะ หรือว่า!!!”
“คือ…” ยังไม่ทันจะได้อธิบายถึงที่มาที่ไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
“เอะอะอะไรเสียงดังกันน่ะ” เสียงฮิคารุตะโกนดังออกมาจากห้องนั่งเล่น.... ยูยะก็ฟันธงได้เลยว่ายังไม่มีใครเข้าห้องไปอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจคว้ามือร่างเล็กแล้วจูงเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจอยู่เล่นเกมส์ 20 คำถามกับยูโตะต่อให้เสียเวลา
ยูยะกุมมือเล็กของเรียวสุเกะไม่ยอมปล่อย แม้ว่าทั้งคู่จะมายืนอยู่ตรงหน้าสักขีพยานหลายชีวิตแล้วก็ตาม ซึ่งเรียวสุเกะเองก็กระชับมืออีกฝ่ายแน่นไม่ปล่อยเช่นกัน แต่แก้มขาวนวลที่ขึ้นสีจัดนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวกำลังเขินอยู่ไม่น้อย
“คบกันแล้วเหรอ” เคย์ถามขึ้นลอยๆสบายๆ เขาวางท่าอย่างผู้มีประสบการณ์ได้น่าหมันไส้นักในสายตาไดกิจนร่างบางอดที่จะฟาดมือเรียวใส่ที่แขนเป็นไม่ได้ ....ฝ่ายเคย์ก็ร้องโอดโอยเกินความเป็นจริงเรียกร้องความสนใจ แต่ไดกิเมินใส่แล้วหันมาสนใจที่น้องชายอีกครั้ง
“จริงรึเปล่า เรียวจัง” เมื่อโดนถามย้ำเอาจากคนที่รู้ดีที่สุด เรียวสุเกะก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ ยูยะเห็นแล้วก็เลยช่วยโดยการดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้แนบแน่น เรียวสุเกะที่โผล่มาแค่เสี้ยวหน้าก็พยักหน้าครางตอบรับสั้นๆ เท่านี้พี่ชายหน้าหวานก็เปิดยิ้มอย่างมีความสุข จนคนข้างๆครางหงิงๆบ่นกระปอดกระแปดว่าเมื่อไหร่คนบางคนแถวนี้จะยอมรับว่าเป็นคนรักกันแบบเปิดเผยสักที
“ยามะจัง.....ยูยะ....นายสองคน....ตั้งแต่เมื่อไหร่” ฮิคารุหันมองหน้ายามะจังและยูยะคนละทีแล้วกระพริบตาปริบๆเหมือนยังปรับความคิดไม่ทัน ....เขาออกจะช็อคไปสักเล็กน้อย ที่ผลสุดท้ายแล้วคนที่ครองใจยามะจังได้กลับเป็น ม้านอกสายตา(ของเขา)อย่างยูยะ แทนที่จะเป็นเทพบุตรสุดเพอร์เฟคอย่างเคโตะอย่างที่เขาเชื่อมาตลอด
........เป็นไปได้ไง ในเมื่อเขาเห็นว่าสองคนนี้ตีกันวันค่ำ วันๆนึงเขาจะต้องได้เห็นไอ้ยูยะหัวเสีย แล้วยามะจังก็วิ่งตามขอโทษอยู่บ่อยๆ .....มันไปรักกันช่วงไหนวะ?
“ที่มาไม่สำคัญ แต่ปัจจุบัน...ก็อย่างที่เห็น” ยังคงตอบคำถามได้กวนจนฮิคารุอยากจะหาอะไรขว้างใส่ให้รู้แล้วรู้รอด....หมันไส้คนมีคู่โว้ยยยยยย
“ยามะจังคิดผิดแล้วล่ะที่ไปรักคนอย่างยูยะน่ะ” มิวายยุแยงสร้างความร้าวฉานตั้งแต่วันแรกที่คบกันเพื่อความเป็นศิริมงคลเสียด้วย
“เอ้ะ ถ้างั้นแล้วเจ้าเคโตะไปไหนของมันล่ะ ฉันก็นึกว่าออกไปกับยามะจังนะเนี่ย..... แต่ช่างเถอะ เจ้านั่นมันดูแลตัวเองได้” จะมีใครอีกที่สามารถตั้งคำถามเอง คิดเอง แล้วก็ตอบเองเสร็จสรรพ ....สมกับเป็นฮิคารุจริงๆ
“ทำไมถึงเป็นยูยะล่ะ”
น้ำเสียงเครือๆเหมือนคนจะร้องไห้ดังมาจากด้านหลัง เรียกให้ยูยะและเรียวสุเกะหันไปตามต้นเสียง... ยูโตะที่ยืนน้ำตาคลอมองภาพทั้งสองคนกอดกันด้วยหัวใจที่แตกสลาย ร่างโปร่งโย่งพยายามกักกั้นไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้าแย่ๆให้เรียวสุเกะเห็น แต่สุดท้ายก็ทนความเสียใจไม่ไหวจนวิ่งเตลิดออกจากบ้านไป
“ยูโตะคุง!!!” แม้เรียวสุเกะจะตะโกนเรียกก็ไม่เป็นผล .....เสียงประตูถูกปิดลงอย่างแรง พร้อมกับร่างสูงโปร่งของยูโตะที่ลับสายตาไป .....ร่างบางยืนหันรีหันขวางด้วยความสับสน ใจนึงก็อยากตามยูโตะออกไปด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าจะวิ่งเตลิดไปถึงไหน ข้างนอกมืดก็มืด แถมยังหนาวจับใจ เหมือนว่ายูโตะจะผลุนผลันออกไปแต่ตัวไม่ได้เอาเสื้อคลุมติดไปด้วยใช่ไหม ...แต่อีกใจก็เป็นห่วงความรู้สึกคนทางนี้ด้วย ยูยะจะรู้สึกยังไงถ้าเขาวิ่งตามออกไปตอนนี้
