ช่วยอ่านที แบบนี้พอไหวมั้ย
เป็นนิยายทดสอบครับ ลองลงดูช่วยอ่านและแนะนำทีว่าไหวมั้ย
ผู้เข้าชมรวม
191
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
วารินทร์ มินลักษณ์ นั่งอุดอู่อยู่ในมุมแคบ ๆ ตรงโต๊ะอาหารขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส ชั้นสองในภัตตาคารที่ค่อนข้างหรู ใจกลางเมืองกรุงเทพ ตัวภัตตาคารรวมทั้งย่านนั้น กว่า80%ของที่นี่เป็นศูนย์รวมของคนไฮโซ แทบทั้งสิ้น เหมือนเป็นอาณาจักรที่ถูกปกครองโดยเหล่าผู้มีอันจะกิน และทิ้งเหล่าคนจนที่มีมือและเท้าอันหยาบกระด้างไว้นอกอาณาเขตเหมือนเป็นบริวารคอยรับใช้ หรือไม่ก็เป็นแค่พวกที่ได้แต่รอรับการดูถูกเหยียดหยามจากคนรวย แต่ฐานะของวารินทร์ ก็ไม่ได้ถือว่ามีเงินฟูฟ่องหรือมีบัตรเครดิตอื้อซ่าเต็มเอี๊ยดในกระเป๋าเงิน เธอมีฐานะปานกลาง แต่ถึงเธอจะรวยอย่างคนรอบข้างแถว ๆ นั้น ก็คงไม่เอามันมาทิ้งในสถานที่แบบนี้
แต่เธอเลือกมาที่นี่เพราะเหตุผลบางอย่าง เหตุผลที่เธอปรารถนา และให้เกียรติ สำหรับความรักของเธอ
วารินทร์เลิกแขนเสื้อที่ตัวเองตัดสินใจใส่มาซึ่งเธอเลือกแล้วเลือกอีกเป็นเวลานานกว่าเวลาที่เธออาบน้ำตอนเช้าเสียอีก ตรงข้ามกับต่างหูคู่น่ารักรูปหมีแพนด้าที่ใส่มาโดยไม่ต้องเสียเวลาเลือกเลย เธอเหลือบดูเข็มนาฬิกาข้อมือในกรอบสีชมพูรูปหัวใจ แล้วมองไปที่ประตูกระจกอัตโนมัติตรงชั้นหนึ่ง มองหาใครบางคน สักพักก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ ดีแล้วล่ะ เพราะยังพอมีเวลาให้เธอได้คิดอะไรอีก อันที่จริงมันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ สิ่งที่มันควรจะเป็นก็คือ โต๊ะที่เธอเลือกควรจะเป็นตัวที่อยู่กลางห้องซึ่งสะดุดตาใครต่อใคร ไม่ใช่จุดที่อยู่ในมุมอับและติดผนังแบบนี้ และคิดว่าตัวเองควรจะสดชื่นมากกว่านี้ นับตั้งแต่ที่มายังภัตตาคารแห่งนี้ วารินทร์ได้แต่นั่งอุดอู่หัวคิ้วทั้งสองเป็นรอยย่นจนแทบจะชนกัน และส่ายหน้าไปมาบ่อยครั้ง พลางส่งเสียงจุ๊จิ๊ออกมาจากไรฟัน เธอชักไม่แน่ใจว่าวันนี้จะเป็นวันหวานแบบที่เธอปรารถนาจะให้เป็นหรือเปล่า
มันไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเธอ
เธอเลิกแขนเสื้อดูนาฬิกาอีกครั้ง บ่ายสองโมงกับอีกสิบนาที เลยเวลานัดมานิดหน่อย แต่นั่นไม่ได้สำคัญพอที่จะทำให้เครียดได้ เธอเครียดมากพอกับเรื่องก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว และบางทีสิ่งที่จะทำให้เธอเบาใจได้ดีที่สุดก็คือ การเล่าให้ใครสักคนฟัง และใครสักคนที่ดีที่สุดควรจะเป็นเขา แต่จะเริ่มอย่างไรดีล่ะ พูดตรงไหนก่อน อีกอย่างเขาจะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้ และถ้ามันเลวร้ายนั่นอาจจะทำให้เขาเครียดไปอีกคน ดีไม่ดีอาจถึงขึ้นตัดสัมพันธ์เลยก็ได้ มันอาจจะเป็นอย่างนี้เปอร์เซ็นต์มันมากพอที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
