ระบบเยียวยาตัวเอกผู้อาภัพ [YAOI]
เขาต้องเยียวยาตัวเอกผ฿้ชอกช้ำเพื่อเก็บคะแนนไปแลกเปลี่ยนกับการมีชีวิตอีกครั้ง ติดตรงที่ว่าตัวเอกเป็นผู้ชายและเขาเป็นผู้ชาย แมนๆชนกันต์!
ผู้เข้าชมรวม
253
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่แสดงความโง่เขลาคล้ายคนทื่อ เขาหยุดฝีเท้าที่เริ่มหนักอึ้งเหมือนความคิดที่กำลังฟุ้งกระจายเหมือนละอองเกศร
มือทั้งสองข้างเริ่มเย็นลงเขารู้สึกเหมือนได้รับยาชาหลายเข็มจนไม่รู้สึกถึงการขยับหรือกระดิกของนิ้วมือข้างใดข้างหนึ่ง
ราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่งภาพความวุ่นวายผู้คน เสียงตะโกน เพลิงไหม้
คนหลายสิบคนวิ่งผ่านเขาราวอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน
เขามองที่นักดับเพลิงกลุ่มหนึ่งด้วยแววตาที่เหม่อลอย คนเหล่านั้นกำลังล้อมร่างของผู้ประสบอุบัติเหตุข้างร่างสวมสูทขาดวิ่นมีเครื่องมือหลากหลาย
เครื่องช่วยหายใจ เครื่องปั๊มหัวใจ
สายน้ำเกลือและอุปกรณ์ขนาดเล็กอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก
แต่เขากลับรู้สึกว่าได้ยินเสียงหัวใจของชายคนนั้นที่กำลังเต้นช้าลงเรื่อยๆ
เป็นเรื่องประหลาดที่ระยะห่างหลายสิบก้าวไม่มีเครื่องมือแพทย์แต่เขาได้ยินเสียงหัวใจที่ใกล้โรยรานั้นอย่างแจ่มชัดขณะที่เสียงของผู้คนโดยรอบอื้อจนฟังไม่เป็นภาษาใด
เมื่อลองขยับเข้าใกล้เสียงหัวใจที่อ่อนล้านั้นเหมือนยิ่งกึกก้องอยู่ในหัว
ใบหน้าที่สงบนิ่งดูคล้ายเขาอย่างน่าตกใจ
กระทั่งสูทสีทึบที่สวมหรือนาฬิกาแบรนด์หนึ่ง
“คุณหยาง! ฟื้นสิคุณหยาง!”
เรื่องตลกหรืออย่างไรที่ชายผู้เหมือนเขาทุกประการคนนี้ใช้ชื่อเดียวกับเขา
มือที่เคยชาจนไม่รู้สึกอะไรเริ่มกระดิกสั่นด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่
ก่อนร่างของชายคนหนึ่งจะวิ่งผ่านร่างของเขาไปเพื่อคุกเข่าลงตรงหน้าร่างที่นิ่งสงบคล้ายกับคนที่ใกล้ตายหรืออยู่ระหว่างความเป็นความตาย
ชายคนนั้นมีผมสีส้มอ่อนมองจากด้านหลังดูเป็นคนภูมิฐานคนหนึ่ง เขาเอื้อมมือที่โยกคลอนแตะลงบนใบหน้าขาวซีดอย่างแผ่วเบา
“หยาง”
“.....”
“หยาง ตอบฉันหน่อยสิ” เสียงของเขาสั่นเครือ
“.....”
“เสวี่ยลู่หยาง! ตื่นขึ้นมาสิลู่หยาง!”
เขาร้องตะโกน
อา...
นึกออกแล้ว
ชายคนนั้น อาเจียง เพื่อนของเขา
เจียงหลี่รำเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่กึกก้อง
เขย่าร่างที่อ่อนลมของเขาราวคนเสียสติทำให้นักดับเพลิงและนายแพทย์รีบดึงตัวเขาออกซึ่งชายคนนั้นไม่ให้ความร่วมมือ
เขาดึงดันจะเข้าหาร่างสงบนิ่งของเพื่อนสนิทโดยไม่สนใจคำร้องห้ามหรือมือหลายคู่ที่พยายามดึงรั้งเขาไว้
เจียงหลี่เป็นเหมือนคนบ้าคนหนึ่งขณะเดียวกันก็เป็นผู้สูญเสียจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้เฉกเช่นครอบครัวอื่น
ลู่หยางมองร่างใหญ่โตที่พยายามหนีจากการดึงรั้นนั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนจางอย่างเข้าใจและรับรู้ว่าเขาได้เสียชีวิตเพราะพลัดตกจากที่สูงขณะที่เพลิงเริ่มลุกลามไปตามส่วนต่างๆของอาคาร
หากไม่เข้าใจว่าตนตายแล้วนั้นคงจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีก
ไม่อย่างนั้นเจียงหลี่คงวิ่งมาหาเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้มากกว่าวิ่งพรวดพลาดเข้าไปหาร่างของเขาที่นอนอยู่ตรงนั้น
ไม่นึกว่าตนจะอายุสั้นอย่างที่เขาเตือน ปีนี้ลู่หยางพึ่งจะอายุเข้ายี่สิบสี่
ยี่สิบสี่ปีที่กำลังไปได้สวยในฐานะรองผู้บริหารบริษัทภาพยนตร์ขนาดใหญ่และเป็นยี่สิบสี่ปีที่ความรุ่งโรจน์ของเขามอดดับ
“ปล่อยฉัน! ฉันบอกให้ปล่อยไงเล่า!”
