คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter Two ทางลัดเส้นที่สอง
แบคฮยอนนั่งกอดอกมองกระดาษนามบัตรสีขาวมาเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีได้ นามบัตรที่มีชื่อ และตำแหน่งพร้อมเบอร์โทรศัพท์ ข้างๆนามบัตรคือโทรศัพท์มือถือที่ตกรุ่นไปแล้ว
ร่างบางลังเลใจอยู่หลายครั้ง หยิบแล้วก็วาง หยิบแล้วก็วาง ทำแบบนั้นกับมือถือแล้วนามบัตรซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะขยี้หัวตัวเองที่เอาแต่ป๊อดอยู่แบบนี้ ทั้งที่พระเจ้าอุตส่าห์ประทานสะพานชั้นดีที่ทั้งแข็งแรงและมั่นคงมาให้
“เอายังไงดีเนี่ย? แล้วจะเชื่อได้แค่ไหนว่าไอ้หมอนั่นมันพูดจริง” แบคฮยอนมองรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรสีขาวขอบทอง(เอ๊ะ!นั่นไพ่หรอ?) ก่อนจะใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากอย่างที่เคยเวลาต้องใช้ความคิด
ลองนึกย้อนกลับไปเมื่อคืนนี้ที่นายแบบชื่อ อี้ฟานเคาะประตูระเบียงห้องเขา เขาเปิดต้อนรับเข้ามาเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะกระโดดจากตึก 15 ชั้น แล้วสุดท้ายก็รู้ว่าไอ้ตัวสูงผมทองมันเป็นนายแบบ ที่สำคัญหมอนั่นรู้จักกับผู้กำกับอะไรนั่น!
ปาร์ค ชานยอล...
ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อเลยวะ? หรือไอ้สองคนนั่นมันจะเป็นนักต้มตุ๋นหลอกพวกเด็กชนบท บ้านนอกอย่างผมไปทำมิดีมิร้าย แต่สองคนนั้นหล่อมากเลยนะ แต่งตัวก็ดี โอ๊ย!ไม่ใช่สิๆๆๆ คนแต่งตัวดี หน้าตาดีไม่ได้หมายความว่าเขาจะจิตใจดีไปด้วยนะ
ที่นี่ที่ไหน? โซลนะเฮ้ย! มันไม่มีหรอกเพื่อนบ้านใจดีเอากะหล่ำปลีมาแลกไข่อ่ะ...ท่องไว้สิแบคฮยอน
สุดท้ายผมก็เก็บทั้งมือถือและนามบัตรลงกระเป๋าสะพาย ก่อนจะย้ายข้าวของ สัมภาระทุกอย่างออกจากที่พัก ซึ่งวันนี้แผนที่วางเอาไว้คือหาห้องเช่าราคาถูกเพื่อเป็นที่พักพิงยามใช้ชีวิตในเมืองใหญ่เสียก่อน
แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ทำให้ผมต้องวางกระเป๋าเดินทางลงแล้วควานหามือถือที่อยู่ซอกไหนซักหลืบในกระเป๋าสะพาย มองเบอร์ที่โชว์หน้าจอแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ใครหนอ???
คิดในแง่ดีอาจจะเป็นเอเจนซี่หรือตัวแทนซักคนที่ผมทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ให้เขาก็เป็นได้ คิดดังนั้นก็รีบกดรับสายพร้อมกรอกเสียงหวานสุภาพเพื่อสร้างความประทับใจหากคนที่โทรมาเป็นอย่างที่คิด
“สวัสดีครับ แบคฮยอนพูดครับ” ผมกรอกเสียงลงไป พร้อมทั้งสวดมนตร์ในใจขอให้เป็นเอเจนซี่หรือตัวแทนจากที่ไหนก็ได้ติดต่อเขามาจริงๆ
“เสียงเพราะผิดกับตอนไล่ผมออกจากห้อง มันช่างน่าน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน” คนปลายสายทำให้ผมชะงัก จะว่าน้ำเสียงนี้มันคุ้นเคยก็ไม่ใช่ จะไม่รู้จักก็ไม่เชิง มันคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินน้ำเสียงแบบนี้เมื่อไม่นาน
“ถ้าไม่มีธุระผมวางนะครับ” ผมเอ่ยตัดบทสนทนาจนอีกฝ่ายกุลีกุจอบอกชื่อแทบไม่ทัน บอกแต่แรกก็จบไปแล้ว ทำไมต้องให้หงุดหงิดก่อนนะ ไอ้หัวทองเอ๊ย!!!