วารินทร์เริ่มกระสับกระส่ายมากกว่าเดิม ขบกรามไว้แน่น ตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งได้เร้าความนึกคิดเธอ เมื่อเธอนึกถึงจดหมายนั่น เธอส่ายสายตาไปรอบ ๆ ห้องอย่างลอกแลกและหวาดระแวง ที่ชั้นล่าง หน้าห้องน้ำ ระเบียงภัตตาคาร ลานจอดรถ แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุยี่สิบปีเท่ากับเธอกำลังยืนรอให้ประตูอัตโนมัติเลื่อน เขาเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง แขนเรียวแต่ขาค่อนข้างใหญ่ ไม่ผอมหรืออ้วนเกินไปนัก ใบหน้าเนียนและเต่งตึงเหมือนมะเขือเทศสด มีเพียงตำหนิที่เป็นไฝเล็ก ๆ จุดหนึ่งอยุ่ใต้คางด้านซ้ายเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้า เขาเดินหรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วเข้าใกล้เธอ หายใจค่อนข้างถี่และหอบเล็กน้อย รูขุมขนบนหน้าผากถูกปละปลายด้วยเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ ที่บงบ่องถึงการเร่งรีบ
“ โทษทีนะรินทร์ ไอ้แทกซี่บ้านั่นมันขับอืดเป็นบ้าเลย ” เขาอ้างพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้นวมออกแล้วทิ้งก้นลงนั่ง
“ ไม่เป็นไรหรอก กาล เธอมาฉันก็ดีใจมาก ๆ แล้วล่ะ” วารินทร์กล่าว โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่านั่นจะเป็นข้ออ้างแก้ตัวของเขาหรือเปล่า ระยะเวลาที่คบกับมานานเกือบสองปีของทั้งสอง ทำให้เธอรู้ว่าการมาสายเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา ไม่ใช่แค่การนัด การมาโรงเรียนในสมัยมัธยมปลาย การเข้าฟังบรรยายในวิชาคณะ เธอต้องคอยแลกเชอร์ให้เป็นประจำ เขาเป็นเช่นนี้มาสองช่วงวัยเรียน และนั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคที่บั่นทอนรักของวารินทร์ที่มีต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะมีนิสัยอีกมากมายหลายอย่างของเขาที่เอาชนะใจเธอ แค่คำบอกรักทางสัญญาณโทรศัพท์ก่อนนอนทุกคืนแค่นั้นก็เหมือนน้ำผึ้งทิพย์ที่เหล่าฝูงผึ้งแห่งทรวงสวรรค์ ร่วมกันเพาะบ่งด้วยความรัก ความหวงแหนในรวงน้ำผึ้ง และเธอได้ลิ้มรสหวานของน้ำผึ้งนั้นด้วยหัวใจ
ถึงขนาดว่าหากเขาทำแบบนี้กับเธออีกสักปีสองปี เธอจะตัดสินใจแต่งงานกับเขาในอนาคตเลยทีเดียว
“ เธอคงจะหิวแล้ว ทานอะไรกันดีกว่า จะได้ไปที่อื่นต่อ” กาลโบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ เขายังไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของวารินทร์
“ ขอเป็นข้าวชุดซีฟู้ดสเปซหนึ่งชุดครับ” เขาเลือกโดยไม่เสียเวลาดูเมนูนาน พนักงานเสิร์ฟจรดปากกาบนโน๊ตบุ๊คเล่มเล็กทันที “ ขอเป็นน้ำแร่สองขวดนะครับ เธอจะสั่งอะไรล่ะรินท์” กาลหันมาทางเธอ แต่เธอไม่ตอบสนอง
“ นี่..รินทร์” เขาเรียกอีกครั้ง
เธอสะดุ้งเฮือก สีหน้าเริ่มซีด “ ขะ..ขอเป็นแบบเธอละกันนะ”
พนักงานเสิร์ฟขยับปากกาบนโน๊ตบุ๊กเล่มเล็ก จดรายการเพิ่มและแจ้งเวลาการเสิร์ฟเรียบร้อยจึงผละออกไป
“ ใจลอยนี่ ไม่สบายเหรอ สงสัยได้พาไปหาหมอแทนจะไปชอปปิ้งซะแล้วมั้ง”
“ เปล่าหรอก แค่คิดว่าวันนี้เธอจะทำอะไรให้ฉันเซอร์ไพส์อีกรึเปล่าน่ะ” วารินทร์พูดเมื่อนึกได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปเที่ยวสวนสนุกเขาเซอร์ไพส์เธอด้วยต่างหูรูปหมีแพนด้าที่เธอชอบ ซึ่งวันนี้เธอก็ใส่มา
“ เสียใจคราวนี้ฉันไม่มีอะไรเซฮร์ไพส์เธอหรอก” กาลเชิดหน้าหนี
สีหน้าของกาลทำให้เธอทิ้งภาวะความเครียดไปชั่วระยะหนึ่ง อีกเสน่ห์ของเขาก็คือสีหน้าที่ยียวนกวนประสาท กาลตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ที่มันออกมากลับกลายเป็นเหมือนสีหน้าของเด็กน้อยที่ถึงแม้จะดื้อหรือจะซนแต่ข้างในก็ยังแฝงความน่ารักใส่ซื่อ เขาได้ดูดความรู้สึกกังวลใจของวารินทร์ออกไปเกือบหมด
