[Fic HSJ]............. เราสามคน ......... [Yuya Part]
Pairing : Yuya x Kei x Daiki
ผู้เข้าชมรวม
516
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ใครยังไม่ได้ฉลากบ้าง .... ได้ครบกันหมดทุกคนแล้วนะ”
“เอาล่ะ เปิดฉลากแล้วหาบัดดี้ของตัวเองได้เลย”
“ฉันได้เบอร์
“ใครได้เบอร์ 3 บ้าง”
“เฮ้ย นายเองเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย”
“ฉันเบื่อขี้หน้าแกว่ะ ทำไมต้องมาเป็นบัดดี้กันอีกเนี่ย พี่ครับ เปลี่ยนได้ไหมครับ”
ผมมองความชุลมุนวุ่นวายของเพื่อนร่วมคณะแล้วได้แต่ส่ายหัว จะตื่นเต้นอะไรกันขนาดนั้นน้า ... คณะเราก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ผมกวาดสายตามองเลขตัวเดียวบนฉลากในมือ
.... เลขห้า .....
เลขประหยัดพลังงานซะด้วย
สำหรับผมแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าจะได้บัดดี้หน้าตาเป็นยังไง ก็แค่คุยกันรู้เรื่อง ไม่ขวางหูขวางตาผมนักก็พอจะไปกันรอดอยู่แล้ว อีกอย่างนึงผมก็เพิ่งจะย้ายมาอยู่โตเกียวไม่นานนัก ผูกมิตรกันไว้ก่อนย่อมเป็นเรื่องดี
ท่ามกลางความชุลมุนเล็กๆรอบๆตัวผม เพื่อนๆท่าทางจะตื่นเต้น เที่ยววิ่งหาบัดดี้กันให้วุ่น พลันสายตาที่กำลังกวาดตามความเคลื่อนไหวรอบตัวก็ไปปะทะเอากับเจ้าของรอยยิ้มสวย นัยน์ตาคม
คนๆเดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นเดียวกับผม เขายืนห่างจากผมเพียงไม่กี่ช่วงตัวเท่านั้น
แต่ท่าทางที่พยายามกางนิ้วทั้งห้าไว้เหนือหัว ก็บ่งบอกเจตนาได้แล้วว่า พร้อมจะยิ้มให้กับทุกคนที่เดินเข้ามา แต่จะไม่เป็นคนออกไปตามหาเองอย่างแน่นอน
..... ฉลากในมือผม .....
.........เลขห้าบนหัวของเขา ........
งั้นก็ต้องเป็นผมสินะ ที่ต้องเป็นคนเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งนี้
“นายได้เลขห้าใช่ไหม”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดกับเขา
แต่รอยยิ้มหวานพร้อมกับการพยักหน้าน้อยๆตอบรับนั้นเป็นความประทับใจแรกที่ผมลืมไม่ลงเลย
“งั้นก็... ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเป็นบัดดี้นาย” ผมก้มลงอ่านป้ายชื่อที่เขียนเป็นตัวคาตาคานะง่ายๆที่รุ่นพี่ให้ห้อยคอไว้ตลอดเวลาทำกิจกรรมรับน้อง “อิโนโอะ เคย์”
“ฝากตัวด้วยสี่ปีนะ” เขาก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วอ่านชื่อบนป้ายห้อยคอของผมเช่นกัน “ทาคาคิ ยูยะ”
“อื้ม นายจะเรียกฉันว่ายูยะก็ได้ ไหนๆเราก็เป็นบัดดี้กันแล้วนี่”
“ถ้าอย่างงั้นนายก็ต้องเรียกฉันว่าเคย์ด้วยนะ” ร่างโปร่งบางพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
......ให้ตายเหอะ ผมเขินจนเก็กหน้านิ่งเฉยแทบจะไม่อยู่แล้ว ท่าทางจะโดนพิษร้ายจากรอยยิ้มนั้นเต็มๆ
.
.
