ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic HSJ].... You are beautiful ....[Hey!Say!JUMP version]

    ลำดับตอนที่ #19 : Happiness [Fin]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 277
      0
      9 ต.ค. 55

     

     

     

    19

     

     

     

                    ปาร์ตี้เริ่มขึ้นแล้ว

     

                    เรียวสุเกะนั่งมองความโกลาหลที่เกิดขึ้นในบ้าน ตั้งแต่ที่พีซังและชิเงะซัง หอบเอาเสบียงชุดใหญ่มาตั้งกลางโต้ะในห้องรับแขกที่ถูกประดับประดาด้วยของตกแต่งที่เข้ากับเทศกาล ทั้งไฟประดับ ทั้งต้นสนแผงขนาดใหญ่ตรงมุมห้องถูกพันรอบด้วยสายรุ้งหลากสี แขวนด้วยกระดิ่ง ตุ๊กตา กล่องของขวัญขนาดเล็ก และ....เอ่อ....ถ้าเขาตาไม่ฝาด มันคือถุงเท้าสีสดใสลายการ์ตูนน่ารักแขวนรวมอยู่ด้วย

     

                    เฮ้ย ใครเอาถุงเท้ามาแขวนไว้บนต้นคริสต์มาสเนี่ยยยย ฮิคารุที่เพิ่งจะเดินมาเห็นเข้าก็โวยวายขึ้นมาทันที หนำซ้ำยังกระชากมันออกอย่างไม่ปรานีสักนิด

     

                    อ๋า ทำไมทำแบบนี้ล่ะ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจติดนะไม่ต้องเสียเวลาตามหา ผู้ร้ายก็แสดงตัวออกมาให้จับได้โดยง่าย ....ยูโตะทำปากอูดใส่ฮิคารุอย่างไม่พอใจ

                    นายนั่นแหละ จะบ้ารึไง!! ของแบบนี้ใครเค้าเอามาแขวนบนต้นคริสต์มาสกันเล่า

                    อ้าว นายไม่รู้รึไง ว่าตอนที่เราหลับไปแล้วลุงซานต้าจะเอาของขวัญมาใส่ไว้ในถุงเท้าที่เราเตรียมไว้น่ะ

                    นายอายุเท่าไหร่กันแล้วห๊า!!! ยูโตะ!!! ยังจะเชื่อเรื่องหลอกเด็กพรรค์นั้นอีก...แล้วอีกอย่างนะ ไม่มีใครเค้าแขวนถุงเท้าไว้บนต้นคริสต์มาสหรอก เค้าแขวนไว้หน้าเตาผิงเพราะซานต้าจะเข้ามาทางปล่องไฟต่างหาก!”

     

                    ก็บ้านเราไม่มีเตาผิงนี่นา น้ำเสียงยูโตะเงื่องหงอยลงไปอย่างน่าสงสาร

     

                    งั้นก็แปลว่าซานต้าจะไม่มาที่บ้านเรา เพราะฉะนั้น มาเอาถุงเท้าของนายไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย!!”

     

                    ร่างเล็กนั่งดูทั้งสองคนทะเลาะกันเป็นเด็กแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ...ร่าเริงกันได้ตลอดเวลาจริงๆนะ...

     

                    ยามะจัง กินเยอะๆเลยสิ เดี๋ยวจะไม่ทันเจ้าพวกนี้นะยามะพีที่นั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามพูดอย่างใจดี....ข้างๆกันนั้นเป็นยูยะที่ไม่เคยปล่อยโอกาสให้จานว่างเลย ปากสีสดนั่นก็ขยับเคี้ยวหยับๆอยู่ตลอดเวลา

                    อะไร ผมกินไปแค่จานเดียวเองนะแม้พีซังจะไม่ได้เอ่ยนามใคร แต่ก็มีคนบ้าบางคนที่ร้อนตัวแล้วรีบเถียงออกมา

     

                    จานเดียวแต่เติมหลายรอบนั่นก็นับเว้ย หนอย น้ำหนักลดลงมาเท่าไหร่แล้วล่ะถึงได้กินเอาๆ ประธานหนุ่มหันมาถามยูยะอย่างเอาจริงเอาจัง ....ยูยะก็เลยชูสองนิ้วใส่หน้ายามะพีด้วยความภูมิใจแบบสุด

                    สองขีดยามะพีแกล้งตอบอย่างดูแคลน

                    สองโลต่างหาก!!! พีซังอย่ามาดูถูกถ้าลองได้พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ยูยะก็มักจะอารมณ์ขึ้นทุกที..... ยามะพีเองก็รู้ดีถึงได้แซวเป็นเรื่องสนุกไป

     

                    แต่ถ้านับรวมที่นายกินเข้าไปวันนี้ทั้งหมด ฉันว่าป่านนี้มันคงขึ้นมาสักสามสี่โลแล้วล่ะ เคย์พูดแทรกด้วยความไม่พอใจส่วนตัว เพราะก่อนหน้านี้เขาถูกยูยะแย่งเนื้ออบซอสชิ้นที่หมายตาไว้ไปต่อหน้าต่อตา ส้อมในมือเค้ากำลังจะจิ้มสัมผัสถูกเนื้อนุ่มๆนั่นแล้วแท้ๆ เสร็จโจรไปซะได้...

     

                    บรรยากาศกำลังจะเริ่มมาคุขึ้นเมื่อสองหนุ่มหล่อต่างใช้สายตาปะทะกันอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร .... เรียวสุเกะหันซ้ายทีขวาทีเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก จะทะเลาะกันจริงๆเหรอ!? ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ....ชิเงะซังเองก็มีท่าทีกังวล คงกลัวว่างานจะล่มถ้าสองคนนี้เกิดครึ้มใจลุกขึ้นมาปะทะกันโดยใช้อวัยวะอื่นๆนอกจากสายตาแทน ... เคโตะนั่งจิบชามองดูอย่างสงบ ในขณะยามะพีซึ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะสูงสุดในที่นี้...กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน นั่งตั้งใจดูเป็นผู้ชมด้วยแววตาพราวระยับ

     

     

                    อิ่มกันรึยังครับ ยังมีเค้กอีกนะ^^”

     

    ไดกิเดินประคองเค้ก 2 ปอนด์ออกมาจากในครัวอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ใบหน้าน่ารักที่ประดับด้วยรอยยิ้มสดใสนั้นดูเข้ากันดีกับเค้กสตรอเบอร์รี่ครีมสดที่เจ้าตัวถือมาอย่างบอกไม่ถูก เสมือนเป็นนางฟ้าที่เข้ามาปราบมารยังไงอย่างนั้น เป็นเพราะว่าเคย์ได้เบนสายตาจากยูยะมาจับจ้องที่ไดกิด้วยแววตาหวานเยิ้มแทนเสียแล้ว ขณะเดียวกันยูยะก็เบนสายตาไปที่เค้กเช่นกัน

     

    ชั่วพริบตาโต๊ะกลางห้องรับแขกก็ถูกเคลียร์เสียจนเรี่ยมเร้ โดยมีเคโตะและฮิคารุอาสายกจานของคาวไปเก็บในครัว ...เรียวสุเกะมองตามคนทั้งคู่ไปด้วยความรู้สึกผิด จริงๆเขาควรจะเป็นฝ่ายช่วยยกจานพวกนั้นด้วยซ้ำ ถ้าหากว่า….

     

    ........สตรอเบอร์รี่สีแด๊งแดงลูกโตๆบนเค้กจะไม่ดึงดูดใจขนาดนี้!!!.......

     

    ว้าว ฉันขอกินคุณซานต้านะ ทันทีที่เค้กถูกวางลงกลางโต๊ะ ยูโตะโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ได้ จู่ๆก็พุ่งเข้ามาคว้าเอาก้อนน้ำตาลบนเค้กที่ทำเป็นรูปซานตาครอสเป็นของตัวเองด้วยความไวแสง ....นี่ถ้าฮิคารุไม่ลุกไปเก็บจานพอดีล่ะก็ ยูโตะคงโดนตีมือเพียะแล้วอบรมสั่งสอนยาวอย่างแน่นอน

     

    รอบนี้ฉันไม่เป็นคนตัดเค้กแล้วนะ ชิเงะป้องปากกระซิบบอกข้างหูยามะพี สีหน้าของชิเงะยังคงหลงเหลือซึ่งความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด .....เขายังจำได้ดี คราวก่อนที่จับผลัดจับผลูกลายเป็นคนตัดแบ่งเค้กแล้วถูกกดดันจากรอบด้าน ถ้าหากว่ามีชิ้นไหนที่ใหญ่หรือเล็กเกินกว่าปกติ คนพวกนี้ก็พร้อมจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นโดยทันที

     

    ...........บรื๋อออออ ไม่ไหว ขอไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงดีกว่า .........