แต่ก็แค่เกือบหมด เธอจะนึกถึงมันอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ยังไงก็ขอแค่ตอนนี้ก็ยังดี เวลาที่กามเทพมอบให้ เวลาแบบนี้เกิดไม่บ่อยนักสำหรับคู่รักที่หวานชื่นจริง ๆ
อาหารชุดซีฟู้ดสเปซสองชุดกับน้ำแร่สองขวดถูกเข็นมาส่งให้ที่โต๊ะของทั้งสอง พนักงานเสิร์ฟที่สวมถุงมือสีขาวครีม ค่อย ๆ ยกวางบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล ตามด้วยน้ำแร่และน้ำแข็งเปล่าสองแก้ว เขารินใส่ทั้งสองแก้วอย่างระมัดระวังชนิดไม่มีหยดน้ำกระเซ็นออกนอกแก้วแม้แต่หยดเดียว เสร็จแล้วจึงเลื่อนรถเข็นไปข้างหน้าก่อนจะยิ้มหวานแล้วพูด “ จะสั่งเพิ่มหรือต้องการอะไรเชิญเรียกใช้ได้นะครับ”
สมเป็นภัตตาคารในย่านคนรวย อาหารมีระดับ การบริการดีเยี่ยม ความจริงมันอาจจะดูเกินตัวไปสำหรับวัยรุ่นทั้งสองคน แต่ภัตตาคารนี้เหมาะสมแล้วที่จะใช้เป็นสถานที่ในช่วงเวลาแห่งความรักของหนุ่มสาวทั้งสองคน
“ ทำไมถึงสั่งน้ำเปล่าล่ะ?” วารินทร์เลิกคิ้วถาม
“ แล้วจะให้ฉันสั่งไวน์รึไง หรือน้ำอัดลมพวกนั้นกินมาก ๆ ไม่ดีนะ”
“ น้ำพั้นซ์หรือน้ำผลไม้อะไรก็ได้”
“ ว่าไงนะ มีน้ำแบบนั้นด้วยหรือ?” กาลละจากอาหารบนโต๊ะมาดูที่เมนูรายการเครื่องดื่ม
“ ไม่รู้นี่นะ เคยกินแต่อาหารตามสั่งมันเลยชิน เลยไม่ได้คิดว่าจะมี ถ้าไม่งั้นจะสั่งนี่เลย... ‘The Three of sweet heart’ น้ำผึ้งสตรอเบอรรี่กลิ่นกีวี่” เขาโชว์รูปในเมนูให้วารินทร์ดู เป็นน้ำผึ้งแท้ผสมน้ำสตรอเบอร์รี่สด แล้วคั้นน้ำกีวี่ผสมเล็กน้อย อยู่ในแก้วสามมิติรูปหัวใจหนึ่งแก้ว แล้วมีท่อหลอดดูดยื่นออกมาจากทั้งสองฝั่งในแก้วเดียว ไม่ใช่เครื่องดื่มที่จะจัดเสิร์ฟได้ทันที เวลาผสมเสร็จต้องแช่ในอุณหภูมิลบสิบองศาเซลเซียสประมาณห้านาที เวลาเสิร์ฟจะเป็นน้ำสีชมพูมีวุ้นของสตรอเบอร์รี่ชิ้นเล็ก ๆ ลอยอยู่ความเย็นติดลบจะทำให้รสของน้ำผึ้งหวานเจี๊ยบมากกว่าเดิม และไม่ทำให้เลี่ยนอีกด้วย และกลิ่นกีวี่จะเป็นตัวนำพาให้ผู้ที่จรดริมฝีปากทั้งสองฝั่งเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่าโรแมนติก
“ สั่งสิ” เธอบอก
กาลหน้าแดงระเรื่อเหมือนสตรอเบอร์รี่ในภาพ เมื่อนึกถึงตอนที่พวกเขายื่นปากออกไปเพื่อที่จะดูด และสายตาที่จะต้องสบกันในระยะประชิด “ ไม่เอาหรอก มันแพงที่สุดเลยนี่ น้ำเปล่าแหละดีแล้ว”
วารินทร์ยิ้มทันทีเมื่อเห็นสีหน้าขะเขินของกาล เขาเองก็ก้มหน้าทานอาหารต่อทันทีเมื่อเห็นเธอจ้องสีหน้าของเขาตาไม่กระพริบ สายตาคู่นั้นแทบจะหลอมละลายเขาเลยทีเดียว
“ งั้นเสร็จแล้วเราไปเดินแถวสวนจตุจักรกันนะ ฉันว่ากระเป๋าใบเก่ามันเริ่มจะขาดแล้ว ” เธอออกปากชวนด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง สีหน้าดีกว่าเดิม
กาลแค่พยักหน้าเพราะความที่ยังเขินอยู่
ถัดจากโต๊ะของคู่รักทั้งสองไปอีกสองโต๊ะ มีชายสองคน คนหนึ่งใส่เสื้อยืดสีเหลืองและมีเสื้อกันหนาวสีดำทับอีกที แว่นกันแดดสีดำทึบที่เขาสวมอยู่ปกปิดสายตาที่กำลังจับจับจ้องไปยังวารินทร์ อีกคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีท้องฟ้ากำลังจิบไวน์องุ่นอย่างใจเย็น เขายกโทรศัพท์ขึ้นจ่อหู
“ กำลังจับตาดูอยู่ครับ ท่าน” เขารายงานให้อีกฟากหนึ่งในสายทราบ
“ แล้วแฟนเธอล่ะ?”
