คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : น้องชายและผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเชื่อมติดหูฟังเข้ากับใบหูด้านขวา และสวมนาฬิกาที่เรนาเต้มอบให้เมื่อวันก่อน ฉันพาร่างของฟาเบียนขับรถปอร์เช่คันใหม่ผ่านถนนสายหลักที่ลาดยาวขนานกับแม่น้ำไรน์ผ่านเข้าไปยังย่านการค้าของกรุงโคโลญ หลังจากนำรถไปจอดยังลานจอดรถใกล้ๆกันแล้ว ฉันเดินย้อนกลับลงมาเล็กน้อยเพื่อไปยังร้านเบเกอรี่ที่เปิดบริการตั้งแต่เช้าของวัน เข็มนาฬิกาที่ข้อมือชี้บอกเวลาแปดโมงเช้า ฉันเดินเข้าไปในร้านเบเกอรี่ หลังจากชำระเงินค่ากาแฟและอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ก็ยกถาดอาหารไปวางลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงมุมด้านในสุดของร้าน สักครู่เล็กๆต่อมา ฉันสังเกตเห็นชายรูปร่างสมส่วนในชุดวิ่งออกกำลังกายเดินเข้ามาในร้าน ชั่วพริบตาหนึ่ง ฉันรู้สึกเหมือนว่า เขามองมาที่ฉันอย่างตั้งใจ... แต่เมื่อฉันมองกลับไปที่เขา กลับพบว่าสายตาของเขาจับจ้องไปยังขนมปังในตู้โชว์ของร้านเบเกอรี่ เขาพูดคุยกับพนักงานในร้านตามปกติ ฉันละสายตาจากชายแปลกหน้าผู้นี้ แล้วลงมือจัดการอาหารเช้าที่วางอยู่ตรงหน้า
สักพักต่อมา ฉันเห็นกลุ่มแก๊งค์วัยรุ่นสี่คนที่เต็มไปด้วยรอยสัก ผมทรงพังค์หลากสีสัน และเครื่องประดับเงินที่เจาะเต็มใบหน้าและร่างกายเดินส่งเสียงดังเข้ามาในร้าน หลังจากส่งเสียงกล่าวคำหยาบทักทายใส่พนักงาน ก็ใช้นิ้วชี้เลือกแซนวิซสำหรับสมาชิกแก๊งค์แต่ละคน แล้วยื่นเงินที่น้อยกว่าราคาขนมปังจริงให้กับพนักงานสาวน้อยผู้น่าสงสาร หลังจากที่สาวน้อยเริ่มมีน้ำตาซึมคลอเนื่องจากไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ชายผมทรงพังค์สีแดงก็โยนเงินส่วนที่ขาดลงกระจายเต็มบนพื้นด้านหลังเคาท์เตอร์ใกล้ๆกับที่พนักงานหญิงยืนอยู่ พร้อมทั้งหัวเราะเยาะอย่างชอบใจ แล้วก็ยกถาดอาหารมาวางลงบนโต๊ะข้างๆโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่
เสี้ยววินาทีหนึ่ง ฉันสบตากับวัยรุ่นพังค์ผมสีแดงที่มองดูฉันด้วยสายตาและรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย...