     

    ยามะพีพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วก็บังเกิดไอเดียดีๆจึงโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

     

    วันนี้เรามากินเค้กกันแบบหมู่กันดีกว่า ยูโตะไปเอาส้อมสำหรับทุกคนมาซิ ยูโตะทำหน้ายู่เล็กน้อย แต่โดนพีซังยิ้มหวาน(ที่มองแล้วขนลุก)ใส่ จึงยอมวิ่งกระโดดด้องแด้งเข้าไปหยิบส้อมในครัวตามประสาคนไฮเปอร์

     

    จากนั้นก็กลายเป็นเรื่องหรรษาสำหรับท่านประธานอีกแล้ว เมื่อพีซังเสนอให้ไม่มีการแบ่งเค้กอย่างเสมอภาค แต่ให้ทุกคนถือส้อมคนละคัน แล้วจ้วงกินกันเอาเอง ....ดังนั้นความสวยงามของหน้าเค้กจากร้านชื่อดังราคาแพงที่ได้เชยชมกันเพียงไม่นานก็สูญสลายไปเพียงชั่วพริบตา สตรอเบอร์รี่ลูกโตที่ประดับบนหน้าเค้กถูกแย่งชิงจับจองเป็นอันดับแรกจนเกิดเสียงสงครามชนส้อมเป็นแบ็คกราวน์

     

                    ยามะจังชอบกินสตรอเบอร์รี่ใช่มั้ยล่ะ อ้ามม อ้าปากเร็ว ฉันจะป้อนเอง ยูโตะมีสีหน้าร่าเริงสุดขีดเมื่อเบียดตัวเองเข้ามานั่งอยู่บนพนักโซฟาเดี่ยวที่เรียวสุเกะจับจองอยู่ ....มือยาวๆนั่นช่วงชิงจิ้มเอาสตรอเบอร์รี่ลูกโตมาได้ แล้วมันก็กำลังจออยู่ตรงปากของร่างเล็กนี่เอง

     

                    ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่ล้วนหันมาจ้องมองกันเป็นตาเดียว โดยเฉพาะยูยะและเคโตะที่ดูจะจ้องนิ่งเป็นพิเศษ ....เรียวสุเกะมองหน้าคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็ข่มความเขินอายแล้วอ้าปากงับสตรอเบอร์รี่ลูกนั้นมาเคี้ยวจนแก้มพอง

     

                    อ้าว จะไปไหนล่ะยูยะ กินเค้กไปนิดเดียวเองนี่ยามะพีที่นั่งข้างๆทักขึ้น เมื่อจู่ๆยูยะลุกเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นแบบไม่บอกกล่าว

     

                    ผมพอแล้ว ....เลี่ยน

     

    เรียวสุเกะไม่แน่ใจว่าวลีสุดท้ายนี่ยูยะจงใจพูดใส่หน้าเขารึเปล่า หรือว่าเขาแค่บังเอิญไปสบสายตาคมในจังหวะนั้นพอดี ...เพื่อความแน่ใจ ร่างเล็กเลยมองไปที่คนอื่นๆเพื่อดูปฏิกิริยา แต่ทุกคนต่างเอนจอยกับการกินต่ออย่างไม่สนใจ เพราะรู้ดียูยะก็ลมเพลมพัดเป็นปกติอยู่แล้ว เดี๋ยวอารมณ์ดีก็กลับมาเอง

     

    เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เคย์หันมาพูดยิ้มๆ แล้วก็หันกลับไปหนุงหนิงกินเค้กกับไดกิราวกับโลกนี้มีเพียงสองเราอย่างเดิม

     

    ........เป็นห่วง...... นี่เขาแสดงออกทางหน้าตาออกมาชัดขนาดนั้นเลยหรือ..........

     

     

     

    ครืดๆ ครืดๆ

     

    แรงสั่นจากมือถือช่วยเป็นข้ออ้างชั้นเลิศให้เรียวสุเกะขอปลีกตัวออกมาจากยูโตะที่เกาะติดแจ ถึงจะคอยเอาใจใส่ป้อนนั่นป้อนนี่ให้ไม่หยุดก็ตามทีเถอะ เขาไม่รู้จะหลบเลี่ยงยังไงแล้ว ....ถ้าไม่ยอมกินยูโตะก็จะเบะปากงอแง เผลอๆก็โดนงอนเข้าให้อีก ....

     

    ร่างเล็กหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู บนหน้าจอที่มีรูปเขากับไดจังเป็นวอลเปเปอร์นั้นปรากฏเป็นสัญลักษณ์เตือนว่ามีเมล์เข้า เขากดเปิดดูไม่รอช้า

     

    ////มาหาฉันที่ดาดฟ้าบริษัท ด่วน!!! - ยูยะ////

     

    เนื้อหาในเมล์ยังไม่น่าตกใจเท่าชื่อผู้ส่งที่แนบมาในตอนท้ายของอีเมล์ .....ยูยะมีเรื่องอะไรถึงต้องเรียกเขาไปที่บริษัท ทั้งๆที่เมื่อกี้ก็นั่งอยู่ในบ้านด้วยกันแท้ๆ ......

     

    ครืดๆ

     

    เรียวสุเกะยังงงไม่ทันหาย ก็มีเมล์เข้ามาอีกฉบับจากผู้ส่งคนเดิม

     

     

                    ////บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ชอบการรอคอยอะไรนานๆ - ยูยะ////  

     

                    ร่างเล็กได้สติแล้วรีบวิ่งออกไปหน้าบ้านทันที ...แล้วก็พบว่า รถของยูยะไม่อยู่แล้ว.....

     

     

                    ........ถ้าไม่ชอบรอนัก ทำไมถึงไม่เรียกเขาขึ้นรถไปพร้อมกันให้รู้แล้วรู้รอดกันเล่า  ตาบ้า...........

     

     

     

    ............................

    ...............

    .......

     

     

    ขอบคุณนะครับชิเงะซังที่มาส่ง

     

    เรียวสุเกะโค้งขอบคุณชิเงะซังที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งเขาถึงบริษัท นี่ถ้าไม่ได้ชิเงะซังเรียกเอาไว้ล่ะก็ ป่านนี้เขาจะเดินหาแท็กซี่ได้สักคันรึยังนะ

     

    อื้อไม่เป็นไร ฉันจะกลับแล้วเหมือนกัน พอดีมีนัดต่อน่ะ

    นัดกับคนพิเศษรึเปล่าครับ

    พิเศษ พิเสิดอะไรกัน ไม่มีหรอกน่า... ว่าแต่ยามะจังเถอะ ดึกดื่นป่านนี้มาที่บริษัททำไมอีก ทุกคนก็อยู่ที่บ้านนี่นา

    โอเค...เพื่อไม่ให้ชิเงะซังเขินไปมากกว่านี้ เรียวสุเกะจะเป็นคนดีไม่พูดแซวเรื่องที่ชิเงะซังหน้าแดงขัดกับคำพูดก็ด้ายยยย

     

    เอ่อ ผมลืมของสำคัญไว้ที่บริษัทนะครับ พอดีต้องใช้วันนี้ด้วย ร่างเล็กหาข้ออ้างแถไปได้อย่างเนียนๆ ชิเงะไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ได้แต่บอกให้เขาดูแลตัวเองดีๆแล้วจึงขับรถออกไป

     

    เมื่อรถของชิเงะเคลื่อนตัวออกไปแล้ว อากาศยามค่ำคืนของเดือนธันวาคมก็โถมเข้าใส่ให้เรียวสุเกะรู้สึกหนาวจนต้องห่อตัว มือเล็กกระชับเสื้อเข้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่น เสื้อผ้าที่เขาใส่ติดมาก็ดูเหมือนจะต้านทานความหนาวได้ไม่เท่าไหร่

    ...ร่างเล็กยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลา ....นี่ก็ปาไปครึ่งชั่วโมงแล้วนับจากที่ยูยะส่งเมล์มา

     

    “ตายแน่! ทาคาคิคุงต้องโกรธอีกแน่ๆเลย” ร่างเล็กรีบวิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าทันที ด้วยกลัวว่าใครบางคนจะรอนานไปกว่านี้

     

                    .

                    .