“นี่ ทำไมไม่โทรมาล่ะ?” ผมตัดสินใจนั่งลงบนเตียงเพื่อคุยโทรศัพท์ก่อน แล้วค่อยลงไปเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม
“โทรทำไม? ก็ไม่ได้อยากจะคุย ไม่ได้อยากติดต่อด้วย แล้วมันสำคัญตรงไหนเนี่ย! นายก็โทรมาแล้...ว เดี๋ยวนะ!!! แล้วเอาเบอร์ฉันมาจากไหน?” ผมแว้ดเสียงในประโยคท้ายดังลั่น เดาว่าอีกฝ่ายต้องแสบแก้วหูจนต้องเอามือถือออกห่างแน่
“ก็นะ...คุณเผลอเอง ว่าแต่...มือถือคุณเก่าไปนะ นึกว่าจะโทรหาไม่ติดซะแล้ว เห็นเก่าขนาดนั้น ฮ่าๆๆ” พอได้ฟังประโยคไร้สาระจากอีกฝ่าย ผมก็กดตัดสายทิ้งทันที
ไอ้คนไร้มารยาททั้งหลาย!!!
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังอีกสองสามครั้งก่อนจะหยุดไปเพราะอีกคนคงยอมแพ้ ผมไม่รับสายเขาอีกเลย แถมยังใจดีเมมเบอร์ไอ้หมอนี่ว่า ‘อย่ารับ!!!’ แล้วก็ทิ้งนามบัตรลงท่อระบายน้ำไปเลย ไปดีมาดีนะขอบทอง J
สุดท้ายผมก็มาได้ห้องเช่าราคากลางๆอยู่ที่มยองดง ที่ผมเลือกมยองดงเพราะดาราหรือไอดอลหลายๆคนก็มีแมวมองมาเลือกไปเป็นเด็กในสังกัดจากการเดินช้อปปิ้งหลายต่อหลายคน
แผนของวันนี้จบลงแค่หาห้องพักและจัดห้องเท่านั้น สิ่งที่ผมเอามามีเพียงเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆที่จำเป็น ส่วนของเล็กๆน้อยๆจิปาถะ คงหาซื้อจากที่นี่เอาได้ กว่าจะจัดของทุกอย่างเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าแตะมือผลัดให้ดวงจันทร์ขึ้นมาทำหน้าที่แทนเสียแล้ว
อาหารมื้อนี้ผมยังคงพึ่งร้านสะดวกซื้อเช่นเคย แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากรามยอนรสเผ็ดร้อนเป็นจาจังมยอนแบบสำเร็จรูปแทน แต่คราวนี้คงต้องซื้อแบบซองไปตุนไว้ที่ห้องแล้วล่ะ ลงทุนซื้อเตาไฟฟ้ามาเก็บเอาไว้ก็น่าจะเบาใจเรื่องอาหารการกินลงไปได้บ้าง
ทานอาหารมื้อถูกและเรียบง่ายในร้านสะดวกซื้อแล้ว แบคฮยอนก็ตรงไปที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อเอาเงินเข้าบัญชีทันที ถ้าให้เขาพกเงินจำนวนมากไปไหนมาไหนด้วยทุกวันล่ะก็ เขากลัวว่าตัวเองจะใช้เพลินมือเสียเอง
เงินในบัญชีมีมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใช้แล้วจะไม่หมดไป สิ่งที่ร่างบางคิดเอาไว้คือการหางานพิเศษทำในช่วงที่เขายังลอยไปลอยมาตามหาความฝันไม่เจอ
“พรุ่งนี้ลองเดินหางานคู่กับเดินหาเอเจนซี่ไปด้วยก็แล้วกัน วันนี้พักก่อนดีกว่า” แบคฮยอนบอกกับตัวเองก่อนจะกระชับเสื้อกันหนาวเข้าตัวเมื่อมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างกายไป
คืนนั้นแบคฮยอนอมยิ้มกับข้อความกวนประสาทสั้นๆที่อู๋อี้ฟานส่งมา...
