Attack on Titan [Levi X Eren] HBD 03.30 - Attack on Titan [Levi X Eren] HBD 03.30 นิยาย Attack on Titan [Levi X Eren] HBD 03.30 : Dek-D.com - Writer

    Attack on Titan [Levi X Eren] HBD 03.30

    โดย WhereIsGod

    ผู้เข้าชมรวม

    2,347

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    2.34K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    45
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 มี.ค. 58 / 12:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ** ฟิคเรื่องนี้อาจโชว์ความเพ้อเจ้อและความเกรียนของคนแต่ไม่มากก็น้อย (?) **

    ** เป็นเรื่องแรกที่แต่งแล้วไม่รู้ทำไมอยากจะเอามาลง (ซะงั้น) **

    // ถ้าไม่พอใจอะไรโปิดกดปิดไปเถิด จะได้ไม่เป็นภาระลูกตาของท่าน (?)

    สุดท้ายนี้ขอ Happy Birth Day ให้เอเลนด้วยจร้าา // ขอให้มีฟามสุขมากๆอยู่ให้เราโม่ยกันอีกนานๆน้าา (ไม่ใช่ละ!!) 
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

      "เอ๋? พี่ชายเป็นนักเดินทางหรอฮะ ไม่เคยเห็นพี่ชายในหมู่บ้านเลย" เสียงหวานเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มแจ่มใส

      "อา..... ใช่แล้วล่ะเจ้าหนู พอจะนำทางชั้นหน่อยได้มั้ย?" ชายแปลกหน้าปัดๆหิมะที่เกาะอยู่ประปรายบนหัวของเด็กคนนั้น

      "เชื่อใจผมได้เลย แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะฮะ" เด็กหนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว

      "เท่าไหร่ล่ะเจ้าหนู" เด็กคนนั้นส่ายหน้าไปมานิดหน่อยพร้อมกับตอบว่า

      "ผมไม่ต้องการสิ่งมีค่า เพียงแต่..... พี่ชายช่วยเล่าเรื่องภายนอกหมู่บ้านให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยฮะ?"

       

      พื้นหิมะยุบยวบละลายลงไปตามรอยเหยียบย่ำเดินผ่านแต่ไม่นานเกล็ดเยือกเย็นก็โปรยทับถมจนเหมือนเดิมอีกครั้ง

      "ใช่แล้วล่ะฮะรีไวล์ซัง หิมะไม่เคยหยุดตกเลยหละฮะ" เด็กหนุ่มหันกลับมากางแขนกว้างเดินถอยหลังท่าทางเหมือนบอกว่ามัน ไม่เคยหยุดตกจริงๆนะ! ก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปแล้วเดินนำทางชายหนุ่มต่อ ไอสีขาวจางลอยคลุ้งทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจเพราะอากาศที่หนาวเสมอต้นเสมอปลาย ท้องฟ้าสีขาวหม่นมีปุยเย็นๆลองละล่องก่อนที่จะค่อยๆโรยตัวลงทับถมจนพื้นดินเต็มไปด้วยหิมะหนา รีไวล์เอ่ยถามคนนำทางที่ยังร่าเริง

      "เคยเห็นพระอาทิตย์รึเปล่าล่ะเอเลน" เจ้าของชื่อหันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความอยากรู้สุดๆ

      "มันคืออะไรหรอฮะรีไวล์ซัง กินได้รึเปล่า?" มือหนายีหัวอีกคนอย่างหมั่นไส้ มันใช่ของกินซะที่ไหนล่ะเจ้าหนู!

      "กินไม่ได้"

      "เอ๋~"

      "แต่...... รู้มั้ยมันอบอุ่นมากเลยล่ะ ถ้าที่นี่มีพระอาทิตย์บางทีหิมะอาจจะละลายหายไปหมดเลยก็ได้นะ"  รีไวล์พูดจบก็รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆคนนำทางก็เงียบไป

      "พี่ชายเกลียดหิมะมั้ยฮะ?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียบเรียบนิ่งไร้อารมณ์ภายใต้ใบหน้าเหม่อลอยดวงตาไร้ประกายแสงสะท้อนเช่นทุกที สายตาเหม่อมองดูสำเหล่าปุยสำลีค่อยๆร่วงหล่นจากผืนฟ้าเงียบๆ

      "ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้ชอบ"

      "หรอฮะ......"

      "เหมือนหิมะจะตกหนักขึ้นนะไปที่พักก่อนน่าจะดีกว่า"  รีไวล์สังเกตเห็นว่าท้องฟ้าที่เคยสว่างสีเริ่มหม่นลงจนเป็นสีเทาทึบและหิมะเองก็เริ่มโปรยหนักขึ้น

      "แถวนี้ถ้าใกล้ที่สุดก็เป็นบ้านของผม แต่ถ้าไกลออกไปอีกราวๆ 3 กิโลครึ่งจะมีหมู่บ้านอยู่ครับ"  หืม?

      "งั้นพักที่บ้านนายได้มั้ยเจ้าหนู" 3 ครึ่งกิโลมันก็ไม่เท่าไหร่แต่กับหิมะที่ตกหนักขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเหมือนกัน

       

      .

      ...

      .

       

      "บ้านของผมไม่เคยมีแขกเลยอาจจะต้อนรับได้ไม่ดีซักเท่าไหร่นะฮะรีไวล์ซัง" เอเลนกล่าวพร้อมกับวางชาถ้วยหนึ่งบนโต๊ะด้านหน้ารีไวล์ ควันอุ่นๆลอยกรุ่นจนได้กลิ่นชาหอมอ่อนๆ รีไวล์จับรอบปากแก้วและยกถ้วยชาขึ้นดื่มเล็กน้อย ตาใสๆจ้องมองอย่างลุ้นคำตอบของชายหนุ่มแปลกหน้า

      "ไม่เลวนี่..... ว่าแต่นี่บ้านของนายหรอเอเลน" ลักษณะนี้นายไม่น่าเรียกว่าบ้านนะถ้าเรียกคฤหาสถ์ชั้นยังเชื่อกว่าเลย ดูราวกับเป็นคฤหาสถ์สมัยโบราณเลยล่ะ......