“ อยู่ด้วยครับ กำลังกินอาหาร”
“ เธอมีท่าทีหรอเปล่า?” ใครบางคนในสายถามอย่างระแวง
“ ยังครับ แต่เราสังเกตเห็นสีหน้าเธอดูลอกแลก”
“ ไม่เป็นไร ดูไปก่อน”
“ จะให้ผมจัดการได้เมื่อไหร่ครับ?”
“ ท่าเห็นเธอมีทีท่าเมื่อไหร่...จัดการได้เลย อย่าให้พลาดล่ะ” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วตัดสายไป
ชายในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพยักหน้าให้กับอีกคนที่ดวงตาอยู่ภายใต้เลนส์สีดำสนิท เขาแสยะยิ้มและแอบเอามือลูบวัตถุที่อยู่ในการปิดบังของเสื้อกันหนาวสีดำ
วัตถุข้างในก็เป็นสีดำทมิฬเช่นกัน
**********************************************
ตำรวจหลายนายมีสีหน้าเคร่งเครียดปนกับความเหน็ดเหนื่อย ถึงแม้ว่าอากาศในช่วงบ่ายจะเย็นกำลังดีแต่ก็ยังพอสังเกตเห็นคราบมันที่เกาะบริเวณหน้ากับขมับทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน มีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรสามนายกำลังง่วนอยู่กับการตรวจค้นสิ่งของบางอย่างที่บรรทุกอยุ่บนรถกระบะสีเทา พอจะเดาได้ว่าเป็นรถต้องสงสัย คนขับรถทำสีหน้าหงุดหงิดที่ต้องเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ตำรวจอีกพวกหนึ่งยืนอยู่หน้าทางเข้า ที่มือจับด้ามเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดพักไว้ที่ด้านหลัง คอยสอดส่องดูกระเป๋าต้องสงสัยแทบไม่ได้หยุดสายตา มีนานครั้งที่จะใช้เครื่องนั้นวนรอบกระเป๋าแปลก ๆ บ้าง
“ นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ก็เลยต้องตรวจกันเป็นพิเศษหน่อยล่ะ” กาลพูดเมื่อนึกย้อนไปถึงสองปีก่อนที่มีเหตุระเบิดในคืนปีใหม่สองปีติดต่อกัน ปีที่แล้วดูการตรวจตราจะไม่เข้มงวดเท่านี้ ถ้าปีนี้เกิดขึ้นอีกชาวบ้านคงด่าพวกสีกากีไปตาม ๆ กัน
แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่นอนอยู่แล้ว
ตำรวจ ! ทันทีที่วารินทร์เห็นตำรวจ มีบางสิ่งบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดมันออกมาให้ได้ แต่เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างสลักไว้ บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวหากว่าเธอปล่อยมันออกมา ทันทีที่นึกถึงข้อความในจดหมาย ‘ห้ามบอกตำรวจ’
มือที่จับมือของกาลเริ่มค่อย ๆ สั่น ‘บ้าที่สุด’ เธอนึกในใจ ทำไมต้องเป็นเวลานี้ ไม่วายวารินทร์เริ่มมีท่าทีลอกแลกกับทุกสิ่งรอบข้างอีกครั้ง สีหน้าเริ่มซีดลง มืออีกข้างที่กำกระเป๋าสะพายเกร็งจนเห็นเส้นเลือดชัดขึ้น
จนกาลเริ่มรู้สึกได้
“ รินทร์ เธอแปลก ๆ ไปนะวันนี้” กาลมองตาเธอเหมือนจะเค้นเอาคำตอบที่อยู่ภายในดวงตาของวารินทร์
เธอส่ายหน้า พร้อมยิ้มแห้ง ๆ ไม่พูดอะไร
“ เธอมีอะไรปิดฉันอยู่น่ะรินทร์ ตั้งแต่ที่ภัตตาคารโน่นแล้ว ดูสีหน้าไม่ดีเลย ”
“ ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยน่ะ” เธอโกหก
“ งั้นฉันจะพากลับ”
“ อย่าเลย เรามาเที่ยวกันอยู่นะกาล ฉันไม่เป็นไรหรอก ไม่หนักมาก อีกอย่างฉันยังไม่ได้กระเป๋าใบใหม่เลย เธอต้องช่วยฉันเลือกด้วยนะ”
‘เก็บมันไว้ เก็บมันไว้ก่อน’ วารินทร์ย้ำหนักในใจ ขอแค่ช่วงเวลานี้ ความอัดอั้นทั้งหลายจงเก็บเอาไว้ก่อน ไว้ถึงห้องของเธอ จะปล่อยโฮให้น้ำตาไหลรินมากแค่ไหนก็ได้ ชีวิตอาจจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายแต่ขอสิ่งเดียว ให้มีเขาอยู่ข้าง ๆ ในเวลานี้ ก็จะสามารถอยู่กับเรื่องเลวร้ายนั้นได้ อย่าให้เขาได้รับรู้เรื่องของเธอเป็นอันขาด
