วันนี้ฝนใกล้จะตกอีกแล้ว น่าเบื่อนะคุณ ระยะนี้ตกแทบทุกวันเลย แถมวันนี้ดูเหมือนจะหนักกว่าทุกวัน ฟ้าครึ้มเชียว ท่าทางคุณจะรอใครอยู่ใช่ไหมล่ะถึงได้ยืนอยู่ใต้ตึกไม่ไปไหน เห็นฝนตกทีไรผมคิดถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อนทุกที เรื่องอะไรน่ะเหรอ ท่าทางคนที่คุณกำลังรอคงยังไม่มา คุณไม่รีบไปไหนใช่ไหม เราไปนั่งกันตรงนั้นดีกว่า ผมจะเล่าเรื่องของผมให้คุณฟัง
สองปีที่ แล้ว ผมก็เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆนี่แหละ ชีวิตก็ตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นก็กลับบ้าน วนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ ยังดีที่มีแฟนคนหนึ่งคอยเป็นกำลังใจ หือ ชื่ออะไรน่ะเหรอ ถ้ามันจะทำให้คุณจินตนาการเรื่องของผมได้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง คิดซะว่าแฟนผมชื่อน้องพิมพ์แล้วกัน ผมกับน้องพิมพ์ก็คบกันมานานแล้วล่ะตั้งแต่สมัยเรียน เพื่อนๆแต่ละคนต่างก็คิดว่าสุดท้ายเราสองคนคงได้แต่งงานกัน ตอนนั้นผมเองก็คิดอย่างนั้นนะ
พอเรียนจบ ต่างคนก็ต่างทำงาน ถึงจะยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆแต่มันก็ห่างจากสมัยเรียนมากนักแหละ แต่เวลาของผมก็ทุ่มให้กับงานหมดนะ ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นส่วนช่วยสร้างอนาคตของเราขึ้นมาได้ น้องพิมพ์ก็บอกว่าเข้าใจเหตุผลของผมและจะอดทน แต่สุดท้ายน้องพิมพ์ก็ขอเลิกกับผมเพื่อจะไปคบกับรุ่นพี่ที่บริษัท บางทีผมก็คิดนะว่า คนสองคนใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กันมานานนับปี แต่ทำไมพอถึงเวลาที่จะจบ มันถึงได้ง่ายดายนักก็ไม่รู้
ตอนนั้นน่ะ เหรอคุณ ผมเสียใจแทบจะบ้าไปเลย สับสนไปหมด แต่ผมคิดว่าผมก็ยังคุมสติได้นะ อะไรนะ ฆ่าตัวตายน่ะเหรอ โอ้ย ไม่มีหรอก ชีวิตผมยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ จะมาจบชีวิตตัวเองเพื่อผู้หญิงคนเดียวได้ยังไงกัน วันที่น้องพิมพ์บอกเลิกผม ผมควรจะร้องไห้ใช่มั้ย แต่แปลกนะที่ผมไม่ร้อง ได้แต่เดินอย่างใจลอยกลับห้อง ฝนก็ตกซะหนักเลย คิดๆไปผมในตอนนั้นก็เหมือนพระเอกมิวสิควีดีโอไม่น้อยนะ เดินท่ามกลางสายฝน ผมซึมอยู่เป็นเดือนเลย กว่าจะดีขึ้น คุณเคยได้ยินใช่มั้ยล่ะที่ว่า เวลาจะช่วยรักษาแผลใจ ผมก็คงเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง
ผ่านไปน่าจะราวๆ สองเดือน หลังเลิกงานวันหนึ่ง แทนที่ผมจะตรงกลับบ้าน ผมกลับแวะเข้าไปนั่งที่ม้าหินในสวนสาธารณะแถวๆคอนโดของผม พอนั่งอยู่คนเดียว ผมเริ่มฟุ้งซ่านอีกครั้ง จนนึกไปถึงเรื่อยในอดีต นึกถึงน้องพิมพ์และเรื่องต่างๆที่เคยทำร่วมกันมา น้ำตาผมเริ่มไหล จนในที่สุดผมก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ คุณอย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิ ก่อนหน้านี้ผมมองแล้วล่ะว่าในสวนไม่มีใครอยู่เลยกล้าร้อง แต่ไม่นานผมก็ชะโงกหน้าขึ้นเพราะรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ สายตาของเธอมองมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้ม ผมดูออกว่ารอยยิ้มที่ส่งมานั้น ไม่ใช่รอยยิ้มของการเยาะเย้ย ผมเลยยิ้มเล็กๆตอบเธอไปพลางเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็คุยกัน
เธอ บอกผมว่า เธอเห็นผมตั้งแต่นั่งอยู่จนร้องไห้ เธอเหมือนกับมองตัวเองในอดีต เมื่อหลายเดือนก่อนเธอก็เคยมาร้องไห้อยู่ที่ม้าหินตัวเดียวกับผมนี่แหละ สาเหตุเดียวกันคือแฟนเธอที่คบหากันมานานไปมีคนอื่น เพียงแต่เธอไม่ใช่แค่ร้องไห้เหมือนกับผม เธอดึงชายเสื้อแขนยาวที่เธอใส่ขึ้นมา ที่ข้อมือมีรอยเหมือนมีดกรีดอยู่หลายรอย ผมบอกเธอไปว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่คนโง่ทำกัน เธอหัวเราะแล้วบอกกับผมว่า ถ้าผมไม่เคยเสียใจจนเหมือนชีวิตไม่มีอะไรเหลือแล้วเหมือนที่เธอเคยรู้สึก ผมคงไม่เข้าใจเธอหรอก