หลังจากนั้น การดูแลเล็กๆน้อยๆประจำวันก็เริ่มต้นขึ้น
“อ่ะ ซื้อมาฝาก” ผมวางแก้วชาเขียวลงตรงหน้าเขา
“เอาอีกล่ะยูยะ..... ตั้งแต่กินข้าวกับนายฉันแทบไม่เคยได้ซื้อน้ำกินเองเลยนะเนี่ย”
“แล้วไม่ดีหรือไง”
“ก็เล่นซื้อเลี้ยงทุกๆวัน ฉันก็เกรงใจเป็นเหมือนกันนะ”
“นิดหน่อยน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ รู้ได้ไงว่าฉันกำลังอยากกินชาเขียว”
“เดาเอามั้ง” ผมตอบส่งๆแล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน ก่อนจะจัดการกับอาหารตรงหน้าด้วยความเร็วสูง
“ฉันว่าฉันเป็นคนกินเร็วแล้วนะ แต่มาเจอยูยะ ฉันขอยอมแพ้เลย” เคย์มองจานข้าวของตัวเองที่ยังเหลืออีกร่วมครึ่งจาน กับของยูยะที่กวาดข้าวทุกเม็ดลงท้องจนเหลือแต่จานเปล่าๆใสวิ๊งวับราวกับว่าไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน และตอนนี้ยูยะก็กำลังดูดนมเย็นสีชมพูหวานแหววไม่เข้ากับหน้าตาจนเหลือแต่น้ำแข็งดังฟืดๆ
“นายกินช้าเองต่างหาก ฉันกินปกติจะตาย” ผมวางแก้วน้ำที่เหลือแต่น้ำแข็งลงบนโต๊ะ ใช้เวลาในการกินข้าวเบ็ดเสร็จตั้งแต่หย่อนก้นนั่งจนถึงเมื่อกี้หักลบแล้วไม่น่าเกินห้านาที
“ทีหลังเคี้ยวนานๆกว่านี้หน่อยก็ได้นะ เดี๋ยวก็อาหารไม่ย่อยหรอก เล่นกินอย่างกับกลืนเอาแบบนั้น”
เคย์บ่นด้วยเสียงหงุงหงิงๆราวกับลูกแมว ผมฟังแล้วรู้สึกเอ็นดูแทนที่จะเป็นคำขู่หรือคำเตือนที่ชวนให้ปฏิบัติตาม
...... ถ้าถามว่าทำไมผมถึงต้องกินข้าวแบบฮาร์ดคอร์ขนาดนี้ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องรีบไปไหน เหตุผลของทุกสิ่งก็นั่งอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
......นั่นก็เป็นเพราะผมจะได้ใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในการมองเขาไงล่ะ ....
อากัปกิริยาของเคย์เวลากินน่ะน่ารักจะตาย แก้มขาวๆของเขาจะพองจนกลมป๊อก ปากบางๆสีชมพูนั่นก็น่าหลงไหล
และอีกอย่างนึงก็คือ ผมอยากได้ยินคำพูดที่แสดงออกว่าเขาเป็นห่วงผม หรือจะเรียกว่าผมเรียกร้องความสนใจจากเขาก็คงได้มั้ง
“ตัวเองกินช้าเอง อย่ามาบ่นน่า”
.
.
ห้องเรียน
วันนี้อาจารย์งดสอน จริงๆแล้วพวกผมควรจะได้ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี หากอาจารย์ไม่ได้สั่งงานไว้บนกระดานให้ดูต่างหน้าแบบนี้
“เฮ้ อิโนะจังย้ายที่หน่อยสิ ขอคุยกับยูยะมันหน่อย”
หนุ่มผมทองสว่างเป็นประกายวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาทางเคย์ แต่ต้องการที่จะคุยกับผม จึงต้องร้องขอให้เขาสลับที่นั่ง เนื่องจากโต๊ะเลกเชอร์ของห้องนี้มีลักษณะเป็นสโลปที่มีโต๊ะเลกเชอร์ยาวๆเป็นแถว ซึ่งสามารถเข้าออกได้แค่สองทางตรงแถวริมสุดของโต๊ะทั้งสองข้างเท่านั้น ...แต่สำหรับผมกับเคย์ที่เข้ามานั่งอยู่ตรงกลางแถวแบบนี้ ฮิคารุอาจจะต้องลำบากสักหน่อย
“ไม่เอา เค้าจะนั่งกับบัดดี้เค้านี่”
ไม่รู้ว่าวันนี้เคย์อารมณ์ดีมาจากไหน ถึงได้แกล้งตอบฮิคารุไปด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดแบบนั้น