พรึ่บบบบ
เรียวสุเกะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นรอบต้นคอขาว ....ร่างเล็กตกใจเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของผ้าพันคอผืนหนานุ่มที่ยังหลงเหลือไออุ่นของร่างสูงที่ตั้งใจพันผ้ารอบคอให้เขาอย่างแน่นหนา
“ดูแลตัวเองด้วยละกัน ถ้ากลับไม่ได้ก็โทรมาบอก ฉันจะไปรับ”
น้ำเสียงเก็กๆกับหน้าตาปั้นยากและไม่ยอมสบตา ร่างสูงพูดไปเกาต้นคอโล่งๆไปเพราะเพิ่งถอดผ้าพันคอให้ไปเมื่อครู่ ยูยะเหมือนเขินที่จะพูดบทพระเอกๆแบบนี้ ทำให้ร่างเล็กอมยิ้มอย่างมีความสุข
“ฉันว่าคนที่จะไม่สบายน่าจะเป็นแกมากกว่า หน้าแดงแปร๊ดเลยนะเว้ย ไอ้ยูยะ ฮ่าๆๆ”
สองหนุ่มเคย์กับฮิคารุ ต่างหัวเราะชอบใจที่นานๆทีจะได้เห็น ลีดเดอร์ผู้เพียบพร้อมเขินจนหน้าแดง แถมยังเงอะๆงะๆทำตัวไม่ถูกเหมือนเด็กหนุ่มแรกรัก
.....หุหุหุ เรื่องนี้ถึงหูยามะพีแน่!!!!! ^o^ .......
.
.
.
ถ้าถามว่าเรียวสุเกะรู้ไหมว่ายูโตะจะหนีไปที่ไหน
ตอบตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้
แต่ถ้าจะให้เดาล่ะก็ .... คงเป็นที่นี่
ร่างเล็กกวาดสายตาไปทั่วสนามเพื่อตามหา ...ทั้งกระบะทราย กระดานลื่น ม้าหมุน ไม้กระดก เผื่อว่าจะมีสักที่ๆยูโตะซ่อนตัวอยู่.....และก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีที่ในที่สุดก็พบผู้ชายตัวยาวคนนึง นั่งห่อไหล่ท่าทางหงอยเหงาอยู่เงียบๆมืดๆคนเดียวบนชิงช้าเด็กที่ขยับโยกน้อยๆ ด้วยขนาดตัวที่ไม่สมส่วนกันสถานที่ ขาเรียวจึงยืดยาวเลยออกมาจากชิงช้ามากจนเก้งก้างไม่น่าดูเท่าไหร่
“ห้ามเข้ามานะ! นายไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่”
เรียวสุเกะชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในบริเวณที่ยูโตะอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของฐานทัพลับนั้นเพราะเสียงตะโกนดังออกจากปากของคนที่ดูไร้จิตวิญญาณ... แต่มีหรือที่ร่างเล็กจะฟัง ในเมื่อเขาอุตส่าห์ตามมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็จะไม่ยอมแพ้กลับไปง่ายๆหรอก
“บอกว่าอย่าเข้ามาไง!”
“ยูโตะคุง…” เรียวสุเกะเลือกที่จะนั่งบนชิงช้าห่างๆ แล้วมองไปที่ยูโตะอย่างเป็นห่วง
เวลานั้นก็เดินต่อไปตามครรลองของมันอย่างไม่หยุดนิ่ง ....แต่ทั้งคู่กลับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเงียบงัน มีเพียงลมหนาวที่พัดเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาเกาะกุมหัวใจเท่านั้น
“นายชอบยูยะเหรอ” ในที่สุดยูโตะก็ยอมพูดออกมา ใบหน้าหล่อเหลาหันมาจ้องหน้าร่างเล็กด้วยความจริงจัง... แววตาที่เคยสดใสเป็นประกายอยู่เสมอ ตอนนี้กลับฉายแววเศร้าออกมาอย่างชัดเจน
“ครับ..ผมชอบยูยะ” เรียวสุเกะตัดสินใจตอบออกไปตามความจริง .... แม้จะรู้ว่ามันอาจทำให้ยูโตะรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม... แต่เขาก็โกหกความรู้สึกตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“ทำไมล่ะ.....เป็นฉันไม่ได้เหรอ” ยูโตะไม่สามารถบังคับเสียงไม่ให้สั่นได้อีกแล้ว “นายเป็นคนเดียวที่ฉันรัก ...นายคนเดียวที่ฉันบอกเรื่องฐานทัพลับนี่ นายคนเดียวที่ฉันยอมยกของที่ชอบให้ ....แล้วทำไม” เสียงของยูโตะแหบแห้งจนหายไป แทนที่ความรู้สึกทั้งหมดด้วยหยดน้ำใสๆที่ไหลมารวมกันที่หัวตา แล้วทิ้งตัวไหลอาบแก้มเนียน
“ฉันชอบนายนะยูโตะ นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน....ขอโทษด้วยที่ตอบรับความรู้สึกของนายไม่ได้”
“ฉันรู้...จริงๆฉันก็เผื่อใจเอาไว้แล้ว ...แต่พอเอาเข้าจริง ไม่คิดเลยว่ามันจะปวดใจขนาดนี้ ....ให้พูดตรงๆตอนนี้ฉันคงยังทำใจไม่ได้”
“........”
