ช่วยอ่านที แบบนี้พอไหวมั้ย - ช่วยอ่านที แบบนี้พอไหวมั้ย นิยาย ช่วยอ่านที แบบนี้พอไหวมั้ย : Dek-D.com - Writer

    ช่วยอ่านที แบบนี้พอไหวมั้ย

    เป็นนิยายทดสอบครับ ลองลงดูช่วยอ่านและแนะนำทีว่าไหวมั้ย

    ผู้เข้าชมรวม

    191

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    191

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 มิ.ย. 51 / 03:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      วารินทร์  มินลักษณ์ นั่งอุดอู่อยู่ในมุมแคบ ๆ ตรงโต๊ะอาหารขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส ชั้นสองในภัตตาคารที่ค่อนข้างหรู  ใจกลางเมืองกรุงเทพ  ตัวภัตตาคารรวมทั้งย่านนั้น กว่า80%ของที่นี่เป็นศูนย์รวมของคนไฮโซ แทบทั้งสิ้น  เหมือนเป็นอาณาจักรที่ถูกปกครองโดยเหล่าผู้มีอันจะกิน  และทิ้งเหล่าคนจนที่มีมือและเท้าอันหยาบกระด้างไว้นอกอาณาเขตเหมือนเป็นบริวารคอยรับใช้  หรือไม่ก็เป็นแค่พวกที่ได้แต่รอรับการดูถูกเหยียดหยามจากคนรวย  แต่ฐานะของวารินทร์  ก็ไม่ได้ถือว่ามีเงินฟูฟ่องหรือมีบัตรเครดิตอื้อซ่าเต็มเอี๊ยดในกระเป๋าเงิน  เธอมีฐานะปานกลาง  แต่ถึงเธอจะรวยอย่างคนรอบข้างแถว ๆ นั้น  ก็คงไม่เอามันมาทิ้งในสถานที่แบบนี้ 

                      แต่เธอเลือกมาที่นี่เพราะเหตุผลบางอย่าง  เหตุผลที่เธอปรารถนา และให้เกียรติ  สำหรับความรักของเธอ 

                      วารินทร์เลิกแขนเสื้อที่ตัวเองตัดสินใจใส่มาซึ่งเธอเลือกแล้วเลือกอีกเป็นเวลานานกว่าเวลาที่เธออาบน้ำตอนเช้าเสียอีก  ตรงข้ามกับต่างหูคู่น่ารักรูปหมีแพนด้าที่ใส่มาโดยไม่ต้องเสียเวลาเลือกเลย  เธอเหลือบดูเข็มนาฬิกาข้อมือในกรอบสีชมพูรูปหัวใจ  แล้วมองไปที่ประตูกระจกอัตโนมัติตรงชั้นหนึ่ง  มองหาใครบางคน  สักพักก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ  ดีแล้วล่ะ  เพราะยังพอมีเวลาให้เธอได้คิดอะไรอีก  อันที่จริงมันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้  สิ่งที่มันควรจะเป็นก็คือ  โต๊ะที่เธอเลือกควรจะเป็นตัวที่อยู่กลางห้องซึ่งสะดุดตาใครต่อใคร  ไม่ใช่จุดที่อยู่ในมุมอับและติดผนังแบบนี้  และคิดว่าตัวเองควรจะสดชื่นมากกว่านี้  นับตั้งแต่ที่มายังภัตตาคารแห่งนี้  วารินทร์ได้แต่นั่งอุดอู่หัวคิ้วทั้งสองเป็นรอยย่นจนแทบจะชนกัน  และส่ายหน้าไปมาบ่อยครั้ง  พลางส่งเสียงจุ๊จิ๊ออกมาจากไรฟัน  เธอชักไม่แน่ใจว่าวันนี้จะเป็นวันหวานแบบที่เธอปรารถนาจะให้เป็นหรือเปล่า 

                      มันไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเธอ

                      เธอเลิกแขนเสื้อดูนาฬิกาอีกครั้ง  บ่ายสองโมงกับอีกสิบนาที  เลยเวลานัดมานิดหน่อย  แต่นั่นไม่ได้สำคัญพอที่จะทำให้เครียดได้  เธอเครียดมากพอกับเรื่องก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว  และบางทีสิ่งที่จะทำให้เธอเบาใจได้ดีที่สุดก็คือ  การเล่าให้ใครสักคนฟัง  และใครสักคนที่ดีที่สุดควรจะเป็นเขา   แต่จะเริ่มอย่างไรดีล่ะ  พูดตรงไหนก่อน  อีกอย่างเขาจะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้  และถ้ามันเลวร้ายนั่นอาจจะทำให้เขาเครียดไปอีกคน  ดีไม่ดีอาจถึงขึ้นตัดสัมพันธ์เลยก็ได้  มันอาจจะเป็นอย่างนี้เปอร์เซ็นต์มันมากพอที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น 

