ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mission Failed

    ลำดับตอนที่ #3 : น้องชายและผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 57


    เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเชื่อมติดหูฟังเข้ากับใบหูด้านขวา และสวมนาฬิกาที่เรนาเต้มอบให้เมื่อวันก่อน ฉันพาร่างของฟาเบียนขับรถปอร์เช่คันใหม่ผ่านถนนสายหลักที่ลาดยาวขนานกับแม่น้ำไรน์ผ่านเข้าไปยังย่านการค้าของกรุงโคโลญ  หลังจากนำรถไปจอดยังลานจอดรถใกล้ๆกันแล้ว  ฉันเดินย้อนกลับลงมาเล็กน้อยเพื่อไปยังร้านเบเกอรี่ที่เปิดบริการตั้งแต่เช้าของวัน   เข็มนาฬิกาที่ข้อมือชี้บอกเวลาแปดโมงเช้า  ฉันเดินเข้าไปในร้านเบเกอรี่  หลังจากชำระเงินค่ากาแฟและอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็ยกถาดอาหารไปวางลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงมุมด้านในสุดของร้าน   สักครู่เล็กๆต่อมา  ฉันสังเกตเห็นชายรูปร่างสมส่วนในชุดวิ่งออกกำลังกายเดินเข้ามาในร้าน  ชั่วพริบตาหนึ่ง  ฉันรู้สึกเหมือนว่า  เขามองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ...   แต่เมื่อฉันมองกลับไปที่เขา  กลับพบว่าสายตาของเขาจับจ้องไปยังขนมปังในตู้โชว์ของร้านเบเกอรี่ เขาพูดคุยกับพนักงานในร้านตามปกติ ฉันละสายตาจากชายแปลกหน้าผู้นี้  แล้วลงมือจัดการอาหารเช้าที่วางอยู่ตรงหน้า 

    สักพักต่อมา ฉันเห็นกลุ่มแก๊งค์วัยรุ่นสี่คนที่เต็มไปด้วยรอยสัก ผมทรงพังค์หลากสีสัน  และเครื่องประดับเงินที่เจาะเต็มใบหน้าและร่างกายเดินส่งเสียงดังเข้ามาในร้าน  หลังจากส่งเสียงกล่าวคำหยาบทักทายใส่พนักงาน  ก็ใช้นิ้วชี้เลือกแซนวิซสำหรับสมาชิกแก๊งค์แต่ละคน   แล้วยื่นเงินที่น้อยกว่าราคาขนมปังจริงให้กับพนักงานสาวน้อยผู้น่าสงสาร  หลังจากที่สาวน้อยเริ่มมีน้ำตาซึมคลอเนื่องจากไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร   ชายผมทรงพังค์สีแดงก็โยนเงินส่วนที่ขาดลงกระจายเต็มบนพื้นด้านหลังเคาท์เตอร์ใกล้ๆกับที่พนักงานหญิงยืนอยู่   พร้อมทั้งหัวเราะเยาะอย่างชอบใจ  แล้วก็ยกถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะข้างๆโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่  

    เสี้ยววินาทีหนึ่ง  ฉันสบตากับวัยรุ่นพังค์ผมสีแดงที่มองดูฉันด้วยสายตาและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย...

    ฉันรีบจัดการกับอาหารเช้าในถาดของฉันให้เสร็จ...  พยายามเก็บซ่อนความประหม่าของตัวเองเอาไว้... แต่ดูเหมือนว่า ฉันจะไม่ใช่นักแสดงที่มีความสามารถมากนัก ฉันรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ยัดขนมปังชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เดินถือถาดอาหารว่างเปล่าไปยังที่ที่ร้านจัดเตรียมไว้สำหรับวางถาดที่ผ่านการใช้งานแล้ว หลังจากนั้น ฉันก็รีบเดินออกจากร้านเบเกอรี่ด้วยความรวดเร็ว