“นี่เห็นว่าอิโนะจังทำแล้วน่ารักหรอกนะ ไม่งั้นโดนถีบไปแล้วแน่ๆ”
“ฮิคารุจะถีบเราเหรอ”
“ใครจะไปทำได้ลงคอเล่า ฉันพูดเล่น... เฮ้ยแต่เรื่องยูยะฉันพูดจริง จะคุยงานโว้ย”
“โต๊ะอีกข้างฉันก็ว่างอยู่นี่ นายจะไปไล่ที่ชาวบ้านเค้าทำไม” ผมเห็นว่าหากปล่อยให้เคย์เล่นลิ้นยั่วโมโหฮิคารุต่อไป อาจจะมีโอกาสได้โมโหเคย์เข้าจริงๆ จึงออกปากตัดปัญหาไปในที่สุด
“เออๆ ก็ได้”
สุดท้ายแล้วฮิคารุก็ต้องยอมเดินอ้อมโลกมานั่งข้างผมอีกฟากหนึ่งจนได้ ดูเขาจะเคืองๆอยู่ไม่น้อยทีเดียวที่ต้องลำบากลำบนมาหาผมถึงขนาดนี้
“แกสองคนนี่อยู่ห่างกันหน่อยไม่ได้เลยรึไงวะ สนิทกันขนาดนี้ทำไมไม่เป็นแฟนกันไปเลยล่ะ”
ผมได้แต่ยิ้มน้อยๆให้กับคำพูดนั้น .... นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราถูกทักเรื่องความสัมพันธ์แบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ในงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่เขาก็เพิ่งถูกเพื่อนๆร่วมคณะก็พากันบอกว่า
“พวกแกสองคนนี่เปิงกันจริงๆว่ะ”
“อะไรวะเปิงกัน” ผมเลิกคิ้วถาม
“ก็แบบ เหมาะสมอะ เข้ากั๊นเข้ากัน น่าจะเป็นแฟนกันไปจริงๆเลยนะ”
บรรยากาศนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ....
แน่นอนว่าเคย์ที่นั่งอยู่ข้างผม เขาจะต้องได้ยินสิ่งที่เพื่อนคนนี้พูดอย่างชัดเจน
“ฉัน..กับเคย์...น่ะเหรอ” ผมตัดสินใจถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งเสียงสั่นๆ
“อื้อ ก็ใช่น่ะสิ ขนาดนั่งล้อมวงกินข้าวกันโต๊ะใหญ่ขนาดนี้ พวกนายยังคุยกันเหมือนโลกนี้มีกันสองคนไปได้”
พอโดนเพื่อนแซวราวกับว่าล่วงรู้ไปถึงความในใจ ผมก็ยิ้มเขินๆ ไม่ได้ตอบรับหรือว่ากล่าวอะไร พลางเหลือบตามองปฏิกิริยาของคนข้างๆ
บอกตรงๆว่าผมกลัว ...... กลัวปฏิกิริยาตอบกลับของเขา
.....กลัวที่จะถูกรังเกียจ
แต่เคย์กลับยิ้มน้อยๆ และไม่พูดอะไรเป็นการทักท้วง หรือแสดงท่าทีรังเกียจอย่างที่ผมนึกกลัว
......หัวใจผมพองโตคับอกทันที......
.
.
.
ระหว่างผมกับเขา
เราเข้ากันได้ดีไม่ว่าเรื่องอะไร
บางอย่างที่กำลังเติบโตช้าๆในใจผม
บางอย่างที่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิด
.
.
.
คนที่อยู่ตรงหน้าผม... คือคนที่ผมรัก
แต่ตรงหน้าคนที่ผมรัก ก็คือคนรักของเขา....
ผมกำลังใช้เวลาไปกับการนอนซบแขนตัวเอง แอบมองคนที่ผมรักกำลังพิมพ์ข้อความต้อกแต้กในโปรแกรมแชทยอดนิยมบนหน้าจอแลปท็อปที่เปิดค้างอยู่พร้อมกับพูดคุยเสียงหวานกับผ่านโทรศัพท์ที่เสียบสายสมอล์ทอล์ก ....ไม่ต้องเดาก็ทายออกได้ง่ายๆว่าปลายสายน่ะแฟนแหงมๆ เพราะด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มกับสภาพจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน อารมณ์ดีมีความสุข .... จนผมอดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
ใช่แล้ว คนที่ผมรักกำลังมีความสุขกับคนที่เขารัก
แล้วคนที่แอบฮักเมาข้างเดียวแบบผมล่ะ
บอกตรงๆเลยว่า......