     

                    ครืดดดดดด

     

                    สิ่งที่เรียวสุเกะได้พบเห็นบนดาดฟ้านั้นมีอะไรให้ตื่นตะลึงได้มากกว่าที่คิด .... บนพื้นคอนกรีตธรรมดาๆเต็มไปด้วยเหล่าเทียนไขสีหวานน้อยใหญ่ที่ให้แสงสว่างแสนอบอุ่นวางไว้ทั่วบริเวณ โดยที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีดำสนิทและแม้จะมีดวงดาวอยู่ไม่มากก็ตาม เพราะมันถูกทดแทนด้วยวัตถุขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางดาดฟ้า ....ต้นคริสมาสต์ที่ถูกประดับประดาด้วยดวงดาวนับร้อยหลากสีสัน เมื่อต้องแสงไฟแล้วเกิดเป็นประกายระยิบระยับงดงามจับตา ...ความน่าตื่นตาตื่นใจทั้งหมดนี้นำพาให้ขาของร่างเล็กค่อยๆขยับเดินเข้าไปใกล้ความสวยงามนั้นทีละนิดๆ

     

    และใต้ต้นคริสมาสที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เค้าชอบนั้นเอง ผู้ชายร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งกำลังนอนหงายอาบไล้แสงจันทร์ ขาเรียวยาวข้างหนึ่งยกตั้งชัน อีกข้างหนึ่งเหยียดยาวขนานกับพื้นอยู่บนม้านั่ง ....เปลือกตาบางปิดสนิทเผยให้เห็นแพขนตายาว...จมูกโด่งเป็นสัน.... ลมหายใจสม่ำเสมอ

     

    .........หลับสนิท.......

     

    “ยูยะเป็นคนทำทั้งหมดนี่......ให้ฉันงั้นเหรอ”

    ต่อให้โง่แค่ไหน เขาก็คิดเป็นอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว.... หรือที่อยู่ดีๆก็ลุกหนีออกมาก่อนก็เป็นแผนถ่วงเวลาเพื่อมาจัดที่นี่ด้วยรึเปล่า

     

    เรียวสุเกะคิดได้อย่างนั้น จึงเผลอตัวยื่นหน้าไปใกล้เพื่อพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายให้ชัดๆ

     

    ....หากว่านัยน์ตาคมๆที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกตาบางๆนี้ไม่ได้ฉายแววดุๆจนไม่น่าเข้าใกล้อยู่ตลอดเวลา...

    .... หากว่าปากแดงๆนี้ไม่ได้ชอบเอ่ยเอื้อนวาทะร้ายกาจแล้วล่ะก็.... 

     

    ก่อนจะมาสะดุดลมหายใจตัวเองเมื่อสายตาเลื่อนลงมายังริมฝีปากอิ่มสีแดงที่ปิดสนิท

     

    “ขอบคุณนะ...”

     

    ด้วยความคิดบางอย่างทำให้ร่างเล็กค่อยๆก้มลงแนบริมฝีปากบางลงไปสัมผัสกับริมฝีปากเย็นเฉียบด้วยอากาศเพียงแผ่วเบา ทว่าหวานและอุ่นยิ่งนักในความรู้สึก

    ....เดิมทีเรียวสุเกะคิดว่าจะผละออกในระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อร่างเล็กทำท่าจะถอนริมฝีปากออกกลับถูกอีกฝ่ายตวัดแขนรัดช่วงเอวบางเอาไว้จนขยับไม่ได้ แถมริมฝีปากเย็นเฉียบที่ไร้การตอบสนองเมื่อครู่ก็กลายเป็นฝ่ายมอบความหวานล้ำมาแทนจนเรียวสุเกะหายใจไม่ทัน ....จนเมื่อยูยะถอนจูบ ร่างเล็กถึงได้ลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้นข้างๆกันนั้นเอง

     

    ร่างสูงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ประกายหวานในดวงตาคมจัดและริมฝีปากที่วาดเป็นรอยยิ้มในแบบที่เค้าไม่ค่อยได้เห็นนั้นทำให้เรียวสุเกะต้องนั่งแก้มแดง รู้สึกร่างกายร้อนผ่าวทั้งๆที่อากาศในเวลานี้หนาวจัด

     

    .....ทาคาคิ ยูยะ คนที่มักจะอารมณ์เสียได้ง่ายๆโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องของเขา  แต่วันนี้นอกจากจะไม่ดุว่าเรื่องที่เขามาสายแล้วยังยิ้มให้เขาอีกด้วย......

     

    เรียวสุเกะ.... ยูยะขยับลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งดึงแขนร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน เรียวสุเกะก็ลุกขึ้นตามอย่างงงๆ ในหัวก็คิดแค่ว่า ร่างสูงกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันนะ คาดการณ์ได้ยากจริงๆ

     

    นายไม่รู้ใช่มั้ย

    เอ้ะ!?”

    ไม่ได้มีใครบอกนายใช่มั้ย

    เห...ทาคาคิคุงหมายถึงเรื่องอะไร?”

     

    ยูยะตัดสินได้จากสีหน้างุนงงสงสัยเต็มพิกัดของเรียวสุเกะก็ยิ่งเปิดยิ้มกว้าง คว้าร่างเล็กๆปลิวเข้ามากอดแนบอกแล้วขยี้หัวกลมๆจนผมกระจุยด้วยความหมันเขี้ยว

     

    ถ้าไม่รู้ก็ดีแล้วล่ะ

    อะไรกัน ขี้โกงนี่นา

     

    ...... ให้ตายก็บอกไม่ได้ เรื่องที่เขาแอบเชื่อมาตลอดว่า คนที่มาปลุกเขาด้วยจุมพิตในวันศักดิ์สิทธิ์อย่างคืนวันคริสมาสต์คือคนที่พรหมลิขิตส่งมาเพื่อเป็นเจ้าหญิงของเค้าไปตลอดกาล .......

     

    และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงยิ้มได้ตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วเจอหน้าเรียวสุเกะ

     

    ...... ความเชื่อแบบเด็กๆที่ไม่สมกับความเป็น ทาคาคิ ยูยะ ในสายตาคนอื่นแบบนี้ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เจ้าตัวเล็กนี่ล่วงรู้เป็นอันขาด.......

     

     

    แต่ฉันบอกนายได้อย่างนึงนะ

    อะไรครับ ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นถามอย่างเดียงสา ตาเรียวใสกิ๊งแป๋วแหววจนร่างสูงต้องกระแอมออกมาด้วยความประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูบางด้วยเสียงอันทรงเสน่ห์

     

    ฉันชอบนาย ....เรียวสุเกะ

     

     

                    ......................................

                    ..........................

                    .............

     

     

                    ยามะจัง!!!! ไปไหนมาน่ะ ฉันว่าจะออกไปตามแล้วเชียว

     

                    เรียวสุเกะชะงักเท้าที่ตั้งใจจะย่องเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆเงยหน้ามองมนุษย์ตัวยาวที่โผล่มาดักตรงทางเข้าแบบไม่มีการบอกกล่าวแล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ

     

                    ทำไมไม่เข้าปะ...อ้ะ!” ยูยะที่เดินตามเข้ามาทีหลังก็ตกใจไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าจะมีใครรอเจออยู่ในเวลาดึกดื่นขนาดนี้ เขาคิดว่าทุกคนแยกย้ายเข้านอน ไม่ก็หลับกองกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเรียบร้อยไปแล้วด้วยซ้ำ

     

                    ....แม้จะรู้ว่ายังไงเขาก็ต้องบอกความจริงกับทุกคน แต่ไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้....

     

                    เอ่อ...ยังไม่นอนอีกเหรอยูโตะยูยะพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศอึมครึม

                    ฉันจะนอนหลับได้ยังไง ในเมื่อยามะจังยังไม่กลับบ้าน...ว่าแต่ ทำไมนายสองคนถึงกลับมาพร้อมกันล่ะ หรือว่า!!!”