ฉันรีบจัดการกับอาหารเช้าในถาดของฉันให้เสร็จ... พยายามเก็บซ่อนความประหม่าของตัวเองเอาไว้... แต่ดูเหมือนว่า ฉันจะไม่ใช่นักแสดงที่มีความสามารถมากนัก ฉันรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ยัดขนมปังชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เดินถือถาดอาหารว่างเปล่าไปยังที่ที่ร้านจัดเตรียมไว้สำหรับวางถาดที่ผ่านการใช้งานแล้ว หลังจากนั้น ฉันก็รีบเดินออกจากร้านเบเกอรี่ด้วยความรวดเร็ว
ด้วยฝีเท้าเร่งรีบฉันพาร่างของฟาเบียนเดินตรงไปยังรถปอร์เช่สีดำที่จอดอยู่ในลานจอดรถไม่ไกลจากร้านเบเกอรี่... ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นแก๊งค์ผมพังค์อีกสองคนยืนพิงเสาอยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่จอดของรถปอร์เช่ สายตาเจ้าเล่ห์ทั้งสี่จ้องมองมาที่ร่างของฟาเบียนด้วยความบันเทิงใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าสำอางเจ้าของเสื้อผ้าราคาแพงทำท่าทางลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัวเหมือนผู้หญิง ฉันตัดสินใจหยุดเดินไปที่รถแล้วหันกลับหลังเพื่อมองหาความช่วยเหลือ แต่กลับต้องพบว่า แก๊งค์วัยรุ่นสี่คนที่ฉันเจอที่ร้านเบเกอรี่เมื่อสักครู่นี้ได้เดินตามหลังฉันมาติดๆ และอยู่ห่างจากฉันอีกเพียงแค่ไม่ถึงสองเมตร ในมือชายผมพังค์สีแดงถือมีดสปาต้าด้ามขนาดยาวพอที่จะแทงทะลุผ่านร่างของฟาเบียนได้สบายๆภายในแทงเดียว
ในทันใดนั้นเอง ฉันพยายามที่จะตะโกนร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หนุ่มพังค์สองคนด้านหลังตรงรี่เข้าจับแขนทั้งสองข้างและปิดปากของฉันเอาไว้แน่น เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งหมัด ศอก และเข่า รวมถึงมีด ถ่าโถมเข้าทำลายร่างกายของฉันอย่างสาหัสเมามัน ฉันไม่เคยรู้สึกเจ็บขนาดนี้มาก่อน... ฉันล้มลงนอนขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด... สูดกลิ่นเลือดที่ไหลมาจากสักแห่งบริเวณใกล้ๆเบ้าตาด้านซ้าย... กุญแจรถและกระเป๋าเงินถูกขโมยออกจากกระเป๋ากางเกงด้วยความละโมบของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี...
สักพักเล็กๆต่อมา ฉันได้ยินเสียงปืนสั้นติดกระบอกเก็บเสียงดังขึ้นในบริเวณใกล้ๆสองนัด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของใครสักคนหรือสองคนในแก๊งค์อันธพาลดังขึ้น เสียงฝีเท้าตะกุยตะกายของผู้บุกรุกรีบล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ฉันชำเลืองตามองผ่านหยดเลือดและเห็นกุญแจรถปอร์เช่กับกระเป๋าเงินของตัวเองตกลงบนพื้นซีเมนต์ใกล้ๆบริเวณที่ฉันนอนขดตัวอยู่
ฉันได้ยิน เสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งของใครสักคนเดินตรงมาที่ฉันด้วยความใจเย็น... ฉันค่อยๆพยุงร่างกายที่เจ็บปวดของฟาเบียนเพื่อลุกขึ้นยืน แต่กลับต้องล้มลงอย่างหมดสภาพอีกครั้งเมื่อสู้กับความเจ็บปวดไม่ไหว เสียงฝีเท้าคู่นั้นหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของฉัน... ฉันพยายามลืมตาที่นองเลือดเพื่อมองดูบุคคล... ผู้ช่วยเหลือชีวิต?