จะเอาความคิดฝ่ายสวรรค์รึนรกดีล่ะ
ถ้าแบบพ่อพระผมก็รู้สึกดีที่เขามีความสุข แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
แต่ถ้าแบบมารร้าย ผมล่ะโคตรอิจฉาเลย อยากเป็นคนที่ทำให้เขายิ้มได้แบบนั้นบ้าง
“ยูยะ..”
“หืม”
“จ้องอะไรนักหนา”
“มองไม่ได้รึไง”
“ก็เปล่า แต่อยู่ๆมานอนจ้องกันแบบนี้ ขนลุกน่ะ”
จบข่าว... ไอ้ผมที่กำลังนอนมองตาเยิ้มก็เป็นอันตาค้างไป
แหม ไม่เข้าใจจริงๆ มีคนหน้าตาดีราวกับรูปสลักมานอนจ้องดันบอกขนลุก ... คำๆนี้มันสะท้านสะเทือนไปถึงต่อมพิทูอิทารี่เลยนะเหอะ
“ฉันจะไปซื้อขนม จะฝากซื้ออะไรไหม”
เจ้าตัวเพียงส่ายหน้ามาเป็นคำตอบ แล้วก็หันกลับไปสร้างโลกส่วนตัวเหมือนเดิม
เคย์ไม่ได้ปิดบัง แต่ก็ไม่ได้บอกผมตรงๆเหมือนกัน.... เรื่องที่เขามีแฟน
แฟนของเคย์ชื่อ อาริโอกะ ไดกิ อายุน้อยกว่าผมกับเคย์ปีนึงเห็นจะได้ เป็นเด็กมอปลายธรรมดา ที่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ตาโต ปากอิ่ม ตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอม
.....ไม่แปลกที่เคย์จะมีแฟนน่ารักๆแบบนั้น
......ไม่แปลกที่เคย์ดูจะรักและทุ่มเทเวลาว่างทั้งหมดให้กับเด็กคนนั้นเอามากๆ
..... ที่แปลกคือตัวผมเองหรือเปล่า
....แปลกที่ไปมองว่าเขาน่ารัก
....แปลกที่เห็นว่าเขาควรที่ถูกปกป้องมากกว่าเป็นคนปกป้องใคร
และที่แปลกใจที่สุด
เพราะผมเพิ่งรู้เรื่องพวกนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง
.......ผมที่อยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลาในมหาลัย
ถ้าก่อนหน้านี้ผมตระหนักถึงเรื่องนี้สักนิด
ความรู้สึกของผม คงจะไม่ลุกลามมาถึงตอนนี้
หากผมได้มีโอกาสรู้จักเคย์มาก่อนหน้านี้
ผมคงไม่มีวันปล่อยมือจากเขาให้ใครอย่างแน่นอน
จะโทษอะไรดีล่ะ ที่ทำให้ผมมารู้จักเขาในวันที่สายไป
ระหว่างผมกับเขา
เราเข้ากันได้ดีไม่ว่าเรื่องอะไร
.
.
.
แต่ผมพลาดไปอย่างเดียว
อย่างเดียวจริงๆ
.
.
.
ผมมาช้าเกินไป
////////////THE END////////////////
I-PrA Talk :
ในที่สุดประก็แต่งคู่นี้จนได้นะ ทาคาเคย์^^ (แม้จะไม่สมหวัง)
แต่ก็นะ... ความรักมันมีหลายรูปแบบ สุขบ้าง ดิบบ้าง แบบสเต็กแบบมีเดียม (พูดเรื่องของของกินทำไม!?)
เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นคอนเซปของเราสามคนเหมือนเดิม โยงใยรักสามเส้าสี่เส้าไปเป็นทอดๆ..... และกำลังคิดว่าประควรจะต่อให้เห็นห้าเส้าหกเส้ายาวเป็นขบวนรถไฟไปเลยดีมั้ย 5555+
ผลงานอื่นๆ ของ I-PrA ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ I-PrA
ความคิดเห็น