[SF HSJ] IN THE BOX [Takaki Yuya] - [SF HSJ] IN THE BOX [Takaki Yuya] นิยาย [SF HSJ] IN THE BOX [Takaki Yuya] : Dek-D.com - Writer

    [SF HSJ] IN THE BOX [Takaki Yuya]

    อยู่ๆก็มีกล่องปริศนามาตั้งอยู่หน้าห้อง .........ข้างในนั้น มันคืออะไรกันแน่นะ??

    ผู้เข้าชมรวม

    272

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    272

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 มี.ค. 57 / 14:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    In the box II

    cr: ekacya 



    Title: In the box II

    Cast: Takaki Yuya

    Genre: Fantasy Comedy

    Author: I-PrA

    Rate : PG18 (คิดเองเออเอง 55+) 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

                      .....คืนนี้เป็นวันเกิดผมครับ.....

       

       ...สำหรับผม ทาคาคิ ยูยะ ที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นปีที่ 24 ของผม .....ปีนี้ก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอีกระดับนึงแล้ว แม้ว่าตัวผมจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรจากเดิมเลยตั้งแต่ผ่านช่วง 20 มาแล้วก็ตาม

                      ผมก็ยังเป็นคนเดิม ชอบออกเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ๆยังไม่เคยไป ...ใครๆก็ว่าผมเป็นผู้ชายหน้าร้อน เพราะว่าผมชอบไปอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและแสงแดดอันอบอุ่น บ้างก็แฝงตัวอยู่กับชาวประมงในทะเล บ้างก็เล่นกีฬาเท่ห์ๆทางน้ำเป็นครั้งคราว .....ส่วนหน้าหนาวผมจะจำศีลอยู่แต่ที่ห้อง เน้นทัวร์ชิมร้านอาหารใหม่ๆที่น่าสนใจมากกว่าแทนการเที่ยวตะลอนๆออกต่างจังหวัด

                      ......ก็แหม..อากาศมันหนาว จนน่านอนดูทีวีแล้วซุกตัวอยู่ใต้โต๊ะโคทัตสึทั้งวันเลยนี่นา~……

       

                      ผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ อะไรก็ได้ ไม่คิดอะไรเยอะแยะซับซ้อนให้ปวดหัว ....ดังนั้นการที่ผมกลับมาถึงคอนโดแล้วเห็นกล่องลังกระดาษเก่าๆเยินๆที่ตั้งอยู่หน้าห้องตัวเองอย่างเป็นปริศนาจึงไม่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่นัก

       

                      ผมตรงเข้าไปหยิบมันขึ้นมา หมายจะเอาไปทิ้งให้ถูกที่ถูกทาง เพราะคิดว่ามันเป็นขยะจากความมักง่ายของห้องไหนสักห้องหนึ่งนี่ล่ะ

       

      .....แต่ว่าบางอย่างที่กลิ้งหลุนๆออกมานั้นทำให้ผมต้องหยุดดูด้วยความสงสัย

       

                      “โอ้ย~

                      เสียงร้องที่เหมือนเสียงคนเจ็บดังขึ้นมาจากก้อนอะไรสักอย่างกลมๆลายพร้อยอย่างลูกฟุตบอลที่กลิ้งออกมาจากกล่อง

       

                      “หืม? ตัวอะไรน่ะ”

      ก้อนกลมๆเมื่อกี้ค่อยคลายออกกลายเป็น ....สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กรูปร่างคล้ายมนุษย์ทั่วไป บนหัวสวมมงกุฎพระราชา  แต่แต่งตัวเหมือนพวกขบวนการผู้พิทักษ์ทั้งหลาย แถมยังมีผ้าคลุมสีแดงเพลิงติดไหล่อีกต่างหาก ไม่แน่ใจว่ามันใช้บินได้ด้วยรึเปล่าเพราะหน้าตาที่บูดบึ้งถมึงทึงเหมือนไปโกรธใครมาสิบชาตินั้นไม่ชวนให้ถามซอกแซกด้วยสักเท่าไหร่

       

      ...เจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆนั้นพยายามดันตัวเองลุกขึ้นมายืน แล้วใช้ไม้ง่ามสั้นๆอันเป็นพร๊อบติดมือมาด้วยชี้หน้าผมอย่างกล้าหาญ ....ใช่สิ ต้องเรียกว่ากล้าหาญ เพราะว่าทั้งๆที่ตัวเองตัวเล็กเท่าลูกหมายังจะกล้ามาชี้หน้าคนอื่นอีกนะ!