“กรุณาออกจากตรงนี้เถอะครับคุณเจียง!”
“ปล่อยสิวะ!”
เจียงหลี่กล่าวอย่างขุ่นเคืองเหมือนว่าพร้อมเอาเรื่องทุกคนที่ขวางเขา
ลู่หยางส่ายหน้ากับพฤติกรรมที่แก้ไม่หายก่อนจะเดินเข้าไปหาเจียงหลี่และวางมือลงบนไหล่เขา
วิธีนี้เป็นวิธีที่เขาใช้เพื่อให้เจียงหลี่สงบลงและยังเป็นวิธีที่มีแค่ลู่หยางเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้
หากเป็นคนอื่นที่ไม่สนิทจะไม่พ้นกรณีถูกคุณชายเจียงทำร้ายร่างกายโดยเจตนาและเจ้าตัวไม่มีข้อโต้แย้งที่จะขึ้นศาล
ซึ่งคนมีอำนาจน้อยกว่าส่วนใหญ่ไม่ล้มละลายก็นอนคุกจนสารวัตรใหญ่ต้องส่งหมายห้ามมีเรื่องมาที่ตระกูลเจียง
ลู่หยางถอดหายใจพลางว่าเสียงอ่อน
‘นายกำลังทำคนอื่นเขาเดือดร้อนนะเจ้าเพื่อนโง่’
เจียงหลี่ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแต่มีท่าทางที่สงบลงและปลีกตัวออกจากกลุ่มนักดับเพลิง
เขาเดินมายืนตรงหน้าร่างที่กำลังจะถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวขนาดใหญ่สำหรับห่อศพผู้เสียชีวิต
หลี่เจียงไม่สามารถรับได้เมื่อต้องรู้ว่าลู่หยางเสียชีวิตแล้วเขากล่าวขัดเมื่อนายนักดับเพลิงกำลังจะทำการมัดปิดส่วนหัวทำให้เขาไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“ไม่ต้องปิด จากนี้จะให้คนของฉันจัดการ”
“แต่เราต้องส่งร่างคุณหยางให้ครอบครัวตามกฎนะครับ”
“ฉันคือครอบครัวคนเดียวของเขา ดังนั้นเรื่องศพฉันจะให้คนมาจัดการเอง”
“ค-ครับ”
“พวกนายไปทำอย่างอื่นซะ ฉันจะนั่งเฝ้าเขาเอง”
หลังจากกล่าวไล่กลุ่มนักดับเพลิงออกไปและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆร่างของเพื่อนสนิท
คนภายนอกอาจมองว่าคุณชายเจียงยังทำใจไม่ได้แต่ลู่หยางที่ยืนมองอยู่รู้ดีว่าเจียงหลี่กำลังคิดอะไร
เจียงหลี่กำลังคาดหวังสิ่งที่เรียกว่าปาฎิหาริย์หรือขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นคือฝันตื่นหนึ่ง
เป็นเพียงฝันร้ายหลังจากทำงานหนักมาค่อนวันและเมื่อตื่นขึ้นทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ
ลู่หยางยังไม่ตายและยังทำงานที่ออฟฟิศรอเขาไปรับเหมือนทุกครั้ง
“เมื่อไหร่ฉันจะตื่นนะหยาง”
‘.......’
“ถ้าเล่าให้นายฟังนายต้องโกรธฉันแน่เลยที่ฝันแบบนี้”
‘อาเจียง’
“ฝันร้ายนี่เมื่อไหร่จะจบ
ฉันจะได้รีบตื่นไปรับนาย” เสียงของเขาเริ่มไม่มั่นคง
“ฮึก ป่านนี้นายรอฉันแย่เลย”
‘…….’
“ฮึก หยางปลุกฉันทีเถอะ ได้โปรด..”