                    คือ…” ยังไม่ทันจะได้อธิบายถึงที่มาที่ไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

     

                    เอะอะอะไรเสียงดังกันน่ะ เสียงฮิคารุตะโกนดังออกมาจากห้องนั่งเล่น.... ยูยะก็ฟันธงได้เลยว่ายังไม่มีใครเข้าห้องไปอย่างแน่นอน คิดได้ดังนั้นร่างสูงจึงตัดสินใจคว้ามือร่างเล็กแล้วจูงเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจอยู่เล่นเกมส์ 20 คำถามกับยูโตะต่อให้เสียเวลา

     

                    ยูยะกุมมือเล็กของเรียวสุเกะไม่ยอมปล่อย แม้ว่าทั้งคู่จะมายืนอยู่ตรงหน้าสักขีพยานหลายชีวิตแล้วก็ตาม ซึ่งเรียวสุเกะเองก็กระชับมืออีกฝ่ายแน่นไม่ปล่อยเช่นกัน แต่แก้มขาวนวลที่ขึ้นสีจัดนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวกำลังเขินอยู่ไม่น้อย

     

                    คบกันแล้วเหรอเคย์ถามขึ้นลอยๆสบายๆ เขาวางท่าอย่างผู้มีประสบการณ์ได้น่าหมันไส้นักในสายตาไดกิจนร่างบางอดที่จะฟาดมือเรียวใส่ที่แขนเป็นไม่ได้ ....ฝ่ายเคย์ก็ร้องโอดโอยเกินความเป็นจริงเรียกร้องความสนใจ แต่ไดกิเมินใส่แล้วหันมาสนใจที่น้องชายอีกครั้ง

     

                    จริงรึเปล่า เรียวจัง เมื่อโดนถามย้ำเอาจากคนที่รู้ดีที่สุด เรียวสุเกะก็ยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่ ยูยะเห็นแล้วก็เลยช่วยโดยการดึงร่างเล็กเข้ามากอดไว้แนบแน่น เรียวสุเกะที่โผล่มาแค่เสี้ยวหน้าก็พยักหน้าครางตอบรับสั้นๆ เท่านี้พี่ชายหน้าหวานก็เปิดยิ้มอย่างมีความสุข จนคนข้างๆครางหงิงๆบ่นกระปอดกระแปดว่าเมื่อไหร่คนบางคนแถวนี้จะยอมรับว่าเป็นคนรักกันแบบเปิดเผยสักที

     

    “ยามะจัง.....ยูยะ....นายสองคน....ตั้งแต่เมื่อไหร่” ฮิคารุหันมองหน้ายามะจังและยูยะคนละทีแล้วกระพริบตาปริบๆเหมือนยังปรับความคิดไม่ทัน ....เขาออกจะช็อคไปสักเล็กน้อย ที่ผลสุดท้ายแล้วคนที่ครองใจยามะจังได้กลับเป็น ม้านอกสายตา(ของเขา)อย่างยูยะ แทนที่จะเป็นเทพบุตรสุดเพอร์เฟคอย่างเคโตะอย่างที่เขาเชื่อมาตลอด

    ........เป็นไปได้ไง ในเมื่อเขาเห็นว่าสองคนนี้ตีกันวันค่ำ วันๆนึงเขาจะต้องได้เห็นไอ้ยูยะหัวเสีย แล้วยามะจังก็วิ่งตามขอโทษอยู่บ่อยๆ .....มันไปรักกันช่วงไหนวะ?

     

                    ที่มาไม่สำคัญ แต่ปัจจุบัน...ก็อย่างที่เห็น ยังคงตอบคำถามได้กวนจนฮิคารุอยากจะหาอะไรขว้างใส่ให้รู้แล้วรู้รอด....หมันไส้คนมีคู่โว้ยยยยยย

     

                    ยามะจังคิดผิดแล้วล่ะที่ไปรักคนอย่างยูยะน่ะ มิวายยุแยงสร้างความร้าวฉานตั้งแต่วันแรกที่คบกันเพื่อความเป็นศิริมงคลเสียด้วย

     

    “เอ้ะ ถ้างั้นแล้วเจ้าเคโตะไปไหนของมันล่ะ ฉันก็นึกว่าออกไปกับยามะจังนะเนี่ย..... แต่ช่างเถอะ เจ้านั่นมันดูแลตัวเองได้” จะมีใครอีกที่สามารถตั้งคำถามเอง คิดเอง แล้วก็ตอบเองเสร็จสรรพ ....สมกับเป็นฮิคารุจริงๆ

     

     

     

    “ทำไมถึงเป็นยูยะล่ะ”

    น้ำเสียงเครือๆเหมือนคนจะร้องไห้ดังมาจากด้านหลัง เรียกให้ยูยะและเรียวสุเกะหันไปตามต้นเสียง... ยูโตะที่ยืนน้ำตาคลอมองภาพทั้งสองคนกอดกันด้วยหัวใจที่แตกสลาย ร่างโปร่งโย่งพยายามกักกั้นไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้าแย่ๆให้เรียวสุเกะเห็น แต่สุดท้ายก็ทนความเสียใจไม่ไหวจนวิ่งเตลิดออกจากบ้านไป

     

                    ยูโตะคุง!!!”  แม้เรียวสุเกะจะตะโกนเรียกก็ไม่เป็นผล .....เสียงประตูถูกปิดลงอย่างแรง พร้อมกับร่างสูงโปร่งของยูโตะที่ลับสายตาไป .....ร่างบางยืนหันรีหันขวางด้วยความสับสน ใจนึงก็อยากตามยูโตะออกไปด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าจะวิ่งเตลิดไปถึงไหน ข้างนอกมืดก็มืด แถมยังหนาวจับใจ เหมือนว่ายูโตะจะผลุนผลันออกไปแต่ตัวไม่ได้เอาเสื้อคลุมติดไปด้วยใช่ไหม ...แต่อีกใจก็เป็นห่วงความรู้สึกคนทางนี้ด้วย ยูยะจะรู้สึกยังไงถ้าเขาวิ่งตามออกไปตอนนี้

     

                    พรึ่บบบบ

     

                    เรียวสุเกะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นรอบต้นคอขาว ....ร่างเล็กตกใจเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของผ้าพันคอผืนหนานุ่มที่ยังหลงเหลือไออุ่นของร่างสูงที่ตั้งใจพันผ้ารอบคอให้เขาอย่างแน่นหนา

     

                    ดูแลตัวเองด้วยละกัน ถ้ากลับไม่ได้ก็โทรมาบอก ฉันจะไปรับ

    น้ำเสียงเก็กๆกับหน้าตาปั้นยากและไม่ยอมสบตา ร่างสูงพูดไปเกาต้นคอโล่งๆไปเพราะเพิ่งถอดผ้าพันคอให้ไปเมื่อครู่ ยูยะเหมือนเขินที่จะพูดบทพระเอกๆแบบนี้ ทำให้ร่างเล็กอมยิ้มอย่างมีความสุข

     

     

     

                    ฉันว่าคนที่จะไม่สบายน่าจะเป็นแกมากกว่า หน้าแดงแปร๊ดเลยนะเว้ย ไอ้ยูยะ ฮ่าๆๆ

                   

    สองหนุ่มเคย์กับฮิคารุ ต่างหัวเราะชอบใจที่นานๆทีจะได้เห็น ลีดเดอร์ผู้เพียบพร้อมเขินจนหน้าแดง แถมยังเงอะๆงะๆทำตัวไม่ถูกเหมือนเด็กหนุ่มแรกรัก

     

    .....หุหุหุ เรื่องนี้ถึงหูยามะพีแน่!!!!! ^o^ .......

     

                    .

                    .

                    .

     

     

                    ถ้าถามว่าเรียวสุเกะรู้ไหมว่ายูโตะจะหนีไปที่ไหน

     

                    ตอบตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้

     

                    แต่ถ้าจะให้เดาล่ะก็ .... คงเป็นที่นี่

     

     

     

                    ร่างเล็กกวาดสายตาไปทั่วสนามเพื่อตามหา ...ทั้งกระบะทราย กระดานลื่น ม้าหมุน ไม้กระดก เผื่อว่าจะมีสักที่ๆยูโตะซ่อนตัวอยู่.....และก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีที่ในที่สุดก็พบผู้ชายตัวยาวคนนึง นั่งห่อไหล่ท่าทางหงอยเหงาอยู่เงียบๆมืดๆคนเดียวบนชิงช้าเด็กที่ขยับโยกน้อยๆ ด้วยขนาดตัวที่ไม่สมส่วนกันสถานที่ ขาเรียวจึงยืดยาวเลยออกมาจากชิงช้ามากจนเก้งก้างไม่น่าดูเท่าไหร่

     

    “ห้ามเข้ามานะ! นายไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่”

     

                    เรียวสุเกะชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในบริเวณที่ยูโตะอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของฐานทัพลับนั้นเพราะเสียงตะโกนดังออกจากปากของคนที่ดูไร้จิตวิญญาณ... แต่มีหรือที่ร่างเล็กจะฟัง ในเมื่อเขาอุตส่าห์ตามมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็จะไม่ยอมแพ้กลับไปง่ายๆหรอก

     

                    บอกว่าอย่าเข้ามาไง!”