       

      “เจ้าใช่มั้ย ที่ทำบ้านข้าพังยับเยินขนาดนี้”

      เสียงแหลมแปร๋นๆของเจ้าตัวจิ๋วชี้หน้าคาดโทษมาด้วยความขุ่นมัวเต็มพิกัด

       

      “อ้ะ พูดได้ด้วย”

      ไอ้ผมก็มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับตัวประหลาดที่พูดได้ จนลืมใส่ใจว่าตัวเองกำลังถูกเจ้าตัวเล็กหาเรื่องใส่ความ

       

      “เจ้า! ..อย่ามาดูถูกความสามารถของชาวเรานะ! เจ้าต้องรับผิดชอบที่ทำให้ข้าไร้ที่อยู่อาศัย”

      มือกลมๆของมันชี้ไปที่กล่องสีน้ำตาลเยินๆ ที่ตอนนี้ยิ่งเยินมากกว่าเก่าเพราะเขาทำหลุดมือไปเมื่อกี้นี้

       

      “ลังเน่าๆเนี่ยนะ..อ่า โอเคๆ ไม่วิจารณ์ก็ได้... แล้วนายเป็นใครมาจากดาวไหนล่ะ”

      .....พ่อกับแม่เองก็บอกอยู่เหมือนกันล่ะว่าผมเป็นคนประหลาด  มีความคิดความอ่านที่พิลึกกึกกือไม่เหมือนชาวบ้าน ...เรื่องที่ควรตกใจอย่างเช่นการเจอสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์โลกปกติโดยที่ไม่รู้ว่าเขามาดีหรือมาร้ายยังไง ก็ยังไปยืนคุยด้วยหน้าตาเฉย เหมือนไม่ได้เป็นเรื่องแปลกน่าตกใจอะไร

       

      “ไม่ต้องถามมาก เจ้าจะสืบราชการจากข้ารึ...ข้าไม่หลงกลเจ้าง่ายๆหรอกนะ”

      ต่างกับอีกฝ่ายที่แม้เป็นผู้มาเยือน แต่กลับระแวดระวังภัยเสียเหลือเกิน

       

      “เอ้า..เป็นงั้นไป งั้นเชิญเข้าไปคุยในห้องของข้าก่อนละกัน โอเคไหม...” ผมเชื้อเชิญอย่างใจดี ด้วยเป็นห่วงว่ากลัวใครจะมาเห็นเหตุการณ์เข้าเสียก่อนจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ...ไม่ก็คิดว่าผมเปิดตัวเป็นคนบ้าเต็มตัวที่นั่งคุยกับตุ๊กตาไปเสียแล้ว

       

      เจ้าตัวเล็กทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้าโอเคให้ผมไขประตูเปิดเข้าห้องไป โดยมีเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆวิ่งดุ้กๆตามหลังเข้ามาด้วย .....เจ้านั่นพอเข้าห้องมาได้ก็สอดส่องมองซ้ายมองขวาสลับไปมาหลายๆที เหมือนระแวดระวังภัยจนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น

       

      “นี่บ้านของเจ้ารึ”

      เจ้าตัวเล็กกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างสำรวจ ...บ้างก็ใช้ไม้ง่ามต่างมือยื่นเข้าไปเขี่ยวัตถุต้องสงสัยที่เขาไม่คุ้นชิน ...อย่างเช่นพรมเช็ดเท้าลายหมีที่หน้าประตู เป็นต้น

       

      “อื้อ ไม่ต้องกลัวหรอก ..ฉันอยู่คนเดียว”

      ผมจัดการเปิดไฟจนสว่างหมดทั้งห้อง แล้วตรงไปเลื้อยกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาที่ชุดรับแขกอย่างโหยหา ..... วันนี้มีงานเข้าทั้งวันไม่ได้หยุดได้หย่อน กว่าจะได้กลับบ้านมานอน ก็ถูกงานดูดพลังไปมากพอดู

