คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Episode 14 : Nobly
Insecure
#สวี่คุนเป็นโอเมก้า
Episode 14 - Nobly -
จื่ออี้มองจอโปรเจคเตอร์ที่กำลังฉายภาพโครีโอกราฟประกอบเพลงคอนเส็ปเพลงแรกอย่างตื่นตา ใจสั่นรัวเมื่อพบว่าความฝันที่เคยวาดไว้อยู่ใกล้กว่าที่คิด แม้จะไม่ใช่ซิงเกิลแรกในชีวิตเขา แต่เพลงที่จะได้ทำการแสดงในเวทีรอบต่อไปจะเป็นซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินที่ถูกจับตามอง
ครั้งแรกสำหรับเวทีเดบิวต์ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์
เพียงแค่จินตนาการเขาก็เนื้อเต้นจนต้องบิดผิวตัวเองแรงๆเผื่อจะตื่นจากฝัน
จื่ออี้ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนที่มีดวงตาเป็นประกายราวกับลูกแก้วใสยามต้องแสงอาทิตย์ ช่ายสวี่คุนดูมีความสุขเฉกเช่นเดียวกับเด็กฝึกคนอื่นๆ ต่างไปเล็กน้อยก็ตรงที่คนข้างเขาไม่จำเป็นต้องกังวลใจเหมือนกับเด็กฝึกอีกค่อนกลุ่ม เพราะมีเพียง35คนเท่านั้นที่จะได้แสดงในเวทีจริง 25คนจะต้องกลับบ้าน หมายถึงช่วงเวลาแห่งการบอกลากำลังใกล้เข้ามาอีกครั้ง แม้แต่จื่ออี้ที่ไม่ได้อยู่ในเขตอันตรายยังอดใจหายกับความจริงข้อนี้ไม่ได้
ทำนองดนตรีที่เปลี่ยนจากจังหวะFunkของเพลงFirewalkingไปเป็นดนตรีแบบใหม่เรียกความสนใจของร่างสูงให้กลับมาที่จออีกครั้ง เพลงแล้วเพลงเล่าที่เปิดผ่านไปต่างก็น่าสนใจในความรู้สึกของจื่ออี้ แม้บางเพลงที่เน้นทักษะในการร้องอย่างเห็นได้ชัดจะทำให้เขากังวลไปบ้างแต่เพราะเชื่อใจในการเลือกของโปรดิวเซอร์ทุกคน เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รับภารกิจใหม่มากกว่าจะหวาดกลัวอุปสรรคชิ้นล่าสุด
“เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกไหม”
เสียงห้าวของช่ายสวี่คุนดังขึ้นในจังหวะที่เหล่าเด็กฝึกเริ่มโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น เสียงประกาศว่ากำลังจะเริ่มกระบวนการแบ่งทีมดังขึ้นอีกครั้งเป็นรอบที่สองไม่รู้ว่าอยากให้พวกเขาเตรียมตัวหรือเตรียมใจให้ดีกันแน่ จื่ออี้หันมองคนที่ยังติดหมายเลขหนึ่งเอาไว้เหมือนเมื่อสัปดาห์ก่อนพลางเลิกคิ้วเพราะไม่แน่ใจว่าตนได้ยินคำถามถูกต้องทั้งหมดหรือไม่
“ถามว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกไหม”
จื่ออี้ครุ่นคิด ไม่อยากฟันธงอะไรในตอนนี้ แรปเปอร์คนเก่งไม่ปฏิเสธว่าสไตล์การทำเพลงของทั้งตนเองและสวี่คุนคล้ายกันมากจนหากเป็นภารกิจเลือกเองเหมือนคราวก่อนก็คงไม่แคล้วอยู่ด้วยกันอีก แต่เพราะรอบนี้กติกาไม่เหมือนเดิมความมั่นใจในคำตอบนั้นจึงหล่นหายไปบ้าง ริมฝีปากบางเม้มเข้าน้อยๆ ไม่กล้าเอ่ยคำสัญญา พอดีกับที่ชื่อของช่ายสวี่คุนได้รับการประกาศออกมาเป็นคนแรก จื่ออี้จึงจำต้องปล่อยให้คนคนที่ยิ้มทั้งตาทั้งปากให้เดินไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