    ด้วยฝีเท้าเร่งรีบฉันพาร่างของฟาเบียนเดินตรงไปยังรถปอร์เช่สีดำที่จอดอยู่ในลานจอดรถไม่ไกลจากร้านเบเกอรี่...  ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นแก๊งค์ผมพังค์อีกสองคนยืนพิงเสาอยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่จอดของรถปอร์เช่ สายตาเจ้าเล่ห์ทั้งสี่จ้องมองมาที่ร่างของฟาเบียนด้วยความบันเทิงใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าสำอางเจ้าของเสื้อผ้าราคาแพงทำท่าทางลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัวเหมือนผู้หญิง ฉันตัดสินใจหยุดเดินไปที่รถแล้วหันกลับหลังเพื่อมองหาความช่วยเหลือ แต่กลับต้องพบว่า แก๊งค์วัยรุ่นสี่คนที่ฉันเจอที่ร้านเบเกอรี่เมื่อสักครู่นี้ได้เดินตามหลังฉันมาติดๆ และอยู่ห่างจากฉันอีกเพียงแค่ไม่ถึงสองเมตร  ในมือชายผมพังค์สีแดงถือมีดสปาต้าด้ามขนาดยาวพอที่จะแทงทะลุผ่านร่างของฟาเบียนได้สบายๆภายในแทงเดียว

    ในทันใดนั้นเอง ฉันพยายามที่จะตะโกนร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หนุ่มพังค์สองคนด้านหลังตรงรี่เข้าจับแขนทั้งสองข้างและปิดปากของฉันเอาไว้แน่น   เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา  ทั้งหมัด  ศอก  และเข่า  รวมถึงมีด  ถ่าโถมเข้าทำลายร่างกายของฉันอย่างสาหัสเมามัน   ฉันไม่เคยรู้สึกเจ็บขนาดนี้มาก่อน...  ฉันล้มลงนอนขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด... สูดกลิ่นเลือดที่ไหลมาจากสักแห่งบริเวณใกล้ๆเบ้าตาด้านซ้าย...  กุญแจรถและกระเป๋าเงินถูกขโมยออกจากกระเป๋ากางเกงด้วยความละโมบของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี... 

    สักพักเล็กๆต่อมา  ฉันได้ยินเสียงปืนสั้นติดกระบอกเก็บเสียงดังขึ้นในบริเวณใกล้ๆสองนัด  เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของใครสักคนหรือสองคนในแก๊งค์อันธพาลดังขึ้น เสียงฝีเท้าตะกุยตะกายของผู้บุกรุกรีบล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ฉันชำเลืองตามองผ่านหยดเลือดและเห็นกุญแจรถปอร์เช่กับกระเป๋าเงินของตัวเองตกลงบนพื้นซีเมนต์ใกล้ๆบริเวณที่ฉันนอนขดตัวอยู่

    ฉันได้ยิน เสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งของใครสักคนเดินตรงมาที่ฉันด้วยความใจเย็น...  ฉันค่อยๆพยุงร่างกายที่เจ็บปวดของฟาเบียนเพื่อลุกขึ้นยืน แต่กลับต้องล้มลงอย่างหมดสภาพอีกครั้งเมื่อสู้กับความเจ็บปวดไม่ไหว เสียงฝีเท้าคู่นั้นหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของฉัน...  ฉันพยายามลืมตาที่นองเลือดเพื่อมองดูบุคคล... ผู้ช่วยเหลือชีวิต?

    แต่ในเพียงชั่วครู่เดียวกันนั้นเอง  ที่บริเวณแขนด้านซ้ายของฉันกลับถูกปักด้วยเข็มฉีดยา ฉันล้มตัวทรุดราบลงกับพื้น สารเคมีบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกมึนหัวและต้องค่อยๆหลับตาลง ภาพเลือนลางสุดท้ายที่เห็น คือรองเท้าออกกำลังกายผ้าใบสีเทาดำของใครสักคนที่ยืนมองดูฉันหมดสติไปด้วยความใจเย็น

     

    *******************************************

     

    ความเจ็บปวดแผ่ซ่านกระจายไปทั่วร่างกาย แผ่นหลังร้อนผ่าว เหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วใบหน้าและลำตัว ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างบาดเจ็บสาหัสของฟาเบียน ฉันพยายามควบคุมสติ นึกถึงลำดับเหตุการณ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันกวาดสายตามองดูรอบๆบริเวณห้องพักเล็กๆที่ไม่คุ้นหน้า ที่นี่ที่ไหนกัน?  ฉันรีบลุกขึ้นจากเตียง หอบสังขารของร่างกายที่ยังบาดเจ็บอยู่ค่อยๆเดินไปที่ประตู 