แต่ในเพียงชั่วครู่เดียวกันนั้นเอง ที่บริเวณแขนด้านซ้ายของฉันกลับถูกปักด้วยเข็มฉีดยา ฉันล้มตัวทรุดราบลงกับพื้น สารเคมีบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกมึนหัวและต้องค่อยๆหลับตาลง ภาพเลือนลางสุดท้ายที่เห็น คือรองเท้าออกกำลังกายผ้าใบสีเทาดำของใครสักคนที่ยืนมองดูฉันหมดสติไปด้วยความใจเย็น
*******************************************
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านกระจายไปทั่วร่างกาย แผ่นหลังร้อนผ่าว เหงื่อเปียกชุ่มไปทั่วใบหน้าและลำตัว ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างบาดเจ็บสาหัสของฟาเบียน ฉันพยายามควบคุมสติ นึกถึงลำดับเหตุการณ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันกวาดสายตามองดูรอบๆบริเวณห้องพักเล็กๆที่ไม่คุ้นหน้า ที่นี่ที่ไหนกัน? ฉันรีบลุกขึ้นจากเตียง หอบสังขารของร่างกายที่ยังบาดเจ็บอยู่ค่อยๆเดินไปที่ประตู
ในขณะที่ฉันกำลังยื่นมือออกไปเพื่อเปิดประตูนั้น เสียง „กริก“ แสดงความพร้อมลั่นไกของกระบอกปืนดังขึ้นที่ข้างๆหูของฉัน
ฉันหยุดนิ่งอยู่กับที่
เสียงเรียบๆเย็นชาของชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะสูงพอๆกับฟาเบียนดังขึ้นมาจากทางด้านขวา
“กลับไปที่เตียง”
ฉันยอมทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย เดินกลับไปที่เตียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงตามเดิม เมื่อฉันสัมผัสได้ว่าเขาได้ลดปืนลง ฉันจึงค่อยๆชะเง้อหน้ามองดูชายหนุ่มเจ้าของน้ำเสียงเย็นเรียบผู้นี้ เขาคือบุคคลในชุดวิ่งออกกำลังกายที่ฉันเห็นในร้านเบเกอรี่เมื่อเช้า
บรรยากาศในห้องถูกทิ้งให้ปกคลุมไปด้วยความเงียบพักใหญ่ ชายหนุ่มแปลกหน้าจ้องมองดูฉันด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนถูกปิดบังอยู่ลึกๆภายใน ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบที่ตอนนี้สั่นคลอนเล็กน้อย
“เขาเป็นพี่ชายของผม...”
ฉันยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดตอบอะไร ฉันไม่แน่ใจว่า “เขา” ในที่นี่หมายถึงใคร... กลุ่มแก๊งค์อันธพาล?
“ฟาเบียน... ฟาเบียนเป็นพี่ชายของผม”
ชายหนุ่มไม่ได้ปล่อยให้ฉันต้องคิดหาคำตอบด้วยตัวเองเป็นเวลานาน เขารู้ว่าฉันไม่ใช่ฟาเบียนตัวจริง!
ฉันสังเกตเห็นน้ำตาใสๆเริ่มคลอที่เบ้าตาทั้งสองข้างของเขา ชายหนุ่มแปลกหน้ารีบเอามือเช็ดออกทันที แล้วลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินทางผ้าใบสีดำในลิ้นชักใต้ตู้เสื้อผ้า เขาค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อพบแล้วก็โยนกระป๋องเครื่องดื่มขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ฉัน
“ดื่มนี่ซะ ถึงเวลาที่เราต้องออกเดินทางกันได้แล้ว”
ฉันรีบยื่นมือไปรับกระป๋องเครื่องดื่มก่อนที่มันจะตกลงบนพื้น แล้วมองดูชายหนุ่มด้วยความมึนงง
กระบอกปืนในมือของเขาจ่อชี้มาที่ฉันอีกครั้ง
“ผมไม่มีเวลาอธิบายอะไรมาก แอนนามาเรีย ผมเป็นคนของอัลฟ่า และคุณมีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของผม!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเรียบแกมโมโห เขาทิ้งจังหวะเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวต่อด้วยเสียงที่เย็นลง
“ผมจะอธิบายให้คุณฟังบนรถ เร็วเข้า ลุกขึ้น ตามผมมา เราต้องไปกันแล้ว”
ชายหนุ่มรีบกวาดของใช้เล็กๆน้อยๆในตู้เข้ากระเป๋าเดินทางผ้าใบ เขายกกระเป๋าขึ้นสะพายที่ไหล่ซ้ายอย่างคล่องแคล่ว มือขวายังคงกำปืนสั้นไว้แน่น ฉันยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี ทั้งๆที่ ยังคงรู้สึกเจ็บอยู่ทั่วร่างกาย ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของอัลฟ่าจริงหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่า ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา
ฉันเดินตามชายหนุ่มมาจนถึงรถปอร์เช่สีดำของฉันที่จอดอยู่ เขาโยนกระเป๋าเดินทางทิ้งไปที่กระโปรงด้านหน้าของรถ จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆเป็นสัญลักษณ์ให้ฉันไปนั่งที่ด้านข้างคนขับ หลังจากที่ฉันและเขาอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว เขาสตาร์ทรถ และเริ่มขับออกถนนด้วยความเร่งรีบ
“ผมชื่อไบรอัน เป็นผู้ปฏิบัติการหมายเลขหนึ่งของอัลฟ่า ผมได้รับมอบหมายจากดอกเตอร์อิริค ชิลเลอร์ ให้เป็นผู้ฝึกการป้องกันตัวให้กับคุณ” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นขณะขับรถ พร้อมมองดูกระป๋องเครื่องดื่มในมือของฉันที่ยังคงไม่ถูกเปิดออกดื่ม เขายื่นมือออกมาหยิบมันออกจากมือของฉัน ใช้นิ้วโป้งงัดเปิดฝากระป๋องออก แล้วก็ยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ๆเต็มอึก เขายื่นเครื่องดื่มที่เหลือมาให้ฉัน แล้วก็กล่าวขึ้น
“ไม่ใช่ยาพิษอะไรในกรณีที่คุณสงสัย มันเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ธรรมดาที่จะช่วยให้คุณรู้สึกมีแรงขึ้น”
ฉันจ้องมองดูชายหนุ่มอย่างใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนที่จะยกเครื่องดื่มขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายของฟาเบียนบริเวณที่มีบาดแผลได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อย
“คุณ... ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ขอบคุณมากนะ” ฉันเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่คราวหลังจะดีมาก... ถ้าคุณจะใช้ความรุนแรงให้น้อยกว่านี้สักหน่อย...”
ชายหนุ่มยังคงขับรถต่อไป ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ ฉันแอบสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา
รถปอร์เช่สีดำวิ่งด้วยความเร็วผ่านถนนเล็กๆที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ ฉันมองดูใบหน้าของไบรอันที่มองไปข้างหน้าอย่างแน่นิ่ง เหมือนกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เอ่อ... ไบรอัน... เรากำลังไปที่ไหนกัน?”
ไบรอันไม่ได้ให้คำตอบใดๆกับฉัน เขาเปิดลิ้นชักในรถออก แล้วหยิบปืนสั้นกระบอกหนึ่งยื่นมาให้ฉัน ฉันลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะรับปืนมาจากเขา
“คุณเคยยิงปืนมาก่อนไหม” เขาถามฉันขึ้นอย่างห้วนๆ
ฉันส่ายหน้า มองดูปืนสั้นที่อยู่ในมือ จากนั้นค่อยๆสอดนิ้วชี้ไปเตะเบาๆที่ตำแหน่งไกปืนเหมือนที่เคยเห็นในหนัง แล้วเล็งไปที่เขา
ไบรอันหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนกล่าวขึ้น “ปืนยังไม่มีกระสุน”
ฉันยักคิ้วขึ้นแก้อาการเสียหน้า แล้วลดมือที่ถือปืนลงมาวางไว้บนตักตามเดิม
ไบรอันขับรถผ่านถนนเล็กๆที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าสีเขียว มาจอดที่ลานจอดรถในปั๊มน้ำมันเล็กๆข้างทาง เขาจัดการเติมกระสุนใส่กระบอกปืนของฉัน และของเขา ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยปากถามรายละเอียดเพิ่มเติม เขากล่าวขึ้น
“คุณเห็นโรงเก็บของชาวนาที่อยู่ห่างไปจากปั๊มประมาณกิโลเมตรกว่าๆได้มั๊ย ที่นั่นเป็นฐานประชุมย่อยของกลุ่มก่อการร้ายชาวอาหรับ ผมอยากให้คุณบุกเข้าไปข้างในกับผม และขโมยข้อมูลลับจากฐานเก็บข้อมูลที่อยู่ใต้ดิน เรามีเวลาไม่มาก อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง กลุ่มผู้ก่อการร้ายจากกลุ่มย่อยอีกกลุ่มหนึ่งจะมารับข้อมูลต่อจากฐานย่อยนี้ หน้าที่ของคุณกับผมคือตัดการส่งต่อของข้อมูล”
ฉันมองไบรอันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่หูได้ยิน ฉันคิดว่า การฝึกยิงปืนครั้งแรกของฉันจะเป็นการฝึกยิงบนเป้านิ่งแผ่นกลมๆเสียอีก
“ล้อเล่นน่า... คุณก็รู้ว่าฉัน...”