แต่เธอก็บอกผมเพิ่มเติมนะ ว่าคนที่ฆ่าตัวตายมีสองแบบ แบบแรกคือแค่ต้องการแสดงออกให้ใครบางคนหันกลับมาสนใจในตัวคนๆนั้นบ้าง ส่วนอีกแบบคืออยากจะลาโลกนี้ไปเลยจริงๆ ตัวเธอเป็นแบบแรก คุณรู้ไหม เธอยังบอกผมอีกว่าทุกๆครั้งที่เธอกรีดข้อมือตัวเองน่ะ สุดท้ายก็เป็นเธอเองที่โทรเรียกรถพยาบาลให้มารับตัวเธอ ถ้าเธอต้องการจะฆ่าตัวตายจริงๆ ถึงรอดมาได้เธอก็คงไม่สามารถขยับนิ้วได้อีกแล้ว วันนั้น เราคุยกันอยู่นานจนค่ำโดยที่เรายังไม่ได้ถามชื่อกันและกันเลยด้วยซ้ำ
วัน ต่อๆมา การพบปะของเราสองคนที่สวนแห่งนี้หลังเลิกงานก็เหมือนจะกลายเป็นกิจวัฒ น์ประจำวัน ในทุกๆวันเราจะมีเรื่องให้คุยกันได้ไม่ซ้ำเรื่อง ในวันหยุดเราจะไปเที่ยวด้วยกันตามที่ต่างๆ น่าแปลกนะที่คนแปลกหน้าสองคนที่เพิ่งพบกัน กลับเข้ากันได้ดีเหมือนรู้จักกันมานาน ความสัมพันธ์ของเราก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้นๆ อะไรนะคุณ ชื่อของเธอน่ะเหรอ คุณนี่ก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันนะ ผมคงบอกชื่อจริงๆของเธอให้คุณรู้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าคุณอยากรู้เพื่อเติมเต็มจินตนาการของคุณ คุณเรียกเธอว่าป่านก็แล้วกัน ผมจะเล่าต่อล่ะนะ
จากนั้นคงราวๆ 3 เดือนล่ะมั้ง ป่านก็ย้ายมาอยู่กับผมที่คอนโดของผม แต่ถึงอย่างนั้น ระหว่างเรายังไม่มีคำว่ารักออกมาจากปากของใครสักคนเลย ผมเคยถามตัวเองนะว่ารักป่านมั้ย ผมว่าผมรักนะ ไม่รู้สิ การที่เวลาอยู่กับคนๆนึงแล้วเรามีความสุข การที่เราอยากเห็นรอยยิ้มของคนๆนั้น อยากได้ยินเสียงหัวเราะของคนๆนั้น มันก็น่าจะเป็นความรักไม่ใช่เหรอ ส่วนป่าน ผมไม่รู้หรอกนะว่าป่านรักผมหรือเปล่า
ป่านย้ำเตือนผมอยู่เสมอว่า เธอคงต้องไปจากผมสักวัน เธอบอกว่าที่เรามาเจอกันเพราะความบังเอิญ ที่เรามาอยู่ด้วยกันเพราะความเหงาที่ต่างคนต่างต้องการเติมเต็มความรู้สึก ให้กันและกัน แต่สุดท้าย ทั้งผมและเธอก็ต้องออกไปหาคนที่ใช่สำหรับตัวเองอยู่ดี ผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมป่านถึงพูดอย่างนั้น ทั้งๆที่ผมก็แน่ใจว่าป่านคือคนที่ใช่สำหรับผม รู้มั้ยคุณ เราสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอด ถ้านอกเหนือเวลางานนะ เราสองคนแทบจะไม่แยกจากกันเลย เรามีเรื่องคุยที่สร้างรอยยิ้ม สร้างเสียงหัวเราะให้กับเราสองคนได้ทุกวัน เราท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ เราช่วยกันสร้างประสบการณ์ที่ดี ที่น่าประทับใจให้กันและกัน มาถึงตรงนี้คุณก็คงคิดว่าทุกอย่างมันน่าจะราบรื่นล่ะสิ แต่มันไม่ใช่หรอก
วัน นั้นเป็นวันที่เราอยู่ด้วยกันครบปี ผมอยากจะเซอร์ไพรซ์ป่านเลยออกไปข้างนอกแต่เช้า ผมบอกป่านว่าผมจะออกไปธุระกับเพื่อน แต่จริงๆผมไปสั่งดอกไม้มาช่อใหญ่พร้อมกับของขวัญกล่องเล็กๆในกระเป๋าเสื้อผม อะไรน่ะเหรอ อืม แหวนน่ะ ผมตั้งใจว่าผมจะขอป่านแต่งงาน ผมเลือกแหวนอยู่ทั้งวันเลยนะ กว่าจะกลับมาถึงคอนโดก็เกือบจะค่ำแล้ว แต่พอผมเปิดประตูห้องเข้าไป ผมกลับพบเพียงห้องที่ไม่มีใครอยู่ พร้อมกับข้าวของของป่านที่หายไป ไม่มีการบอกล่วงหน้า ไม่มีการบอกลา ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
.
.
.
.
.
คุณลองมองไปที่ท้อง ฟ้าตอนนี้สิ ฝนน่าจะใกล้ตกแล้วมั้ง ผมคงต้องขอตัวก่อนล่ะ ผมต้องรีบไปก่อนที่ฝนจะตก ผมยังไม่อยากเปียกฝนตอนนี้หรอก เดินตากฝนทีไรผมรู้สึกเจ็บที่แผลตรงข้อมือผมทุกที
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น