                      วารินทร์เริ่มกระสับกระส่ายมากกว่าเดิม  ขบกรามไว้แน่น  ตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งได้เร้าความนึกคิดเธอ  เมื่อเธอนึกถึงจดหมายนั่น  เธอส่ายสายตาไปรอบ ๆ ห้องอย่างลอกแลกและหวาดระแวง  ที่ชั้นล่าง  หน้าห้องน้ำ  ระเบียงภัตตาคาร   ลานจอดรถ  แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุยี่สิบปีเท่ากับเธอกำลังยืนรอให้ประตูอัตโนมัติเลื่อน  เขาเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง  แขนเรียวแต่ขาค่อนข้างใหญ่  ไม่ผอมหรืออ้วนเกินไปนัก  ใบหน้าเนียนและเต่งตึงเหมือนมะเขือเทศสด  มีเพียงตำหนิที่เป็นไฝเล็ก ๆ จุดหนึ่งอยุ่ใต้คางด้านซ้ายเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้า  เขาเดินหรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วเข้าใกล้เธอ  หายใจค่อนข้างถี่และหอบเล็กน้อย  รูขุมขนบนหน้าผากถูกปละปลายด้วยเม็ดเหงื่อเล็ก ๆ  ที่บงบ่องถึงการเร่งรีบ

                      โทษทีนะรินทร์  ไอ้แทกซี่บ้านั่นมันขับอืดเป็นบ้าเลย เขาอ้างพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้นวมออกแล้วทิ้งก้นลงนั่ง 

                      ไม่เป็นไรหรอก  กาล  เธอมาฉันก็ดีใจมาก ๆ แล้วล่ะ  วารินทร์กล่าว  โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่านั่นจะเป็นข้ออ้างแก้ตัวของเขาหรือเปล่า  ระยะเวลาที่คบกับมานานเกือบสองปีของทั้งสอง  ทำให้เธอรู้ว่าการมาสายเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา  ไม่ใช่แค่การนัด  การมาโรงเรียนในสมัยมัธยมปลาย  การเข้าฟังบรรยายในวิชาคณะ  เธอต้องคอยแลกเชอร์ให้เป็นประจำ  เขาเป็นเช่นนี้มาสองช่วงวัยเรียน  และนั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคที่บั่นทอนรักของวารินทร์ที่มีต่อเขาเลยแม้แต่น้อย  เพราะมีนิสัยอีกมากมายหลายอย่างของเขาที่เอาชนะใจเธอ  แค่คำบอกรักทางสัญญาณโทรศัพท์ก่อนนอนทุกคืนแค่นั้นก็เหมือนน้ำผึ้งทิพย์ที่เหล่าฝูงผึ้งแห่งทรวงสวรรค์  ร่วมกันเพาะบ่งด้วยความรัก  ความหวงแหนในรวงน้ำผึ้ง  และเธอได้ลิ้มรสหวานของน้ำผึ้งนั้นด้วยหัวใจ    

                      ถึงขนาดว่าหากเขาทำแบบนี้กับเธออีกสักปีสองปี  เธอจะตัดสินใจแต่งงานกับเขาในอนาคตเลยทีเดียว    

                      เธอคงจะหิวแล้ว  ทานอะไรกันดีกว่า  จะได้ไปที่อื่นต่อ  กาลโบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ  เขายังไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของวารินทร์

                      ขอเป็นข้าวชุดซีฟู้ดสเปซหนึ่งชุดครับ  เขาเลือกโดยไม่เสียเวลาดูเมนูนาน พนักงานเสิร์ฟจรดปากกาบนโน๊ตบุ๊คเล่มเล็กทันที ขอเป็นน้ำแร่สองขวดนะครับ เธอจะสั่งอะไรล่ะรินท์ กาลหันมาทางเธอ  แต่เธอไม่ตอบสนอง

                      นี่..รินทร์  เขาเรียกอีกครั้ง

                      เธอสะดุ้งเฮือก  สีหน้าเริ่มซีด ขะ..ขอเป็นแบบเธอละกันนะ

                      พนักงานเสิร์ฟขยับปากกาบนโน๊ตบุ๊กเล่มเล็ก  จดรายการเพิ่มและแจ้งเวลาการเสิร์ฟเรียบร้อยจึงผละออกไป

                      ใจลอยนี่  ไม่สบายเหรอ  สงสัยได้พาไปหาหมอแทนจะไปชอปปิ้งซะแล้วมั้ง                                          

                      เปล่าหรอก  แค่คิดว่าวันนี้เธอจะทำอะไรให้ฉันเซอร์ไพส์อีกรึเปล่าน่ะ วารินทร์พูดเมื่อนึกได้ว่าครั้งล่าสุดที่ไปเที่ยวสวนสนุกเขาเซอร์ไพส์เธอด้วยต่างหูรูปหมีแพนด้าที่เธอชอบ  ซึ่งวันนี้เธอก็ใส่มา

                      เสียใจคราวนี้ฉันไม่มีอะไรเซฮร์ไพส์เธอหรอก กาลเชิดหน้าหนี

                      สีหน้าของกาลทำให้เธอทิ้งภาวะความเครียดไปชั่วระยะหนึ่ง  อีกเสน่ห์ของเขาก็คือสีหน้าที่ยียวนกวนประสาท  กาลตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ที่มันออกมากลับกลายเป็นเหมือนสีหน้าของเด็กน้อยที่ถึงแม้จะดื้อหรือจะซนแต่ข้างในก็ยังแฝงความน่ารักใส่ซื่อ  เขาได้ดูดความรู้สึกกังวลใจของวารินทร์ออกไปเกือบหมด