    ในขณะที่ฉันกำลังยื่นมือออกไปเพื่อเปิดประตูนั้น  เสียง  กริก แสดงความพร้อมลั่นไกของกระบอกปืนดังขึ้นที่ข้างๆหูของฉัน

    ฉันหยุดนิ่งอยู่กับที่

    เสียงเรียบๆเย็นชาของชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะสูงพอๆกับฟาเบียนดังขึ้นมาจากทางด้านขวา

    “กลับไปที่เตียง”

    ฉันยอมทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย  เดินกลับไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม เมื่อฉันสัมผัสได้ว่าเขาได้ลดปืนลง ฉันจึงค่อยๆชะเง้อหน้ามองดูชายหนุ่มเจ้าของน้ำเสียงเย็นเรียบผู้นี้ เขาคือบุคคลในชุดวิ่งออกกำลังกายที่ฉันเห็นในร้านเบเกอรี่เมื่อเช้า

    บรรยากาศในห้องถูกทิ้งให้ปกคลุมไปด้วยความเงียบพักใหญ่ ชายหนุ่มแปลกหน้าจ้องมองดูฉันด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนถูกปิดบังอยู่ลึกๆภายใน ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบที่ตอนนี้สั่นคลอนเล็กน้อย

    “เขาเป็นพี่ชายของผม...”

    ฉันยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดตอบอะไร ฉันไม่แน่ใจว่า “เขา” ในที่นี่หมายถึงใคร... กลุ่มแก๊งค์อันธพาล?

    “ฟาเบียน... ฟาเบียนเป็นพี่ชายของผม”

    ชายหนุ่มไม่ได้ปล่อยให้ฉันต้องคิดหาคำตอบด้วยตัวเองเป็นเวลานาน เขารู้ว่าฉันไม่ใช่ฟาเบียนตัวจริง!

    ฉันสังเกตเห็นน้ำตาใสๆเริ่มคลอที่เบ้าตาทั้งสองข้างของเขา  ชายหนุ่มแปลกหน้ารีบเอามือเช็ดออกทันที  แล้วลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินทางผ้าใบสีดำในลิ้นชักใต้ตู้เสื้อผ้า เขาค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อพบแล้วก็โยนกระป๋องเครื่องดื่มขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ฉัน

    “ดื่มนี่ซะ ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางกันได้แล้ว”

    ฉันรีบยื่นมือไปรับกระป๋องเครื่องดื่มก่อนที่มันจะตกลงบนพื้น แล้วมองดูชายหนุ่มด้วยความมึนงง

    กระบอกปืนในมือของเขาจ่อชี้มาที่ฉันอีกครั้ง 

    “ผมไม่มีเวลาอธิบายอะไรมาก แอนนามาเรีย ผมเป็นคนของอัลฟ่า และคุณมีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของผม!  ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเรียบแกมโมโห เขาทิ้งจังหวะเล็กน้อย  ก่อนที่จะกล่าวต่อด้วยเสียงที่เย็นลง

    “ผมจะอธิบายให้คุณฟังบนรถ  เร็วเข้า  ลุกขึ้น  ตามผมมา  เราต้องไปกันแล้ว”

    ชายหนุ่มรีบกวาดของใช้เล็กๆน้อยๆในตู้เข้ากระเป๋าเดินทางผ้าใบ  เขายกกระเป๋าขึ้นสะพายที่ไหล่ซ้ายอย่างคล่องแคล่ว  มือขวายังคงกำปืนสั้นไว้แน่น  ฉันยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี  ทั้งๆที่  ยังคงรู้สึกเจ็บอยู่ทั่วร่างกาย ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของอัลฟ่าจริงหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่า ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา

    ฉันเดินตามชายหนุ่มมาจนถึงรถปอร์เช่สีดำของฉันที่จอดอยู่  เขาโยนกระเป๋าเดินทางทิ้งไปที่กระโปรงด้านหน้าของรถ  จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆเป็นสัญลักษณ์ให้ฉันไปนั่งที่ด้านข้างคนขับ   หลังจากที่ฉันและเขาอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว  เขาสตาร์ทรถ  และเริ่มขับออกถนนด้วยความเร่งรีบ