‘อย่าคิดว่าจะหนีพ้นนะ น่าโมโหนิดหน่อยที่มือถือคุณมันเก่าเกินจะเปิด GPS แต่ผมรับรองว่ายังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีกแน่นอน! ผมเชื่ออย่างนั้น J’
แบคฮยอนได้งานพิเศษที่ร้านกาแฟในย่านอัพกูจอง สาเหตุที่เลือกที่นี่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ หากย่านวัยรุ่นอย่างมยองดงมีโอกาสเจอแมวมอง อัพกูจองย่านหรูก็คงไม่ต่างกัน นั่นแหละ!!!ตามนั้น
เพราะพื้นฐานเป็นคนขยัน แล้วก็หัวไว แบคฮยอนเรียนรู้งานในร้านได้อย่างคล่องแคล่ว ลงมือปฏิบัติได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง ไม่ว่าจะรับออเดอร์ลูกค้า คิดเงิน เสริฟกาแฟ เช็ดโต๊ะ กวาดถูพื้น เช็ดตั้งแต่กระจกยันล้างห้องน้ำ
แบคฮยอนหอบสังขารเดินกลับห้องด้วยความเหนื่อยล้า ใช้มือสองข้างผลัดกันนวดต้นแขนซ้ายขวาสลับกัน ก่อนจะสะบัดแรงๆเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เริ่มยึดหลังจากทำงานหนัก
“ไงคุณ!สีหน้าดูไม่ได้เลยนะ” แบคฮยอนไม่สนใจเสียงที่เอ่ยทักเพราะคิดว่าไม่ใช่เขาแน่ๆที่ถูกทักทาย ก็เขาพึ่งจะมาอยู่ที่นี่ จะให้ไปรู้จักกับใคร แล้วถ้าจำไม่ผิดเขาไม่เคยรู้จักมักจี่กับคนที่ย้อมทั้งหัวเป็นสีทอง!!!
เวท!เดี๋ยวนะ สีทอง ตั้งแต่เข้ามาโซลก็มีคนเดียว...
#อะมิตตะพุต มันตามหาผมเจอได้ด้วยวิธีไหนกันหนอ?
แล้วอู๋อี้ฟานก็มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในห้องของผมอีกครั้ง หมอนั่นมองซ้ายขวาสำรวจรอบตัวก่อนจะเปลี่ยนท่านั่ง แต่เพราะขาที่ยาวเก้งก้างบวกกับขนาดห้องที่ค่อนข้างเล็กมันทำให้เขามีสีหน้ายุ่งๆ
“ห้องคุณนี่มัน...แค...ครบครันจริงๆ” อี้ฟานเปลี่ยนคำพูดทันทีเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของผม อาจจะบวกกับเรื่องที่วันนี้เขาวิจารณ์มือถือของผมจนเป็นเหตุให้ผมตัดสายเขาทิ้งและไม่ยอมรับอีกเลย
“ต้องการอะไร? ฉันช่วยนายให้เข้ามาหลบในห้องวันนั้น แค่ขอบคุณฉันคำเดียวก็พอ มาตามกันแบบนี้ ฉันไม่ชอบ แล้วไอ้ท่าทางตีสนิทคนได้ง่ายๆแบบที่นายทำเนี่ย มันเป็นนิสัยของคนที่นี่หรอ?” ผมหลับตาร่ายยาวเหยียดก่อนจะหอบหายใจรัวๆ
การได้มารู้จักกับหมอนี่มันทำให้ผมคิดอะไรก็พูดออกไป ซึ่งมันผิดวิสัยสุดๆไปเลย ปรกติผมไม่พูดอย่างที่คิด จะเรียกว่าพวกปากไม่ตรงกับใจก็คงจะใช่ ผมไม่เห็นข้อดีของการพูดตามที่คิดซักนิด เพราะนั่นเท่ากับว่าเราเผยความในใจทุกอย่างออกไปจนหมดเปลือก
แต่...หมอนี่ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ผมมักจะพูดก่อนแล้วค่อยคิดได้เสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พอพูดจบประโยคผมก็ลืมตามองตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ต้องการเสียที
แล้วก็พบว่าอีกคนนอนลงบนที่นอนปูพื้นของผม เฮ้ย!!!นี่บ้านใครวะ? บ้านผมหรือบ้านมัน? ทำไมมันทำตัวสบายประหนึ่งผมเป็นแขกแล้วมันเป็นอินเดีย(มุกคนแต่ง พยายามทำความเข้าใจ ฮ่าๆๆๆ)
“เฮ้ย!ตื่น มาทางไหนไปทางนั้นเลยนะนาย” ผมเขย่าคนตัวสูงที่ถือวิสาสะนอนลงบนที่นอนของผม แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไร หมอนี่ไม่ตื่น!