“ขอเวลาฉันหน่อยนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเป็นยูโตะคนเดิม”
....................................................
................................
................
วันรุ่งขึ้น
“โฮ่ๆๆ ซานต้ามาแล้วจ้า”
“พีซัง...ซานตาครอสเค้ามาตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ” ฮิคารุที่กำลังใช้ช้อนคนกาแฟในแก้วอยู่มองแขกหน้าเดิมๆที่มาในลุคใหม่ด้วยชุดซานต้าครอสสีแดงสดและหมวกทรงสามเหลี่ยมสีแดงด้วยความเอือมระอา
“แล้วคนอื่นๆไปไหนหมดล่ะ”
“พีซังถามหาใครล่ะ ถ้าไอ้ยูยะกับยามะจังยังอยู่ในห้อง เจ้ายูโตะอยู่ในครัว เคโตะออกไปนั่งจิบชาร้อนอยู่ในสวนหน้าบ้าน ส่วนไอ้เคย์กำลังช่วยไดจังซักผ้าอยู่หลังบ้านน่ะ”
“ขอบใจ ข้อมูลแน่นมาก นายช่วยไปตามทุกคนมารวมกันที ฉันมีเรื่องด่วนมาบอก”
“คุณซานต้าครับ ถ้าคุณซานต้าจะหางานมาให้พวกเราแต่เช้านี่ ผมว่าคุณต้องไม่ใช่คุณลุงใจดีที่มาแจกของขวัญแต่ต้องเป็นซาตานปลอมตัวมาแน่ๆเลย ซาตานน่ะ” ฮิคารุเบะปากบ่นยาวเหยียด แต่ก็เดินออกไปตามเมมเบอร์ที่เหลือให้
.
.
.
“38 องศา.....เป็นเพราะเมื่อวานไปนอนท้าลมหนาวอยู่ตั้งนานสองนานแน่เลย”
เรียวสุเกะนั่งอยู่ข้างเตียง สะบัดปรอทวัดไข้และเตรียมเก็บลงกล่องยา..... โดยที่มียูยะนอนทำหน้ามู่ทู่ เพราะโดนบังคับจับให้นอนสงบเสงี่ยมเดียวดายอยู่บนเตียงตั้งแต่ที่โดนร่างเล็กจับได้ว่าเขามีไข้ตัวร้อน ...แม้แต่คุซาป๊งยังไม่ยอมให้เข้าใกล้เลย เพราะเจ้าตัวเล็กนั่นให้เหตุผลว่า กลัวติดหวัด....
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย” ยูยะยังคงปากแข็งไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยแม้ว่าจะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหดหายไปจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงแบบนี้ก็ตาม
.....เค้ามักจะเป็นหวัดหลังวันคริสต์มาสแบบนี้เสมอ ยิ่งตอนเด็กๆน่ะ จะเรียกว่าหวัดประจำปีก็ยังได้ ส่วนนึงก็เป็นผลมาจากความเชื่อเรื่องเจ้าหญิงนั่นล่ะ ที่ทำให้เขาต้องหาเรื่องออกไปนอนตากน้ำค้างเล่นทุกปีๆ ...แม้ว่าช่วงหลังๆจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำแล้วตั้งแต่เข้าวงการมา ....
ซานต้าพีซังกระโดดหยองแหยงมาทางห้องของยูยะ และเพราะว่าเห็นประตูเปิดอยู่เลยถือวิสาสะเดินเข้ามา แล้วก็พบว่า....
“คุณพระ!!! นายไม่สบายเหรอเนี่ย” ยามะพีดูเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าลีดเดอร์คนเก่งของวงนอนซมจมอยู่ในผ้าห่มเป็นก้อนกลมๆน่าเอ็นดู
“ครับ เมื่อคืนตัวรุมๆ แล้วมาไข้ขึ้นสูงตอนเช้ามืดนี่เองฮะ” เรียวสุเกะที่นั่งพยาบาลคนป่วยอยู่ข้างเตียงอธิบายไปก็แปะเจลลดไข้อันใหม่บนหน้าผากยูยะไปด้วย
“รู้ละเอียดดีจังเลยนะ” ท่านประธานมองดูแล้วก็หันมายิ้มแปลกๆใส่ร่างเล็ก
“เอ่อ..ก็....”