      "ใช่ฮะ รีไวล์ซังๆ! เล่าเรื่องโลกภายนอกให้ผมฟังหน่อยสิครับ!" เอเลนตอบรับพร้อมขอให้รีไวล์เล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง รีไวล์เองก็แปลกใจตัวเองที่ยอมเล่าให้เอเลนฟังง่ายๆทั้งที่ปกติแทบจะไม่เคยคุยกับใครดีๆซักคน

      "โลกภายนอกน่ะหรอ....... มันโหดร้าย....... แต่ก็งดงามเสมอ"  รีไวล์มองผ่านหน้าต่างบานหนึ่งซึ่งเริ่มมีหิมะเกาะและลมหนาวพัดจนเห็นว่าอีกไม่นานคงจะเป็นพายุหิมะ

      "เอ๋ ฟังดูขัดๆกันเองนะฮะ"

      "นั่นสินะ"

      เรื่องราวมากมายทั้งที่เคยได้ยิน หรือประสบการณ์ที่เคยเจอ หรือแม้แต่เรื่องเล่าปรัมปรา ถูกส่งผ่านให้อีกคนได้รับรู้อย่างน่าตื่นเต้นจนดวงตากลมโตเต็มไปด้วยประกายความฝันระยิบระยับ

       

      ".......แล้วฮู้ดสีขาวบริสุทธ์ของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็อาบชุ่มไปด้วยเลือดสดๆและเศษเนื้อสีแดงฉานที่ถูกหมาป่าฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆจนกระทั่งเห็นกระดูกสีขาวโพลนแตกร้าวด้วยรอยขย้ำ........

      ตั้งแต่นั้นมาเธอจึงถูกเรียกว่า 'หนูน้อยหมวกแดง'

      เพราะฮู้ดสีขาวบริสุทธ์ของเจ้าหล่อนถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงสดของเจ้าตัวจนล้างไม่ออก.......

      อ้าว! ไปแอบอะไรใต้โต๊ะล่ะนั่น ชั้นมั่นใจพอสมควรเลยนะว่าในบ้านนายไม่น่าจะมีหมาป่าหรือนายพรานอาศัยอยู่" พอเล่าไม่ทันจบเรื่องดีดูเหมือนว่าคนขี้กลัวจะมุดลงไปแอบใต้โต๊ะซะแล้ว ตัวสั่นน้อยๆชวนให้หยอกเล่นชะมัดเลยแฮะ......

      กว่าเอเลนจะยอมเลิกมุดแอบอยู่ใต้โต๊ะรีไวล์ก็ต้องเดินวนมุดไปมุดมากับโต๊ะทานข้าวแสนยาวค่อยๆกล่อมให้เอเลนยอมออกมาอยู่ซักพักใหญ่ๆ

       

      "มันเป็นแค่เรื่องเล่าน่า" พูดคำนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แต่ถ้าทำให้เจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้ยอมขึ้นมานั่งบนตักหายกลัวก็คงต้องพูดต่อไป รีไวล์ดึงเอเลนเข้ามากอดเพราะพายุหิมะเริ่มแรงขึ้นทุกทีๆ

      "หืม? หนาวหรอ?" ร่างกายของเอเลนเย็นมากๆจนเกือบคิดว่าเป็นซากศพหากแต่รับรู้ได้ถึงชีพจรเต้นเบาๆความคิดไร้สาระจึงเป็นอันต้องหยุดไป คงจะเป็นพวกความดันต่ำซะมากกว่า.......

      "มะ..... ไม่ครับ" เอเลนส่ายหัวไปมาเบาๆเอ่ยตอบ

      "แต่ร่างกายของรีไวล์ซัง....... อุ่นจัง........" เอเลนกอดตอบรีไวล์จนรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่แตกต่าง นัยน์ตากลมโตคลอเคลิ้มไปกับสัมผัสจนเผลอคล้อยหลับลงไปพร้อมกับสติที่ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา

      "ให้มันได้งี้สิเจ้าเด็กบ้า เจ้าของบ้านมาชิงนอนก่อนแล้วชั้นจะไปนอนที่ไหนดี" หน้าเตาผิงเลยดีมั้ย แต่เขม่าควันเยอะน่าดู ไม่ผ่านๆ......

      จะให้วางคนขี้เซาแล้วไปลองเดินหาห้องดูสองแขนเย็นก็ดูท่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ

      รีไวล์ตัดสินใจเดินสำรวจในคฤหาสถ์ที่เรียกว่าบ้านทั้งๆที่เจ้าของบ้านยังหลับซบบ่าอุ่นๆของเขาอยู่ ห้องที่อยู่นี่คงจะเป็นห้องอาหารมันมีอยู่ 2 ประตู ด้านข้างและด้านหน้า....... ตอนที่เข้ามาทางประตูด้านหน้าก่อนหน้านั้นจะเป็นห้องโถงโล่งๆงั้นลองไปดูประตูด้านข้างก่อนน่าจะดีกว่า

      แกร๊ก......

      ประตูไม้แง้มออกจนแสงจากห้องที่เขาอยู่ทอดผ่านช่องว่างเป็นเส้นสีขาวยาวแสดงให้เห็นว่าในนั้นไม่มีแสงไฟใดๆ เชิงเทียนจากห้องอาหารถูกหยิบมาให้ความสว่างในการเดินเข้าสู่ห้องปริศนา แสงเทียนทั้งสองเล่มช่วยให้ไม่เปล่าเปลี่ยวในการสำรวจนักบวกกับร่างเบายิ่งกว่าที่เห็นยังคงกอดคลอแถวๆเชิงบ่าเขาเบาๆก็ทำให้อุ่นใจอยู่ได้ไม่มากก็น้อย

      รีไวล์เดินชิดตามผนังเพื่อหาสวิชต์ไฟแบบในห้องอาหารแต่จนแล้วจนรอดก็มีแค่เชิงเทียนให้จุดเท่านั้น สองข้างทางมีเพียงแสงเงาไหววูบจากเปลวไฟเล็กๆ ด้านบนมืดทึบราวกับไร้ซึ่งเพดานรวมกับเสียงหน้าต่างสั่นกระทบกันเพราะลมรุนแรงก็ทำให้ขนลุกได้ไม่ยาก

      จะว่าไปในกระเป๋าเดินทางมันก็มีไฟฉายอยู่นี่หว่า ลืมไปได้ยังกัน......

      ร่างหนาก้าวเดินตามไปยังแสงไฟจากห้องอาหารซึ่งอยู่อีกไม่ไกลก่อนที่อยู่ๆประตูบานนั้นจะฟาดปิดโครมเสียงดังลั่น

      "!!!?" เฮ้ย เดี๋ยว...... ลมอาจจะพัด.....