ไม่ตื่นนะ...งั้นแลกกับการที่มานอนบนที่นอนของผม ขอสำรวจสำมะโนครัวก็คงไม่ผิดนะ ผมถือว่าผมมีสิทธิ์เต็มที่ในการตรวจสอบและคัดกรองคนในการที่จะเข้าออกบ้านผม
ผมจับๆคลำๆหาทั้งกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเจอมันวางอยู่ข้างตัวอี้ฟานอีกฝั่งหนึ่งของที่นอน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการอยู่ในครอบครองผมก็เริ่มต้นที่กระเป๋าเงินก่อนเป็นอันดับแรก
กระเป๋าหนังขัดเงาสีดำ ตรงมุมล่างขวามือมีตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์เอาไว้ว่า Calvin Klein ผมไม่รู้ราคาของมันหรอกว่าอยู่ที่หลักไหน ผมเลิกสนใจราคาและดีไซน์ของกระเป๋าเงินหมอนั่น ค้นดูด้านในก็เจอบัตรประชาชน ซึ่งระบุว่าชื่อ อู๋อี้ฟาน สัญชาติ แคนาเดียน???
หมอนี่ตกลงมันคนประเทศไหนโดยกำเนิดวะ? คงไม่ใช่เกาหลีเพราะสำเนียงแปร่งๆแถมยังห่วยสุดๆ พูดรู้เรื่องนะ แต่ต้องทรานสเลทเกาหลีเป็นเกาหลีอีกที
งั้นข้าม!!!
บัตรสมาชิกร้านสปา ร้านทำเล็บมือ ร้านทำเล็บเท้า(แยกเพื่อ?) บัตรสมาชิกฟิตเนส บลาๆๆๆ เป็นสมาชิกกี่ที่กันเนี่ย ปลายปีได้สิทธิพิเศษเหมือนทรูวิชั่นส์หรือเปล่า?
แล้วผมก็ค้นเจอแบล็คการ์ด!!! Black Amex หมอนี่มันลูกเศรษฐีประเทศไหนเนี่ย?
ต่อให้อยู่ชนบท คนอย่างผมก็รู้ดีว่าบัตรเหลี่ยมๆสีดำนี่มันคืออะไร หมอนี่มันรวยขนาดมีบัตรเครดิตแบบไม่จำกัดวงเงินเลยหรอ? ได้ข่าวว่าเป็นแค่นายแบบเองนี่?
ผมเก็บบัตรเครดิตใบแพงเก็บที่เดิมด้วยมือที่ติดจะสั่นนิดๆ ครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ได้สัมผัสบัตรที่ไม่กี่คนบนโลกมีในครอบครอง ถ้าไม่รวยจริงๆ ตาย!!!
ไม่สำรวจต่อแล้ว มือถือก็ไม่คิดจะดูด้วย ผมวางของๆหมอนั่นไว้ที่เดิมก่อนจะ คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ทั้งที่ใจยังตื่นเต้นกับบัตรเครดิตสีดำไม่หาย
“อาบน้ำเสร็จเมื่อไร จะออกไปไล่หมอนั่นกลับทันทีเลย พอเห็นบัตรดำแล้ว รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียอย่างงั้น” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเปิดฝักบัวเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย
ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับพันผ้าเช็ดตัวเอาไว้รอบเอว ด้วยความที่ลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนที่เคย กว่าจะรู้ตัว นายอู๋อี้ฟานก็จ้องผมตาปริบๆไปเรียบร้อย
เอาจริงๆผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมาร้องเสียงหลงเวลามีผู้ชายมาจ้องเรือนร่างนะ เอาเถอะ สิ่งที่ผมมี หมอนั่นก็มีเหมือนกันนั่นแหละ...
ผมเลยเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กในห้อง ควานหาเสื้อยืดใส่นอนกับกางเกงขาสั้นซักตัว แต่ก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่ากางเกงขาสั้นผมขนไปซักเมื่อวานจนหมด ตอนนี้เลยไม่เหลือซักตัวให้ใส่นอน
เลยเปลี่ยนความคิดไปหาเสื้อยืดตัวใหญ่ที่เกินไซส์จริงไปหลายขุม ก่อนจะหากางเกงในสวมทับกันชั้นข้างในอีกที โดยที่ผมไม่ได้หันกลับมามองคนข้างหลังเลยว่าเขามองผมด้วยสายตาแบบไหน?
[Wu Yi Fan-Part of me]
ผมไม่เข้าใจ!!! ยังไงก็ไม่เข้าใจ!!!
เขาลืมไปแล้วใช่ไหมว่าผมเองก็นั่งอยู่ในห้อง หรือเขาเห็นผมเป็นพระอิฐพระปูน ถึงได้มาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันต่อหน้าแบบไม่ให้เกียรติจังหวะการเต้นของหัวใจซักนิด
แล้วนี่ชุดนอนอะไร!!!
เสื้อยืดตัวโคร่ง สีขาวบางๆ ยาวคลุมแค่ต้นขาไม่ถึงเข่าด้วยซ้ำ กับชั้นในอีกหนึ่งตัว ผมกำลังจะบ้าอยู่แล้วนะ!!!
“นี่นาย ฉันจะนอน กลับบ้านนายไปซะทีสิ!” เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ อีกคนก็หันมาเอ่ยปากไล่กันทันที ตั้งแต่เมื่อวานผมนับด้วยนิ้วมือไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาเอ่ยไล่ผมไปกี่ครั้งแล้ว
“คุณบยอนแบคฮยอนครับ พูดกับแขกแบบนี้ไม่เพราะนะครับ” อีกคนมองผมด้วยสายตาแปลกใจก่อนจะเดินถอยหลังไปทีละสองสามก้าว
“นะ..น นาย รู้ชื่อฉันได้ยังไง? ฉันยังไม่เคยบอกนายด้วยซ้ำ” ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันทีเมื่อเผอหลุดออกมา ทั้งที่ย้ำกับตัวเองนักหนาแล้วเชียวว่าอย่าหลุดให้คนตัวเล็กรู้
“ออกไปเลยนะ!!!แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก นายเป็นใครฉันไม่สน แต่อย่ามายุ่งกับฉัน!!!” แบคฮยอนตวาดใส่ผมหน้าแดง มือเล็กคว้าไม้กวาดขึ้นมากำเอาไว้แน่น แล้วหมายมั่นจะตีผมให้ได้หากผมทำอะไรเขา
“โอเคๆ ฟังก่อนนะ ผมชื่ออู๋อี้ฟาน ตามที่บอกคุณไป ผมเป็นนายแบบจริงๆผมยืนยัน ส่วนที่ผมรู้ชื่อของคุณก็เพราะ....เพราะ...” ผมลังเลที่จะพูดความจริงออกไป ผมก็คนธรรมดานะครับ จะให้ผมพูดออกไปโต้งๆว่าสนใจเขาทั้งที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน มันออกจะแปลกไปหน่อยไหม?
“เพราะอะไรเล่า!!!!!” แล้วคนตัวเล็กก็โวยวายขึ้นมาอีกรอบ พร้อมกับตั้งท่าจะฟาดไม้กวาดลงบนศีรษะผม ผมยกแขนขึ้นกัน พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วตอบคำถามของเขา
“เพราะ...ผมสนใจไง ทำไมล่ะ? ตามหาคุณไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลย” แบคฮยอนวางไม้กวาดลงที่เดิม ก่อนจะจัดทรงผมแล้วเดินเข้ามาใกล้ ครั้งนี้กลับเป็นผมเองที่ถอยหลัง
“สนใจในความหมายของนายคืออะไร? สนใจแบบไหน?” แบคฮยอนถามผมด้วยสีหน้าคาดคั้น แต่แววตาคล้ายกับคนกำลังสนุกที่ได้แกล้งคนอื่น
“ถามอีกอย่าง นายเป็นใคร? ที่บอกว่าเป็นนายแบบ แน่ใจหรอว่าไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น?” ผมพยักหน้าแล้วก็สงสัยนิดหน่อยว่าทำไมเขาถึงไม่เชื่อว่าผมเป็นนายแบบจริงๆ
นี่ใสใสเลยนะ J อี้ฟานใสยิ่งกว่าน้ำแร่มิเนอรัลอีก เชื่อฉันสิ!!!