ลู่หยางมองภาพนั้นด้วยสีหน้าแสดงความเจ็บปวดไม่ต่างจากเจียงหลี่ที่จับมือของเขาขึ้นมาแนบใบหน้าส่งผ่านความอบอุ่นให้ร่างที่เริ่มเย็นลง
จากนั้นเขาได้ยินเสียงดังติ๊งเหมือนมีข้อความเข้า หน้าต่างปริศนาปรากฏขึ้นตรงหน้าและภาษาที่เขาไม่เข้าใจก่อนจะค่อยๆกลายเป็นภาษาบ้านเกิดของลู่หยางตามด้วยอิโมจิรูปหมี
[ยืนยันสถานะ
เจ้าหน้าที่เสวี่ยลู่หยาง
ขอต้อนรับสู่ระบบผู้เยียวยาครับโดยระบบจะเริ่มขั้นตอนการนำพาท่านไปยังห้องปฎิบัติการและจะเริ่มรีเซทค่าสถานะต่างๆให้เมื่อท่านซื้อแพกเกจดังต่อไปนี้
เจ้าหน้าที่ลู่หยางโปรดเตรียมตัวและกรุณาอย่ายืนแขนขาออกจากเขตุวงกลมบนพื้นอย่างเด็ดขาด
ขอบคุณครับ]
“เดี๋ยวสินี่มันเรื่องอะไร-!?”
ภาพความวุ่นวายทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนวิดิโอที่ถูกกดหยุด
ลู่หยางตื่นตระหนกเพราะเหตุการณ์ประหลาดที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
ไม่ใช่ว่าตายแล้วเขาจะต้องไปนรกหรือสวรรค์หรอกเหรอ?
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเหมือนกระดาษเปล่า
หน้าต่างประหลาดปรากฏขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้มาพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำเหมือนคนวัยนุ่มสาวฟังแล้วรู้สึกจั๊กกะจี้พิลึก
[ สวัสดีครับลู่หยาง ; ) ]
...
ลู่หยางตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความสับสน
เพดานสีขาวสว่างที่เขาเห็นช่างดูโล่งเหมือนท้องฟ้าโปร่งไม่มีสายน้ำเกลือหรือเสียงของคนที่รอให้เขาตื่น
ไม่ใช่โรงพยาบาลหรือฝันร้ายที่เขาอยากให้เป็นแต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีชีวิตอีกครั้งเพราะตนนั้นรู้ดีว่าอุบัติเหตุที่เขาเจอหากไม่ใช่พระเจ้าก็ไม่สามารถทำให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้
เขายันตัวลุกขึ้นนั่งและเริ่มรู้สึกประหลาดใจอีกครั้งที่ทุกอย่างอยู่ในโทนขาวสว่าง
ลู่หยางเกลียดสีสว่างอย่างมากเพราะมันทั้งโดดเด่นและทำให้ปวดสายตาเวลาเพ่งมอง
เขาเริ่มเดินออกห่างเตียงนั้นทีละก้าวกวาดสายตามองพื้นที่ว่างเปล่าตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
ไม่มีเทวดาหรือประตูสู่สวรรค์จะว่าเป็นนรกก็คงจะไม่ใช่
เหมือนไม่ใช่ที่ของคนเป็นหรือโลกหลังความตายอย่างที่เขาคิด
ที่นี่อ้างว้างและเงียบเหงาเหมือนที่กันดานไม่มีแสงของดวงอาทิตย์หรือเมฆที่เคลื่อนไหวตามกระแสลม
ที่นี่ไม่มีอะไรเลย มีแต่สีขาวสว่างเรียบแสบตา
เดินได้สักพักเขาก็เริ่มถอดหายใจไม่อยากสำรวจต่อครั้นว่าจะหันหลังกลับเตียงสีขาวโออ่าก็หายจากสายตา
ไม่รู้ว่าเพราะเขาเดินออกมาไกลหรือเพราะสีของเตียงกลมกลืนไปกับทิวทัศน์เขาจึงมองไม่เห็น
ไม่มีอะไรที่ลู่หยางรู้ในที่แห่งนี้
[สวัสดีครับ]
“นั่นใคร?
คุณคือพระเจ้าหรือ?”
[ฮ่า
ตลกดีที่ถามแบบนั้น ผมไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็เหมือนพระเจ้าครับ]
“แล้วผมอยู่ที่ไหน?
มันไม่เหมือนโลกหลังความตายเลย”
[นี่ที่คือเขตว่างเปล่า]
“เขตว่างเปล่า?”
[ครับ
ดวงวิญญาณที่ว่างเปล่าจะถูกส่งมาที่นี่เพื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติที่จะได้รับโอกาสกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง
ชีวิตเดิมที่เคยเป็น]
“ผมกลับไปเกิดใหม่ได้หรือ?”
ครั้งนี้เขาตื่นตะลึง
[ครับคุณสามารถกลับไปเป็นเสวี่ยลู่หยางคนเก่าได้หรือจะเป็นใครสักคน]
“แล้วถ้าผมไม่อยากไปเกิดใหม่ล่ะ?”