     “ยูโตะคุง” เรียวสุเกะเลือกที่จะนั่งบนชิงช้าห่างๆ แล้วมองไปที่ยูโตะอย่างเป็นห่วง

     

    เวลานั้นก็เดินต่อไปตามครรลองของมันอย่างไม่หยุดนิ่ง ....แต่ทั้งคู่กลับปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเงียบงัน มีเพียงลมหนาวที่พัดเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาเกาะกุมหัวใจเท่านั้น

     

    “นายชอบยูยะเหรอ” ในที่สุดยูโตะก็ยอมพูดออกมา ใบหน้าหล่อเหลาหันมาจ้องหน้าร่างเล็กด้วยความจริงจัง... แววตาที่เคยสดใสเป็นประกายอยู่เสมอ ตอนนี้กลับฉายแววเศร้าออกมาอย่างชัดเจน

     

    “ครับ..ผมชอบยูยะ” เรียวสุเกะตัดสินใจตอบออกไปตามความจริง .... แม้จะรู้ว่ามันอาจทำให้ยูโตะรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม... แต่เขาก็โกหกความรู้สึกตัวเองไม่ได้เช่นกัน

     

    ทำไมล่ะ.....เป็นฉันไม่ได้เหรอ ยูโตะไม่สามารถบังคับเสียงไม่ให้สั่นได้อีกแล้ว นายเป็นคนเดียวที่ฉันรัก ...นายคนเดียวที่ฉันบอกเรื่องฐานทัพลับนี่ นายคนเดียวที่ฉันยอมยกของที่ชอบให้ ....แล้วทำไม เสียงของยูโตะแหบแห้งจนหายไป แทนที่ความรู้สึกทั้งหมดด้วยหยดน้ำใสๆที่ไหลมารวมกันที่หัวตา แล้วทิ้งตัวไหลอาบแก้มเนียน

     

    ฉันชอบนายนะยูโตะ นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน....ขอโทษด้วยที่ตอบรับความรู้สึกของนายไม่ได้

     

    ฉันรู้...จริงๆฉันก็เผื่อใจเอาไว้แล้ว ...แต่พอเอาเข้าจริง ไม่คิดเลยว่ามันจะปวดใจขนาดนี้ ....ให้พูดตรงๆตอนนี้ฉันคงยังทำใจไม่ได้”

     

    ........

     

    “ขอเวลาฉันหน่อยนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเป็นยูโตะคนเดิม

                   

     

     ....................................................

    ................................

    ................

     

     

    วันรุ่งขึ้น

     

                    “โฮ่ๆๆ ซานต้ามาแล้วจ้า”

     

                    “พีซัง...ซานตาครอสเค้ามาตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ” ฮิคารุที่กำลังใช้ช้อนคนกาแฟในแก้วอยู่มองแขกหน้าเดิมๆที่มาในลุคใหม่ด้วยชุดซานต้าครอสสีแดงสดและหมวกทรงสามเหลี่ยมสีแดงด้วยความเอือมระอา

     

                    “แล้วคนอื่นๆไปไหนหมดล่ะ”

                    “พีซังถามหาใครล่ะ ถ้าไอ้ยูยะกับยามะจังยังอยู่ในห้อง เจ้ายูโตะอยู่ในครัว เคโตะออกไปนั่งจิบชาร้อนอยู่ในสวนหน้าบ้าน ส่วนไอ้เคย์กำลังช่วยไดจังซักผ้าอยู่หลังบ้านน่ะ”

     

                    “ขอบใจ ข้อมูลแน่นมาก นายช่วยไปตามทุกคนมารวมกันที ฉันมีเรื่องด่วนมาบอก”

     

    “คุณซานต้าครับ ถ้าคุณซานต้าจะหางานมาให้พวกเราแต่เช้านี่ ผมว่าคุณต้องไม่ใช่คุณลุงใจดีที่มาแจกของขวัญแต่ต้องเป็นซาตานปลอมตัวมาแน่ๆเลย ซาตานน่ะ” ฮิคารุเบะปากบ่นยาวเหยียด แต่ก็เดินออกไปตามเมมเบอร์ที่เหลือให้

     

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “38 องศา.....เป็นเพราะเมื่อวานไปนอนท้าลมหนาวอยู่ตั้งนานสองนานแน่เลย

     

    เรียวสุเกะนั่งอยู่ข้างเตียง สะบัดปรอทวัดไข้และเตรียมเก็บลงกล่องยา..... โดยที่มียูยะนอนทำหน้ามู่ทู่ เพราะโดนบังคับจับให้นอนสงบเสงี่ยมเดียวดายอยู่บนเตียงตั้งแต่ที่โดนร่างเล็กจับได้ว่าเขามีไข้ตัวร้อน ...แม้แต่คุซาป๊งยังไม่ยอมให้เข้าใกล้เลย เพราะเจ้าตัวเล็กนั่นให้เหตุผลว่า กลัวติดหวัด....

     

                    ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อยยูยะยังคงปากแข็งไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วยแม้ว่าจะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหดหายไปจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงแบบนี้ก็ตาม

    .....เค้ามักจะเป็นหวัดหลังวันคริสต์มาสแบบนี้เสมอ ยิ่งตอนเด็กๆน่ะ จะเรียกว่าหวัดประจำปีก็ยังได้ ส่วนนึงก็เป็นผลมาจากความเชื่อเรื่องเจ้าหญิงนั่นล่ะ ที่ทำให้เขาต้องหาเรื่องออกไปนอนตากน้ำค้างเล่นทุกปีๆ ...แม้ว่าช่วงหลังๆจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำแล้วตั้งแต่เข้าวงการมา ....

     

    ซานต้าพีซังกระโดดหยองแหยงมาทางห้องของยูยะ และเพราะว่าเห็นประตูเปิดอยู่เลยถือวิสาสะเดินเข้ามา แล้วก็พบว่า....

                    คุณพระ!!! นายไม่สบายเหรอเนี่ย” ยามะพีดูเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าลีดเดอร์คนเก่งของวงนอนซมจมอยู่ในผ้าห่มเป็นก้อนกลมๆน่าเอ็นดู

     

                    “ครับ เมื่อคืนตัวรุมๆ แล้วมาไข้ขึ้นสูงตอนเช้ามืดนี่เองฮะ” เรียวสุเกะที่นั่งพยาบาลคนป่วยอยู่ข้างเตียงอธิบายไปก็แปะเจลลดไข้อันใหม่บนหน้าผากยูยะไปด้วย

                    “รู้ละเอียดดีจังเลยนะ” ท่านประธานมองดูแล้วก็หันมายิ้มแปลกๆใส่ร่างเล็ก

                    “เอ่อ..ก็....”

                    “ดีแล้ว ได้พยาบาลน่ารักๆคอยดูแล จะได้หายเร็วๆ....เพราะว่าคืนนี้มีงานด่วนเข้ามาล่ะ” ยามะพีพูดเรื่องคอขาดบาดตายได้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มน่ารัก ยูยะทำได้แค่เบิกตาค้าง ไร้เรี่ยวแรงจะตีโพยตีพายอย่างทุกที

     

                    “ห้ะ!! งานอะไรครับ” แต่คนที่หูทิพย์ ตาทิพย์ที่สุดก็คงไม่พ้นคนนี้.... ฮิคารุวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินคำว่า “งาน” ออกมาจากปากพีซัง ....บรรยากาศในห้องดูหนาแน่นขึ้นมาทันทีเมื่อเคโตะ ยูโตะ เคย์ที่ถูกเรียกตัวเมื่อครู่เดินตามเข้ามาสมทบด้วย

     

                    “คริสมาสต์ไลฟ์คืนนี้น่ะ พอดีเบื้องบนเค้าขอมาแบบกะทันหันน่ะ”

     

                    “แต่ไอ้ยูยะยังนอนแอ้วแซ้วอยู่แบบนี้ พีซังแคนเซิลไปไม่ได้เหรอ” ฮิคารุพูดด้วยน้ำเสียงซีเรียสผิดวิสัย

     

                    แม้ยามะพีจะไม่ได้พูดอะไรตอบรับออกมา แต่ดูจากสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของท่านประธานแล้ว ทุกคนก็เข้าใจตรงกันได้ว่าการรับงานนี้ท่าจะมีผลต่อบริษัทอย่างมาก ...ถ้าเป็นปกติล่ะก็พีซังคงจับยูยะส่งถึงมือหมอไปแล้ว

     

                    “ไม่เป็นไร...ผมยังไหว พีซังไม่ต้องแคนเซิลหรอก” เสียงแหบแห้งพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ

    และคำพูดแค่นั้นเองที่ส่งผลให้เมมเบอร์ทุกคนเกิดปฏิกิริยาตอบรับคล้ายคลึงกันโดยมิได้นัดหมาย คือต่อต้านหมายจะคัดค้านอย่างรุนแรง

                   

    “นายจะร้องเพลงไหวได้ยังไง ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้” เรียวสุเกะพูดขึ้นมา ...เขาเป็นคนวัดไข้เองกับมือทำไมจะไม่รู้ว่าอุณหภูมิร่างกายของยูยะต้องการการพักฟื้นแค่ไหน

     

    “อือ ใช่...สุขภาพของนายสำคัญกว่านะ ถ้าเกิดไปเป็นลมบนเวทีจะทำยังไงล่ะ” คนไฮเปอร์อย่างยูโตะก็เป็นห่วงจนลุกลี้ลุกลนจินตนาการล่วงหน้าไปต่างๆนาๆ

     

    “ฉันไม่ได้อ่อนแอแบบนั้น”

     

    ....แม้จะรู้ดีว่าทุกคนกำลังห้ามด้วยความเป็นห่วง แต่ละให้เขาละทิ้งหน้าที่และทำให้บริษัทเดือดร้อนได้อย่างไร ยังไงเขาก็จะอดทนให้ถึงที่สุด......