“ฉันเห็นนายมีบัตรเครดิตดำ แบล็คการ์ดนะเว้ย! คนธรรมดาเขาไม่มีหรอก บอกมา!เป็นใครมาจากไหน?” ร่างบางที่มือไวคว้ามีดพกประจำตัวขึ้นมาขู่ตรงหน้าผม
ผมไม่กลัวหรอกกับอีแค่มีดพอ อีกอย่างผมมีแรงมากพอที่จะหยุดแบคฮยอน แต่สีหน้าเขาตอนทำเป็นขู่เค้นเอาความจริงเนี่ย มันน่ารักจริงๆเลย
เหมือนลูกแมวที่พยายามขู่ฟ่อๆทั้งที่ยังโตไม่เต็มที่พอ จากที่จะน่ากลัวเลยกลายเป็นน่าเอ็นดูไปเสียอย่างนั้น
“คุณค้นกระเป๋าผม ไม่ใช่ผมไม่รู้นะ” แบคฮยอนหน้าเจื่อนลงทันที่เอ่ยเรื่องที่เขาค้นกระเป๋าผม ความจริงผมไม่ถือเพราะไม่มีอะไรปิดบัง เพียงแต่ตอนนี้เรื่องค้นกระเป๋ามันกลับพลิกเกมส์ที่แบคฮยอนเคยนำ ให้กลายเป็นตามแทน
คนตัวเล็กมีสีหน้าสำนึกผิดทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ ผมเดาว่านิสัยแก่นเซี้ยวคงเป็นนิสัยโดยส่วนตัวที่เขาสร้างขึ้นมาป้องกันคนรอบข้างที่ยังไม่สนิทมากพอ ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันก็ดูน่าสนใจไปหมด
“งั้นเอาแบบนี้...คืนนี้ดึกแล้ว เพื่อไถ่โทษที่คุณค้นกระเป๋าผม คุณต้องให้ผมค้างด้วย ผมไม่ได้เอารถมา” ผมมัดมือชกทันที ก่อนจะเดินตรงไปที่ที่นอนแล้วทิ้งตัวลงนอนฝั่งหนึ่งแล้วเหลืออีกฝั่งไว้ให้แบคฮยอน
“แค่คืนนี้นะ แล้วมาทางไหนไปทางนั้นเลย” คนตัวเล็กพูดเสียงแข็งแล้วนอนลงข้างตัวผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมเจอเขาแล้ว จ้างให้ก็ไม่ไปไหนหรอก J
ไม่บ่อยหรอกนะที่จะเจอคนที่ทำให้เรายิ้มอย่างบ้าคลั่งเพียงแค่นึกถึงใบหน้าของเขาเท่านั้น การพบเจอแบคฮยอนเมื่อวาน ไม่ว่าจะเหตุการณ์โดดไปหลบระเบียงห้องเขา หรือขอเข้าไปหลบเพราะหนีแฟนของคู่นอนที่หิ้วมา
มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!!!
ผมก็แค่อยากเข้าใกล้เขาอีกก้าวก็เท่านั้นเอง J
[Wu Yi Fan - Part of me] END
หากอีกคนสนใจ...ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะสลัดทิ้ง
ยิ่งอีกฝ่ายมีประโยชน์มากเท่าไร
ก็ยิ่งควรเก็บเอาไว้เป็น ‘ทางลัด’
ไม่ใช่หรือ?
---Talk---
ไม่รู้จะทอล์คอะไร
เอาเป็นว่าอิแบคไม่ได้ใสก็พอ
ติดแท็ก #shortcutCB ด้วยจะดีมาก
:) Shalunla
ความคิดเห็น