“ดีแล้ว ได้พยาบาลน่ารักๆคอยดูแล จะได้หายเร็วๆ....เพราะว่าคืนนี้มีงานด่วนเข้ามาล่ะ” ยามะพีพูดเรื่องคอขาดบาดตายได้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มน่ารัก ยูยะทำได้แค่เบิกตาค้าง ไร้เรี่ยวแรงจะตีโพยตีพายอย่างทุกที
“ห้ะ!! งานอะไรครับ” แต่คนที่หูทิพย์ ตาทิพย์ที่สุดก็คงไม่พ้นคนนี้.... ฮิคารุวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินคำว่า “งาน” ออกมาจากปากพีซัง ....บรรยากาศในห้องดูหนาแน่นขึ้นมาทันทีเมื่อเคโตะ ยูโตะ เคย์ที่ถูกเรียกตัวเมื่อครู่เดินตามเข้ามาสมทบด้วย
“คริสมาสต์ไลฟ์คืนนี้น่ะ พอดีเบื้องบนเค้าขอมาแบบกะทันหันน่ะ”
“แต่ไอ้ยูยะยังนอนแอ้วแซ้วอยู่แบบนี้ พีซังแคนเซิลไปไม่ได้เหรอ” ฮิคารุพูดด้วยน้ำเสียงซีเรียสผิดวิสัย
แม้ยามะพีจะไม่ได้พูดอะไรตอบรับออกมา แต่ดูจากสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของท่านประธานแล้ว ทุกคนก็เข้าใจตรงกันได้ว่าการรับงานนี้ท่าจะมีผลต่อบริษัทอย่างมาก ...ถ้าเป็นปกติล่ะก็พีซังคงจับยูยะส่งถึงมือหมอไปแล้ว
“ไม่เป็นไร...ผมยังไหว พีซังไม่ต้องแคนเซิลหรอก” เสียงแหบแห้งพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
และคำพูดแค่นั้นเองที่ส่งผลให้เมมเบอร์ทุกคนเกิดปฏิกิริยาตอบรับคล้ายคลึงกันโดยมิได้นัดหมาย คือต่อต้านหมายจะคัดค้านอย่างรุนแรง
“นายจะร้องเพลงไหวได้ยังไง ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้” เรียวสุเกะพูดขึ้นมา ...เขาเป็นคนวัดไข้เองกับมือทำไมจะไม่รู้ว่าอุณหภูมิร่างกายของยูยะต้องการการพักฟื้นแค่ไหน
“อือ ใช่...สุขภาพของนายสำคัญกว่านะ ถ้าเกิดไปเป็นลมบนเวทีจะทำยังไงล่ะ” คนไฮเปอร์อย่างยูโตะก็เป็นห่วงจนลุกลี้ลุกลนจินตนาการล่วงหน้าไปต่างๆนาๆ
“ฉันไม่ได้อ่อนแอแบบนั้น”
....แม้จะรู้ดีว่าทุกคนกำลังห้ามด้วยความเป็นห่วง แต่ละให้เขาละทิ้งหน้าที่และทำให้บริษัทเดือดร้อนได้อย่างไร ยังไงเขาก็จะอดทนให้ถึงที่สุด......
เคย์เองนั้นยอมรับว่ายูยะเป็นคนมีความรับผิดชอบในการทำงานมากกว่าอะไรทั้งหมด ....แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้เช่นกัน “เออ ฉันรู้ หมีควายอย่างแกไม่ล้มง่ายๆหรอก ถ้าแกไม่ได้ป่วยเหมือนตอนนี้น่ะนะ”
“เตรียมตัวให้พร้อมนะ เดี๋ยวชิเงะจะเอารถมารับตอน 6 โมง...ระหว่างนั้นก็ ดูแลยูยะด้วยละกัน บายๆ ซานต้าไปล่ะ โฮ่ๆๆ” ยามะพียิ้มร่าเริงสร้างบรรยากาศแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และในช่วงที่เมมเบอร์คนอื่นๆไม่ได้สังเกตเห็นเพราะมัวรุมเป็นห่วงยูยะ เคโตะก็ได้สังเกตเห็นสีหน้าเครียดจัดจากท่านประธานที่มักจะยิ้มรับเสมอไม่ว่าต้องเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหน
....แม้จะเป็นแค่เสี้ยวหน้าเพียงแวบเดียวที่ได้เห็นก่อนที่พีซังจะออกจากห้องไป แต่ก็ทำให้ร่างหนาโล่งใจไปได้ว่า ท่านประธานของพวกเขายังคงรักและเป็นห่วงศิลปินในสังกัดอยู่เหมือนเดิม แต่คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ยามะพีต้องทำตัวใจร้ายแบบนี้
............................
..................
........
ค่ำวันนั้นเอง
“ต่อไปวง A.N.JUMP แสตนด์บายบนเวทีได้เลยครับ”
“ยูยะ ไหวแน่นะ” ฮิคารุถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ....ในยามที่เขาต้องจริงจังเป็นการเป็นงาน ฮิคารุก็สลัดคราบหนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นกลายเป็นพี่ใหญ่ที่พึ่งพาได้ขึ้นมาอย่างน่าชื่นชม
ส่วนเรียวสุเกะ ยูโตะ เคย์ และเคโตะนั้นยืนรออยู่ที่ข้างเวทีเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทุกคนหันมามองหน้าคนป่วยจอมดื้อที่โดนบังคับขู่เข็ญให้แปะแผ่นเจลลดไข้ติดหน้าผากจนกว่าจะถึงเวลาแสดงจริง
“ฉัน...ไหวน่า ไข้หวัดแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
ยูยะแกะแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากออกทิ้งแล้วเดินนำขึ้นเวทีไปอย่างมั่นคง นัยน์ตาคมฉายแววมุ่งมั่นตั้งใจเกินร้อย ..... เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มขึ้นทันทีที่ยูยะขึ้นไปปรากฏตัวบนเวที ... สมาชิกที่เหลือก็จำต้องเดินตามขึ้นไป....