    “ผมชื่อไบรอัน เป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่งของอัลฟ่า   ผมได้รับมอบหมายจากดอกเตอร์อิริค  ชิลเลอร์  ให้เป็นผู้ฝึกการป้องกันตัวให้กับคุณ”  ชายหนุ่มกล่าวขึ้นขณะขับรถ พร้อมมองดูกระป๋องเครื่องดื่มในมือของฉันที่ยังคงไม่ถูกเปิดออกดื่ม เขายื่นมือออกมาหยิบมันออกจากมือของฉัน ใช้นิ้วโป้งงัดเปิดฝากระป๋องออก แล้วก็ยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ๆเต็มอึก เขายื่นเครื่องดื่มที่เหลือมาให้ฉัน แล้วก็กล่าวขึ้น

    “ไม่ใช่ยาพิษอะไรในกรณีที่คุณสงสัย มันเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ธรรมดาที่จะช่วยให้คุณรู้สึกมีแรงขึ้น”

    ฉันจ้องมองดูชายหนุ่มอย่างใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนที่จะยกเครื่องดื่มขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายของฟาเบียนบริเวณที่มีบาดแผลได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อย

    “คุณ... ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ขอบคุณมากนะ” ฉันเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่คราวหลังจะดีมาก... ถ้าคุณจะใช้ความรุนแรงให้น้อยกว่านี้สักหน่อย...”

    ชายหนุ่มยังคงขับรถต่อไป ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ฉันแอบสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา

     

    รถปอร์เช่สีดำวิ่งด้วยความเร็วผ่านถนนเล็กๆที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ ฉันมองดูใบหน้าของไบรอันที่มองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง เหมือนกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

    “เอ่อ... ไบรอัน...  เรากำลังไปที่ไหนกัน?

    ไบรอันไม่ได้ให้คำตอบใดๆกับฉัน  เขาเปิดลิ้นชักในรถออก  แล้วหยิบปืนสั้นกระบอกหนึ่งยื่นมาให้ฉัน ฉันลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะรับปืนมาจากเขา

    “คุณเคยยิงปืนมาก่อนไหม” เขาถามฉันขึ้นอย่างห้วนๆ

    ฉันส่ายหน้า  มองดูปืนสั้นที่อยู่ในมือ จากนั้นค่อยๆสอดนิ้วชี้ไปเตะเบาๆที่ตำแหน่งไกปืนเหมือนที่เคยเห็นในหนัง แล้วเล็งไปที่เขา 

    ไบรอันหัวเราะในลำคอเบาๆ  ก่อนกล่าวขึ้น  “ปืนยังไม่มีกระสุน”

    ฉันยักคิ้วขึ้นแก้อาการเสียหน้า แล้วลดมือที่ถือปืนลงมาวางไว้บนตักตามเดิม

     

    ไบรอันขับรถผ่านถนนเล็กๆที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียว  มาจอดที่ลานจอดรถในปั๊มน้ำมันเล็กๆข้างทาง  เขาจัดการเติมกระสุนใส่กระบอกปืนของฉัน  และของเขา  ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยปากถามรายละเอียดเพิ่มเติม  เขากล่าวขึ้น

    “คุณเห็นโรงเก็บของชาวนาที่อยู่ห่างไปจากปั๊มประมาณกิโลเมตรกว่าๆได้มั๊ย  ที่นั่นเป็นฐานประชุมย่อยของกลุ่มก่อการร้ายชาวอาหรับ  ผมอยากให้คุณบุกเข้าไปข้างในกับผม  และขโมยข้อมูลลับจากฐานเก็บข้อมูลที่อยู่ใต้ดิน  เรามีเวลาไม่มาก  อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง  กลุ่มผู้ก่อการร้ายจากกลุ่มย่อยอีกกลุ่มหนึ่งจะมารับข้อมูลต่อจากฐานย่อยนี้  หน้าที่ของคุณกับผมคือตัดการส่งต่อของข้อมูล”

    ฉันมองไบรอันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่หูได้ยิน ฉันคิดว่า การฝึกยิงปืนครั้งแรกของฉันจะเป็นการฝึกยิงบนเป้านิ่งแผ่นกลมๆเสียอีก

    “ล้อเล่นน่า...  คุณก็รู้ว่าฉัน...”