      ซะที่ไหนปลอบใจตัวเองไปงั้นแหละลมที่ไหนมันจะพัดจากในห้องปิดจนประตูมันปิดแรงขนาดนั้น

      "อือ....." ร่างเล็กๆขยับตัวนิดหน่อยใบหน้ามนยังงัวเงียจากการถูกปลุกด้วยเสียงดัง

      "ตื่นแล้วหรอเจ้าหนู" รีไวล์ยืนพิงผนังเย็นเยียบมือหนึ่งยังอุ้มช่วงตัวของเอเลนอีกมือถือเชิงเทียนเอาไว้ ที่นี่ดูไม่น่าไว้ใจอย่างแรงยังไงไม่รู้ยังกับไม่ได้อยู่กันแค่สองคนยังไงอย่างงั้นหละ

      "อื้อ........" เอเลนพยักหน้ารับนิดหน่อย น่าอิจฉาจังมีร่างกายที่อบอุ่นขนาดนี้....... เพราะฉะนั้น........

      ดวงตาที่เคยเป็นสีขาวและนัยน์ตาสีมรกตแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและนัยน์ตากลายเป็นสีแดงดั่งเลือดกรอกเหลือบมองทางฝั่งประตูที่มืดสนิทด้วยม่านตาที่เบิกโพลง ก่อนที่มันจะกลับกลายเป็นเช่นเดิมในเวลาไม่นาน........

      เข้าใจสินะ.........?’

       

      ความรู้สึกแปลกๆเมื่อครู่หายไปแล้ว.....? จะยังไงก็ช่างเถอะ.....

      "พี่ชายนอนด้วยกันกับผมได้มั้ยฮะ" กลับกลายเป็นเอเลนที่พูดออกมาก่อน

      "ได้สิ ว่าแต่ทำไมล่ะเจ้าหนู" เพราะชั้นเองก็หาข้ออ้างจะไปนอนกับนายอยู่พอดีเลยหละ ในบ้านนายนี่รู้สึกเหมือนว่าไปนอนคนเดียวมันจะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตของเขาเองยังไงพิกล

      "ยะ....... อยากนอนกอดพี่ชาย......" โอเค ชัดเจน...... ไปนอนกันเถอะ.......

      รีไวล์เดินกลับไปยังประตูห้องอาหารทั้งที่ยังอุ้มคนที่พึ่งตื่นกลืนน้ำลายแล้ววัดใจจับลูกบิดเปิดออก ประตูเปิดออกอย่างง่ายดายจนน่าเสียดายที่อุตส่าห์เตรียมใจแต่น่าเสียดายแหละดีแล้ว เพราะไม่งั้นอะไรๆมันคงจะเลวร้ายกว่านี้.......

      ประตูไม้ปิดลงห้องมืดถูกทิ้งไว้ท่ามกลางแสงเทียนสลัวก่อนที่เทียนทั้งหมดจะดับลงอย่างปริศนา........

       

      "หืม?" ห้องอาหารเย็นจนน่าตกใจ พอมองหาสาเหตุก็พบว่ามีหน้าต่างบานหนึ่งแตกเป็นรูแต่ไม่ใหญ่นัก นั่นเป็นต้นเหตุของลมหรือเปล่า? แต่ก็ไม่น่าจะใช่นะเพราะรอยแตกขนาดแค่ราวๆฝ่ามือเท่านั้น....... เปลวเทียนไหววูบตามแรงลมหนาวอ่อนๆ

      โคมไฟห้อยระย้าด้านบนหากแต่ใช้ไฟฟ้าในการเปิดดังนั้นในคฤหาสถ์นี้คงมีเครื่องปั่นไฟเล็กๆอยู่

      "ถ้าเดินกลับไปที่ห้องโถงกลางแล้วขึ้นบันไดไปจะเป็นชั้นของห้องนอนฮะพี่ชาย"

      "โอ้!" รีไวล์ตอบแล้วเดินออกไปทางประตูด้านหน้าของห้องอาหาร เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ดับไฟในห้องอาหารจึงค่อยๆวางเอเลนลงและเดินกลับไป......

      แกร๊ก...... แอ๊ด......

      แต่ที่พบกลับเป็นห้องมืดสนิทไม่ต่างจากห้องมืดก่อนหน้า.......

      "หา?"  รีไวล์คำถามมากมายแล่นเข้ามาในหัวก่อนที่จะหยุดลงด้วยแรงกระตุกที่ชายเสื้อเบาๆ เมื่อมองลงมาก็พบเอเลนที่ยิ้มและหลับตาอยู่

      "โฮ่ย! เอเล......." เปลือกตาค่อยๆปรือเปิดเผยดวงตาสีดำมืดและนัยน์ตาสีแดงก่ำจ้องมองรีไวล์ด้วยรอยยิ้มเช่นเคยชวนขนลุก

      "ไปนอนกันเถอะฮะพี่ชาย........"

      "อะ อือ......." เสียงทุ้มตอบรับราบเรียบดั่งต้องมนต์สะกดลึกลับและอุ้มเอเลนขึ้นอีกครั้งเดินไปยังห้องๆหนึ่ง และสติก็ดับวูบลง.........

       

      ___________________________________________

       

      "อรุณสวัสดิ์ครับพี่ชาย" มือเย็นจับแก้มอุ่นของชายหนุ่ม หลังจากถูกอุณหภูมิที่แตกต่างรบกวนรีไวล์ก็จำใจตื่นจากนิทราถึงแม้อากาศจะหนาวจนชวนให้นอนซุกผ้าห่มหนาๆต่อก็เถอะ

      "อรุณสวัสดิ์เจ้าหนู" รีไวล์ลูบหัวปุยๆของเอเลนซึ่งเจ้าตัว เหมือนจะลืมอะไรที่สำคัญไปบางอย่าง..........

      "วันนี้จะให้ผมนำไปที่ไหนเอ่ยครับ" เอเลนยิ้มกว้างตรงหน้ารีไวล์จนเห็นฟันขาวๆ

      "นำทางในบ้านนายก่อนเลยเป็นไง? เดี๋ยวช่วงสายๆว่าจะเข้าหมู่บ้านน่ะ"

       

      ..

      .

      .

      .

       

      "พี่ชายจะอยู่เที่ยวถึงวันไหนหรอฮะ" เอเลนถามพลางยกถ้วยโกโก้ร้อนจนควันลอยกรุ่นเป่าดังฟู่ๆขับไล่ความร้อนออกไป

      "ก็..... อีกราวๆ 4-5 วันล่ะมั้ง......"