ยูโตะเห็นเรียวสุเกะมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักจึงเดินเข้ามาตบไหล่แล้วพูดให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มร่าเริงในแบบปกติสไตล์ยูโตะ
“ยามะจัง ยิ้มๆเข้าไว้ ยูยะบอกว่าไม่เป็นไรก็ต้องไม่เป็นไร ..เราต้องเชื่อใจในตัวยูยะนะ”
คำพูดของยูโตะก็เหมือนเป็นการเตือนสติให้ร่างเล็กตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้สุดความสามารถ เพราะถ้าเขามัวแต่เป็นห่วงยูยะจนไม่มีสมาธิแล้วทำให้งานออกมาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ก็เหมือนกับว่าทำให้ความพยายามของร่างสูงสูญเปล่าไปเฉยๆ
“อื้ม...ขอบใจนะยูโตะ” เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว ร่างเล็กก็ยิ้มออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและขึ้นเวทีไปด้วยความแน่วแน่
.
.
ผ่านไปแล้ว 3 เพลง......ยูยะยังคงแสดงความสามารถในการร้องเพลงได้อย่างมืออาชีพ ทั้งน้ำเสียง อารมณ์และสีหน้าก็ทำได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน เขาไม่แสดงออกถึงอาการป่วยให้เห็นเลยแม้แต่น้อย กลุ่มแฟนคลับหรือแม้แต่คนที่มาดูก็ไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด สาวหลายๆคนเคลิ้มฝันไปราวกับต้องมนต์กับท่วงทำนองเพลง A.N.JUMP ที่วันนี้เลือกเล่นเพลงแนวบัลลาดเพื่อเข้ากับเทศกาลและสถานการณ์ด้านสุขภาพของลีดเดอร์
....แต่คนที่ยืนข้างๆร่างสูงอย่างเรียวสุเกะนั้นรู้ดีว่ายูยะใกล้จะถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว เสี้ยวหน้าด้านข้างของยูยะที่เขาเห็นนั้นมีเหงื่อออกเยอะมากผิดปกติ ซึ่งในสายตาของเรียวสุเกะแล้วร่างสูงเหมือนพร้อมจะที่หงายหลังล้มตึงไปในนาทีไหนนาทีหนึ่งได้ตลอดเวลา
“เพลงสุดท้ายของวันนี้นะครับ ขอให้ทุกคนใช้เวลาอย่างมีความสุขในคืนแสนพิเศษนี้ ....Merry Christmas....” ร่างสูงชะงักไปนิดหน่อย ตอนที่เรียวสุเกะตัดสินใจพูดเกริ่นนำเพลงแทนตัวเอง ...ยูยะเข้าใจดีว่าเรียวสุเกะทำแบบนั้นเพราะเป็นห่วง จึงหันไปยิ้มบางๆให้ร่างเล็กว่าเขายังไหวอยู่ และก็ถูกคนตัวเล็กนั่นส่งยิ้มน่ารักกลับมาเป็นกำลังใจ
ยูโตะเคาะไม้กลองให้สัญญาณเริ่มต้นเพลง Promise ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวตอนที่เรียวสุเกะเข้าวงมา....ในตอนนี้ทั้งมือเบสฮิคารุ และมือกีตาร์เคโตะที่ยืนขนาบนักร้องนำทั้งฝั่งซ้ายขวา ก็เริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติของยูยะได้แล้ว ทั้งคู่ลอบมองกันและกันราวกับจะปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี
เรียวสุเกะเองก็ชำเลืองมองไปทางยูยะบ่อยเป็นพิเศษ และในระยะที่ทั้งคู่ยืนห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ ร่างเล็กจึงรู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างสูง ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าอุณหภูมิร่างกายของยูยะตอนนี้ต้องร้อนราวกับไฟอย่างแน่นอน
........ เขาควรทำยังไงดี ยูยะฝืนตัวเองจนจะถึงขีดสุดแล้ว ..........
ฮิคารุทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเรียวสุเกะพุ่งเข้าไปกอดเอวยูยะอย่างแนบแน่นกลางเวทีอย่างจงใจ สร้างความแตกตื่นและเสียงกรี๊ดอย่างคลุ้มคลั่งให้กับแฟนคลับที่ชื่นชอบฉาก “มิตรภาพของวัยรุ่นชาย” ได้อย่างมากมาย ...ยูยะยิ้มรับอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่เรียวสุเกะเพื่อทรงตัว.... ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงความร้อนมหาศาลในตัวยูยะทันทีที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน
“ถ้าไม่ไหวแล้วล่ะก็เอนมาที่ผมได้เลยนะ” ร่างเล็กแอบหาช่องทางกระซิบบอกร่างสูงในจังหวะที่กอดกันอยู่ เรียวสุเกะถือไมค์ร้องเพลงท่อนต่อไปในขณะที่มืออีกข้างพยายามประคองตัวร่างสูงไม่ให้ล้มลงไปอย่างสุดแรง....
และในช่วงท้ายของเพลง ยูยะก็เซอร์ไพร์สทุกคนโดยการเชยคางร่างเล็กให้เงยหน้าขึ้นมา แล้วตั้งใจร้องเพลงท่อนสุดท้าย โดยที่ร่างสูงจับจ้องมองแต่เพียงใบหน้าของเรียวสุเกะราวกับตั้งใจจะร้องให้คนตรงหน้านี้ฟังคนเดียวเท่านั้น ....นัยน์ตาคมกริบที่เคยสร้างความหวาดหวั่นให้เรียวสุเกะเกือบทุกครั้งที่ได้สบตากัน บัดนี้มันกลับหวานซึ้งและเต็มไปด้วยอารมณ์รักมากมาย...ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพิษไข้ แต่อย่างไรก็ตาม เรียวสุเกะก็ถูกคนป่วยน็อกเอาท์ด้วยคำบอกรักผ่านเนื้อเพลง เล่นเอาทั้งอึ้งทั้งเขินจนทำอะไรไม่ถูก หัวใจมันเต้นแรงราวกับระเบิด
I will promise youずっと君だけ見つめて
ผมขอสัญญาว่าจะมองแต่คุณเพียงคนเดียว
I will promise youずっと君を抱きしめる
ผมขอสัญญาว่าจะโอบกอดคุณไว้ตลอดไป
届けるよ色とりどりの愛を君へ
จะส่งผ่านความรักอันหลากหลายไปถึงคุณ
永遠に約束を I love you forever
มาสัญญากันนะ…ผมจะรักคุณตลอดไป
.......................................