    ไบรอันมองฉันด้วยสายตาแน่นิ่ง สายตาของเขาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่พร้อมที่จะต่อรองเรื่องอะไรก็ตามกับฉันทั้งสิ้น เขาสตาร์ทรถอีกครั้ง ขับปอร์เช่สีดำออกจากปั๊มน้ำมันพุ่งตรงไปยังโรงเก็บของที่ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร

    “คิดซะว่า คุณไม่มีทางเลือกอื่น แอนนามาเรีย หากเราไม่รีบลงมือชิงปฏิบัติงานตอนนี้  ทั้งคุณและผมจะต้องรับมือกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว” 

    หัวใจของฉันเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ให้ตายเถอะ นี่ไบรอันจะให้ฉันทำเรื่องบ้าระห่ำขนาดนี้จริงๆหรือนี่?? 

    “แต่ไบรอัน...  ฉันไม่เคย...  ได้รับการฝึกฝนมาก่อน...  นอกจากนี้แล้ว  ฉันก็ยัง...  บาดเจ็บอยู่”  ฉันรีบยืนยันบอกให้ไบรอันรับรู้ถึงความไม่พร้อมของฉัน

    ไบรอันไม่ได้ตอบอะไร จนกระทั่งเขาขับรถมาจอดใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเก็บของมากนัก เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นแต่หนักแน่น

    “เราต้องรับมือกับผู้ก่อการร้ายที่ไม่ได้ตั้งตัวเพียงแค่แปดคน อย่าใจเสาะไปหน่อยเลยน่าแอนนามาเรีย ถ้าฟาเบียนรู้ว่าคุณเอาร่างกายของเขามาทำปอดแหก เขาคงโมโหคุณน่าดู”

    ไบรอันกระพริบตาหนึ่งข้างให้ฉัน  และยิ้มเยาะเบาๆที่มุมปาก  ก่อนที่จะเปิดประตูและวิ่งออกจากรถด้วยความรวดเร็ว

    ฉันกำปืนสั้นที่ถืออยู่ในมือแน่น คิดลังเลอยู่ในใจว่าฉันควรจะวิ่งตามเขาไปหรือไม่ ทั้งๆที่ในใจฉันบอกให้ปล่อยให้จอมอวดเก่งอย่างไบรอันรับมือกับสถานการณ์เพียงคนเดียว แต่ดูเหมือนว่า ความรู้สึกผิดในใจกลับผลักดันให้ฉันต้องวิ่งตามหลังเข้าไปแม้จะต้องฝืนทนต่อความเจ็บปวดของร่างกาย

    ให้ตายเถอะ...  ฉันไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือนี่!??

    ไบรอันค่อยๆเดินย่องเลียบเพดานด้านนอกโรงเก็บของ  เมื่อเราเข้าไปใกล้กับหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้  เขาส่งสัญญาณมือให้ฉันที่ตามมาติดๆหมอบลงกับพื้นอย่างเงียบๆ เมื่อชายในชุดชาวนาสองคนในโรงเก็บของเดินผ่านบริเวณหน้าต่างที่ไบรอันและฉันซ่อนตัวอยู่ เขารีบลุกขึ้นและแอบกระโดดเข้าไปในโรงเก็บของด้วยความรวดเร็ว  ฉันรีบทำตามทันที

    เมื่อฉันและไบรอันเข้ามาในโรงเก็บของได้แล้ว  เราเดินซ่อนตัวเลียบไปกับกองสิ่งของที่ถูกเก็บไว้ในโรงนา  ฉันสังเกตเห็นกลุ่มชาวนาอีกหกคนนั่งเป็นวงกลมเล่นไพ่อย่างสนุกสนานเฮฮา  ในขณะที่อีกสองคนกำลังเดินออกจากโรงนา  ไบรอันบอกให้ฉันคอยเฝ้าดูต้นทางอยู่ ณ จุดตรงนี้  ส่วนเขาจะลงไปค้นหาข้อมูลลับที่ห้องใต้ดิน   ฉันพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก รู้สึกกังวลอยู่ในใจที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว

    สักพัก  ในขณะที่ไบรอันแอบลงไปยังห้องใต้ดินของโรงเก็บของได้เรียบร้อยแล้ว  ฉันสังเกตเห็นชายชาวนาสองคนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่นี้  เดินกลับเข้ามายังโรงนา  พร้อมหอบกล่องบางอย่างลงไปยังห้องใต้ดิน ให้ตายเถอะ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง ฉันได้แต่ภาวนาขอให้ไบรอันไหวตัวทัน

    แล้วสักพักฉันได้ยินเสียงตะโกน  เอะอะ  และเสียงปืนดังมาจากห้องใต้ดิน !!

    ชายผู้สวมชุดชาวนาอีกหกคนที่นั่งล้อมวงเล่นไพ่ตื่นตัว  รีบลุกขึ้น  ชักปืนเตรียมพร้อมอยู่ในมือ  และวิ่งลงไปยังห้องใต้ดินทันที!!

    ฉันกระวนกระวาย...  ไม่รู้ว่าจะช่วยไบรอันที่ต้องรับมือกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายติดอาวุธแปดคนได้อย่างไร  เขาไม่น่าวางแผนที่บ้าระห่ำแบบนี้เลย!!

    ฉันเล็งปืนไปยังบริเวณข้อเท้าของกลุ่มชาวนาที่ถือปืนพากันวิ่งตรงไปยังห้องใต้ดิน  ฉันหลับตาและตัดสินใจลั่นไกปืน หวังว่าอย่างน้อย คงเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาได้บ้าง

    และแล้ว ฉันก็เรียกร้องความสนใจได้จริงๆจากชาวนาสามคนที่วิ่งอยู่หลังสุด

    ฉันถูกโหมกระหน่ำยิงกลับ  ฉันรีบก้มลงหาที่หลบทันที หัวใจของฉันเต้นสั่นรัวด้วยความกลัว อีกใจหนึ่งนึกถึงไบรอันที่ยังคงติดอยู่ในห้องใต้ดิน   ให้ตายเถอะ  ไบรอัน  ฉันควรจะทำอย่างไร!?

    ในทันทีที่เสียงปืนของคู่ต่อสู้หยุดลง  ฉันรีบลุกขึ้นและยิงสวนกลับ  ในขณะเดียวกันพยายามเคลื่อนตัวไปยังที่กำบังอื่นที่ดูหนาและปลอดภัยกว่า  ร่างกายของฉันปะทะชนเข้ากับร่างของผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งที่แอบเข้ามาใกล้ที่กำบังของฉัน... ทั้งฉันและเขากลิ้งล้มลงไปด้วยกันหลายตลบ  จนกระทั่งฉันสามารถผลักเขาออกพ้นจากตัว  เขายืนขึ้น และเล็งกระบอกปืนมาที่ฉัน   เมื่อฉันพบว่า  เขาอยู่ในระยะที่ยาขาวๆของฟาเบียนเอื้อมถึง  ฉันจึงทุ่มแรงกระโดดขึ้นเตะปืนที่เขาถืออยู่ในมือทิ้งด้วยความรวดเร็ว ฉันสัมผัสได้ถึงพละกำลังของร่างกายของฟาเบียนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ฉันเล็งปืนที่อยู่ในมือไปที่ไหล่ด้านขวาของเขา  ลั่นไกยิงโดยไม่ลังเล   ชายผู้ก่อการร้ายในชุดชาวนาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด  เขาเอามือกุมแผลที่ไหล่และล้มลงร้องครวญครางอยู่บนพื้น  ฉันรีบวิ่งไปเก็บปืนของเขาเพื่อเป็นอาวุธเสริม   ในณะที่กระสุนปืนของชาวนาอีกสองคนเริ่มกระหน่ำยิงมาที่ฉันอีกครั้ง   ฉันยิงสวนกลับด้วยปืนสั้นที่ถืออยู่ในมือทั้งสอง ในขณะเดียวกันพยายามเคลื่อนตัวเพื่อลงไปข้างล่างเพื่อช่วยไบรอันที่ต้องรับมือกับผู้ร้ายอีกห้าคนในห้องใต้ดิน  แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวขาลงบันได  ไบรอันก็วิ่งขึ้นมาจากห้องใต้ดินในขณะที่มือยังคงยิงกระสุนสวนกลับผู้ก่อการร้ายอย่างไม่ขาดสาย  เขาตะโกนบอกให้ฉันวิ่งออกไปที่รถ