“แล้วเจอกัน”
ช่ายสวี่คุนฝากเสียงกระซิบลอยไปกับสายลม ไม่ได้มุ่งหวังให้จื่ออี้ต้องรับรู้หรือเข้าใจข้อความนั้น ชายหนุ่มแค่อยากบอกกับสายใยบางๆในความรู้สึกของตนเอง เหมือนเป็นกำลังใจให้เขามั่นใจขึ้นมาอีกครั้งยามที่ก้าวออกไปรับซองจดหมายที่หน้าเวที
“แสดงละครเก่งไปแล้ว”
“รีบๆไปเลย”
เสียงของเด็กเยฮวาดังขึ้นหลังช่ายสวี่คุนแกล้งทำหน้ากวนประสาทยั่วให้คนมองประสาทเสียเล่นๆ จื่ออี้ตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะไม่แน่ใจว่าในซองที่อีกฝ่ายถืออยู่มีชื่อเพลงระบุไว้ด้วยหรือเปล่า เขาเดาสีหน้าของช่ายสวี่คุนไม่ได้เลยแม้ว่าฝ่ายนั้นจะปรายตามาหาก่อนจะเดินออกจากห้องไปแล้วก็ตาม
แสดงละครเก่งจริงๆนั่นแหละ
เด็กฝึกคนแล้วคนเล่าถูกเรียกออกไป มีทั้งที่สร้างความตื่นเต้น บ้างก็ทำให้หวาดกลัว แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีใครสะดวกใจจะอยู่ร่วมทีมกับทุกคนในที่นี้ ไม่ใช่ว่าเกลียดขี้หน้ากันหรืออะไรเทือกนั้นแต่เป็นเพราะแนวเพลงที่ชื่นชอบแตกต่างกันเกินไปจนน่าจะทำงานร่วมกันลำบากเสียมากกว่า
จื่ออี้รอไม่นานนักหากใช้ระยะเคลื่อนห่างของเข็มนาฬิกาเป็นตัววัด เขาเดินออกไปด้วยความพร้อมแต่ในใจกลับยังหวั่นไหวกับสิ่งที่อยู่ในมือ
ชายหนุ่มเปิดซองจดหมายออกช้าๆ ยกยิ้มเมื่อเห็นหมายเลขตัวใหญ่บนใบกระดาษ
หวังว่าจะได้เจอกัน…
.
ตอนที่เห็นจัสตินนั่งจ๋องอยู่ตรงมุมห้อง สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของหวังจื่ออี้ก็คือ นี่มันไม่มีทางเลยที่จะเป็นเพลงบัลลาด ทำนองช้าๆของเพลง I will always remember หลุดหายวับออกจากกล่องความจำด้วยความมั่นใจว่าเพลงช้าหนึ่งเดียวในรอบนี้ไม่มีทางเป็นโจทย์ของตน จื่ออี้ยกมุมปากส่งรอยยิ้มเยาะให้กับเจ้าเด็กที่ยืนยันว่าตัวเองเป็นคนแรกและคนเดียวในห้องนี้
คิดว่าจะหลอกได้อย่างนั้นหรือ
ลืมว่าเขาเป็นอัลฟ่าไปแล้วล่ะมั้ง
จื่ออี้ตวัดผ้าม่านให้เปิดออก ก่อนเสียงหัวเราะร่าของชายที่หลบอยู่หลังม่านมาตั้งแต่ต้นจะดังขึ้นพร้อมๆกับจัสติน ช่ายสวี่คุนยิ้มจนแก้มบวมอิ่ม กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆที่ติดจมูกจื่ออี้จนแทบจะเก็บไปฝันทุกคืนโชยชัด รุนแรงและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเขามากขึ้นเมื่อรวมเข้ากับท่าทางแสนร่าเริงและเสียงกังวานของอีกฝ่าย ปลายนิ้วยาวอุ่นวาบยามเอื้อมมือไปแตะหลังคนที่ร้องเพลงpapillonอย่างอารมณ์ดี สวี่คุนหัวเราะคิกขณะบอกเขาว่าทำได้ดีมาก จื่ออี้คิดว่าคงหมายถึงการที่เขาตามมาอยู่ทีมเดียวกันกับเจ้าตัวได้จริงอย่างที่ได้ขอเอาไว้
ไม่ใช่ความดีความชอบของหวังจื่ออี้เสียหน่อย
“พี่ว่าปู่ฝานเกอจะได้เพลงอะไร”