.........................
.............
“ทำไมไอ้ยูยะยังไม่ฟื้นอีกวะ” ฮิคารุบ่นขึ้นมาตามประสาคนใจร้อน....
หลังจากที่จบไลฟ์เมื่อคืนวานไปแบบทุกลักทุเล พีซังก็จับยูยะยัดใส่รถแล้วห้อตะบึงมาส่งถึงมือหมอในเวลาอันรวดเร็ว... จนตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วกำลังนอนพักอยู่ในห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
และฮิคารุเป็นคนเดียวที่นั่งไม่ติดเก้าอี้เลย เอาแต่เดินไปเดินมาชวนให้คนอื่นๆปวดเศียรเวียนเกล้าแทน
“ก็หมอบอกว่ามันไม่เป็นไรแล้วนี่ ไข้ก็ลดเป็นปกติแล้ว ตอนนี้ก็แค่นอนหลับเพราะเพลียสะสมจากการพักผ่อนน้อยแค่นั้นเอง” เคโตะแจงรายละเอียดให้คนใจร้อนฟังอีกครั้ง.... ก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องมานั่งอธิบายอาการของยูยะให้มันฟังทำไมอีก ในเมื่อก็ฟังคำชี้แจงจากคุณหมอมาพร้อมกันแท้ๆ
“เออ แล้วมันจะนอนไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย”
“หรือมันคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย ต้องรอให้เจ้าหญิงมาจูบปลุกถึงจะฟื้น” เคย์เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแก้เหงา
“เฮ้ย นั่นมันเจ้าหญิงนิทรา” ยูโตะก็ตามมาชงมุกอย่างรู้หน้าที่
“งั้นก็เจ้าชายกบแล้วล่ะ หมอนี่น่ะ ...เมื่อคืนก็ทำเป็นเท่ห์ สุดท้ายก็ตกม้าตายตอนจบ” ฮิคารุพูดใส่อย่างใจร้าย ... เขาพูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนหลังจากที่ยูยะจ้องตาทำซึ้งจนจบเพลงแล้ว เจ้านั่นก็เป็นลมล้มทับยามะจังจนพวกเขาต้องวิ่งเข้ามาช่วยพยุงแทบไม่ทัน
.... จริงๆเขาก็แค่หวังให้มันลุกขึ้นมาด่าเขาก็ยังดี เห็นเพื่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียงนานๆแบบนี้ใจคอมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่.....
“แต่ว่ามันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ”
อยู่ดีๆไดกิก็โพล่งขึ้นมาลอยๆ ขณะใช้มีดหั่นแอปเปิ้ลที่ซื้อมาเยี่ยมให้เป็นรูปกระต่ายในช่วงที่รอให้คนป่วยฟื้น.... แม้ว่าจะโดนมือดีแอบหยิบกินเป็นระยะๆบ้างก็ตาม แต่ร่างบางก็ใจดีพอที่จะไม่ใช้มีดสับนิ้วมือซนๆนั่นทิ้งซะ
“ไดจังหมายความว่ายังไง” เคย์เดือดร้อนขึ้นมาทันที ตกใจซะจนเกือบทำแอปเปิ้ลกระต่ายร่วงหลุดมือ.....อย่าบอกนะว่าที่พูดขึ้นมาเพราะอยากเป็นคนจูบปลุกไอ้ยูยะซะเอง ....ไม่ได้นะ เคย์ไม่อนุญาตเด็ดขาดดดดดด
“ถ้าเป็นผม ต่อให้จูบเป็นสิบครั้ง ทาคาคิคุงก็คงไม่ยอมตื่นหรอก ...เขาก็มีเจ้าหญิงของเขาอยู่แล้วนี่”
“งั้นไดจังก็หมายถึง....” เคย์เว้นคำพูดเอาไว้ แล้วใช้อวัจนภาษาเป็นตัวบอกคำตอบ .....ทุกสายตาจึงหันมาทางเรียวสุเกะเป็นตาเดียว .... ซึ่งเจ้าตัวทำหน้าตื่นเขินเสียน่ารักจนคนมองเพลิน... ตาเรียวใสหลุบมองต่ำไม่กล้าสบสายตาใคร แก้มกลมๆขาวๆนั้นขึ้นสีเลือดฝาดจนแดงไปหมด ปากบางนั้นก็แย้มยิ้มขลาดเขินเล็กน้อย
“ทุกคนอย่าคิดจริงจังกันอย่างนั้นสิ”
“ที่ไดจังพูดก็มีเหตุผล เอ้า ไม่ลองไม่รู้ นะ..ยามะจัง พวกเราขี้เกียจรอให้มันตื่นเองแล้วน่ะ ช่วยหน่อยนะๆ” เขี้ยวเสน่ห์ของฮิคารุที่เรียวสุเกะเคยมองว่ามันน่ารักดี ตอนนี้ร่างเล็กชักจะมองไม่เห็นถึงความน่าเอ็นดูของมันเสียแล้ว เมื่อเจ้าของมันเดินแยกเขี้ยวมาจับเขาผลักใส่เตียงที่ยูยะนอนอยู่