       

      “อยู่คนเดียว?... โอ เจ้าช่างน่าสงสารนัก”

      เจ้าตัวเล็กวิ่งตุ้บตั้บตามมา และใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะตะกายดาวขึ้นไปบนโซฟาด้วย แต่ด้วยความสูงที่ไม่เอื้อต่อสิ่งที่จะทำสักเท่าไหร่ ทำให้เจ้าตัวเล็กได้แต่ยืนหอบแฮ่กอยู่กับพื้นอย่างเดิม

       

      “เออ แล้วจะให้เรียกนายว่าอะไรล่ะ ฉันชื่อยูยะ

      ผมที่แอบมองความพยายามของเจ้านั่นมาตลอดก็อดเอ็นดูปนขำไม่ได้ จึงใช้มือช้อนตัวมันขึ้นมาด้วยกัน

       

      “ข้ามีนามว่าไดคิงกุ...คิงที่แปลว่าพระราชาน่ะ”

      ....เจ้าตัวเล็กแนะนำตัวอย่างยืดๆนิดหน่อย ดูจะภาคภูมิใจกับชื่อมากเลยนะเนี่ย....

       

      “อ๋อ มิน่าถึงสวมมงกุฎ...นายเป็นพระราชาเหรอ”

      “อื้ม...ก็ประมาณนั้น”

      “แล้วเป็นราชาของที่ไหนล่ะ”

      “ที่ๆไกลแสนไกลจากที่นี่มาก”

      “อ๋อเหรอ....” ผมเออออตอบไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

      .... ปกติผมก็ไม่ค่อยสนพื้นเพของเพื่อนที่คบกันเท่าไหร่หรอก เพราะผมคิดว่าคนเราต้องคบกันที่ใจมากกว่าเสมอ ....แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเหมือนผมนะ

       

      “นี่เจ้า...ไม่เชื่อที่ข้าพูดใช่ไหม!

                      ..... อ่า ดูท่าว่าผมจะทำให้เจ้าตัวเล็กอยากวีนใส่ซะแล้วสิ ....

       

      “เชื่อสิ....ว่าแต่นายนี่นุ่มนิ่มเหมือนตุ๊กตาเลยนะ น่ารักดี”

      ผมเปลี่ยนเรื่องพูดได้หน้าตาเฉย มือไม้ก็จิ้มเนื้อตัวเจ้านั่นตรงนั้นตรงนี้ แกล้งจนมันร้องโวยวายแล้วก็ดิ้นหนีสู้แรงมือ

       

       “อ๊า~ หยุดนะ อย่า... ยูยะ!!!” เสียงแปร๋นๆพยายามร้องห้ามอย่างสุดชีวิต

       

      ....แต่ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้น เจ้านี่มันตัวเล็กน่ารักเหมือนลูกหมาลูกแมว มีรึจะสู้แรงผมได้..... แถมเสียงร้องแปร๋นๆของมันยิ่งชวนให้อยากแกล้งหนักเข้าไปใหญ่ ....เพราะงั้นผมก็เลย

      ...ทั้งกอดทั้งรัดทั้งฟัดแก้มเจ้าหน้าบึ้งประหนึ่งตุ๊กตาจนมันหน้าโย้ไปข้างด้วยความหมันเขี้ยว

       

      จะ...เจ้า....เจ้ากล้าดียังไง

       

      ....แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้นผิดคาดไปนิดหน่อย...

      ผมคิดว่ามันจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแล้วชี้หน้าด่าผมไปถึงบรรพบุรุษ .... แต่ที่น่าเหลือเชื่อคือมันกลับทำหน้าเหมือนคนเสียขวัญ ตากลมๆคลอไปด้วยน้ำตาจนผมแอบรู้สึกผิดบาป

       

      “โอ๋ ขอโทษๆ อย่าร้องไห้น้า

      ผมลูบหัวกลมๆของมันอย่างเบามือเป็นการปลอบขวัญ....มันเลยช้อนตาขึ้นมองผมด้วยความเคียดแค้นปนเขินอาย?

       

      ....ผมไม่เคยง้อใครมาก่อน ก็เลยง้อไม่เป็น...