เป็นจัสตินที่ถามขึ้นมาระหว่างรอคอยสมาชิกใหม่
“Listen to what I say”
“ฉันว่า Firewalking”
สองคำตอบที่แตกต่างกันของเขาและช่ายสวี่คุนไม่ได้ทำให้คนอายุน้อยที่สุดเกิดคำถามที่สองตามมา ในเมื่อความจริงแล้วแม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่รู้คำตอบเลยเสียด้วยซ้ำ การจะมาถกเถียงกันในเรื่องที่สุดแล้วแต่ชะตากำหนดก็ดูจะเป็นเรื่องไร้สาระเกินไปหน่อย
“นายอยากให้ใครมา”
เขาถามคนที่นั่งลงทำท่าหอบเหนื่อยพลางมองไปที่บานประตูด้วยสายตาคาดหวัง จัสตินหันมายิ้มให้ครู่เดียวก่อนจะผินใบหน้ากลับไปยังทิศทางเดิมอีกครั้ง เป็นท่านั่งจ๋องแบบเดิมกับที่จื่ออี้เห็นตอนเปิดประตูเข้ามาไม่มีผิด เพียงแต่คราวนี้ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเจือไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เยฮวา ใครก็ได้ แค่มาจากค่ายผมก็พอ”
ทั้งจื่ออี้และสวี่คุนพยักหน้าหงึก ก่อนว่าที่เซ็นเตอร์จะตัดสินใจแปะหน้าผากลงกับแผ่นหลังกว้างระหว่างรอต้อนรับสมาชิกคนใหม่ จื่ออี้เอื้อมมือไปด้านหลัง ลูบท่อนขาตึงแน่นของคนที่ไถลศีรษะไปมาบนหลังของเขาฆ่าเวลาเงียบๆ เขามองแผ่นไม้ที่ปิดแน่นเป็นเพื่อนน้องเล็ก หวังว่าคนที่เปิดเข้ามาจะเป็นใครสักคนตามที่เด็กนี่หวัง
ความฝันที่จะได้ทำเวทีกับเพื่อนร่วมทีมน่ะ จื่ออี้คิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจมันอยู่บ้าง
.
สรุปก็คือความฝันของจัสตินกลายเป็นความจริงในรูปแบบที่ออกจะมากเกินไปหน่อยในความคิดของจื่ออี้ สี่คนในทีมของเขามาจากเยฮวาถือว่ามากเมื่อเทียบกับจำนวนสุทธิของค่ายนั้นที่มีสมาชิกอยู่เจ็ดคนถ้วน แต่หากไม่นับความวุ่นวายของพวกตัวดื้อตัวซนในระดับสึนามิซัดแล้วล่ะก็ มันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้บรรยากาศครึกครื้นเฮฮาในตอนแรกกลายเป็นมวลหนักอึ้งอวลในอากาศก็คือการมีสมาชิกจากกลุ่มเดบิวต์ถึงห้าคนในทีม แถมคนที่เหลือยังอันดับสูงๆกันทั้งนั้น
เป็นการแข่งขันที่ไม่ง่ายเลยไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม
ป้ายที่เขาเป็นคนดึงแผ่นสติ๊กเกอร์ออกกับมือโชว์ชื่อเพลงประจำทีมเอาไว้อย่างชัดเจน โชคดีที่ไม่ทำร้ายจิตใจกันมากนัก เอาเข้าจริงเพลงDreamที่ได้รับค่อนข้างจะเป็นเพลงที่เขาและสมาชิกที่เหลือส่วนมากหวังเอาไว้เสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นมันก็มีปัญหาอยู่อย่าง
“นายว่าไหวไหม”
“คิดว่าได้”
“ไม่ได้หมายถึงตัวนาย ฉันหมายถึงพวกนั้น”
ช่ายสวี่คุนชี้นิ้วไปยังสมาชิกอีกห้าคนในกลุ่มย่อยที่กำลังนั่งมองจอไอแพดอยู่อย่างตั้งใจ ปัญหาที่ว่ากระตุกเส้นความกังวลในใจจื่ออี้จนทำให้เผลอถอนหายใจ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังเอ่ยตอบออกไปว่าทุกอย่างคงโอเค สวี่คุนทำหน้าไม่เชื่อ ริมฝีปากรูปกระจับแห้งผากกว่าที่เคย ก่อนที่ร่างสูงจะส่งสัมผัสหนักๆมายังแผ่นหลังของเขาแล้ววิ่งเหยาะๆออกไปหากลุ่มคนทั้งห้า