ไบรอันมองฉันด้วยสายตาแน่นิ่ง สายตาของเขาบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่พร้อมที่จะต่อรองเรื่องอะไรก็ตามกับฉันทั้งสิ้น เขาสตาร์ทรถอีกครั้ง ขับปอร์เช่สีดำออกจากปั๊มน้ำมันพุ่งตรงไปยังโรงเก็บของที่ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
“คิดซะว่า คุณไม่มีทางเลือกอื่น แอนนามาเรีย หากเราไม่รีบลงมือชิงปฏิบัติงานตอนนี้ ทั้งคุณและผมจะต้องรับมือกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว”
หัวใจของฉันเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ให้ตายเถอะ นี่ไบรอันจะให้ฉันทำเรื่องบ้าระห่ำขนาดนี้จริงๆหรือนี่??
“แต่ไบรอัน... ฉันไม่เคย... ได้รับการฝึกฝนมาก่อน... นอกจากนี้แล้ว ฉันก็ยัง... บาดเจ็บอยู่” ฉันรีบยืนยันบอกให้ไบรอันรับรู้ถึงความไม่พร้อมของฉัน
ไบรอันไม่ได้ตอบอะไร จนกระทั่งเขาขับรถมาจอดใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเก็บของมากนัก เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นแต่หนักแน่น
“เราต้องรับมือกับผู้ก่อการร้ายที่ไม่ได้ตั้งตัวเพียงแค่แปดคน อย่าใจเสาะไปหน่อยเลยน่าแอนนามาเรีย ถ้าฟาเบียนรู้ว่าคุณเอาร่างกายของเขามาทำปอดแหก เขาคงโมโหคุณน่าดู”
ไบรอันกระพริบตาหนึ่งข้างให้ฉัน และยิ้มเยาะเบาๆที่มุมปาก ก่อนที่จะเปิดประตูและวิ่งออกจากรถด้วยความรวดเร็ว
ฉันกำปืนสั้นที่ถืออยู่ในมือแน่น คิดลังเลอยู่ในใจว่าฉันควรจะวิ่งตามเขาไปหรือไม่ ทั้งๆที่ในใจฉันบอกให้ปล่อยให้จอมอวดเก่งอย่างไบรอันรับมือกับสถานการณ์เพียงคนเดียว แต่ดูเหมือนว่า ความรู้สึกผิดในใจกลับผลักดันให้ฉันต้องวิ่งตามหลังเข้าไปแม้จะต้องฝืนทนต่อความเจ็บปวดของร่างกาย
ให้ตายเถอะ... ฉันไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือนี่!??
ไบรอันค่อยๆเดินย่องเลียบเพดานด้านนอกโรงเก็บของ เมื่อเราเข้าไปใกล้กับหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เขาส่งสัญญาณมือให้ฉันที่ตามมาติดๆหมอบลงกับพื้นอย่างเงียบๆ เมื่อชายในชุดชาวนาสองคนในโรงเก็บของเดินผ่านบริเวณหน้าต่างที่ไบรอันและฉันซ่อนตัวอยู่ เขารีบลุกขึ้นและแอบกระโดดเข้าไปในโรงเก็บของด้วยความรวดเร็ว ฉันรีบทำตามทันที
เมื่อฉันและไบรอันเข้ามาในโรงเก็บของได้แล้ว เราเดินซ่อนตัวเลียบไปกับกองสิ่งของที่ถูกเก็บไว้ในโรงนา ฉันสังเกตเห็นกลุ่มชาวนาอีกหกคนนั่งเป็นวงกลมเล่นไพ่อย่างสนุกสนานเฮฮา ในขณะที่อีกสองคนกำลังเดินออกจากโรงนา ไบรอันบอกให้ฉันคอยเฝ้าดูต้นทางอยู่ ณ จุดตรงนี้ ส่วนเขาจะลงไปค้นหาข้อมูลลับที่ห้องใต้ดิน ฉันพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก รู้สึกกังวลอยู่ในใจที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
สักพัก ในขณะที่ไบรอันแอบลงไปยังห้องใต้ดินของโรงเก็บของได้เรียบร้อยแล้ว ฉันสังเกตเห็นชายชาวนาสองคนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่นี้ เดินกลับเข้ามายังโรงนา พร้อมหอบกล่องบางอย่างลงไปยังห้องใต้ดิน ให้ตายเถอะ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง ฉันได้แต่ภาวนาขอให้ไบรอันไหวตัวทัน
แล้วสักพักฉันได้ยินเสียงตะโกน เอะอะ และเสียงปืนดังมาจากห้องใต้ดิน !!