                      แต่ก็แค่เกือบหมด  เธอจะนึกถึงมันอีกเมื่อไหร่ก็ได้  ยังไงก็ขอแค่ตอนนี้ก็ยังดี  เวลาที่กามเทพมอบให้  เวลาแบบนี้เกิดไม่บ่อยนักสำหรับคู่รักที่หวานชื่นจริง ๆ   

                      อาหารชุดซีฟู้ดสเปซสองชุดกับน้ำแร่สองขวดถูกเข็นมาส่งให้ที่โต๊ะของทั้งสอง  พนักงานเสิร์ฟที่สวมถุงมือสีขาวครีม  ค่อย ๆ ยกวางบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล  ตามด้วยน้ำแร่และน้ำแข็งเปล่าสองแก้ว  เขารินใส่ทั้งสองแก้วอย่างระมัดระวังชนิดไม่มีหยดน้ำกระเซ็นออกนอกแก้วแม้แต่หยดเดียว  เสร็จแล้วจึงเลื่อนรถเข็นไปข้างหน้าก่อนจะยิ้มหวานแล้วพูด จะสั่งเพิ่มหรือต้องการอะไรเชิญเรียกใช้ได้นะครับ

                      สมเป็นภัตตาคารในย่านคนรวย  อาหารมีระดับ  การบริการดีเยี่ยม  ความจริงมันอาจจะดูเกินตัวไปสำหรับวัยรุ่นทั้งสองคน  แต่ภัตตาคารนี้เหมาะสมแล้วที่จะใช้เป็นสถานที่ในช่วงเวลาแห่งความรักของหนุ่มสาวทั้งสองคน

                      ทำไมถึงสั่งน้ำเปล่าล่ะ?” วารินทร์เลิกคิ้วถาม

                      แล้วจะให้ฉันสั่งไวน์รึไง หรือน้ำอัดลมพวกนั้นกินมาก ๆ ไม่ดีนะ

                      น้ำพั้นซ์หรือน้ำผลไม้อะไรก็ได้

                      ว่าไงนะ  มีน้ำแบบนั้นด้วยหรือ?” กาลละจากอาหารบนโต๊ะมาดูที่เมนูรายการเครื่องดื่ม

                      ไม่รู้นี่นะ เคยกินแต่อาหารตามสั่งมันเลยชิน  เลยไม่ได้คิดว่าจะมี  ถ้าไม่งั้นจะสั่งนี่เลย... ‘The Three of sweet  heart’ น้ำผึ้งสตรอเบอรรี่กลิ่นกีวี่  เขาโชว์รูปในเมนูให้วารินทร์ดู  เป็นน้ำผึ้งแท้ผสมน้ำสตรอเบอร์รี่สด แล้วคั้นน้ำกีวี่ผสมเล็กน้อย  อยู่ในแก้วสามมิติรูปหัวใจหนึ่งแก้ว  แล้วมีท่อหลอดดูดยื่นออกมาจากทั้งสองฝั่งในแก้วเดียว  ไม่ใช่เครื่องดื่มที่จะจัดเสิร์ฟได้ทันที  เวลาผสมเสร็จต้องแช่ในอุณหภูมิลบสิบองศาเซลเซียสประมาณห้านาที  เวลาเสิร์ฟจะเป็นน้ำสีชมพูมีวุ้นของสตรอเบอร์รี่ชิ้นเล็ก ๆ ลอยอยู่ความเย็นติดลบจะทำให้รสของน้ำผึ้งหวานเจี๊ยบมากกว่าเดิม  และไม่ทำให้เลี่ยนอีกด้วย  และกลิ่นกีวี่จะเป็นตัวนำพาให้ผู้ที่จรดริมฝีปากทั้งสองฝั่งเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่าโรแมนติก

                      สั่งสิ เธอบอก

                      กาลหน้าแดงระเรื่อเหมือนสตรอเบอร์รี่ในภาพ เมื่อนึกถึงตอนที่พวกเขายื่นปากออกไปเพื่อที่จะดูด  และสายตาที่จะต้องสบกันในระยะประชิด ไม่เอาหรอก  มันแพงที่สุดเลยนี่ น้ำเปล่าแหละดีแล้ว

                      วารินทร์ยิ้มทันทีเมื่อเห็นสีหน้าขะเขินของกาล  เขาเองก็ก้มหน้าทานอาหารต่อทันทีเมื่อเห็นเธอจ้องสีหน้าของเขาตาไม่กระพริบ  สายตาคู่นั้นแทบจะหลอมละลายเขาเลยทีเดียว

                      งั้นเสร็จแล้วเราไปเดินแถวสวนจตุจักรกันนะ  ฉันว่ากระเป๋าใบเก่ามันเริ่มจะขาดแล้ว เธอออกปากชวนด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง  สีหน้าดีกว่าเดิม

                      กาลแค่พยักหน้าเพราะความที่ยังเขินอยู่

                      ถัดจากโต๊ะของคู่รักทั้งสองไปอีกสองโต๊ะ  มีชายสองคน  คนหนึ่งใส่เสื้อยืดสีเหลืองและมีเสื้อกันหนาวสีดำทับอีกที แว่นกันแดดสีดำทึบที่เขาสวมอยู่ปกปิดสายตาที่กำลังจับจับจ้องไปยังวารินทร์  อีกคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีท้องฟ้ากำลังจิบไวน์องุ่นอย่างใจเย็น  เขายกโทรศัพท์ขึ้นจ่อหู

                      กำลังจับตาดูอยู่ครับ ท่าน เขารายงานให้อีกฟากหนึ่งในสายทราบ

                      แล้วแฟนเธอล่ะ?”