     

    เคย์เองนั้นยอมรับว่ายูยะเป็นคนมีความรับผิดชอบในการทำงานมากกว่าอะไรทั้งหมด ....แต่เขาก็อดห่วงไม่ได้เช่นกัน “เออ ฉันรู้ หมีควายอย่างแกไม่ล้มง่ายๆหรอก ถ้าแกไม่ได้ป่วยเหมือนตอนนี้น่ะนะ”

     

     

                    “เตรียมตัวให้พร้อมนะ เดี๋ยวชิเงะจะเอารถมารับตอน 6 โมง...ระหว่างนั้นก็ ดูแลยูยะด้วยละกัน บายๆ ซานต้าไปล่ะ โฮ่ๆๆ” ยามะพียิ้มร่าเริงสร้างบรรยากาศแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และในช่วงที่เมมเบอร์คนอื่นๆไม่ได้สังเกตเห็นเพราะมัวรุมเป็นห่วงยูยะ เคโตะก็ได้สังเกตเห็นสีหน้าเครียดจัดจากท่านประธานที่มักจะยิ้มรับเสมอไม่ว่าต้องเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหน

     ....แม้จะเป็นแค่เสี้ยวหน้าเพียงแวบเดียวที่ได้เห็นก่อนที่พีซังจะออกจากห้องไป แต่ก็ทำให้ร่างหนาโล่งใจไปได้ว่า ท่านประธานของพวกเขายังคงรักและเป็นห่วงศิลปินในสังกัดอยู่เหมือนเดิม แต่คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ยามะพีต้องทำตัวใจร้ายแบบนี้

     

                   

                    ............................

                    ..................

                    ........

     

     

                    ค่ำวันนั้นเอง

                   

     

    “ต่อไปวง A.N.JUMP แสตนด์บายบนเวทีได้เลยครับ”

     

    “ยูยะ ไหวแน่นะ” ฮิคารุถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ....ในยามที่เขาต้องจริงจังเป็นการเป็นงาน ฮิคารุก็สลัดคราบหนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นกลายเป็นพี่ใหญ่ที่พึ่งพาได้ขึ้นมาอย่างน่าชื่นชม

     

    ส่วนเรียวสุเกะ ยูโตะ เคย์ และเคโตะนั้นยืนรออยู่ที่ข้างเวทีเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทุกคนหันมามองหน้าคนป่วยจอมดื้อที่โดนบังคับขู่เข็ญให้แปะแผ่นเจลลดไข้ติดหน้าผากจนกว่าจะถึงเวลาแสดงจริง

     

                    “ฉัน...ไหวน่า ไข้หวัดแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

     

                    ยูยะแกะแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากออกทิ้งแล้วเดินนำขึ้นเวทีไปอย่างมั่นคง นัยน์ตาคมฉายแววมุ่งมั่นตั้งใจเกินร้อย ..... เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มขึ้นทันทีที่ยูยะขึ้นไปปรากฏตัวบนเวที ... สมาชิกที่เหลือก็จำต้องเดินตามขึ้นไป....

     

    ยูโตะเห็นเรียวสุเกะมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักจึงเดินเข้ามาตบไหล่แล้วพูดให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มร่าเริงในแบบปกติสไตล์ยูโตะ

                    “ยามะจัง ยิ้มๆเข้าไว้ ยูยะบอกว่าไม่เป็นไรก็ต้องไม่เป็นไร ..เราต้องเชื่อใจในตัวยูยะนะ”

                   

    คำพูดของยูโตะก็เหมือนเป็นการเตือนสติให้ร่างเล็กตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้สุดความสามารถ เพราะถ้าเขามัวแต่เป็นห่วงยูยะจนไม่มีสมาธิแล้วทำให้งานออกมาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ก็เหมือนกับว่าทำให้ความพยายามของร่างสูงสูญเปล่าไปเฉยๆ

     

                    “อื้ม...ขอบใจนะยูโตะ” เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว ร่างเล็กก็ยิ้มออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและขึ้นเวทีไปด้วยความแน่วแน่

     

                    .

                    .

     

                    ผ่านไปแล้ว 3 เพลง......ยูยะยังคงแสดงความสามารถในการร้องเพลงได้อย่างมืออาชีพ ทั้งน้ำเสียง อารมณ์และสีหน้าก็ทำได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน เขาไม่แสดงออกถึงอาการป่วยให้เห็นเลยแม้แต่น้อย กลุ่มแฟนคลับหรือแม้แต่คนที่มาดูก็ไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด สาวหลายๆคนเคลิ้มฝันไปราวกับต้องมนต์กับท่วงทำนองเพลง A.N.JUMP ที่วันนี้เลือกเล่นเพลงแนวบัลลาดเพื่อเข้ากับเทศกาลและสถานการณ์ด้านสุขภาพของลีดเดอร์

    ....แต่คนที่ยืนข้างๆร่างสูงอย่างเรียวสุเกะนั้นรู้ดีว่ายูยะใกล้จะถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว เสี้ยวหน้าด้านข้างของยูยะที่เขาเห็นนั้นมีเหงื่อออกเยอะมากผิดปกติ ซึ่งในสายตาของเรียวสุเกะแล้วร่างสูงเหมือนพร้อมจะที่หงายหลังล้มตึงไปในนาทีไหนนาทีหนึ่งได้ตลอดเวลา

     

                    “เพลงสุดท้ายของวันนี้นะครับ ขอให้ทุกคนใช้เวลาอย่างมีความสุขในคืนแสนพิเศษนี้ ....Merry Christmas....” ร่างสูงชะงักไปนิดหน่อย ตอนที่เรียวสุเกะตัดสินใจพูดเกริ่นนำเพลงแทนตัวเอง ...ยูยะเข้าใจดีว่าเรียวสุเกะทำแบบนั้นเพราะเป็นห่วง จึงหันไปยิ้มบางๆให้ร่างเล็กว่าเขายังไหวอยู่ และก็ถูกคนตัวเล็กนั่นส่งยิ้มน่ารักกลับมาเป็นกำลังใจ

     

                    ยูโตะเคาะไม้กลองให้สัญญาณเริ่มต้นเพลง Promise ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวตอนที่เรียวสุเกะเข้าวงมา....ในตอนนี้ทั้งมือเบสฮิคารุ และมือกีตาร์เคโตะที่ยืนขนาบนักร้องนำทั้งฝั่งซ้ายขวา ก็เริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติของยูยะได้แล้ว ทั้งคู่ลอบมองกันและกันราวกับจะปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี

     

    เรียวสุเกะเองก็ชำเลืองมองไปทางยูยะบ่อยเป็นพิเศษ และในระยะที่ทั้งคู่ยืนห่างกันแค่เพียงเอื้อมมือ ร่างเล็กจึงรู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างสูง ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าอุณหภูมิร่างกายของยูยะตอนนี้ต้องร้อนราวกับไฟอย่างแน่นอน

     

    ........ เขาควรทำยังไงดี ยูยะฝืนตัวเองจนจะถึงขีดสุดแล้ว ..........

     

     

                    ฮิคารุทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเรียวสุเกะพุ่งเข้าไปกอดเอวยูยะอย่างแนบแน่นกลางเวทีอย่างจงใจ สร้างความแตกตื่นและเสียงกรี๊ดอย่างคลุ้มคลั่งให้กับแฟนคลับที่ชื่นชอบฉาก “มิตรภาพของวัยรุ่นชาย” ได้อย่างมากมาย ...ยูยะยิ้มรับอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่เรียวสุเกะเพื่อทรงตัว.... ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงความร้อนมหาศาลในตัวยูยะทันทีที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน

     

                    “ถ้าไม่ไหวแล้วล่ะก็เอนมาที่ผมได้เลยนะ” ร่างเล็กแอบหาช่องทางกระซิบบอกร่างสูงในจังหวะที่กอดกันอยู่  เรียวสุเกะถือไมค์ร้องเพลงท่อนต่อไปในขณะที่มืออีกข้างพยายามประคองตัวร่างสูงไม่ให้ล้มลงไปอย่างสุดแรง....