      รีไวล์คีบผักวางลงบนขนมปังซ้อนด้วยขนมปังอีกแผ่นปิดทับและวางเบค่อนลงไปแผ่นนึงปิดท้ายด้วยขนมปังอีกชั้น แซนวิชสลัดเบค่อนรูป 3 เหลี่ยมที่พึ่งทำเสร็จส่งให้เด็กหนุ่มที่กำลังรออย่างใจจดใจจ่อก่อนที่จะทำให้กับตัวเองอีกชุดหนึ่ง

      "ผมอยากให้พี่ชายกลับภายใน 3 วันหลังจากนี้น่ะครับ"

      ผ้ากันเปื้อนสีขาวถูกถอดออกพับเก็บเข้าที่กว่าที่รีไวล์จะดึงเก้าอีกไม้ออกมาและนั่งลงก็ดูเหมือนว่าอีกคนจะหิวจนแทบจะแทะโต๊ะแทนได้แล้วสิ......

      "ทำไมล่ะ?"

      "เพราะในวันที่ 4 หลังจากนี้ที่หมู่บ้านจะทำพิธีกันน่ะฮะ วันนั้นจะวุ่นวายมากๆเลยหละ!" ผมไม่อยากให้พี่ชายโดนลูกหลง.......

      "หืม? ชั้นเป็นนักเดินทางนา มีพิธีอะไรมันก็ต้องอยู่ร่วมด้วยอยู่แล้วสิ" ไม่งั้นจะเรียกว่าเที่ยวได้ไงล่ะ

      เปลือกตาบางหลับลงชั่วครู่ ก่อนที่จะใช้น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์เอ่ยเบาๆพร้อมกับแพขนตาหนาที่เผยเนตรสีดำขึ้น

      "รีไวล์ซัง.......

      กลับ.....

      ไป.....

      ซะ....."

      น้ำเสียงเอ่ยถ้อยทีละคำๆอย่างช้าๆ ใบหน้าคมเหม่อลอยพยักลงเบาๆ

      "เข้าใจแล้ว" เอเลนยิ้มบางๆหลับตาลงและอีกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาก็กลับเป็นนัยน์ตาสีมรกตงดงามเช่นเคย

       

      "พี่ชายฮะ! ถ้าไม่กินผมจะกินเองนะฮะ!" เสียงร่าเริงเรียกให้รีไวล์หลุดจากภวังค์เหม่อลอย

      "อะ..... โอ้! 'โทษทีๆ คิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะ" เมื่อกี้มันอะไรกันนะ..... นึกไม่ค่อยออกเลยเหมือนความทรงจำมันไม่ต่อเนื่องแปลกๆ........

       

      ___________________________________________

       

      "ดูสงบสุขดีใช่มั้ยล่ะครับ หมู่บ้านนี้น่ะ" คำพูดแฝงความนัยเหมือนเป็นเพียงประโยคคำถามธรรมดาคนฟังจะรู้ถึงความหมายของมันรึเปล่านะ?

       

      "ถ้าแค่ 'ดู' ล่ะนะ......" ที่นี่มันแปลกๆยังไงไม่รู้......

       

      "อะ...... เอ๋!~ พี่ชายหมายถึงอะไรหรอฮะ" เขารู้อะไรบางอย่าง!? สายตาลุกลนภายใต้เงาฮู้ดสีขาวที่คลุมทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

      "ลางสังหรณ์น่ะ ชั้นคิดว่าที่นี่มันไม่ปกติ...... อีกอย่างเมื่อกี้ชั้นได้กลิ่นเนื้อไหม้ลอยมาตามลม......" ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะแต่ไอ้ลางสังหรณ์บ้าๆนี่มันดันแม่นมากเลยนี่สิ

      "พะ! พี่ชายต้องคิดมากไปเองแน่ๆเลยหละฮะ!

      อ๊ะ! เห็นแล้วล่ะ! นั่นเป็นหอนาฬิกาประจำหมู่บ้านนี้ฮะ!" เอเลนชี้และเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีที่เห็นหอนาฬิกาไกลออกไปไม่มาก สีขาวโพลนปกคลุมหนาจนมองเห็นแค่หน้าปัดกระจกบานยักษ์ เข็มนาฬิกาค่อยๆเดินช้าๆบ่งบอกเวลายามสายแก่ๆ ไม่มีแสงอาทิตย์คอยสาดส่องใดๆเพราะเมฆหิมะยังลอยปิดกั้นจนเหลือแค่แสงสว่างจางๆ เกล็ดเบาลอยละล่องลงมาช้าๆบรรยากาศดูโรแมนติกดี

       

      ถ้าเจ้านั่นได้มาเห็นด้วยคงรู้สึกแบบเดียวกัน........

       

      "หืม..... ขาวโพลนไปหมดทั้งหมู่บ้านเลยจริงๆแฮะ" สมแล้วที่หิมะตกไม่เคยหยุด

      "ลองไปดูวิวบนนั้นกันมั้ยฮะพี่ชาย น้า~" เอเลนชวนให้รีไวล์ตามไปพลางกระตุกปลายชายแขนเสื้อถี่ๆด้วยสายตาอ้อนๆ หยุดมองชั้นแบบนั้นทีเถอะใครมันจะไปทนลูกอ้อนไหวกัน!

      "เค้าให้เข้าไปได้รึไงเจ้าหนู" เจ้าตัวไม่ตอบแต่กลับดึงๆแขนเสื้อรีไวล์ถี่กว่าเดิมจนต้องยอมเดินตามไม่งั้นแขนเสื้อคงได้ยืดเข้าซักวัน

      เอเลนเปิดประตูบ้านโทรมๆแคบๆหลังหนึ่งข้างในโล่งแคบเต็มไปด้วยฝุ่นไม้หนาทึบบ่งบอกได้ว่าไม่เคยมีใครเข้ามาที่นี่นานมากแล้ว รีไวล์ถึงกับต้องยกผ้าพันคอขึ้นมาปิดจมูกเพราะฝุ่นมันเยอะเกินไป เอเลนหยิบไม้กวาดเก่าๆออกมาจากซากรกๆ บ้านนี้มันยังกับบ้านร้างเลยแฮะ ไม่รอช้าเอเลนปัดๆฝุ่นที่พื้นไม้กลางบ้านออกจนเห็นร่องสี่เหลี่ยมที่พื้น

       

      เอเลนเอาไม้กวาดไปเก็บ เดินกลับมายังร่องสี่เหลี่ยมขนาดราวฝาท่อและเปิดมันออกก็พบว่ามันมีบันไดลากยาวลงไปยังใต้ดิน