    ฉันรีบวิ่งออกจากโรงนาไปยังรถปอร์เช่สีดำที่จอดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ทันที เมื่อเห็นว่าไบรอันทิ้งกุญแจเสียบคาไว้ที่รถ  ฉันจึงสตาร์ทเครื่องยนต์และขับตรงไปยังโรงนาเพื่อไปรับไบรอันที่เพิ่งกระโดดหนีออกทางหน้าต่าง  ฉันสังเกตเห็นกระสุนปืนลอยผ่านเขาไปอย่างหวุดหวิด แต่ไบรอันกับยิ้มหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน

    เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว  ฉันเหยียบคันเร่งเต็มสปีดแล่นออกไปยังถนน  ชายผู้ก่อการร้ายรีบวิ่งขึ้นรถขับตามมาทันที ไบรอันยังคงยิงสวนกลับตอบโต้ผู้ก่อนการร้ายเป็นจังหวะๆ  ในขณะที่ความเร็วของรถปอร์เช่เริ่มทิ้งห่างรถของผู้ก่อการร้ายจนเกือบลับสายตา  ฉันตัดสินใจหักหลบเลี้ยวเข้าตัวเมืองทันที   เพื่อเข้าไปปะปนกับรถคันอื่นๆ.

    ไบรอันหัวเราะด้วยความสะใจ เขาดึงซองเอกสารสีแดงที่ซ่อนไว้ในเสื้อออกมา แล้วหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร ฉันมองดูที่กระจกหลังเพื่อตรวจสอบดูว่ายังมีรถของชาวนาตามมาอยู่หรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแล้ว ฉันจอดรถเปลี่ยนให้ไบรอันเป็นคนขับ

     

    *******************************************

     

    ไบรอันและฉันแวะเข้าพักในห้องเช่าเล็กๆข้างทาง ในขณะที่ไบรอันกำลังหมกมุ่นอยู่กับการถ่ายภาพข้อความในเอกสารลับผ่านโทรศัพท์มือถือส่งตรงไปยังศูนย์กลางของอัลฟ่า ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายที่สะบักสะบอมของฟาเบียน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ฉันเอาผ้าขนหนูหุ้มเพียงแค่ร่างกายส่วนล่างของฟาเบียน เนื่องจากว่าผ้าขนหนูมีขนาดเล็กเกินกว่าที่ฉันจะเอามาคาดแผ่นหน้าอกกว้างๆของฟาเบียนได้โดยรอบ และเนื่องจากว่าฉันไม่ต้องการให้น้องชายของเขาหัวเราะเยาะกับพฤติกรรมที่ไม่สมความเป็นชายของพี่ชายของเขา ฉันเดินออกจากห้องน้ำด้วยความมั่นใจ แต่กลับต้องหาทางหลบสายตาไปทางอื่นทันทีเมื่อเห็นไบรอันถอดเสื้อเปลือยท่อนบนเตรียมตัวอาบน้ำเช่นกัน ฉันแสร้งทำเป็นวุ่นวายมองหาเสื้อผ้าที่ถูกยัดไว้รวมๆกันในกระเป๋าผ้าใบสีดำอันใหญ่ ไบรอันเข้ามาช่วยก้มหาเสื้อกล้ามและกางเกงสำหรับใส่นอนให้กับฉัน ฉันกล่าวขอบคุณเขาและพยายามบอกตัวเองให้ชินกับการใช้ชีวิต “อยู่อย่างผู้ชายๆ” ให้ได้