     

                    และในช่วงท้ายของเพลง ยูยะก็เซอร์ไพร์สทุกคนโดยการเชยคางร่างเล็กให้เงยหน้าขึ้นมา แล้วตั้งใจร้องเพลงท่อนสุดท้าย โดยที่ร่างสูงจับจ้องมองแต่เพียงใบหน้าของเรียวสุเกะราวกับตั้งใจจะร้องให้คนตรงหน้านี้ฟังคนเดียวเท่านั้น ....นัยน์ตาคมกริบที่เคยสร้างความหวาดหวั่นให้เรียวสุเกะเกือบทุกครั้งที่ได้สบตากัน บัดนี้มันกลับหวานซึ้งและเต็มไปด้วยอารมณ์รักมากมาย...ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพิษไข้ แต่อย่างไรก็ตาม เรียวสุเกะก็ถูกคนป่วยน็อกเอาท์ด้วยคำบอกรักผ่านเนื้อเพลง เล่นเอาทั้งอึ้งทั้งเขินจนทำอะไรไม่ถูก หัวใจมันเต้นแรงราวกับระเบิด

     

     

    I will promise youずっと君だけ見つめて

    ผมขอสัญญาว่าจะมองแต่คุณเพียงคนเดียว

    I will promise youずっと君を抱きしめる

    ผมขอสัญญาว่าจะโอบกอดคุณไว้ตลอดไป

    届けるよ色とりどりの愛を君へ

    จะส่งผ่านความรักอันหลากหลายไปถึงคุณ

    永遠に約束を I love you forever

    มาสัญญากันนะผมจะรักคุณตลอดไป

     

                    .......................................

                    .........................

                    .............

     

     

                    “ทำไมไอ้ยูยะยังไม่ฟื้นอีกวะ” ฮิคารุบ่นขึ้นมาตามประสาคนใจร้อน....

                   

                    หลังจากที่จบไลฟ์เมื่อคืนวานไปแบบทุกลักทุเล พีซังก็จับยูยะยัดใส่รถแล้วห้อตะบึงมาส่งถึงมือหมอในเวลาอันรวดเร็ว... จนตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วกำลังนอนพักอยู่ในห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง  

    และฮิคารุเป็นคนเดียวที่นั่งไม่ติดเก้าอี้เลย เอาแต่เดินไปเดินมาชวนให้คนอื่นๆปวดเศียรเวียนเกล้าแทน

     

                    “ก็หมอบอกว่ามันไม่เป็นไรแล้วนี่ ไข้ก็ลดเป็นปกติแล้ว ตอนนี้ก็แค่นอนหลับเพราะเพลียสะสมจากการพักผ่อนน้อยแค่นั้นเอง” เคโตะแจงรายละเอียดให้คนใจร้อนฟังอีกครั้ง.... ก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องมานั่งอธิบายอาการของยูยะให้มันฟังทำไมอีก ในเมื่อก็ฟังคำชี้แจงจากคุณหมอมาพร้อมกันแท้ๆ

     

                    “เออ แล้วมันจะนอนไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย”

     

                    “หรือมันคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย ต้องรอให้เจ้าหญิงมาจูบปลุกถึงจะฟื้น” เคย์เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาแก้เหงา

                    “เฮ้ย นั่นมันเจ้าหญิงนิทรา” ยูโตะก็ตามมาชงมุกอย่างรู้หน้าที่

                    “งั้นก็เจ้าชายกบแล้วล่ะ หมอนี่น่ะ ...เมื่อคืนก็ทำเป็นเท่ห์ สุดท้ายก็ตกม้าตายตอนจบ” ฮิคารุพูดใส่อย่างใจร้าย ... เขาพูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนหลังจากที่ยูยะจ้องตาทำซึ้งจนจบเพลงแล้ว เจ้านั่นก็เป็นลมล้มทับยามะจังจนพวกเขาต้องวิ่งเข้ามาช่วยพยุงแทบไม่ทัน

     

    .... จริงๆเขาก็แค่หวังให้มันลุกขึ้นมาด่าเขาก็ยังดี เห็นเพื่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียงนานๆแบบนี้ใจคอมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่.....

     

                    “แต่ว่ามันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ”

    อยู่ดีๆไดกิก็โพล่งขึ้นมาลอยๆ ขณะใช้มีดหั่นแอปเปิ้ลที่ซื้อมาเยี่ยมให้เป็นรูปกระต่ายในช่วงที่รอให้คนป่วยฟื้น.... แม้ว่าจะโดนมือดีแอบหยิบกินเป็นระยะๆบ้างก็ตาม แต่ร่างบางก็ใจดีพอที่จะไม่ใช้มีดสับนิ้วมือซนๆนั่นทิ้งซะ

     

                    “ไดจังหมายความว่ายังไง” เคย์เดือดร้อนขึ้นมาทันที ตกใจซะจนเกือบทำแอปเปิ้ลกระต่ายร่วงหลุดมือ.....อย่าบอกนะว่าที่พูดขึ้นมาเพราะอยากเป็นคนจูบปลุกไอ้ยูยะซะเอง ....ไม่ได้นะ เคย์ไม่อนุญาตเด็ดขาดดดดดด

     

                    “ถ้าเป็นผม ต่อให้จูบเป็นสิบครั้ง ทาคาคิคุงก็คงไม่ยอมตื่นหรอก ...เขาก็มีเจ้าหญิงของเขาอยู่แล้วนี่”

     

                    “งั้นไดจังก็หมายถึง....” เคย์เว้นคำพูดเอาไว้ แล้วใช้อวัจนภาษาเป็นตัวบอกคำตอบ .....ทุกสายตาจึงหันมาทางเรียวสุเกะเป็นตาเดียว .... ซึ่งเจ้าตัวทำหน้าตื่นเขินเสียน่ารักจนคนมองเพลิน... ตาเรียวใสหลุบมองต่ำไม่กล้าสบสายตาใคร แก้มกลมๆขาวๆนั้นขึ้นสีเลือดฝาดจนแดงไปหมด ปากบางนั้นก็แย้มยิ้มขลาดเขินเล็กน้อย

                   

                    “ทุกคนอย่าคิดจริงจังกันอย่างนั้นสิ”

     

                    “ที่ไดจังพูดก็มีเหตุผล เอ้า ไม่ลองไม่รู้ นะ..ยามะจัง พวกเราขี้เกียจรอให้มันตื่นเองแล้วน่ะ ช่วยหน่อยนะๆ” เขี้ยวเสน่ห์ของฮิคารุที่เรียวสุเกะเคยมองว่ามันน่ารักดี ตอนนี้ร่างเล็กชักจะมองไม่เห็นถึงความน่าเอ็นดูของมันเสียแล้ว เมื่อเจ้าของมันเดินแยกเขี้ยวมาจับเขาผลักใส่เตียงที่ยูยะนอนอยู่

     

                    “เอาจริงเหรอ” เรียวสุเกะทำตาปริบๆ

                    “เอาจริงสิ...ยืนอยู่ทำไมล่ะ จูบเลยๆๆ” ฮิคารุปรบมือเป็นจังหวะกดดันพร้อมส่งเสียงเชียร์เหมือนกำลังเชียร์ให้คู่บ่าวสาวจูบกันตอนแต่งงานไปแล้ว

    ร่างเล็กหันมามองหน้าทุกคนอีกครั้ง ....ไดกิยิ้มๆแล้วก็พยักหน้าให้ เคย์ที่นั่งข้างๆนั้นยักคิ้วใส่ เคโตะเพียงยิ้มมองเฉยๆ

     

    “ยามะจังคงจะเขินน่ะ ถ้าเรายังยืนมองกันแบบนี้ เอ้าทุกคน หลับตาซะ ห้ามมองนะห้ามมอง” ยูโตะตั้งตนเป็นแกนนำในการหลับตาเป็นคนแรก คนอื่นๆก็บ้าจี้พากันหลับตาพริ้มกันหมดทั้งห้อง จนเหลือแค่เรียวสุเกะคนเดียวเท่านั้นที่ลืมตาอยู่

    ร่างเล็กหันกลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาของยูยะอีกครั้ง ...ใจจริงเขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง หากมันสามารถทำให้คนที่เค้ารักฟื้นขึ้นมาเป็นปกติได้อยู่แล้ว แต่ว่า....จำนวนคนที่อยู่ร่วมเป็นสักขีพยานในห้องนี้มันเยอะเกินไปจนทำให้เขาต้องลังเลใจ

     

    เรียวสุเกะสูดลมหายใจลึกแล้วหลับตาอธิษฐานขอให้เจ้าชายรูปงามที่หลับใหลฟื้นขึ้นจากนิทราที่ยาวนานเสียที... ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงจรดริมฝีปากนุ่มกับริมฝีปากที่ปิดสนิทของยูยะอย่างเชื่องช้าแผ่วเบาราวกับขนนก... แต่ภาพที่คนอื่นๆ(แอบหรี่ตา)เห็นนั้นกลับดู .....สวยงามราวกับเทพนิยาย......