      เด็กหนุ่มก้าวเดินนำลงไปก่อนตามด้วยรีไวล์ที่ตามลงไปพร้อมๆกับเหลียวมองทางอยู่ตลอด ข้างในเป็นทางแคบๆสามารถเดินคนเดียวได้สบายๆโดยไม่ต้องก้มหัว แต่มันกลับมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย คนนำทางยังเดินต่อไปด้วยท่าทีสบายๆต่างจากรีไวล์ที่คอยส่องไฟฉายดูรอบข้างอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่แต่ในที่สุดทางแคบๆนี้ก็เริ่มได้ยินเสียงฟันเฟือนหมุนเบาๆดังแกร๊กๆ พอคนนำทางยื่นมือออกมาและเปิดประตูในเงามืดเสียงหมุนก็ยิ่งดังขึ้นกว่าเมื่อครู่แสงสว่างลอดเข้ามาจนแสบตาเผลอยกแขนขึ้นมากันไว้ คราวนี้เป็นห้องกว้างๆที่เต็มไปด้วยเฟืองเรียงต่อกันอย่างลงล็อคมันไม่มีทางขึ้นไปหากแต่ถ้าสังเกตุดีๆฟันเฟือนที่กำลังหมุนนั่นแหละคือทางขึ้น เฟืองตัวใหญ่มากมายตรึงกับผนังเรียงกันจนเป็นทางขึ้นราวกับบันไดเวียนยักษ์

       

      "เป็นทางขึ้นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ชั้นเคยเห็นเลยหละ" กล้องขนาดพกพาลงกระเป๋าเสื้อถูกหยิบขึ้นมาและบันทึกภาพที่หาไม่ได้ง่ายๆเอาไว้ ก่อนที่ภาพสุดท้ายจะจบลงด้วยรูปของเขาที่ถ่ายคู่กับเอเลนที่ยังทำหน้าเหรอหราโดยมีแบ๊กกราวเป็นฟันเฟืองตัวมหึมา

       

      "หะ เอ๋? มันคืออะไรหรอฮะพี่ชาย"

      "กล้อง ไงล่ะ สิ่งที่ใช้บันทึกภาพเป็นที่ระลึกน่ะ เพื่อให้สิ่งที่พบเจอไม่เลือนหายไปกับความทรงจำ......."

      "โห! สุดยอดไปเลย! ผมขอมั่งได้มั้ยฮะพี่ชาย!"

      "ตอนนี้คงให้ได้แค่รูป แต่คราวหน้าที่มาอีกชั้นจะเอากล้องมาฝากนายซักตัวละกัน" รีไวล์ยิ้มบางๆพลางดันฮู้ดที่เอเลนใส่ออกและยีหัวเอเลนจนยุ่งเหยิง นานเท่าไหร่แล้วกันนะที่ไม่ได้ยิ้มผ่อนคลายภาระไว้ข้างหลังขนาดนี้..........

      "คราวหน้า....... สินะฮะ" แม้เอเลนจะยิ้มหากแต่กลับเจือความเศร้าเบาๆจนไม่อาจจับเค้าได้......

       

      ถ้าผมรอดไปได้........ สินะ.........

       

      .

      .

      .

      .

       

      "ขึ้นไปกันเถอะฮะพี่ชาย!" เอเลนปีนเฟืองตัวที่อยู่ล่างสุดขึ้นไปยืนด้านบนก่อนที่จะค่อยๆวิ่งไปตามทางลดหลั่นความสูงไม่แน่นอนอย่างชำนาญ

      ในเมื่อท้ามาขนาดนี้จะยอมแพ้ก็คงไม่ใช่รีไวล์คนนี้แล้ว!

       

      "แฮ่ก....... แฮ่กๆๆ" กว่าจะขึ้นมาถึงก็เล่นเอาหอบอยู่ไม่น้อย ไหนจะอยู่ดีๆก็เจอเฟือนที่ดันหมุนเร็วหรือหมุนกลับ แทบล้มหัวทิ่มอยู่หลายรอบเลยทีเดียว

      สุดปลายทางของบันไดเฟืองสูงราวตึกชั้น 13 เป็นเหมือนห้องที่ใช้พักโดยมาฉากกั้นและประตูอีกบาน พอเอเลนเปิด เสียงดังแกร๊กๆก็ดังก้องในห้องเล็กๆยิ่งกว่าเดิม และในนั้นเต็มไปด้วยฟันเฟือนหมุนซ้อนไปมาจำนวนมหาศาล ทางเดินแคบๆเดินเลียบกำแพงจนกระทั่งมาถึงผนังอีกด้านก็พบร่องไม้ที่มีแสงลอดเข้ามาจางๆ เอเลนดึงมันเข้ามาจนเปิดออกจึงรู้ว่ามันเป็นหน้าต่างบานเล็กๆที่อยู่เหนือหน้าปัดหอนาฬิกาขึ้นไปเล็กน้อย

      "เป็นยังไงหละฮะ สวยมากเลยใช่มั้ยหละ..... หวา!"

      แสงสีขาวกว่าที่ไหนในหมู่บ้านสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวคนเปิด คงเป็นเพราะที่นี่อยู่ใกล้กับท้องฟ้ายิ่งกว่าที่ใดๆ กลีบปากสีระเรื่อแย้มให้เขาจนดูราวกับเทวดาตัวน้อย นัยน์ตาสีมรกตรวมถึงเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนต้องแสงนวลเป็นประกาย รีไวล์เผลอยกกล้องตัวเดิมขึ้นและกดถ่ายมันอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเพราะรูปล่าสุดที่ถ่ายเป็นที่มืดจึงทำให้เปิดแฟลชทิ้งเอาไว้เอเลนจึงยกมือขึ้นมากันหน้าอย่างตกใจ

       

      "อ่า 'โทษทีๆ" รีไวล์ลดกล้องลงและเดินไปหาเอเลน

      ในกล้องนี้มีภาพของเทวดาตัวน้อยบันทึกอยู่........

      ถ้าเจ้านั่นเห็นละก็ต้องรีบมาที่นี่แน่ๆ

      "ตรงนั้นเป็นสวนน้ำแข็งฮะ" เอเลนชี้ลงไปยังสถานที่หนึ่งที่มีสีขาวปกคลุมไม่ต่างจากที่อื่นแต่มีประกายบางสิ่งสะท้อนแสงระยิบระยับ ถ้ามองดูดีๆจะเห็นพืชพรรณดูคุ้นตาแต่กลับเป็นน้ำแข็งที่เติบโตอยู่ภายในสวนขนาดใหญ่

      รีไวล์เปิดกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กๆออกและหยิบวัตถุทรงกระบอกเรียวขึ้นมา เอเลนมองมันอย่างแปลกใจก่อนที่รีไวล์จะยืดมันออกและใช้ส่องดูที่ๆเอเลนชี้

       

      "กล้องส่องทางไกลน่ะ"

      "กล้อง? ที่ใช้ถ่ายรูปน่ะหรอฮะ?"