“เอาจริงเหรอ” เรียวสุเกะทำตาปริบๆ
“เอาจริงสิ...ยืนอยู่ทำไมล่ะ จูบเลยๆๆ” ฮิคารุปรบมือเป็นจังหวะกดดันพร้อมส่งเสียงเชียร์เหมือนกำลังเชียร์ให้คู่บ่าวสาวจูบกันตอนแต่งงานไปแล้ว
ร่างเล็กหันมามองหน้าทุกคนอีกครั้ง ....ไดกิยิ้มๆแล้วก็พยักหน้าให้ เคย์ที่นั่งข้างๆนั้นยักคิ้วใส่ เคโตะเพียงยิ้มมองเฉยๆ
“ยามะจังคงจะเขินน่ะ ถ้าเรายังยืนมองกันแบบนี้ เอ้าทุกคน หลับตาซะ ห้ามมองนะห้ามมอง” ยูโตะตั้งตนเป็นแกนนำในการหลับตาเป็นคนแรก คนอื่นๆก็บ้าจี้พากันหลับตาพริ้มกันหมดทั้งห้อง จนเหลือแค่เรียวสุเกะคนเดียวเท่านั้นที่ลืมตาอยู่
ร่างเล็กหันกลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาของยูยะอีกครั้ง ...ใจจริงเขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง หากมันสามารถทำให้คนที่เค้ารักฟื้นขึ้นมาเป็นปกติได้อยู่แล้ว แต่ว่า....จำนวนคนที่อยู่ร่วมเป็นสักขีพยานในห้องนี้มันเยอะเกินไปจนทำให้เขาต้องลังเลใจ
เรียวสุเกะสูดลมหายใจลึกแล้วหลับตาอธิษฐานขอให้เจ้าชายรูปงามที่หลับใหลฟื้นขึ้นจากนิทราที่ยาวนานเสียที... ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงจรดริมฝีปากนุ่มกับริมฝีปากที่ปิดสนิทของยูยะอย่างเชื่องช้าแผ่วเบาราวกับขนนก... แต่ภาพที่คนอื่นๆ(แอบหรี่ตา)เห็นนั้นกลับดู .....สวยงามราวกับเทพนิยาย......
“เฮ้ย ยูยะฟื้นแล้ว” ฮิคารุตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ เมมเบอร์ทุกคนก็ดีใจไม่ต่างกันจึงแห่กันเข้ามารุมที่เตียงคนป่วยกันอย่างแน่นหนา
“อื้อหือ เพื่อนเรามันหยิ่งจริงๆว่ะ เพื่อนเรียกให้ตายไม่ยอมตื่น พอได้ยาดีเข้าหน่อย ฟื้นเร็วเชียวนะแก” เคย์พูดแดกดันด้วยความอิจฉา..... เขาก็อยากให้ไดกิมาปลุกแบบนั้นบ้างนี่นา ......
“ห้ะ อะไรของแก ยาอะไร” ยูยะในสภาวะเพิ่งฟื้น ตาเบลอๆมองคนนั้นคนนี้อย่างมึนๆ
“ก็...อุ้บ” ไดกิจัดการยัดแอปเปิลกระต่ายปิดปากเคย์ทันที
“เออ แต่เมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรนุ่มๆหวานๆอยู่ตรงปากด้วย พวกแกทำไรรึเปล่า” ยูยะพูดออกมาซื่อๆ... ทุกคนที่มีส่วนรู้เห็นก็ยืนยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวเราะหึหึ แล้วปล่อยให้เรียวสุเกะยืนหน้าแดงอยู่คนเดียว
“ก็เจ้าชายไม่ยอมตื่นสักทีนี่พะยะค่ะ หม่อมฉันก็เลยต้องส่งเจ้าหญิงไปปลุกไง ไอ้เจ้าชายกบ!!”
ยูยะหันมองหน้าแดงก็เรียวสุเกะแล้วก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้คร่าวๆ ก็เลยกระตุกยิ้มออกมา
“ถ้างั้นก็ขอเวลาส่วนตัวให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงอยู่ด้วยกันสองคนหน่อยสิ พวกสามัญชนทั้งหลาย”
“โอ้ย ถ้างั้นสามัญชนก็ขอลาล่ะพะยะค่ะ ก่อนที่หม่อมฉันจะทนไม่ไหว เตะคนป่วยตกเตียงเสียก่อน....ไปๆ เหล่าสามัญชน อย่าไปเป็นก้างเขา” ฮิคารุเห็นเพื่อนต่อปากต่อคำได้ตามปกติแล้วก็อารมณ์ดี ช่วยลากสามัญชนออกไปจากห้องจนหมด เหลือเพียงแค่เรียวสุเกะที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียงเท่านั้น
“ไง...แอบลักหลับฉันอีกแล้วสิ”
“คะ..ใครลับหลับกัน พูดให้มันดีๆนะ ...เจ้าชายกบ” เรียวสุเกะแอบยืมคำของฮิคารุมาใช้ ..ไม่นึกเลยว่าเรียกแล้วจะอารมณ์ดีได้ขนาดนี้
“ไม่รู้สิ สงสัยต้องพิสูจน์อีกรอบแล้วมั้ง”
“เฮ้ย!!”