      ....แต่กับไอ้ตัวเล็กนี่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากง้อมัน .....

       

      .....ผมอยากเห็นมันในสีหน้าหลายๆแบบ ไม่ใช่แค่บึ้งตึงเหมือนโกรธคนทั้งโลกแบบที่เจอกันตอนแรก ....

       

      “หิวปะ เดี๋ยวหาอะไรให้กิน”

      ....สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ก็คือการเอาของกินมาล่อนี่แหละ ถึงจะมีมาตรฐานมาจากความรู้สึกตัวเองว่าจะหายโกรธก็ต่อเมื่อได้กินของที่ชอบ

      ....แต่ในกรณีนี้ ผมไม่รู้ว่ามันชอบอะไร ....แล้วควรเอาอะไรไปง้อมันดีล่ะ?

       

      “เจ้า...เจ้าเป็นผู้ชาย ทำไมถึงได้ทำงานของผู้หญิง!

      แต่แล้วมันก็ทำให้ผมเหวอไปอีกครั้งเพราะมันทำหน้าแตกตื่นตกใจจนเหมือนลืมความโกรธแค้นเมื่อกี้ไปสิ้น

       

      “ห้ะ แค่ทำกับข้าว เดี๋ยวนี้ผู้ชายแมนๆเค้าก็ทำได้กันทั้งนั้นแหละ ..อย่ามาเชย”

      ผมเลยแกล้งพูดยั่ว เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายของขึ้นง่ายมากหากว่าโดนดูถูก ...ส่วนตัวเองก็หันไปคาดผ้ากันเปื้อนลายคุณหมีตัวอ้วนจากงานฝีมือคุณแม่ที่ทำเป็นของขวัญให้ตอนย้ายมาอยู่คนเดียววันแรก  จะว่าไปผมก็เข้าครัวไม่ค่อยบ่อยนัก หนักไปทางฝากท้องไว้กับร้านอาหาร เพราะว่าใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านบ่อย เลยทำได้แต่อาหารพื้นๆ ....แต่ช่วงแรกๆที่ฝึกทำก็ยังต้องโทรถามวิธีทำจากแม่ซ้ำๆจนฝั่งนั้นบ่นมาจนหูชาเหมือนกัน

       

      ผมเตรียมกระทะ แล้วก็เครื่องปรุงวัตถุดิบมาเรียงรายไว้เต็มโต๊ะ จับนั่นผสมนี่พลางฮัมเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดีมีความสุข หวังจะยั่วให้ใครสักคนตบะแตกจนได้

       

      ....แล้วมันก็ได้ผล.....

       

      “เจ้า...ช่วยเอาข้าขึ้นไปบนนั้นที”

       

      ผมเหลือบลงไปมองเจ้าตัวเล็กที่ใช้มือกลมป้อมกระตุกขากางเกงผมยิกๆ พลางยืดขาชะเง้อชะแง่งเหมือนว่าอยากจะมีส่วนร่วมในการทำครัวครั้งนี้ขึ้นมาบ้าง ผมเลยอดจะยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้ ...ก่อนจะก้มลงไปใช้มือช้อนเอาเจ้าตัวเล็กขึ้นมาวางบนโต๊ะซึ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบอยู่

       

      .....เจ้าตัวเล็กเดินด้อมๆมองๆภายในถ้วยชามต่างๆอย่างตื่นเต้น

      ......ใบหน้ากลมที่เครียดขึ้งถมึงทึงตั้งแต่แรกเจอค่อยคลายเป็นรอยยิ้มอย่างน่ารัก .....

       

       

       

      .......จะว่าไปเจ้านี่ พอไม่ทำหน้าบึ้งหน้าโกรธแล้วมัน ....

       

      .......น่ารักชะมัดยาด!.......

       

      .

      .