      "เปล่าๆคนละกล้องกันแล้ว เจ้านี่ใช้มองที่ไกลๆน่ะ ลองดูสิ" รีไวล์ยื่นกล้องส่องทางไกลให้เอเลนลองส่องดูบ้าง

      "โห!~ ชัดสุดๆไปเลยฮะพี่ชาย!"  รีไวล์ปล่อยให้เอเลนตื่นเต้นกับของใหม่ๆต่อไปในขณะที่ตัวเองกำลังเตรียมมื้อกลางวันเรียบง่ายแต่ก็เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเอเลน

       

       

      ___________________________________________

       

       

       "โชคดีนะฮะพี่ชาย" >w< เอเลนโบกไม้โบกมือลารีไวล์ที่กำลังจะเดินทางกลับ

      "ตอนแรกนายก็เรียกชื่อชั้นนี่นากลายเป็นพี่ชายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย แต่ก่อนกลับช่วยเรียกชั้นด้วยชื่อได้มั้ยเอเลน" รีไวล์ย่อตัวลงเพื่อมองดูใบหน้าของเอเลนชัดๆก่อนกลับ

      "อื้อ! ได้สิฮะ รีไวล์ซัง" เอเลนพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ใบหน้ามนก็ประดับด้วยรอยยิ้มเสมอและไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนแต่ทุกครั้งที่หลับตาลงใบหน้าของคนที่พึ่งพบกันได้ไม่นานกลับตราตรึงจนยากจะสลัดออก

       

      "ถามหน่อยสิเอเลนตอนนี้นายอายุเท่าไหร่"

      "เอ๋..... พรุ่งนี่ก็ 13 พอดีเลยล่ะครับ"

      "หืม...... ชั้นต้องกลับวันนี้ด้วยสิ......." หือ? ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยล่ะ?

      เที่ยวรถไฟ? ไม่ใช่นี่ มันยังเหลือเวลาอีกหลายวันเลย......

      งาน? ไม่มีทาง ชั้นเคลียร์ (ด้วยการโยนให้เจ้านั่นทำต่อ) หมดแล้ว

      งั้น....... แล้วทำไมชั้นถึงต้องกลับไปในวันนี้กันแน่?

       

      "รีไวลซังฮะ?" เห็นว่าอีกคนเหม่อไปเอเลนจึงเรียกพร้อมดึงแก้มเล่นไปมา

      "อาๆ อั๊นอังอู่ๆ (ชั้นฟังอยู่ๆ)" พอรีไวล์ตอบเอเลนถึงจะยอมปล่อยแต่โดยดี

      "เอ้า นี่ของขวัญวันเกิดล่วงหน้านะ 'โทษทีที่ไม่ได้อยู่ฉลองด้วยนะ" รีไวล์เปิดกระเป๋าและหยิบวัตถุทรงกระบอกคุ้นตาส่งให้เอเลน

      "หะ! ให้ผมจริงๆหรอฮะ!! ขอบคุณฮะรีไวล์ซัง! จะเก็บรักษาอย่างดีเลย!" เอเลนรับและโผเข้ามากอดคอรีไวล์แน่นอย่างลืมตัวด้วยความดีใจกับของขวัญวันเกิดชิ้นแรก พอรู้ตัวจึงผละออกมาทั้งๆที่แก้มขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขิน

      สองมือหนาประกบข้างใบหน้าใสพลางก้มลงจูบที่หน้าผากเบาๆก่อนการลาจาก

      "ชั้นไปนะ ดูแลตัวเองดีๆล่ะเอเลน"

      "อื้อ ลาก่อนฮะรีไวล์ซัง"

       

      "อย่าพูดคำนั้นสิเราไม่ได้ลาจากกันตลอดไปซักหน่อย แล้วชั้นจะกลับมาหานายอย่างแน่นอนเอเลน" ฮะ....... ผมเองก็หวังเช่นนั้น ถ้าหากว่าผมยังคงมีโอกาส.........

      ผมเอง....... ก็ยังอยากมีชีวิตอยู่........ อยากอยู่กับคุณให้มากกว่านี้..........

       

       

      ___________________________________________

       

      "พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของผม........ นี่........

      พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันตายของผมด้วยรึเปล่านะ?" มีเพียงความเงียบงันที่ตอบรับคำถามที่ไร้คำตอบ........

       

      แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง..................

      หอนาฬิกายังคงลั่นลูกตุ้มเสียงดังกังวาลเช่นเคย ดั่งเช่นทุกวันที่หิมะยังคงพร่ำโปรยไม่เคยหยุด ดั่งเช่นทุกคืนที่ปกคลุมไปด้วยหมอกเย็นที่ไม่เคยเลือนหาย

       

      เที่ยงคืนของวันที่ 29 สินะ.......... ไม่สิ ตอนนี้วันที่ 30 มีนาแล้วต่างหาก

       

      อา........ ผมเฝ้ารอคอยวันนี้มาตลอด.......... แต่ทำไมนะผมไม่เคยอยากให้วันนี้มาถึงเลยซักครั้ง............

       

      นี่......... แม่ครับ......... ตอนที่ถูกเผาทั้งเป็นน่ะจะรู้สึกยังไงมั่งกันนะ........

      นี่............ ตอนที่ถูกแหวกหน้าอกเพื่อควักหัวใจออกมาสดๆน่ะเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ........

      นี่............

      ผมจะต้องตายเหมือนกันหรอครับ?

       

      "เฮ้อ....." ลอมหายใจสีขาวทอดถอดอย่างรอคอยเวลาที่จะมาเยือน

      มันน่าเบื่อหน่ายที่ต้องรอ....... รอคอยช่วงเวลาที่จะมาเยือนเพื่อปลิดชีพตัวเอง

      มันทำให้รู้สึกสิ้นหวังยามเมื่อรับรู้ว่าไม่มีทางหนีรอดไปได้

      มันน่าเจ็บใจที่พยายามดิ้นเท่าไรผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไมาเคยเปลี่ยนแปลง

      แต่อย่างน้อย........ ช่วงสุดท้ายของการ 'รอคอย' ก็มีเรื่องน่ายินดีนิดหน่อยนะ

      ผมได้พบกับคนๆหนึ่งที่อบอุ่น

      ผมได้พบกับคนที่แสนใจดีเพียงแค่นั้นกลับรู้สึกคุ้มค่าที่ยังมีชีวิตอยู่

       

      ความทรงจำที่ส่งต่อมาทำให้ผมรับรู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น

      พวกเขาเรียกพวกเราว่า 'แม่มด' ทุกๆคนเป็นผู้หญิงและถูกฆ่าอย่างโหดร้ายเมื่ออายุครบ 13 ปี แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ผมเป็นผู้ชาย........