*************************
“ จัดการเลยสิ!!” ผู้สะกดรอยตามในชุดสีฟ้ากระซิบข้าง ๆ หู ชายในแว่นดำ มือของเขากำด้ามปืนสีดำทมิฬไว้แน่นพร้อมที่จะชักแล้วเหนี่บงไกได้ทุกเมื่อ เขาสบถขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจเสียงกระซิบของอีกคนหนึ่ง “แม่งเอ้ย !! อย่าเชียวนะเว้ย ห้ามพูดตอนนี้นะเว้ย”
“ จะรออะไรอยู่ล่ะวะ จัดการเลยสิ ท่านก็บอกว่าให้จัดการได้เลย” อีกคนพูดท่าทางร้อนรนต่างกับตอนอยู่ภัตตาคารลิบลับ
“ เออ ไอ้นั่นน่ะข้ารู้ แต่ที่แบบนี้ดันมีตำรวจซะเยอะน่ะสิ เสี่ยงเกินไป” ชายในแว่นดำกระชากเสียงในลำคออย่างโมโห
“ แต่ถ้ายัยนั่นปูดออกมาตอนนี้ล่ะวะ ไม่สิอาจจะปูดออกมาแล้วก็ได้ ถ้าเราไม่รีบจัดการ”
“ ยังหรอก สีหน้าของไอ้หนุ่มนั่นยังปกติอยู่ แสดงว่ายังไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น”
“ แล้วจะเอาไงล่ะ ?” เขาถาม
“ เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรีบ รอให้ห่างจากพวกตำรวจก่อน ถ้าเกิดยัยนั่นเอ่ยปากขึ้นเมื่อไร....” เขาละมือที่กำด้ามปืนแล้วล้วงเอาบุหรี่ในเสื้อกันหนาวสีดำมาหนึ่งมวน แล้วยัดเข้าปาก มืออีกข้างจุดไฟแช็ก สูดเอาสารนิโคตินเข้าจนเต็มปอด แล้วพ่นออกมาอย่างสบายอารมณ์
“ ก็ยิงแม่งทั้งสองคนนั่นแหละ” เขาพูด
***********************
วารินทร์ตัดสินใจเล่นละครตบตากาลด้วยการแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาซื้อยาแก้ไข้ เธอกลืนลงไปครึ่งแผง
“ ช่วยไม่ได้นะ งั้นซื้อกระเป๋าได้แล้วฉันคงต้องพาเธอกลับห้องเลยละกัน” กาลพูด
“ อื้อ รู้แล้วล่ะ” วารินทร์ยิ้มแก้มปริ ดีใจที่ได้ต่อเวลาไปได้อีก และคงต้องเลือกซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้นานที่สุด
ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกจากร้าน กาลหยุดชะงักแล้วเหลียวซ้ายเหลียวขวา นึกอยากจะได้อะไรบางอย่าง พอเห็นสิ่งนั้นตรงหัวมุม เขาก็เดินไปตรงนั้นทันที แล้วหยิบเอาด้ามของมันขึ้นมาจากที่แขวน
“ ร่ม เธอจะซื้อร่มไปทำไมฝนไม่ได้ตกซะหน่อย?” วารินทร์ถามอย่างแปลกใจ
กาลเหลียวมามองวารินทร์เดี๋ยวเดียวแล้วยักคิ้วให้ ก่อนจะตรงไปยังเคาเตอร์ชำระเงิน
ทันทีที่ออกจากร้านกาลกางร่มทันที เขาถือให้วารินทร์ แล้วมืออีกข้างหนึ่งแตะหน้าผากเธออย่างนิ่มนวล ประหนึ่งว่าแพทย์มือใหม่กำลังตรวจคนไข้ เสร็จแล้วจึงย้ายมาจับที่หัวใหล่อีกข้างของวารินทร์ เขาโอบเธอ มันเหมือนกับแม่ไก่ที่กางปีกและหุบเอาลูกเจี๊ยบเข้ามาไว้ใต้ปีกของมันเพื่อให้ความอบอุ่น
“ ถึงแดดจะไม่ออกมาก แต่อยู่ในที่ร่มแหละดี อาการจะไม่หนักขึ้น” น้ำเสียงที่อบอุ่นของเขาทำให้หัวใจของวารินทร์อิ่มเอิบ
“ เธอนี่ชอบทำอะไรเวอร์ ๆ อยู่เรื่อยเลยนะ ” เธอบอก
ไม่ต่ำกว่าสามร้านที่วารินทร์เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋า เธอเพิ่งวางกระเป๋าสีกุหลาบที่พิจารณาอยู่นานว่าจะซื้อดีหรือไม่ลงที่เดิม แล้วหันมายิ้มเป็นเชิงขอโทษกับพนักงานขายที่เสียเวลายืนรออยู่นาน แล้วรีบจูงมือกาลออกจากร้านไปยังร้านที่สี่
“ ให้ตายสิ ฉันเห็นเธอหยิบแล้วก็วางกระเป๋ามาหลายสิบใบแล้วนะ ไม่มีใบไหนถูกใจเลยรึไง ” กาลถาม
“ ยังเลย ยังไม่ได้ใบที่ชอบเลย ทนอีกนิดนะ ” เธอโกหก จริง ๆ แล้วมันเป็นใบที่สิบที่เธอถูกใจเสียด้วยซ้ำ
“ ทนเทินอะไรกัน ฉันรอได้อยู่แล้วน่า ว่าแต่เธอจะไหวหรือ? ” กาลถามอย่างเป็นห่วง