ชายผู้สวมชุดชาวนาอีกหกคนที่นั่งล้อมวงเล่นไพ่ตื่นตัว รีบลุกขึ้น ชักปืนเตรียมพร้อมอยู่ในมือ และวิ่งลงไปยังห้องใต้ดินทันที!!
ฉันกระวนกระวาย... ไม่รู้ว่าจะช่วยไบรอันที่ต้องรับมือกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายติดอาวุธแปดคนได้อย่างไร เขาไม่น่าวางแผนที่บ้าระห่ำแบบนี้เลย!!
ฉันเล็งปืนไปยังบริเวณข้อเท้าของกลุ่มชาวนาที่ถือปืนพากันวิ่งตรงไปยังห้องใต้ดิน ฉันหลับตาและตัดสินใจลั่นไกปืน หวังว่าอย่างน้อย คงเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาได้บ้าง
และแล้ว ฉันก็เรียกร้องความสนใจได้จริงๆจากชาวนาสามคนที่วิ่งอยู่หลังสุด
ฉันถูกโหมกระหน่ำยิงกลับ ฉันรีบก้มลงหาที่หลบทันที หัวใจของฉันเต้นสั่นรัวด้วยความกลัว อีกใจหนึ่งนึกถึงไบรอันที่ยังคงติดอยู่ในห้องใต้ดิน ให้ตายเถอะ ไบรอัน ฉันควรจะทำอย่างไร!?
ในทันทีที่เสียงปืนของคู่ต่อสู้หยุดลง ฉันรีบลุกขึ้นและยิงสวนกลับ ในขณะเดียวกันพยายามเคลื่อนตัวไปยังที่กำบังอื่นที่ดูหนาและปลอดภัยกว่า ร่างกายของฉันปะทะชนเข้ากับร่างของผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งที่แอบเข้ามาใกล้ที่กำบังของฉัน... ทั้งฉันและเขากลิ้งล้มลงไปด้วยกันหลายตลบ จนกระทั่งฉันสามารถผลักเขาออกพ้นจากตัว เขายืนขึ้น และเล็งกระบอกปืนมาที่ฉัน เมื่อฉันพบว่า เขาอยู่ในระยะที่ยาขาวๆของฟาเบียนเอื้อมถึง ฉันจึงทุ่มแรงกระโดดขึ้นเตะปืนที่เขาถืออยู่ในมือทิ้งด้วยความรวดเร็ว ฉันสัมผัสได้ถึงพละกำลังของร่างกายของฟาเบียนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ฉันเล็งปืนที่อยู่ในมือไปที่ไหล่ด้านขวาของเขา ลั่นไกยิงโดยไม่ลังเล ชายผู้ก่อการร้ายในชุดชาวนาร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาเอามือกุมแผลที่ไหล่และล้มลงร้องครวญครางอยู่บนพื้น ฉันรีบวิ่งไปเก็บปืนของเขาเพื่อเป็นอาวุธเสริม ในณะที่กระสุนปืนของชาวนาอีกสองคนเริ่มกระหน่ำยิงมาที่ฉันอีกครั้ง ฉันยิงสวนกลับด้วยปืนสั้นที่ถืออยู่ในมือทั้งสอง ในขณะเดียวกันพยายามเคลื่อนตัวเพื่อลงไปข้างล่างเพื่อช่วยไบรอันที่ต้องรับมือกับผู้ร้ายอีกห้าคนในห้องใต้ดิน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวขาลงบันได ไบรอันก็วิ่งขึ้นมาจากห้องใต้ดินในขณะที่มือยังคงยิงกระสุนสวนกลับผู้ก่อการร้ายอย่างไม่ขาดสาย เขาตะโกนบอกให้ฉันวิ่งออกไปที่รถ
ฉันรีบวิ่งออกจากโรงนาไปยังรถปอร์เช่สีดำที่จอดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ทันที เมื่อเห็นว่าไบรอันทิ้งกุญแจเสียบคาไว้ที่รถ ฉันจึงสตาร์ทเครื่องยนต์และขับตรงไปยังโรงนาเพื่อไปรับไบรอันที่เพิ่งกระโดดหนีออกทางหน้าต่าง ฉันสังเกตเห็นกระสุนปืนลอยผ่านเขาไปอย่างหวุดหวิด แต่ไบรอันกับยิ้มหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลกขบขัน
เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ฉันเหยียบคันเร่งเต็มสปีดแล่นออกไปยังถนน ชายผู้ก่อการร้ายรีบวิ่งขึ้นรถขับตามมาทันที ไบรอันยังคงยิงสวนกลับตอบโต้ผู้ก่อนการร้ายเป็นจังหวะๆ ในขณะที่ความเร็วของรถปอร์เช่เริ่มทิ้งห่างรถของผู้ก่อการร้ายจนเกือบลับสายตา ฉันตัดสินใจหักหลบเลี้ยวเข้าตัวเมืองทันที เพื่อเข้าไปปะปนกับรถคันอื่นๆ.
ไบรอันหัวเราะด้วยความสะใจ เขาดึงซองเอกสารสีแดงที่ซ่อนไว้ในเสื้อออกมา แล้วหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร ฉันมองดูที่กระจกหลังเพื่อตรวจสอบดูว่ายังมีรถของชาวนาตามมาอยู่หรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาแล้ว ฉันจอดรถเปลี่ยนให้ไบรอันเป็นคนขับ
*******************************************
ไบรอันและฉันแวะเข้าพักในห้องเช่าเล็กๆข้างทาง ในขณะที่ไบรอันกำลังหมกมุ่นอยู่กับการถ่ายภาพข้อความในเอกสารลับผ่านโทรศัพท์มือถือส่งตรงไปยังศูนย์กลางของอัลฟ่า ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายที่สะบักสะบอมของฟาเบียน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ฉันเอาผ้าขนหนูหุ้มเพียงแค่ร่างกายส่วนล่างของฟาเบียน เนื่องจากว่าผ้าขนหนูมีขนาดเล็กเกินกว่าที่ฉันจะเอามาคาดแผ่นหน้าอกกว้างๆของฟาเบียนได้โดยรอบ และเนื่องจากว่าฉันไม่ต้องการให้น้องชายของเขาหัวเราะเยาะกับพฤติกรรมที่ไม่สมความเป็นชายของพี่ชายของเขา ฉันเดินออกจากห้องน้ำด้วยความมั่นใจ แต่กลับต้องหาทางหลบสายตาไปทางอื่นทันทีเมื่อเห็นไบรอันถอดเสื้อเปลือยท่อนบนเตรียมตัวอาบน้ำเช่นกัน ฉันแสร้งทำเป็นวุ่นวายมองหาเสื้อผ้าที่ถูกยัดไว้รวมๆกันในกระเป๋าผ้าใบสีดำอันใหญ่ ไบรอันเข้ามาช่วยก้มหาเสื้อกล้ามและกางเกงสำหรับใส่นอนให้กับฉัน ฉันกล่าวขอบคุณเขาและพยายามบอกตัวเองให้ชินกับการใช้ชีวิต “อยู่อย่างผู้ชายๆ” ให้ได้
เมื่อไบรอันเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูเรียบร้อย ฉันเปลี่ยนใส่ชุดนอน แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ฉันมองดูบาดแผลรอบๆตัวของฟาเบียน รู้สึกผิดเล็กน้อยที่เอาร่างกายของเขาไปทำให้บาดเจ็บได้ขนาดนี้ ฉันกล่าวขอโทษเขาในใจ และหัวเราะเยาะให้กับตัวเองเพราะรู้ดีว่าเขาคงไม่มีทางได้ยินคำขอโทษของฉัน สักครู่เล็กๆ ไบรอันเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้เข้ามาสวมใส่ เดินไปปิดไฟ แล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงของเขาที่ตั้งอยู่ข้างๆ ฉันชำเลืองตามองดูใบหน้าของไบรอันท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ เมื่อเห็นว่าเขายังไม่หลับตา ฉันจึงฉวยโอกาสถามเขาเกี่ยวกับฟาเบียนมากขึ้น
“ไบรอัน... เรนาเต้เล่าให้ฉันฟังว่า คุณพบร่างไร้สติของฟาเบียนนอนไร้สติอยู่ใกล้ๆกับชายปริศนาผู้สวมหน้ากากสีขาว”
“อืม...” ไบรอันส่งเสียงตอบที่ลำคอเบาๆ
“คุณคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของคุณ ไบรอัน?”