       

      "เฮ้อ........" ร่างบางถอนหายใจซ้ำๆซากๆ คิดไปก็ไม่ได้อะไรแล้วล่ะ ปวดหัวเปล่าๆ..........

       

      "ได้เวลาแล้วสินะ........"

      เสียงฝีเท้าจำนวนมากหนักเบาค่อยๆตรงมายังทางนี้

      ผมน่ะ.........

      เสียงโห่ร้องดังแว่วๆจากที่แสนไกลใกล้เข้าทุกขณะ

      จะไม่มีวัน...............

      คลื่นอารมณ์หลากหลายปะปนกันจนน่าสับสน

      ยอมรับชะตากรรมบ้าๆนี่เด็ดขาด!!!!

       

       

      ___________________________________________

       

      ชายหนุ่มมองดูรูปถ่ายของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พึ่งพบเจอได้ไม่นานด้วยอารมณ์หลากหลาย รูปใบสำคัญถูกเก็บกลังลงไปในกระเป๋าเสื้อด้วยความทนุถนอมก่อนที่สองขาจะก้าวเดินไปอย่างตัดสินใจได้........

      .

      .

      ..

      .

       

      "เหมือนหิมะจะเบาลงแฮะ" กว่าจะกลับมาถึงแสงสีสดแดงก็ย้อมท้องฟ้าสีครามจนราวกับทะเลเพลิง ตาคู่คมเหลือบมองไปยังทิศคุ้นเคยก็เห็นควันสีเทาหม่นลอยคละคลุ้งเหนือคฤหาสถ์ บรรยากาศแปลกไปกว่าที่เคยเป็น........

      ไม่ต้องตีความไปมากกว่านั้นรีไวล์รีบวิ่งไปยังตัวคฤหาสถ์ที่เอเลนอาศัยอยู่

       

      "แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!" นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!

      ที่ๆเคยถูกเรียกว่า 'บ้าน' บัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลจนไม่เหลือสภาพเดิม

      ซากร่างจำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดทับถมจมกองเลือดที่สีเริ่มคล้ำลงทุกทีๆ เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่!

       

      เพล้ง!!!

      บางสิ่งถูกเขวี้ยงออกมาจากชั้น 3 จนตกลงมาไม่ห่างจากตัวเขานัก สิ่งนั้นหล่นลงมาโดยมากองหิมะหนารองรับแรงกระแทก หากแต่ความรุนแรงที่โดนเขวี้ยงออกมาก็ยังทำเอาสิ่งนั้นยังคงไม่อาจขยับเขยื้อนได้ง่ายๆ

      "ฮะ โฮ่ย! เอเลน!!" รีไวล์รีบวิ่งเข้าไปหาร่างที่ยังจมกองหิมะ

      ".........จัง ............ ฮะ...... ฮะๆ" กลีบปากบางเอ่ยเบาๆราวกับเสียงกระซิบด้วยร่างกายที่ยับเยินไปหมด

      "เอเลน! เอเลน! นายพูดอะไรน่ะ! ชั้นฟังไม่ชัดเลยนะ!" รีไวล์พยายามขยับร่างไร้เรี่ยวแรง

      ดวงตาข้างขวาเป็นสีดำนัยน์ตาสีแดงส่วนอีกข้างเป็นสีขาวและนัยน์ตาสีเขียวสดและดูเหมือนว่าอีกไม่นานมันจะหลับลงอย่างไม่มีวันตื่น

      มือซีดจากการเสียเลือดค่อยๆประคองใบหน้าคม

      "รีไวล์...... ซัง คุณ...... แค่ก! แฮ่ก...... กลับมาเร็วจังนะ....... ฮะ......."

      "ขอโทษ........ แค่กๆ! นะฮะที่ให้ต้องมา........ เห็น........ สภาพไม่น่าดู แฮ่ก....... แฮ่ก...... แบบ..... นี้......"

      "ผม....... ดีใจ.......... มากเลยที่ได้พบ..... คุณ แค่ก....... ผมมีคะ..... ความสุขที่...... สุดแล้ว......."

      เปลือกตาบางหลุบลงซ่อนดวงตาสองสีจนไม่อาจเห็น เอเลนหลับตาลงพริ้มราวกับแค่หลับไปเฉยๆ........

       

      "ฮะ โฮ่ย! เอเลน! เจ้าเด็กขี้เซา! ตื่นเดี๋ยวนี้นะ!!!"

       

      "เปล่าประโยชน์น่า........" ใครบางคนเดินออกมาจากในบ้าน

      "แกทำร้ายเด็กคนนี้........?"

      "นั่นก็ใช่ เพื่อไม่ให้เสียเวลาช่วยส่งคนที่อยู่ในแขนนายมานี่ทีสิ" ร่างสูงยอมรับง่ายดายและยื่นมือมาจะแย่งชิงร่างของคนสำคัญไป

       

      อยากได้ก็ข้ามศพชั้นไปก่อนเถอะไอ้บ้าเอ๊ย!!!

       

       

       

       

      ___________________________________________

       

       

      แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง...............