“ จะไหวหรือไม่ไหว ถ้าฉันไม่ได้กระเป๋าใบใหม่ฉันก็จะไม่ออกไปจากที่นี่แน่ ”
วารินทร์พุ่งความสนใจไปที่กระเป๋าขนปุยสีขาวหิมะ เธอหยิบสายสะพายแล้วพลิกดูข้างนอกและข้างใน กาลพูดสอดมาทางข้างหลังเธอ “ สวยดีนี่ใบนั้นน่ะ ฉันว่าเหมาะกับเธอดีนะ ดูขาวสดใสดี ”
“ แต่ฉันว่ามันขาวไป อาจเปื้อนได้ง่าย ใบนั้นล่ะ ” เธอเปลี่ยนมือไปหยิบกระเป๋าสีแดงอีกใบที่อยู่ชั้นบน
“ ใบนี้ก็ดูดีนะ แต่ฉันว่ามันสีแดงเกินไปหรือเปล่านะ สีอย่างกับเลือดเลย ”
สิ้นคำว่าเลือด ความคิดของวารินทร์เริ่มถอยสู่ความเชื่องช้าอีกครั้ง ‘โธ่ กาลเธอไม่น่าพูดออกมาเลย ’ วารินทร์นึกเจ็บใจ แต่ก็ต้องโทษตัวเองที่ไปหยิบกระเป๋าใบนั้นเอง เธอกระสับกระส่าย ร้อนรน หายใจถี่ขึ้น อยากจะตะโกนให้ทุก ๆ คน ได้ยินว่าเธอเจออะไร เห็นอะไรมา เรื่องบ้า ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเธอ ที่อาจจะทำให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล นี่สิที่เป็นความจริงที่เธอต้องเผชิญ จะทำอย่างไรดี มันไม่ต่างอะไรกับทำนบกั้นน้ำขนาดใหญ่ ที่กั้นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก แล้วค่อย ๆ ปล่อยออกมาทีละน้อยนิด ถ้าหากทำลายทำนบกั้นน้ำนั้นได้ กระแสน้ำก็คงจะไหลเชี่ยวออกมาได้ เธอเองก็จะได้รับการปลดปล่อย ต้องทำลายกำแพงนั่นให้ได้ ไม่เช่นนั้นความสุขของเธอจะไม่มีวันได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ต้องพูด ต้องบอกกาลหรือไม่ก็ตำรวจ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม
“ รินทร์เธอเป็นอะไรไป ?” กาลปล่อยมือที่จับมือวารินทร์ออกทันทีแล้วสัมผัสหน้าผากและแก้มของเธอ “ ฉันไม่สบายใจ เธอต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ ๆ เรากลับกันเถอะ ”
วารินทร์ส่ายหน้าช้า ๆ “ กาล ฉัน...ฉันมีเรื่องบางอย่างจะพูด ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นหวิว
“ อะไร ?”
“ สาเหตุที่ทำให้ฉันแปลก ๆ ในวันนี้นั่นแหละ ขอโทษด้วยนะที่เป็นแบบนี้ ”
“ ก็แล้วมันอะไรล่ะ?” หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น
“ ฉันต้องพูดไม่งั้นฉันคงไม่มีวันสบายใจ มันอดอั้นค้างคาอยู่ในใจฉัน ”
“ อย่าบอกนะเธอจะเลิก ” กาลยิ้มแห้ง ๆ
“ เปล่า ฉันไม่มีวันไปไหนจากเธอหรอกกาล เธอดีกับฉันมาก เธอทำให้ฉันมีความสุขตลอดเวลา แต่พอมีเรื่องนั้นเข้ามาในชีวิตฉัน มันคอยบั่นทอนความสุขที่ฉันควรจะได้รับจากเธอ ” เสียงวารินทร์เริ่มสะอื้น
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เม้มมุมปากไว้แน่น เตรียมที่จะพูดออกมา
“ เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉัน....ฉันไปเห็น...........”
จังหวะนั้นเสียงสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนท่อนแขนของลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อกระเป๋าอย่างเพลินใจ เห่าขึ้น เสียงเล็ก ๆ ถี่ ๆ ของมัน ดังพอที่จะกลบคำพูดของวารินทร์ในประโยคสุดท้าย และเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ๆ ไปที่มันได้ วารินทร์สะดุ้งเฮือก หยุดหายใจไปราวสองสามวินาที สายตาพุ่งไปยังสิ่งที่ทำให้สุนัขพันธุ์ปั๊กตัวนั้นเห่า มีชายสองคน คนหนึ่งเดินหรี่เข้ามาอย่างเร็ว มือที่หยาบด้านค่อย ๆ ชักยมทูตสีดำออกมาจากเสื้อกันหนาวสีดำ ใครบางคนที่มองตามเสียงเห่าของสุนัขร้องตะโกนอย่างดัง “ ปืน!!!”