ไบรอันไม่ได้ตอบอะไร ฉันได้แต่จ้องมองดูใบหน้าที่นิ่งเรียบของเขา แล้วสักพักฉันก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่มีคำตอบให้ฉันสำหรับคำถามนี้
แล้วทั้งเขา และ ฉัน ที่อ่อนเพลีย จากการปฏิบัติภารกิจอันตึงเครียดทั้งวัน ก็หลับเข้าสู่ห้วงภวังค์นิทรา...
*******************************************
ในความฝัน...
ฟาเบียนในวัยหนุ่มแรกรุ่น กำลังมองดูไบรอันในวัยไล่เลี่ยกัน กำลังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในโรงยิมอย่างขยันขันแข็ง หลังจากที่ไบรอันฝึกท่าเตะกลางอากาศสองสามท่าติดต่อกันด้วยความคล่องแคล่วว่องไว เขามองมาที่ฟาเบียน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสนิทสนมเป็นมิตรอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน เขายกมือขึ้นทักทาย แล้วตะโกนส่งเสียงร้องเรียกด้วยความดีใจ
“เฮ้... ฟาเบียน! “
ร่างของฟาเบียนในความฝันที่ฉันไม่ได้ควบคุมวิ่งเข้าไปหยอกล้อเล่นเล่นกับน้องชายอยากสนุกสนาน เขาเอามือกำปั้นหลวมๆ ชกเบาๆถี่ๆไปที่ลำตัวของน้องชายของเขา ไบรอันเอามือขึ้นปัดป้องอย่างว่องไว ทั้งสองหัวเราะด้วยกันอย่างสนิทสนม ก่อนที่ฟาเบียนจะเดินไปหยิบกระปุกน้ำดื่มโยนให้กับน้องชายที่เพิ่งฝึกซ้อมอย่างเหน็ดเหนื่อยและเหงื่อเต็มตัว ไบรอันยกกระปุกน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย ก่อนที่จะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือปนด้วยความเศร้าใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ
“ฟาเบียน ดอกเตอร์แว่นหนาบอกว่า เราไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ”
ฟาเบียนมองดูน้องชายอย่างใคร่ครวญสักพัก ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะไหล่ทั้งสองข้างของเขา
“แล้วไงหล่ะไบรอัน สำหรับฉัน นายคือน้องชายแท้ๆคนเดียว น้องชายที่ฉันรักมากที่สุด”
ไบรอันยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วเอาน้ำในกระปุกสาดเข้าใส่ลำตัวของฟาเบียนเป็นการหยอกล้อ ฟาเบียนรีบวิ่งไล่จับน้องชายตัวแสบ ทั้งสองเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงสัญญาณเตือนบอกเวลาพักทานอาหารกลางวันดังขึ้น
จากนั้นภาพความฝันก็ค่อยๆจางหายไป...
ในร่างของฟาเบียน ความฝันของเขายังคงเป็นของเขา ฉันไม่มีบทบาทในการเข้าควบคุมสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงไม่สามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ด้วย แต่นั่นก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจ ในทางกลับกัน มันกลับทำให้ฉันรู้สึกดีใจ เพราะมันทำให้ฉันได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฟาเบียนมากขึ้น
ความคิดเห็น