       

      เค้าว่ากินขนมหวานก่อนอาหารจะได้ไม่อ้วน

       

      ....มันมีเหตุผลทางวิชาการอยู่นะ แต่เรื่องยากๆน่ะช่างเถอะ ผมสนใจแต่ผลลัพธ์กับวิธีการเท่านั้นแหละ

       

      “ยูยะ...เจ้ากำลังเคี้ยวอะไรอยู่น่ะ

      เจ้าตัวเล็กที่กำลังสนุกกับการวิ่งถือช้อนคนไปรอบๆชาม ....คือผมใช้ให้มันช่วยตีไข่ให้น่ะนะ แต่ผมไม่รู้ว่ากว่ามันจะวิ่งจนพอใจได้เมื่อไหร่ ก็เลยแอบเปิดตู้เย็นหาขนมหวานมากินรองท้องระหว่างรอ

      .....แล้วไอ้ตัวเล็กก็ดันจับได้

       

      หืม... พุดดิ้งน่ะ ลองกินมั้ย

      ผมตีหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ ยื่นถ้วยพุดดิ้งไปวางไว้ตรงหน้า...เจ้านั่นยื่นหน้ามาดมทำจมูกฟุดฟิดๆ แล้วก็เงยหน้าถามในตอนสุดท้ายว่า  มันคืออะไร

       

      ของหวานน่ะ นิ่มๆหยุ่นๆละมุนลิ้น อร่อยนะต้องลอง ...อ้าปากสิ

       ผมตักพุดดิ้งในถ้วยให้เป็นชิ้นเล็กที่สุดแล้วยื่นไปจ่อที่ปากเจ้าตัวเล็ก ...เจ้านั่นทำท่าลังเล แต่ตากลมๆที่จ้องตาเป็นมันแบบนั้นน่ะปฏิเสธตัวเองไม่ได้นานหร๊อก!

       

      งั่ม~!!!

      ในที่สุดเจ้าตัวเล็กก็อ้าปากงับของหวานนุ่มหยุ่นละมุนลิ้นที่ว่าไปเคี้ยวยับๆได้สักพัก ....ผมก็รอลุ้นดูปฏิกิริยาตอบรับว่ามันจะถูกใจจนต้องร้องขอเพิ่มอีกรึเปล่า

       

      “นี่เจ้า....เอาอะไรให้ข้ากิน ทำไมข้าร้อนไปทั้งตัวขนาดนี้”

      หลังจากที่กลืนพุดดิ้งลงท้องไปไม่ทันไรเจ้าตัวเล็กก็ดิ้นพราด ร่างกายเล็กๆนั้นบิดเร่าอย่างทรมาน ส่งเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจจนผมตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ด้วยไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง

       

      ทันใดนั้นเองก็บังเกิดแสงสว่างจ้าแสบตาวาปขึ้นมาชั่วขณะจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้.... จนเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเจ้าตัวเล็กไดคิงกุที่นอนทรมานอยู่เมื่อกี้หายตัวไป แต่กลับมีร่างขาวบอบบางอ้อนแอ้นของเด็กหนุ่มในสภาพเปลือยเปล่า นอนขดอยู่ตรงหน้าเข้ามาแทน

       

      “เฮ้ย! มาไงอีกวะเนี่ย”

      …..เรื่องมันชักจะประหลาดเข้าไปใหญ่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่!.....

       

      ร่างขาวนวลนั้นค่อยๆฟื้นขึ้นมา และทันทีที่ลืมตามาเจอหน้าเหวอๆของยูยะก็ชี้หน้าอารมณ์เสียใส่ขึ้นในทันใด

       

      “เจ้าจะลอบฆ่าข้ารึยังไง! ...อ้ะ!ทำไมข้ากลับมาอยู่ร่างเดิมได้ล่ะ?!”

      ....แม้แต่เจ้าตัวยังฉงนสงสัย นาทีนี้ผมเองก็ไม่รู้จะไปถามใครเหมือนกันแหละ ..

       

      คนธรรมดาที่ไหนจะไปรับได้กับเรื่องประหลาดๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองแบบไม่หยุดหย่อนแบบนี้กัน!!

       

      แต่สิ่งหนึ่งที่ผมฟันธงได้แน่นอนเลยก็คือ... เด็กหนุ่มตรงหน้าก็คือเจ้าตัวเล็กไดคิงกุชัวร์ๆ!!

      แล้วเจ้านั่นในร่างนี้ก็ค่อนข้างที่จะ.....

       

       

      ......น่ารักเกินคาด......