วารินทร์ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เพราะเธอรู้ดีอยู่แล้วและมันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ถึงวินาทีกระสุนมรณะแล่นผ่านลำกล้อง เจาะเข้าที่ชายโครงของวารินทร์ ตามด้วยเสียงกรีดร้องของนักชอปปิ้งหลาย ๆ คน ร่างของวารินทร์ทรุดลงกับพื้นทันทีเหมือนหุ่นเชิดที่กำลังเล่นตามบทละครแล้วถูกตัดเชือกทิ้ง
ผู้ทำหน้าที่สังหาร เดินเข้ามาใกล้ห่างจากวารินทร์ในระยะสามเมตร เตรียมจะเหนี่ยวไกอีก กระสุนจะตัดขั้วหัวใจเธอ ถ้ามันถูกปล่อย เขาเหนี่ยวไกอีกครั้ง แต่กาลพุ่งมารับเอากระสุนนัดนั้นแทน เขาถูกเจาะเข้าที่ไหปลาร้า ถึงตอนนี้กาลรู้อย่างชัดเจนแล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของเขา และจะต้องทำอะไร กาลทรุดลงกับพื้นแต่ก็ไม่ถึงกับลงไปนอน เขาใช้จังหวะที่ตัวเองอยู่ต่ำกว่าเข็มขัดของชายตรงหน้า รวบรวมสติและกำลังกายต่อยเข้าที่กล่องดวงใจของชายที่อยู่เบื้องหน้า ชายผู้นั้นหน้าเขียว ต้องถอยผงะไปชั่วครู่
กาลรวบรวมกำลังกายอีกครั้งอุ้มวารินทร์ที่ไม่รู้สติขึ้น ออกทะลุไปทางข้างหลังร้าน หยดเลือดของกาลและวารินทร์หลังไหลรวมกันเป็นหยดทาง โดยไม่มีทีท่าจะหยุดไหล เพราะกระสุนตัดเส้นเลือดแดงในขณะที่หัวใจกำลังสูบฉีดไปเรื่ อย ๆ ไม่ช้าคงเสียเลือดตาย ผู้คนต่างตะโกนโหวกเหวกด้วยความตกใจและตื่นกลัว
ชายอีกคนหนึ่งตะโกนเรียกชายที่ถือปืนกำลังห่อตัวมือทั้งสองกุมเป้ากางเกง เขากัดฟันกรอด ๆ ด้วยความแค้น
“ เฮ้ย!! รีบจัดการสิวะ เสียงปืนดังขึ้นแล้วอีกเดี๋ยวตำรวจก็แห่กันมาหรอก ”
พอเริ่มตั้งท่าได้ทั้งสองคนก็รีบวิ่งตาม
“ แม่งเอ๊ย เอาตัวเข้ามารับกระสุนแทนแฟน ไม่เห็นจะต้องแย่งกันตายเลยนี่หว่า เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งสองคนนั่นแหละ ”
แขนที่แบกรับร่างของคนเอาไว้ ทำให้หัวใจเต้นหนักขึ้น เลือดยิ่งสูบฉีดมากขึ้น หยดเลือดทะลักออกมาจากรูกระสุน สติสัมปชัญญะของกาลเริ่มรางเลือนเต็มที เขาตายได้แต่เธอต้องรอด แวบหนึ่งในหัวคิดถึงความรักของตัวเอง อดีตเรื่องเก่า ๆ ที่มีความสุขร่วมกัน อีกแวบหนึ่งนึกถึงทางรอด
กระสุนนัดที่สามวิ่งจากระยะยี่สิบเมตรจากปากกระบอกปืน ทะลุเข้ากลางหลังของกาล เขารู้ได้ในไม่ช้าว่ากระสุนนัดนี้จะทำให้เขาสิ้นลมหายใจในไม่กี่วินาทีข้างหน้า แต่เขาจะต้องพาเธอไปถึงถนนใหญ่ให้ได้เสียก่อน ที่นั่นมีป้อมตำรวจจราจร แต่แล้ว.....