เขาหรี่ตาลงต่ำ
[อืม
ไม่รู้สิครับเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีใครคิดแบบคุณ]
“งั้นหรือ”
มนุษย์โดยส่วนใหญ่เมื่อได้รับโอกาสย่อมไขว่คว้ามากกว่าปฏิเสธ
แต่ลู่หยางไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะหลังจากที่เขาตายเขาก็ไม่ต้องการไขว่คว้าโอกาสที่ยากลำบากเหล่านั้นอีก
ตอนมีชีวิตเขาพยายามอย่างมากที่จะเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับโอกาสจากคนนับร้อยพอมาตอนนี้ความเหนื่อยหน่ายที่เขาได้ทุ่มเทลงไปนั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรหลังจากที่เขาตาย
คนเราทุ่มเททุกอย่างเพื่อตนเองและคนรุ่นหลัง
แต่ลู่หยางทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นเพียงเท่านั้น
เสียงปริศนาเงียบลงเหมือนกำลังใช้ความคิด
เพราะคนอย่างลู่หยางนับว่าหาได้ยากและเป็นคนที่น่าสนใจพอสมควร
การที่อีกฝ่ายไม่สนใจที่จะกลับไปเกิดใหม่นั้นก็มีเหตุผลที่ส่งเสริมอยู่เขาไม่มีทั้งครอบครัวหรือทายาทที่ต้องห่วงทั้งตนยังเป็นเพียงนักธุรกิจในบริษัทเล็กๆไม่ได้ใหญ่โต
ทั้งชีวิตมีที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวคือเพื่อนสนิทสมัยเด็กนอกนั้นก็เป็นเพียงคนที่พบปะชั่วคราวและจากไปตามกาลเวลา
เป็นบุคคลที่น่าเวทนาและน่าสนใจในเวลาเดียวกัน
[แล้วคุณไม่มีสิ่งที่อยากทำหรือ?]
“ของแบบนั้นไม่มีหรอกครับ”
[อ่า
งั้นคุณคิดว่าเพื่อนของคุณจะเป็นยังไงครับ?]
“เพื่อนของผม?” ลู่หยางมีสีหน้าไม่เข้าใจ
[ครับ
เพื่อนของคุณถ้าเขารู้ว่าคุณมีโอกาสที่จะกลับมาแต่คุณก็ไม่กลับแบบนั้นไม่ต่างจากการทรยศเพื่อนเพียงคนเดียวของคุณหรอกหรือครับ]
“คุณพูดเหมือนว่าคุณจะบอกเขาอย่างนั้นแหละ”
[ผมอาจจะบอกหรืออาจจะไม่บอกครับ]
สิ้นเสียงนั้นลู่หยางเริ่มคิดทบทวนอีกครั้ง
ท่าทางที่หดหู่ของเจียงหลี่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเห็นก่อนตายเลยถ้าหากอีกฝ่ายรู้คงเรียกร้องให้เขากลับไปโดยไม่ถามความสมัครใจหรอก
เจียงหลี่เป็นเหมือนครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขามีและเขาก็เป็นคนสำคัญของอีกฝ่าย
พอคิดแบบนี้คำตอบก็มีแต่ว่าเขาต้องกลับไปขอโทษอีกฝ่ายเท่านั้นน่ะสิ
[ว่าอย่างไรครับ]
“คุณน่าจะเป็นซาตานมากกว่านะ”
ถึงจะไม่เห็นใบหน้าแต่ก็รับรู้ได้ว่ามุมปากของใครบางคนกำลังกระตุกเกร็ง
หากเขาอยู่ตรงหน้าลู่หยางคงเหยียดยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็น
คำตอบที่ไม่ใช่คำปฏิเสธทำให้เขาร่างหน้าต่างสัญญาขึ้นมาตรงหน้าอีกฝ่าย
สัญญาการเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำภารกิจเกี่ยวกับโลกคู่ขนานมิติที่หก
ทุกอย่างคล้ายนิยายหรือละครที่ลู่หยางเคยเห็นผ่านๆคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักเพียงแค่เล่นตามบทที่ได้รับ
ซึ่งความไม่ใส่ใจเล็กๆน้อยๆทำให้เขาอ่านข้ามข้อตกลงบางอย่างที่สำคัญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดูอยู่ก็นั่งท้าวคางไม่คิดจะกล่าวเตือนอะไรและมองเป็นเรื่องสนุก
“ผมต้องทำอะไรบ้าง?”
[อดทนก็พอ
เพราะข้อมูลที่ส่งไปอาจจะทำสมองคุณระเบิด]
“หา?”
ผลงานอื่นๆ ของ Twain ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Twain
ความคิดเห็น