                      อยู่ด้วยครับ  กำลังกินอาหาร

                      เธอมีท่าทีหรอเปล่า?” ใครบางคนในสายถามอย่างระแวง

                      ยังครับ  แต่เราสังเกตเห็นสีหน้าเธอดูลอกแลก

                      ไม่เป็นไร ดูไปก่อน

                      จะให้ผมจัดการได้เมื่อไหร่ครับ?”

                      ท่าเห็นเธอมีทีท่าเมื่อไหร่...จัดการได้เลย อย่าให้พลาดล่ะ เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วตัดสายไป

                      ชายในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพยักหน้าให้กับอีกคนที่ดวงตาอยู่ภายใต้เลนส์สีดำสนิท  เขาแสยะยิ้มและแอบเอามือลูบวัตถุที่อยู่ในการปิดบังของเสื้อกันหนาวสีดำ 

                      วัตถุข้างในก็เป็นสีดำทมิฬเช่นกัน

       

      **********************************************

                     

                      ตำรวจหลายนายมีสีหน้าเคร่งเครียดปนกับความเหน็ดเหนื่อย  ถึงแม้ว่าอากาศในช่วงบ่ายจะเย็นกำลังดีแต่ก็ยังพอสังเกตเห็นคราบมันที่เกาะบริเวณหน้ากับขมับทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน  มีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรสามนายกำลังง่วนอยู่กับการตรวจค้นสิ่งของบางอย่างที่บรรทุกอยุ่บนรถกระบะสีเทา  พอจะเดาได้ว่าเป็นรถต้องสงสัย  คนขับรถทำสีหน้าหงุดหงิดที่ต้องเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ตำรวจอีกพวกหนึ่งยืนอยู่หน้าทางเข้า  ที่มือจับด้ามเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดพักไว้ที่ด้านหลัง  คอยสอดส่องดูกระเป๋าต้องสงสัยแทบไม่ได้หยุดสายตา  มีนานครั้งที่จะใช้เครื่องนั้นวนรอบกระเป๋าแปลก ๆ บ้าง

                      นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว  ก็เลยต้องตรวจกันเป็นพิเศษหน่อยล่ะ  กาลพูดเมื่อนึกย้อนไปถึงสองปีก่อนที่มีเหตุระเบิดในคืนปีใหม่สองปีติดต่อกัน  ปีที่แล้วดูการตรวจตราจะไม่เข้มงวดเท่านี้  ถ้าปีนี้เกิดขึ้นอีกชาวบ้านคงด่าพวกสีกากีไปตาม ๆ กัน

                      แต่คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่นอนอยู่แล้ว

                      ตำรวจ ! ทันทีที่วารินทร์เห็นตำรวจ  มีบางสิ่งบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดมันออกมาให้ได้  แต่เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างสลักไว้  บางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวหากว่าเธอปล่อยมันออกมา  ทันทีที่นึกถึงข้อความในจดหมาย  ห้ามบอกตำรวจ

                      มือที่จับมือของกาลเริ่มค่อย ๆ สั่น  บ้าที่สุด เธอนึกในใจ  ทำไมต้องเป็นเวลานี้  ไม่วายวารินทร์เริ่มมีท่าทีลอกแลกกับทุกสิ่งรอบข้างอีกครั้ง  สีหน้าเริ่มซีดลง  มืออีกข้างที่กำกระเป๋าสะพายเกร็งจนเห็นเส้นเลือดชัดขึ้น

                      จนกาลเริ่มรู้สึกได้

                      รินทร์  เธอแปลก ๆ ไปนะวันนี้  กาลมองตาเธอเหมือนจะเค้นเอาคำตอบที่อยู่ภายในดวงตาของวารินทร์

                      เธอส่ายหน้า   พร้อมยิ้มแห้ง ๆ ไม่พูดอะไร

                      เธอมีอะไรปิดฉันอยู่น่ะรินทร์  ตั้งแต่ที่ภัตตาคารโน่นแล้ว ดูสีหน้าไม่ดีเลย

                      ไม่มีอะไรหรอก  แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยน่ะ  เธอโกหก

                      งั้นฉันจะพากลับ

                      อย่าเลย  เรามาเที่ยวกันอยู่นะกาล  ฉันไม่เป็นไรหรอก  ไม่หนักมาก  อีกอย่างฉันยังไม่ได้กระเป๋าใบใหม่เลย  เธอต้องช่วยฉันเลือกด้วยนะ 

                      เก็บมันไว้  เก็บมันไว้ก่อนวารินทร์ย้ำหนักในใจ  ขอแค่ช่วงเวลานี้  ความอัดอั้นทั้งหลายจงเก็บเอาไว้ก่อน  ไว้ถึงห้องของเธอ  จะปล่อยโฮให้น้ำตาไหลรินมากแค่ไหนก็ได้  ชีวิตอาจจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายแต่ขอสิ่งเดียว  ให้มีเขาอยู่ข้าง ๆ ในเวลานี้ ก็จะสามารถอยู่กับเรื่องเลวร้ายนั้นได้  อย่าให้เขาได้รับรู้เรื่องของเธอเป็นอันขาด 