ว่าแล้วคนป่วยก็ดึงแขนเรียวสุเกะจนล้มลงบนเตียงและตวัดเอาร่างเล็กขึ้นมานอนด้วยกันเสียเลย ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น.... ยูยะตะแคงตัวหันหน้าเข้าหาร่างเล็กที่นอนหงายอยู่อย่างเต็มตัว ....ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆลดระยะห่างระหว่างกันเข้าไปเรื่อยๆ เรียวสุเกะนอนนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกดจากดวงตาคมที่ทอดมองอย่างอ่อนหวาน ตาเรียวค่อยๆหลับพริ้มไปอย่างช้าๆ ..... ยูยะแตะจูบอ่อนโยนเบาๆทีนึงแล้วผละออก พอร่างเล็กลืมตาขึ้นมาอย่างงงๆก็กดจูบหนักหน่วงทันที
“ยูย๊าาาาา ฉันซื้อขนมมาฝะ..โอ้ะโอ” ยามะพีอ้าปากค้างเบิกตาที่โตอยู่แล้วให้โตยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอฉากเลิฟๆหลังประตูห้องพักผู้ป่วยแบบนี้ ....เรียวสุเกะตกใจแทบสิ้นสติผลักยูยะออกอย่างแรงแทบตกเตียงแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันที ....ยามะพีจึงปรับสีหน้าแล้วเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าปกติเหมือนไม่เห็นอะไรมาก่อนหน้านี้
“พีซังเข้ามาทำไมเนี่ยยยยยยยยย”
/////////////////////////////////////////////////////////////////// THE END ////////////////////////////////////////////////////////////////////
บทส่งท้าย
“เคโตะ ถามจริง....นายทำใจเรื่องยามะจังได้แล้วเหรอ” อยู่ดีๆยูโตะก็โพล่งถามขึ้นมาดื้อๆ
“ก็ถ้ามันทำให้คนที่ฉันรักมีความสุขได้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ” พ่อพระคนดีก็ตอบได้อย่างมาดพระเอกสุดๆ จนยูโตะต้องเดาะลิ้นอย่างชื่นชม “อะโห พระเอกจริงๆ”
“แล้วนายล่ะ....เห็นฮิคารุบอกว่าวันนั้นนายวิ่งร้องไห้ออกไป”
“ก็...ทำไงได้ ฉันไม่อยากเป็นตัวปัญหาของยามะจังนี่นา ก็ต้องยอมถอยออกมา” แม้ใจความจะคล้ายๆกันคือยอมแพ้ แต่รายนี้ไม่ได้มีมาดพระเอกละครหลังข่าว ...ยูโตะที่มักจะแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้าก็ดูหดหู่ขึ้นมาทันที
“ฮืมมมม” เคโตะลากเสียงยาว ในแบบที่ชวนให้คนฟังหงุดหงิดได้ไม่เบา
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง”
“ไป Tea house กัน” จู่ๆร่างหนาของเคโตะก็ดึงแขนยูโตะให้ออกเดินไปด้วยกัน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมก็ยื้อเอาไว้สุดกำลัง
“ห้ะ ไม่เอ๊า ฉันไม่ชอบน้ำชา” เจอเหตุผลแบบเด็กๆเข้าไป เคโตะก็ยิ้มออกมาน้อยๆ
“ที่นั่นมีของหวานด้วยนะ แล้วก็โกโก้ปั่นน่ะเค้าว่าสุดยอดเลย...ว่าไง จะไปมั้ย ฉันเลี้ยงเอง”
“ไป!!!”
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*- FIN -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
I-PrA Talk : จบแล้วจ้า.....(ฟ้อนขันดอกด้วยความดีใจ) สุทธิที่ราวๆ 20 ตอน ด้วยเวลาปีครึ่งเศษๆ .... แหม มันช่างยาวนานอย่างน่าตกใจ ละครจบไปเป็นปีล่ะ (ฮา) ....เวลามันผ่านไปเร็วเนอะ แปปๆก็ปีนึงแล้ว
สำหรับฟิก ไม่รู้ว่าจะจบถูกใจคนอ่านบ้างมั้ย เราพยายามเกลามันสุดๆแล้ว....หวังว่าคนอ่านทุกคนคงมีความสุขกับมันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เราไม่ค่อยถนัดบรรยาย แถมฉากกุ๊กกิ้กนี่ยังต้องพัฒนาอีกมาก (ฮา)
.... อ่านจบแล้วก็ช่วยติชม แสดงความคิดเห็นกันหน่อยน้า ใครที่ยังไม่เคยเม้นเลยขอเม้นตอนจบสักครั้งก็ยังดีเนาะ^^
สำหรับฟิกเรื่องต่อไป.... มีโครงการไว้แล้วว่าจะเป็นฟิคสั้นๆเป็นซีรีย์ชุดเดียวกัน เพื่อฟิกจะได้ไม่ดองค้าง
เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปประจะเข้าสู่วัยทำงานแล้ว อาจไม่ค่อยมีเวลาเขียนฟิกสักเท่าไหร่(ละมั้ง)
ยังไงก็ขอคุณสำหรับการติดตามที่ยาวนานค่ะ รักคนอ่านทุกคน
^____________________________________________________________^
แถมๆ คุซาป๊ง กับแพนด้าเนโกะ 555+
ความคิดเห็น