      ในที่สุดหอนาฬิกายักษ์ก็ลั่นลูกตุ้มอีกครั้งบ่งบอกว่าถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว ร่างหนาทรุดลงหมดแรง ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่

       

      "ฮึ หมดเวลาแล้วรึ....... จะยอมปล่อยไปก็ได้......." ชายร่างสูงมองอย่างไม่สบอารมณ์ซักเท่าไหร่แต่ในเมื่อเวลามันหมดแล้วก็ช่วยไม่ได้ ชายคนนั้นเดินจากไปโดยทิ้งเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าโศกนาฏกรรมขนาดย่อมๆไว้เบื้องหลัง

      ถ้ามันไม่พูดระหว่างที่สู้กันอยู่ก็คงนึกไม่ถึงว่าไอ้ล่ำที่ถือฆ้อนใหญ่พอๆกับตัวมันแกว่งเล่นไปมาได้เป็นถึงบาทหลวง ปกติมันต้องถือหนังสือเล่มเล็กๆไม่ใช่รึไงวะ

       

      "นี่........ อย่าพึ่งไปสิ เดิมพันครั้งนี้ผมชนะนะฮะ" ชายร่างใหญ่หยุดเดินและหันกลับมาคุยกับเด็กหนุ่มที่ยังนอนจมกองหิมะอยู่

      "แล้วเจ้าจะทำอะไรได้" เอเลนพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำอย่างไม่ดูสภาพตัวเองเอาซะเลย

      "ทำได้มากกว่าที่ท่านคิดเยอะเลยหละ....... ตามสัญญานะท่านบาทหลวง ท่านจะไม่ขวางผมไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม" เอเลนลุกยืนขึ้นแต่ก็ยังโซเซแทบล้มเพราะเสียเลือดไปเยอะ

      "เอเลน!" แต่ก่อนที่จะได้ล้มรีไวล์ก็ชิงเข้ามาพยุงไว้ซะก่อน

       

      "ทำอะไรได้ก็ทำไปสิเจ้าหนู ข้าก็เบื่อหน้าที่นี้เต็มทนเหมือนกันนั้นแหละ" บาทหลวงนั่งลงบนกองซากศพต่างเก้าอี้พลางแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเท้าคางมองดูรอบๆ

       

      "นายจะทำอะไรล่ะเอเลน" ตอนแรกรีไวล์จะลากเอเลนไปนอนพักดีๆแต่พอลองดูร่างกายที่เคยยับเยินไม่เหลือเค้าดีๆก็เห็นว่ามันเริ่มกลับเค้าเดิมอย่างช้าๆ

      "ทำให้เรื่องนี้จบลงฮะ"

       

       

      "ข้าแต่ผู้แบกรับโชคชะตาอันต้องสาป ท่านผู้เป็นนายแห่งความมืดเจ้าแห่งความละโมบโปรดตอบรับเสียงเพรียกของข้า สิ่งแลกเปลี่ยนของข้าคือทุกๆสิ่งที่อยู่ในอาณาเขต"

       

      "เจ้ากล้ามากนะที่เรียกข้าออกมา"

      สุรเสียงดังก้องหากแต่ไม่สามารถมองเห็นผู้เอ่ยได้

       

      "จะรับข้อเสนอของข้ามั้ย ท่านเบลเซบับ" เอเลนถามอย่างมั่นใจ

       

      "มีมนุษย์ใจดีรวบรวมอาหารมาให้ถึงขนาดนี้ข้าก็ต้องรับไว้อยู่แล้วสิ ข้าละเบื่อพวกวิญญาณสุดๆมันไม่มีเลือดเนื้อให้ฉีกเคี้ยวเลยรู้มั้ย" เหมือนจะไม่รับแต่สุดท้ายก็เอาซะงั้น........

       

      "ฟังดูหดหู่นะฮะ"

       

      "ของมันแน่....... แล้วเจ้าจะขออะไรล่ะ

      ว่าแต่มนุษย์แปลกๆสองคนนั่นข้าขอด้วยได้มั้ย"

       

      "ไม่ให้ฮะ งั้นข้าขอให้ท่านกินให้หมดอย่าให้เหลือเลยนะฮะ"

       

      "ขอแบบนั้นอย่าขอเลย....... งั้นข้ากลับละนะ" ใช่ เพราะยังไงข้าก็ไม่เหลือซากไว้ไห้ดูเล่นหรอกนะ

       

      .

      .

      .

      .

       

      "นี่ เจ้าหนูแอบมาวางอาณาเขตไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่" หืมม..... หมดจดไปทั้งหมู่บ้านเลยแฮะ หมดจริงๆ

       

      "ใช้กล้องส่องทางไกลจากบนหอนาฬิกาไง" แค่นี้ก็ไม่ต้องแอบเข้าไปถึงสถานที่เลยละ สบายสุดๆ

       

       

      ___________________________________________

       

      "เอเลนนายจะมากับชั้นมั้ย?" มือหนายึดไหล่บอบบางไว้ไม่ให้หนี

      "ผม....... ไปกับรีไวล์ซังได้จริงๆหรอฮะ?" กับคนที่ไม่ใช่คนแบบนี้........

      "นายถามแบบนี้ชั้นจะถือว่านายตอบตกลงนะ งั้นกลับกันเถอะ"

      ให้ตายสิ......... รีไวล์ซัง......... คุณนี่เอาแต่ใจตัวเองชะมัดเลย.......

       

      "อื้อ!"

       

      ..

      .

      .

      .

       

      หมูบ้านที่ปกคลุมด้วยหิมะไม่เคยหยุด ในคืนที่ชาวบ้านทุกคนหลับพักผ่อนกลับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่กลืนกินหมู่บ้านทั้งหมดลงไปในหลุมที่มองไม่เห็นแม้แต่ก้น ไม่หลงเหลือผู้รอดชีวิตใดๆ.........

      นั่นเป็นข่าวที่ผู้คนลือกันหากแต่ความจริงนั้นมีเพียงบาทหลวงลึกลับ รีไวล์ และเอเลนที่รู้.........

       

       

      ___________________________________________

       

      "เฮ้ย! รีไวล์!!! มาโยนงานให้แบบนี้ได้ไงวะ!!"

      "โวยวายจังวะมิคาสะ ชั้นมีของฝากน่า" รีไวล์ยื่นรูปใบเล็กๆให้มิคาสะ 2 ใบ

       

      "ที่ไหน........"

      "หา?"

      "แกไปที่ไหนมา!!!!" มิคาสะจับไหล่รีไวล์เขย่าไปมาจนแทบหัวหมุน บอกมานะเว้ย!!! ชั้นจะไปหามั่ง!

      "เฮ้ย! หยุด!" หยุดก่อนสิวะ ไอ้น้องเวร!

       

      "อะ........ จะ........ จากนี้ไปฝากตัวด้วยนะฮะ ผะ..... ผมชื่อเอเลนฮะ" เอเลนเดินเข้ามาด้วยท่าหวาดๆพี่น้องทะเลาะกัน (ด้วยเรื่องของตัวเอง)

      มือที่โยกไหล่รีไวล์ปล่อยทันทีแล้วหันไปสนใจคนในรูปที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม

       

      "นี่ของฝากชั้นใช่ป่ะ"

       

      "อย่ามาเพ้อเจ้อไอัน้องเวร" แกน่ะเอาไปแค่รูปก็พอ ส่วนคนน่ะของชั้น
      ..
      ..
      ..
      ..
      Fin.

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×