      *************************

                      จัดการเลยสิ!!” ผู้สะกดรอยตามในชุดสีฟ้ากระซิบข้าง ๆ หู ชายในแว่นดำ  มือของเขากำด้ามปืนสีดำทมิฬไว้แน่นพร้อมที่จะชักแล้วเหนี่บงไกได้ทุกเมื่อ เขาสบถขึ้นโดยที่ไม่ได้สนใจเสียงกระซิบของอีกคนหนึ่ง แม่งเอ้ย !! อย่าเชียวนะเว้ย  ห้ามพูดตอนนี้นะเว้ย

                      จะรออะไรอยู่ล่ะวะ  จัดการเลยสิ  ท่านก็บอกว่าให้จัดการได้เลย อีกคนพูดท่าทางร้อนรนต่างกับตอนอยู่ภัตตาคารลิบลับ

                      เออ  ไอ้นั่นน่ะข้ารู้  แต่ที่แบบนี้ดันมีตำรวจซะเยอะน่ะสิ  เสี่ยงเกินไป  ชายในแว่นดำกระชากเสียงในลำคออย่างโมโห

                      แต่ถ้ายัยนั่นปูดออกมาตอนนี้ล่ะวะ  ไม่สิอาจจะปูดออกมาแล้วก็ได้  ถ้าเราไม่รีบจัดการ

                      ยังหรอก  สีหน้าของไอ้หนุ่มนั่นยังปกติอยู่ แสดงว่ายังไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น

                      แล้วจะเอาไงล่ะ ?” เขาถาม

                      เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรีบ  รอให้ห่างจากพวกตำรวจก่อน  ถ้าเกิดยัยนั่นเอ่ยปากขึ้นเมื่อไร....  เขาละมือที่กำด้ามปืนแล้วล้วงเอาบุหรี่ในเสื้อกันหนาวสีดำมาหนึ่งมวน  แล้วยัดเข้าปาก  มืออีกข้างจุดไฟแช็ก  สูดเอาสารนิโคตินเข้าจนเต็มปอด  แล้วพ่นออกมาอย่างสบายอารมณ์

                        ก็ยิงแม่งทั้งสองคนนั่นแหละเขาพูด

      ***********************

                      วารินทร์ตัดสินใจเล่นละครตบตากาลด้วยการแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาซื้อยาแก้ไข้  เธอกลืนลงไปครึ่งแผง

                      ช่วยไม่ได้นะ  งั้นซื้อกระเป๋าได้แล้วฉันคงต้องพาเธอกลับห้องเลยละกัน กาลพูด

                      อื้อ รู้แล้วล่ะ วารินทร์ยิ้มแก้มปริ  ดีใจที่ได้ต่อเวลาไปได้อีก  และคงต้องเลือกซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้นานที่สุด

                      ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกจากร้าน  กาลหยุดชะงักแล้วเหลียวซ้ายเหลียวขวา  นึกอยากจะได้อะไรบางอย่าง  พอเห็นสิ่งนั้นตรงหัวมุม  เขาก็เดินไปตรงนั้นทันที  แล้วหยิบเอาด้ามของมันขึ้นมาจากที่แขวน

                      ร่ม เธอจะซื้อร่มไปทำไมฝนไม่ได้ตกซะหน่อย?” วารินทร์ถามอย่างแปลกใจ

                      กาลเหลียวมามองวารินทร์เดี๋ยวเดียวแล้วยักคิ้วให้   ก่อนจะตรงไปยังเคาเตอร์ชำระเงิน

                      ทันทีที่ออกจากร้านกาลกางร่มทันที  เขาถือให้วารินทร์ แล้วมืออีกข้างหนึ่งแตะหน้าผากเธออย่างนิ่มนวล  ประหนึ่งว่าแพทย์มือใหม่กำลังตรวจคนไข้  เสร็จแล้วจึงย้ายมาจับที่หัวใหล่อีกข้างของวารินทร์  เขาโอบเธอ  มันเหมือนกับแม่ไก่ที่กางปีกและหุบเอาลูกเจี๊ยบเข้ามาไว้ใต้ปีกของมันเพื่อให้ความอบอุ่น

                      ถึงแดดจะไม่ออกมาก  แต่อยู่ในที่ร่มแหละดี  อาการจะไม่หนักขึ้น  น้ำเสียงที่อบอุ่นของเขาทำให้หัวใจของวารินทร์อิ่มเอิบ

                      เธอนี่ชอบทำอะไรเวอร์ ๆ อยู่เรื่อยเลยนะ เธอบอก

       

                      ไม่ต่ำกว่าสามร้านที่วารินทร์เข้าไปเลือกซื้อกระเป๋า  เธอเพิ่งวางกระเป๋าสีกุหลาบที่พิจารณาอยู่นานว่าจะซื้อดีหรือไม่ลงที่เดิม  แล้วหันมายิ้มเป็นเชิงขอโทษกับพนักงานขายที่เสียเวลายืนรออยู่นาน  แล้วรีบจูงมือกาลออกจากร้านไปยังร้านที่สี่ 

                      ให้ตายสิ  ฉันเห็นเธอหยิบแล้วก็วางกระเป๋ามาหลายสิบใบแล้วนะ  ไม่มีใบไหนถูกใจเลยรึไง กาลถาม