       

       

       “..เจ้า! ยูยะ!! ไปหาอาภรณ์มาให้ข้าใส่เดี๋ยวนี้นะ”

       

      แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์หรือที่มาที่ไปสักเท่าไหร่ ผมก็กระวีกระวาดไปค้นตู้ตะกุยหาเสื้อผ้าไซส์เล็กที่สุดมาให้มันจนได้.....แต่ไอ้ครั้นพอยื่นให้ กลับได้คำสั่งแปลกๆกลับมาว่า

       

      “ใส่ให้ด้วยสิ”

       

      “ห๊า~ใส่เองสิฟะ”

       

      ....นี่มันออกจะเกินไปหน่อยรึเปล่า?.... ไม่ได้คิดถึงจิตใจผมบ้างเลยสินะ

       

      …..ทำไมจะยั่ว?

      ....ตัวเองอยู่ในสภาพน่าขย้ำแค่ไหนที่ไม่ได้รู้เลยรึไง!......

       

      “ข้าไม่เคยใส่เองน่ะ”

      ....แต่ดูจากสีแดงๆบนแก้มใสกับกายขาวที่ร้อนผ่าวจนแดงไปทั้งตัวก็พอยืนยันได้ว่าที่พูดเป็นเรื่องจริง......

       

      .....อ่า อากาศวันนี้มันร้อนจังเลยนะ ร้อนจนเหงื่อแตกไปหมดแล้ว.....

       

      “เร็วสิ”

      ....มีเร่งด้วยเว้ย!!....

       

      โอเค..เพื่อเห็นแก่การที่ผมจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพทำตัวไม่ถูกแบบนี้นานๆ

       

      พรึ่บ~

      ผมหลับหูหลับตาเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วรีบจับใส่กางเกงให้เรียบร้อยเป็นอย่างแรก เพื่อไม่ให้ตัวเองใจสั่นหวั่นไหวกับเนื้อกายขาวผ่องหมดจดไปทุกสัดส่วน(แบบที่แอบสำรวจมาแล้วอย่างใกล้ชิด)ไปมากกว่านี้

       

      “เอ้า กางแขนสิ”

       ...ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณครูอนุบาลยังไงชอบกลนะ...

       

      “ติดกระดุมเสื้อเองได้มั้ย”

      ....นี่เป็นคนดีนะเนี่ยพูดเลย....ผมใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการผินหน้าออกจากหน้าอกขาวผ่องสะกดใจชาย

       

       ...แต่ทว่า

       

      “ทำให้เสร็จสิ” น้ำเสียงเหวี่ยงเล็กน้อย ที่ผมทำท่าจะละเลยการปฏิบัติหน้าที่ให้เสร็จสิ้น ....

       

      .....เจ้านั่นใช้แค่สายตากับน้ำเสียงแค่สองอย่างเท่านั้น ผมก็ทรุดลงนั่งปุบอยู่ตรงหน้ามันแล้ว.....

       

      “นายคือไดคิงกุใช่รึเปล่า”

      ผมเอื้อมมือไปจับไหล่บางของร่างขาวตรงหน้าแล้วถามอย่างจริงจังเพื่อความแน่ใจ ..แม้ว่าใจจริงผมจะมั่นใจไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ตอนที่ถูกชี้หน้าใส่แล้วก็ตาม ....เจ้านั่นอึกอักนิดหน่อยก่อนพยักหน้าตอบ

       

      แต่เพราะช่วงเวลานั้นแหละที่ทำให้ผมได้มีโอกาสพิจารณาอีกฝ่ายอย่างชัดๆ

       

      ผมรู้สึกเหมือนถูกชั่วโมงต้องมนต์ดึงดูดเข้าไปได้ไม่ยากเลย .....หน่วยตากลมแป๋วที่ทั้งแบ้วทั้งใส ปากนิดจมูกหน่อย ประกอบกับแก้มป่องๆขาวๆที่ดูน่าจะนุ่มเนียนเด้งดึ๋งเหมือนขนมมาร์ชเมลโล่

      .......ทุกๆอย่างที่หลอมรวมอยู่ในตัวของไดกิให้ความรู้สึกน่ารักไปหมดซะทุกอย่าง.....