“ กะ.....กาล” วารินทร์เรียกชื่อคนรักในขณะที่เริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง เธอถึงกับน้ำตาไหลทันที เมื่อใบหน้าที่อยู่เบื้องบน เป็นใบหน้าของกาลซึ่งแก้มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของวารินทร์ไปแถบหนึ่งเขากำลังตาลอยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ แต่ขากับมือทั้งสองข้างยังทำหน้าที่พาเธอไปยังจุดมุ่งหมายอยู่
“ กาล....ฉันขอโทษ กาล....ฉันรักเธอ” วารินทร์อยากจะยกมือลูบใบหน้าของกาลแต่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกนิ้วสักนิ้ว
เสียงกระสุนนัดสุดท้ายดังขึ้นทะลุเข้าท้ายทอยของกาล คราวนี้เลือดสีแดงสดของเขากระเซ็นเปื้อนใบหน้าของวารินทร์บ้าง ขาของกาลทรุดฮวบลงกระแทกกับพื้นดิน วารินทร์ล่วงหล่นจากแขนของกาลกระทบพื้นอย่างแรง ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างแตกตื่น และถอยกรู ไม่มีใครคิดจะช่วย ตำรวจจราจรที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในป้อม เห็นเข้าจึงรีบผละก้นออกจากเก้าอี้ทันที
“ รินทร์....” กาลพูดด้วยน้ำเสียงที่รวยริน “ วารินทร์ฉันรักเธอนะ.....ยิ่งกว่าชีวิตของฉัน.....รอดให้ได้นะ…” น้ำเสียงที่อ่อนแรงของกาลสั่นเครือเคล้าหยดน้ำตา หลังจากโดนกระสุนนัดสุดท้าย ทำให้มีสติเพียงน้อยนิด แต่ก็มากพอที่จะพูดประโยคสุดท้าย จากนี้ไปหัวใจของเขาหยุดเต้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ของวารินทร์ยังเต้นอยู่ เธอหายใจแรงและเร็วขึ้น ไม่มีเวลามาเสียใจหรือช๊อค เธอรีบหันกลับไปดูชายสองคนที่วิ่งตามมาห่างไปราวยี่สิบเมตร และรีบพุ่งตัวเข้าไปในถนน เพื่อจะข้ามไปอีกฝั่ง เลือดที่ซึมเข้าดวงตาทำให้วารินทร์มองไม่เห็นรถประจำทางที่พุ่งตรงมายังเธอ ร่างของเธอกระแทกเข้ากับรถโดยสารประจำทางเข้าอย่างจัง กระเด็นไกลออกไปสิบเมตร เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเปราะพื้นถนนและผู้คนที่อยู่รอบรัศมี ร่างของวารินทร์นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เธอเริ่มหายใจช้าลง ๆ ......
ชายทั้งสองหยุดวิ่งและดูเหตุการณ์ มีคนขับรถแทกซี่จอดรถลงมาดู ห่างออกไปตำรวจจราจรกำลังวิ่งเข้ามาโดยที่กำลังขยับปากสื่อสารกับวิทยุไร้สายดูจะเรียกรถพยาบาล ชายทั้งสองตัดสินใจหยุดตรงนั้นและหมุนตัวกลับไปยังจุดนัดหมาย
*************************************
“ เป็นไงบ้าง ?” เสียงผู้ชายในสัญญาณโทรศัพท์ถามด้วยความอยากรู้
“ ผู้ชายตายครับ ผู้หญิงก็น่าจะตายด้วย” ชายในเสื้อฟ้าตอบกลับ ขณะที่รถแล่นอยู่บนถนนอีกสายหนึ่ง
“ น่าจะหรือ? ” เขาถามอีก
“ ครับ เราคิดว่าเธอน่าจะตายแน่ ๆ เพราะเธอถูกรถชนกับโดนกระสุนยิงเข้าที่ชายโครง เราเห็นเธอนอนนิ่งไปเลย ”
เขาได้ยินเสียงบดฟันกรอด ๆ ของเจ้านายดังลอดมาจากหูโทรศัพท์ “ พวกแกสองคนทำงานกับฉันมานานเท่าไหร่ ไม่รู้หรือยังไงว่าฉันชอบแบบไหน ฉันชอบแบบเต็ม ๆ ไม่เอาครึ่ง ๆ กลาง ๆ น่าจะ อาจจะ ฉันไม่ต้องการฟังคำพวกนั้น ฉันไม่น่าใช้พวกแกสองคนเลย !! ”
“ แต่ว่า....ท่าน เราสองคนมั่นใจ… ”
“ หุบปาก!!” เขาทำเสียงแข็งกร้าว “ ใช้กระสุนไปกี่นัด แล้วใช้เวลานานเท่าไร ?”
“ ประมาณสี่ห้านัดครับ เวลาก็น่าจะราวสิบนาทีได้”
“ หมายความว่าไง พวกแกสองคนน่าจะจัดการมันให้เสร็จตั้งแต่นัดแรกแล้ว แล้วยังจะใช้เวลาตั้งสิบนาทีอีก ที่ว่ายัยนั่นถูกรถชนด้วยคงแสดงว่ามีการวิ่งหนีด้วยสินะ ทำไมปล่อยให้มันวิ่งถูลู่ถูกังให้ผู้คนแตกตื่นอีก ถ้าเกิดมีใครจำพวกแกได้แล้วสาวมาถึงฉัน ทุกอย่างจบแน่ ”
“ เอ่อ..ขอโทษครับท่าน”
อีกฝั่งใช้ความคิดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ ตอนนี้พวกแกอยู่ที่ไหน ?”
“ ถนนสายหลักห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณสองกิโลครับ”
“ หาชุดเปลี่ยนซะ แล้วย้อนกลับไปดู เอาให้แน่นอน แล้วให้ไปดูที่โรงพยาบาลที่ใกล้แถวนั้นดูอีกที ถ้าเธอไม่ตายจะต้องมีคนส่งเธอไปที่นั่น ดูให้ได้ว่าเธอตายหรือไม่ตาย ถ้าเธอไม่ตายค่อยหาวิธีจัดการใหม่” เขาพูดจบแล้วตัดสายทันที
************************************
ผลงานอื่นๆ ของ facemyself ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ facemyself
ความคิดเห็น