                      ยังเลย  ยังไม่ได้ใบที่ชอบเลย  ทนอีกนิดนะ   เธอโกหก  จริง ๆ แล้วมันเป็นใบที่สิบที่เธอถูกใจเสียด้วยซ้ำ

                      ทนเทินอะไรกัน  ฉันรอได้อยู่แล้วน่า  ว่าแต่เธอจะไหวหรือ? ” กาลถามอย่างเป็นห่วง

                      จะไหวหรือไม่ไหว ถ้าฉันไม่ได้กระเป๋าใบใหม่ฉันก็จะไม่ออกไปจากที่นี่แน่

                      วารินทร์พุ่งความสนใจไปที่กระเป๋าขนปุยสีขาวหิมะ  เธอหยิบสายสะพายแล้วพลิกดูข้างนอกและข้างใน  กาลพูดสอดมาทางข้างหลังเธอ สวยดีนี่ใบนั้นน่ะ  ฉันว่าเหมาะกับเธอดีนะ  ดูขาวสดใสดี

                      แต่ฉันว่ามันขาวไป  อาจเปื้อนได้ง่าย ใบนั้นล่ะ เธอเปลี่ยนมือไปหยิบกระเป๋าสีแดงอีกใบที่อยู่ชั้นบน

                      ใบนี้ก็ดูดีนะ  แต่ฉันว่ามันสีแดงเกินไปหรือเปล่านะ  สีอย่างกับเลือดเลย

                      สิ้นคำว่าเลือด  ความคิดของวารินทร์เริ่มถอยสู่ความเชื่องช้าอีกครั้ง  โธ่  กาลเธอไม่น่าพูดออกมาเลย วารินทร์นึกเจ็บใจ  แต่ก็ต้องโทษตัวเองที่ไปหยิบกระเป๋าใบนั้นเอง  เธอกระสับกระส่าย  ร้อนรน หายใจถี่ขึ้น  อยากจะตะโกนให้ทุก ๆ คน ได้ยินว่าเธอเจออะไร  เห็นอะไรมา  เรื่องบ้า ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเธอ  ที่อาจจะทำให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล  นี่สิที่เป็นความจริงที่เธอต้องเผชิญ  จะทำอย่างไรดี  มันไม่ต่างอะไรกับทำนบกั้นน้ำขนาดใหญ่  ที่กั้นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก  แล้วค่อย ๆ ปล่อยออกมาทีละน้อยนิด  ถ้าหากทำลายทำนบกั้นน้ำนั้นได้  กระแสน้ำก็คงจะไหลเชี่ยวออกมาได้  เธอเองก็จะได้รับการปลดปล่อย  ต้องทำลายกำแพงนั่นให้ได้  ไม่เช่นนั้นความสุขของเธอจะไม่มีวันได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่  ต้องพูด  ต้องบอกกาลหรือไม่ก็ตำรวจ  ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม

                      รินทร์เธอเป็นอะไรไป ?” กาลปล่อยมือที่จับมือวารินทร์ออกทันทีแล้วสัมผัสหน้าผากและแก้มของเธอ ฉันไม่สบายใจ  เธอต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ ๆ เรากลับกันเถอะ

                      วารินทร์ส่ายหน้าช้า ๆ กาล  ฉัน...ฉันมีเรื่องบางอย่างจะพูด   เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นหวิว

                      อะไร ?”

                      สาเหตุที่ทำให้ฉันแปลก ๆ ในวันนี้นั่นแหละ  ขอโทษด้วยนะที่เป็นแบบนี้      

                      ก็แล้วมันอะไรล่ะ?” หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น

                      ฉันต้องพูดไม่งั้นฉันคงไม่มีวันสบายใจ  มันอดอั้นค้างคาอยู่ในใจฉัน

                      อย่าบอกนะเธอจะเลิก กาลยิ้มแห้ง ๆ

                      เปล่า  ฉันไม่มีวันไปไหนจากเธอหรอกกาล  เธอดีกับฉันมาก  เธอทำให้ฉันมีความสุขตลอดเวลา  แต่พอมีเรื่องนั้นเข้ามาในชีวิตฉัน  มันคอยบั่นทอนความสุขที่ฉันควรจะได้รับจากเธอ   เสียงวารินทร์เริ่มสะอื้น

                      เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เม้มมุมปากไว้แน่น  เตรียมที่จะพูดออกมา

                      เมื่ออาทิตย์ก่อน  ฉัน....ฉันไปเห็น...........

                      จังหวะนั้นเสียงสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนท่อนแขนของลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อกระเป๋าอย่างเพลินใจ  เห่าขึ้น เสียงเล็ก ๆ ถี่ ๆ ของมัน ดังพอที่จะกลบคำพูดของวารินทร์ในประโยคสุดท้าย  และเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ๆ ไปที่มันได้  วารินทร์สะดุ้งเฮือก  หยุดหายใจไปราวสองสามวินาที  สายตาพุ่งไปยังสิ่งที่ทำให้สุนัขพันธุ์ปั๊กตัวนั้นเห่า  มีชายสองคน  คนหนึ่งเดินหรี่เข้ามาอย่างเร็ว  มือที่หยาบด้านค่อย ๆ ชักยมทูตสีดำออกมาจากเสื้อกันหนาวสีดำ  ใครบางคนที่มองตามเสียงเห่าของสุนัขร้องตะโกนอย่างดัง ปืน!!!”