                   

     

                    “เฮ้ย ยูยะฟื้นแล้ว” ฮิคารุตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ เมมเบอร์ทุกคนก็ดีใจไม่ต่างกันจึงแห่กันเข้ามารุมที่เตียงคนป่วยกันอย่างแน่นหนา

     

                    “อื้อหือ เพื่อนเรามันหยิ่งจริงๆว่ะ เพื่อนเรียกให้ตายไม่ยอมตื่น พอได้ยาดีเข้าหน่อย ฟื้นเร็วเชียวนะแก” เคย์พูดแดกดันด้วยความอิจฉา..... เขาก็อยากให้ไดกิมาปลุกแบบนั้นบ้างนี่นา ......

     

                    “ห้ะ อะไรของแก ยาอะไร” ยูยะในสภาวะเพิ่งฟื้น ตาเบลอๆมองคนนั้นคนนี้อย่างมึนๆ

                    “ก็...อุ้บ” ไดกิจัดการยัดแอปเปิลกระต่ายปิดปากเคย์ทันที

     

                    “เออ แต่เมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรนุ่มๆหวานๆอยู่ตรงปากด้วย พวกแกทำไรรึเปล่า” ยูยะพูดออกมาซื่อๆ... ทุกคนที่มีส่วนรู้เห็นก็ยืนยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวเราะหึหึ แล้วปล่อยให้เรียวสุเกะยืนหน้าแดงอยู่คนเดียว

     

                    “ก็เจ้าชายไม่ยอมตื่นสักทีนี่พะยะค่ะ หม่อมฉันก็เลยต้องส่งเจ้าหญิงไปปลุกไง ไอ้เจ้าชายกบ!!

    ยูยะหันมองหน้าแดงก็เรียวสุเกะแล้วก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้คร่าวๆ ก็เลยกระตุกยิ้มออกมา

     

                    “ถ้างั้นก็ขอเวลาส่วนตัวให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงอยู่ด้วยกันสองคนหน่อยสิ พวกสามัญชนทั้งหลาย”

     

                    “โอ้ย ถ้างั้นสามัญชนก็ขอลาล่ะพะยะค่ะ ก่อนที่หม่อมฉันจะทนไม่ไหว เตะคนป่วยตกเตียงเสียก่อน....ไปๆ เหล่าสามัญชน อย่าไปเป็นก้างเขา” ฮิคารุเห็นเพื่อนต่อปากต่อคำได้ตามปกติแล้วก็อารมณ์ดี ช่วยลากสามัญชนออกไปจากห้องจนหมด เหลือเพียงแค่เรียวสุเกะที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียงเท่านั้น

     

                    “ไง...แอบลักหลับฉันอีกแล้วสิ”

     

                    “คะ..ใครลับหลับกัน พูดให้มันดีๆนะ ...เจ้าชายกบ” เรียวสุเกะแอบยืมคำของฮิคารุมาใช้ ..ไม่นึกเลยว่าเรียกแล้วจะอารมณ์ดีได้ขนาดนี้

     

                    “ไม่รู้สิ สงสัยต้องพิสูจน์อีกรอบแล้วมั้ง”

                    “เฮ้ย!!

     

    ว่าแล้วคนป่วยก็ดึงแขนเรียวสุเกะจนล้มลงบนเตียงและตวัดเอาร่างเล็กขึ้นมานอนด้วยกันเสียเลย ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น.... ยูยะตะแคงตัวหันหน้าเข้าหาร่างเล็กที่นอนหงายอยู่อย่างเต็มตัว ....ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆลดระยะห่างระหว่างกันเข้าไปเรื่อยๆ เรียวสุเกะนอนนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกดจากดวงตาคมที่ทอดมองอย่างอ่อนหวาน ตาเรียวค่อยๆหลับพริ้มไปอย่างช้าๆ ..... ยูยะแตะจูบอ่อนโยนเบาๆทีนึงแล้วผละออก พอร่างเล็กลืมตาขึ้นมาอย่างงงๆก็กดจูบหนักหน่วงทันที

     

    “ยูย๊าาาาา ฉันซื้อขนมมาฝะ..โอ้ะโอ” ยามะพีอ้าปากค้างเบิกตาที่โตอยู่แล้วให้โตยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอฉากเลิฟๆหลังประตูห้องพักผู้ป่วยแบบนี้ ....เรียวสุเกะตกใจแทบสิ้นสติผลักยูยะออกอย่างแรงแทบตกเตียงแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันที ....ยามะพีจึงปรับสีหน้าแล้วเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าปกติเหมือนไม่เห็นอะไรมาก่อนหน้านี้

     

    “พีซังเข้ามาทำไมเนี่ยยยยยยยยย”

     

     

    /////////////////////////////////////////////////////////////////// THE END ////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

     

    บทส่งท้าย

     

                    “เคโตะ ถามจริง....นายทำใจเรื่องยามะจังได้แล้วเหรอ” อยู่ดีๆยูโตะก็โพล่งถามขึ้นมาดื้อๆ

                    “ก็ถ้ามันทำให้คนที่ฉันรักมีความสุขได้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ” พ่อพระคนดีก็ตอบได้อย่างมาดพระเอกสุดๆ จนยูโตะต้องเดาะลิ้นอย่างชื่นชม “อะโห พระเอกจริงๆ”

     

                    “แล้วนายล่ะ....เห็นฮิคารุบอกว่าวันนั้นนายวิ่งร้องไห้ออกไป”

                    “ก็...ทำไงได้ ฉันไม่อยากเป็นตัวปัญหาของยามะจังนี่นา ก็ต้องยอมถอยออกมา” แม้ใจความจะคล้ายๆกันคือยอมแพ้ แต่รายนี้ไม่ได้มีมาดพระเอกละครหลังข่าว ...ยูโตะที่มักจะแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้าก็ดูหดหู่ขึ้นมาทันที

                    “ฮืมมมม” เคโตะลากเสียงยาว ในแบบที่ชวนให้คนฟังหงุดหงิดได้ไม่เบา

                    “ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง”

     

                    “ไป Tea house กัน” จู่ๆร่างหนาของเคโตะก็ดึงแขนยูโตะให้ออกเดินไปด้วยกัน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมก็ยื้อเอาไว้สุดกำลัง

                    “ห้ะ ไม่เอ๊า ฉันไม่ชอบน้ำชา” เจอเหตุผลแบบเด็กๆเข้าไป เคโตะก็ยิ้มออกมาน้อยๆ

     

                    “ที่นั่นมีของหวานด้วยนะ แล้วก็โกโก้ปั่นน่ะเค้าว่าสุดยอดเลย...ว่าไง จะไปมั้ย ฉันเลี้ยงเอง”

     

                    “ไป!!!

     

     

    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*- FIN -*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

     

    I-PrA Talk : จบแล้วจ้า.....(ฟ้อนขันดอกด้วยความดีใจ) สุทธิที่ราวๆ 20 ตอน ด้วยเวลาปีครึ่งเศษๆ .... แหม มันช่างยาวนานอย่างน่าตกใจ ละครจบไปเป็นปีล่ะ (ฮา) ....เวลามันผ่านไปเร็วเนอะ แปปๆก็ปีนึงแล้ว

    สำหรับฟิก ไม่รู้ว่าจะจบถูกใจคนอ่านบ้างมั้ย เราพยายามเกลามันสุดๆแล้ว....หวังว่าคนอ่านทุกคนคงมีความสุขกับมันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เราไม่ค่อยถนัดบรรยาย แถมฉากกุ๊กกิ้กนี่ยังต้องพัฒนาอีกมาก (ฮา)

    .... อ่านจบแล้วก็ช่วยติชม แสดงความคิดเห็นกันหน่อยน้า ใครที่ยังไม่เคยเม้นเลยขอเม้นตอนจบสักครั้งก็ยังดีเนาะ^^  

     

    สำหรับฟิกเรื่องต่อไป.... มีโครงการไว้แล้วว่าจะเป็นฟิคสั้นๆเป็นซีรีย์ชุดเดียวกัน เพื่อฟิกจะได้ไม่ดองค้าง

    เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปประจะเข้าสู่วัยทำงานแล้ว อาจไม่ค่อยมีเวลาเขียนฟิกสักเท่าไหร่(ละมั้ง)

    ยังไงก็ขอคุณสำหรับการติดตามที่ยาวนานค่ะ รักคนอ่านทุกคน

    ^____________________________________________________________^

    แถมๆ คุซาป๊ง กับแพนด้าเนโกะ 555+

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×