    เมื่อไบรอันเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูเรียบร้อย ฉันเปลี่ยนใส่ชุดนอน แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ฉันมองดูบาดแผลรอบๆตัวของฟาเบียน รู้สึกผิดเล็กน้อยที่เอาร่างกายของเขาไปทำให้บาดเจ็บได้ขนาดนี้ ฉันกล่าวขอโทษเขาในใจ และหัวเราะเยาะให้กับตัวเองเพราะรู้ดีว่าเขาคงไม่มีทางได้ยินคำขอโทษของฉัน สักครู่เล็กๆ ไบรอันเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้เข้ามาสวมใส่ เดินไปปิดไฟ แล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงของเขาที่ตั้งอยู่ข้างๆ ฉันชำเลืองตามองดูใบหน้าของไบรอันท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ เมื่อเห็นว่าเขายังไม่หลับตา ฉันจึงฉวยโอกาสถามเขาเกี่ยวกับฟาเบียนมากขึ้น

     

    “ไบรอัน...  เรนาเต้เล่าให้ฉันฟังว่า  คุณพบร่างไร้สติของฟาเบียนนอนไร้สติอยู่ใกล้ๆกับชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาว”

    “อืม...”  ไบรอันส่งเสียงตอบที่ลำคอเบาๆ

    “คุณคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของคุณ ไบรอัน?

    ไบรอันไม่ได้ตอบอะไร ฉันได้แต่จ้องมองดูใบหน้าที่นิ่งเรียบของเขา แล้วสักพักฉันก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่มีคำตอบให้ฉันสำหรับคำถามนี้

    แล้วทั้งเขา และ ฉัน  ที่อ่อนเพลีย จากการปฏิบัติภารกิจอันตึงเครียดทั้งวัน  ก็หลับเข้าสู่ห้วงภวังค์นิทรา...

     

    *******************************************

     

    ในความฝัน... 

    ฟาเบียนในวัยหนุ่มแรกรุ่น กำลังมองดูไบรอันในวัยไล่เลี่ยกัน กำลังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในโรงยิมอย่างขยันขันแข็ง   หลังจากที่ไบรอันฝึกท่าเตะกลางอากาศสองสามท่าติดต่อกันด้วยความคล่องแคล่วว่องไว  เขามองมาที่ฟาเบียน  สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสนิทสนมเป็นมิตรอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เขายกมือขึ้นทักทาย แล้วตะโกนส่งเสียงร้องเรียกด้วยความดีใจ

    “เฮ้... ฟาเบียน!

    ร่างของฟาเบียนในความฝันที่ฉันไม่ได้ควบคุมวิ่งเข้าไปหยอกล้อเล่นเล่นกับน้องชายอยากสนุกสนาน เขาเอามือกำปั้นหลวมๆ ชกเบาๆถี่ๆไปที่ลำตัวของน้องชายของเขา ไบรอันเอามือขึ้นปัดป้องอย่างว่องไว ทั้งสองหัวเราะด้วยกันอย่างสนิทสนม ก่อนที่ฟาเบียนจะเดินไปหยิบกระปุกน้ำดื่มโยนให้กับน้องชายที่เพิ่งฝึกซ้อมอย่างเหน็ดเหนื่อยและเหงื่อเต็มตัว ไบรอันยกกระปุกน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย ก่อนที่จะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือปนด้วยความเศร้าใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ

    “ฟาเบียน  ดอกเตอร์แว่นหนาบอกว่า  เราไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ”

    ฟาเบียนมองดูน้องชายอย่างใคร่ครวญสักพัก ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะไหล่ทั้งสองข้างของเขา 

    “แล้วไงหล่ะไบรอัน  สำหรับฉัน  นายคือน้องชายแท้ๆคนเดียว น้องชายที่ฉันรักมากที่สุด”

    ไบรอันยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วเอาน้ำในกระปุกสาดเข้าใส่ลำตัวของฟาเบียนเป็นการหยอกล้อ ฟาเบียนรีบวิ่งไล่จับน้องชายตัวแสบ ทั้งสองเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงสัญญาณเตือนบอกเวลาพักทานอาหารกลางวันดังขึ้น     

    จากนั้นภาพความฝันก็ค่อยๆจางหายไป...

    ในร่างของฟาเบียน ความฝันของเขายังคงเป็นของเขา ฉันไม่มีบทบาทในการเข้าควบคุมสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ด้วย แต่นั่นก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจ ในทางกลับกัน มันกลับทำให้ฉันรู้สึกดีใจ เพราะมันทำให้ฉันได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฟาเบียนมากขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×