                      วารินทร์ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก  เพราะเธอรู้ดีอยู่แล้วและมันเกิดขึ้นเร็วมาก  ไม่ถึงวินาทีกระสุนมรณะแล่นผ่านลำกล้อง  เจาะเข้าที่ชายโครงของวารินทร์  ตามด้วยเสียงกรีดร้องของนักชอปปิ้งหลาย ๆ  คน  ร่างของวารินทร์ทรุดลงกับพื้นทันทีเหมือนหุ่นเชิดที่กำลังเล่นตามบทละครแล้วถูกตัดเชือกทิ้ง

      ผู้ทำหน้าที่สังหาร  เดินเข้ามาใกล้ห่างจากวารินทร์ในระยะสามเมตร  เตรียมจะเหนี่ยวไกอีก  กระสุนจะตัดขั้วหัวใจเธอ  ถ้ามันถูกปล่อย   เขาเหนี่ยวไกอีกครั้ง  แต่กาลพุ่งมารับเอากระสุนนัดนั้นแทน  เขาถูกเจาะเข้าที่ไหปลาร้า  ถึงตอนนี้กาลรู้อย่างชัดเจนแล้วว่า  มันเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของเขา  และจะต้องทำอะไร กาลทรุดลงกับพื้นแต่ก็ไม่ถึงกับลงไปนอน  เขาใช้จังหวะที่ตัวเองอยู่ต่ำกว่าเข็มขัดของชายตรงหน้า  รวบรวมสติและกำลังกายต่อยเข้าที่กล่องดวงใจของชายที่อยู่เบื้องหน้า  ชายผู้นั้นหน้าเขียว ต้องถอยผงะไปชั่วครู่

                      กาลรวบรวมกำลังกายอีกครั้งอุ้มวารินทร์ที่ไม่รู้สติขึ้น  ออกทะลุไปทางข้างหลังร้าน  หยดเลือดของกาลและวารินทร์หลังไหลรวมกันเป็นหยดทาง  โดยไม่มีทีท่าจะหยุดไหล  เพราะกระสุนตัดเส้นเลือดแดงในขณะที่หัวใจกำลังสูบฉีดไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าคงเสียเลือดตาย  ผู้คนต่างตะโกนโหวกเหวกด้วยความตกใจและตื่นกลัว

                      ชายอีกคนหนึ่งตะโกนเรียกชายที่ถือปืนกำลังห่อตัวมือทั้งสองกุมเป้ากางเกง เขากัดฟันกรอด ๆ ด้วยความแค้น

                      เฮ้ย!! รีบจัดการสิวะ  เสียงปืนดังขึ้นแล้วอีกเดี๋ยวตำรวจก็แห่กันมาหรอก

                      พอเริ่มตั้งท่าได้ทั้งสองคนก็รีบวิ่งตาม 

                      แม่งเอ๊ย  เอาตัวเข้ามารับกระสุนแทนแฟน  ไม่เห็นจะต้องแย่งกันตายเลยนี่หว่า  เดี๋ยวก็ได้ตายกันทั้งสองคนนั่นแหละ     

                      แขนที่แบกรับร่างของคนเอาไว้  ทำให้หัวใจเต้นหนักขึ้น  เลือดยิ่งสูบฉีดมากขึ้น  หยดเลือดทะลักออกมาจากรูกระสุน  สติสัมปชัญญะของกาลเริ่มรางเลือนเต็มที  เขาตายได้แต่เธอต้องรอด  แวบหนึ่งในหัวคิดถึงความรักของตัวเอง  อดีตเรื่องเก่า ๆ ที่มีความสุขร่วมกัน  อีกแวบหนึ่งนึกถึงทางรอด

                      กระสุนนัดที่สามวิ่งจากระยะยี่สิบเมตรจากปากกระบอกปืน  ทะลุเข้ากลางหลังของกาล  เขารู้ได้ในไม่ช้าว่ากระสุนนัดนี้จะทำให้เขาสิ้นลมหายใจในไม่กี่วินาทีข้างหน้า  แต่เขาจะต้องพาเธอไปถึงถนนใหญ่ให้ได้เสียก่อน  ที่นั่นมีป้อมตำรวจจราจร  แต่แล้ว.....

                      กะ.....กาล วารินทร์เรียกชื่อคนรักในขณะที่เริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง เธอถึงกับน้ำตาไหลทันที  เมื่อใบหน้าที่อยู่เบื้องบน  เป็นใบหน้าของกาลซึ่งแก้มเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของวารินทร์ไปแถบหนึ่งเขากำลังตาลอยไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ  แต่ขากับมือทั้งสองข้างยังทำหน้าที่พาเธอไปยังจุดมุ่งหมายอยู่ 

                      กาล....ฉันขอโทษ  กาล....ฉันรักเธอ  วารินทร์อยากจะยกมือลูบใบหน้าของกาลแต่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกนิ้วสักนิ้ว

                      เสียงกระสุนนัดสุดท้ายดังขึ้นทะลุเข้าท้ายทอยของกาล  คราวนี้เลือดสีแดงสดของเขากระเซ็นเปื้อนใบหน้าของวารินทร์บ้าง  ขาของกาลทรุดฮวบลงกระแทกกับพื้นดิน  วารินทร์ล่วงหล่นจากแขนของกาลกระทบพื้นอย่างแรง  ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างแตกตื่น  และถอยกรู  ไม่มีใครคิดจะช่วย  ตำรวจจราจรที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในป้อม เห็นเข้าจึงรีบผละก้นออกจากเก้าอี้ทันที 