       

      “ใช่ ร่างนี้คือร่างจริงของข้า ข้าชื่อไดกิ”

      ....สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาก็ยังดูน่ารักสดใส ...แม้ว่าจะอยู่ในโทนเสียงสูงแต่ก็ไม่ได้ฟังแล้วแหลมบาดหูเหมือนตอนที่อยู่ในร่างของไดคิงกุ

       

      ...อ่า ผมคงหลงเจ้าหมอนี่เข้าไปแล้วเต็มๆอย่างแน่แท้เลยล่ะ....

       

      “ไดกิ...ชื่อน่ารักกว่าไดคิงกุตั้งเยอะแน่ะ..ทำไมไม่ใช้ชื่อนี้ล่ะ”

      ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังงุนงงปนกับความขลาดเขินด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย ....ในหัวคือถูกความคิดฝ่ายต่ำเข้าครอบงำเรียบร้อย

       

      “ข้าไม่ชอบคำชมเยี่ยงสาวน้อยแบบนั้น”

      ไดกิเองก็คงรู้สึกถึงรังสีอันตรายนั้นได้ หน่วยตากลมจึงฉายแววหวาดกลัวเหมือนลูกกวางตัวน้อยที่กำลังจะถูกสัตว์ใหญ่ล่า

       

      “แต่ไดกิหน้าตาน่ารักออก”

       

      ....มันเป็นความผิดพลาดแท้ๆที่ไดกิเผลอไปสบสายตาเจ้าชู้ของยูยะเข้าจนเจ้าตัวต้องก้มหน้าหลบตาวูบ....

       

      “...ข้าไม่ได้น่ารัก”

       

      ....แต่ผมก็ยังมิวายที่จะตามมาใช้นิ้วเชยคางร่างขาวขึ้นมาสบตากันใหม่ พร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นพิฆาตใจดวงน้อย....

       

      “น่ารักสิ”

       

      ....แรงดึงดูดที่เหมือนคลื่นแม่เหล็กอันมหาศาลส่งผลให้ริมฝีปากของทั้งคู่ค่อยๆเข้ามาแตะแนบชิดกันอย่างเผลอไผล....

       

      “น่ารักจนฉันอยากจะกอดเอาไว้คนเดียวตลอดไป”

       

      .....แก้มใสร้อนเห่อสุกแดงเปล่งปลั่ง หน่วยตากลมโตสั่นระริกหวามไหว ร่างกายโอนอ่อนไปกับทุกสัมผัส....

       

      “ขอกอดได้มั้ย”

       

                      .

                      .

                      .

       

      “อื้อ”

       

      เสร็จโจร!!!

       

       

       

      .......จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าการมาของไดกิมีที่มาที่ไปอย่างไร ...เรื่องนั้นผมไม่สนใจหรอก......

       

      ...... แต่การที่เราได้พบกันในคืนวันเกิดของผม และทำให้มันกลายเป็นคืนที่วิเศษสุดๆนั้น

      ......ผมขอเหมารวมว่าไดกิคือของขวัญสุดพิเศษจากพระเจ้าเลยละกัน.......

       

       

      อ้อ... อย่าคิดจะมาทวงคืนเชียวล่ะ ...ผมหวง... ^^

       

       

      THE END

       

      I-PrA Talk: จบแล้วววว น้ำตาแทบไหล ...อาจจะสั้นไปสักหน่อย เพราะมันคือช็อตฟิกนะจ้ะ ฮ่าๆๆ

      เรื่องนี้ก็เหมือนภาคต่อของยูยะเซบ้าเลย ด้วยธีมเรื่องเดียวกัน (เพราะไอประเริ่มสิ้นคิด) ทั้งๆที่คิดพล็อตมาเป็นเดือนทีเดียวสำหรับฟิกวันเกิดนี้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนพล็อตกลางอากาศในวันก่อนหน้าวันเกิดยูยะแล้วก็กลายมาเป็นเรื่องนี้นี่เอง แถมยังลงไม่ทันวันเกิดอีกต่างหาก แม้ว่าจะแต่งเสร็จตอนสี่ทุ่มของเมื่อวานก็เถอะ ฮ่าๆๆ

                      เอาเป็นว่าก็อ่านกันเพลินๆแล้วกันค่ะ เอนจอย^^  ชอบไม่ชอบยังไงก็เม้นติชมมาได้น้า 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×