                      รินทร์.... กาลพูดด้วยน้ำเสียงที่รวยริน  วารินทร์ฉันรักเธอนะ.....ยิ่งกว่าชีวิตของฉัน.....รอดให้ได้นะ…”  น้ำเสียงที่อ่อนแรงของกาลสั่นเครือเคล้าหยดน้ำตา  หลังจากโดนกระสุนนัดสุดท้าย  ทำให้มีสติเพียงน้อยนิด  แต่ก็มากพอที่จะพูดประโยคสุดท้าย  จากนี้ไปหัวใจของเขาหยุดเต้นไปเรียบร้อยแล้ว   แต่ของวารินทร์ยังเต้นอยู่ เธอหายใจแรงและเร็วขึ้น  ไม่มีเวลามาเสียใจหรือช๊อค  เธอรีบหันกลับไปดูชายสองคนที่วิ่งตามมาห่างไปราวยี่สิบเมตร  และรีบพุ่งตัวเข้าไปในถนน  เพื่อจะข้ามไปอีกฝั่ง  เลือดที่ซึมเข้าดวงตาทำให้วารินทร์มองไม่เห็นรถประจำทางที่พุ่งตรงมายังเธอ  ร่างของเธอกระแทกเข้ากับรถโดยสารประจำทางเข้าอย่างจัง  กระเด็นไกลออกไปสิบเมตร  เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเปราะพื้นถนนและผู้คนที่อยู่รอบรัศมี  ร่างของวารินทร์นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง  เธอเริ่มหายใจช้าลง ๆ  ......

                      ชายทั้งสองหยุดวิ่งและดูเหตุการณ์  มีคนขับรถแทกซี่จอดรถลงมาดู  ห่างออกไปตำรวจจราจรกำลังวิ่งเข้ามาโดยที่กำลังขยับปากสื่อสารกับวิทยุไร้สายดูจะเรียกรถพยาบาล ชายทั้งสองตัดสินใจหยุดตรงนั้นและหมุนตัวกลับไปยังจุดนัดหมาย

      *************************************

                      เป็นไงบ้าง ?” เสียงผู้ชายในสัญญาณโทรศัพท์ถามด้วยความอยากรู้

                      ผู้ชายตายครับ  ผู้หญิงก็น่าจะตายด้วย  ชายในเสื้อฟ้าตอบกลับ ขณะที่รถแล่นอยู่บนถนนอีกสายหนึ่ง

                      น่าจะหรือ? ” เขาถามอีก

                      ครับ เราคิดว่าเธอน่าจะตายแน่ ๆ เพราะเธอถูกรถชนกับโดนกระสุนยิงเข้าที่ชายโครง  เราเห็นเธอนอนนิ่งไปเลย

                      เขาได้ยินเสียงบดฟันกรอด ๆ ของเจ้านายดังลอดมาจากหูโทรศัพท์ พวกแกสองคนทำงานกับฉันมานานเท่าไหร่  ไม่รู้หรือยังไงว่าฉันชอบแบบไหน  ฉันชอบแบบเต็ม ๆ ไม่เอาครึ่ง ๆ กลาง ๆ น่าจะ อาจจะ  ฉันไม่ต้องการฟังคำพวกนั้น  ฉันไม่น่าใช้พวกแกสองคนเลย !! ”

                      แต่ว่า....ท่าน  เราสองคนมั่นใจ… ”

                      หุบปาก!!”  เขาทำเสียงแข็งกร้าว ใช้กระสุนไปกี่นัด  แล้วใช้เวลานานเท่าไร ?”

                      ประมาณสี่ห้านัดครับ  เวลาก็น่าจะราวสิบนาทีได้

                      หมายความว่าไง พวกแกสองคนน่าจะจัดการมันให้เสร็จตั้งแต่นัดแรกแล้ว  แล้วยังจะใช้เวลาตั้งสิบนาทีอีก  ที่ว่ายัยนั่นถูกรถชนด้วยคงแสดงว่ามีการวิ่งหนีด้วยสินะ  ทำไมปล่อยให้มันวิ่งถูลู่ถูกังให้ผู้คนแตกตื่นอีก  ถ้าเกิดมีใครจำพวกแกได้แล้วสาวมาถึงฉัน ทุกอย่างจบแน่

                      เอ่อ..ขอโทษครับท่าน

                      อีกฝั่งใช้ความคิดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง  แล้วพูดขึ้น ตอนนี้พวกแกอยู่ที่ไหน ?”

                      ถนนสายหลักห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณสองกิโลครับ

                      หาชุดเปลี่ยนซะ  แล้วย้อนกลับไปดู  เอาให้แน่นอน  แล้วให้ไปดูที่โรงพยาบาลที่ใกล้แถวนั้นดูอีกที  ถ้าเธอไม่ตายจะต้องมีคนส่งเธอไปที่นั่น  ดูให้ได้ว่าเธอตายหรือไม่ตาย  ถ้าเธอไม่ตายค่อยหาวิธีจัดการใหม่เขาพูดจบแล้วตัดสายทันที

      ************************************

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×