“ฉันว่าเราควรจะรีบซ้อม”
นั่นคือสิ่งที่จื่ออี้ได้ยิน และเขาเองก็เห็นด้วยอย่างที่สุด ดวงตาเรียวอย่างหนุ่มเอเชียเหลือบมองกลุ่มย่อยอีกกลุ่มที่กำลังหยอกล้อกันอยู่อย่างสนุกสนาน เหมือนความหนักอึ้งบนบ่าที่มากขึ้นทุกครั้งที่เขาเริ่มเปรียบเทียบบรรยากาศของทั้งสองกลุ่ม
“จะเริ่มแล้วนะจื่ออี้”
เสียงห้าวคุ้นหูเรียกให้ชายหนุ่มหันตัวกลับ จื่ออี้เพิ่งสังเกตว่าทีมย่อยที่มีเขารวมอยู่ด้วยเริ่มตั้งแถวกันแล้ว ขายาวจึงก้าวฉับๆไปประจำที่ของตัวเองก่อนจะโดนวิญญาณครูฝึกสุดโหดในร่างของช่ายสวี่คุนดุอีกรอบ
ถ้าขยันก็คงจะไม่เป็นไร
หวังจื่ออี้มั่นใจที่สุดได้เท่านี้จริงๆ
.
เพราะเด็กๆจากค่ายดังพวกนั้นอยากอยู่ในทีมเดียวกัน ทั้งจื่ออี้และสวี่คุนที่มีอันดับค่อนข้างสูงและมีความสามารถมากพอจะเป็นผู้นำจึงถูกจัดให้อยู่อีกกลุ่มหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ กลุ่มย่อยที่มีสมาชิกรวมหกคนถูกเติมรายชื่อจนเต็มในที่สุด ทั้งนี้สมาชิกที่เหลือถูกจัดแบ่งด้วยความคิดที่ว่าช่ายสวี่คุนกับหวังจื่ออี้เก่งพอจะแบกรับความกดดันของสมาชิกที่อยู่ในโซนอันตราย ด้วยเหตุผลนั้นกลุ่มของเขาจึงถูกเติมจนเต็มด้วยเด็กฝึกที่มีอันดับไม่สูงนักและยังขาดทักษะในบางส่วนอยู่บ้าง
ปัญหาหนึ่งที่ตามมาแทบจะทันทีคือความกดดันของสมาชิกในทีมที่หวังจื่ออี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเข้าไปช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ยังไง ทั้งอันดับที่น่าเป็นห่วง การแสดงที่ยังไม่พร้อม และไหนจะความกดดันจากการที่อาจถูกย้ายทีมหลังจบการประกาศอันดับอีก ทั้งหมดทั้งมวลจึงมาแสดงออกในรูปแบบของบรรยากาศทีมที่ไม่ค่อยจะดีนักและการซ้อมที่เป็นไปได้อย่างเชื่องช้าเนื่องจากทุ่มเทกันได้ไม่เต็มที่
เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องย้ายทีมจึงไม่เหลือเหตุผลที่จะซ้อม
และเพราะไม่หวังว่าจะได้ไปต่อจึงแสดงอาการหมดอาลัยตายอยาก
จื่ออี้ไม่อยากจะคิดแบบนี้
แต่นี่มันบรรยากาศของทีมที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย
“หมดแรงแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มหันไปถามหลี่หรางที่นั่งหอบอยู่บนพื้น ใบหน้าชุ่มเหงื่อของอีกฝ่ายพยักเบาๆพร้อมกับกระพือพัดชายเสื้อไล่ความความร้อนจากร่างไปด้วย ในตอนแรกสวี่คุนทำท่าจะเรียกคนที่ยอมแพ้ไปแล้วให้ลุกขึ้นมาอีกเต้นท่าเดิมซ้ำรอบ แต่พอโดนสายตาดุกร้าวของจื่ออี้มองใส่ โอเมก้าตัวสูงจึงทำได้เพียงบอกให้คนอื่นๆพักกันไปก่อนเท่านั้น จื่ออี้โบกมือให้ช่ายสวี่คุนเพื่อบอกเป็นนัยว่าเขาจะจัดการคนตรงนี้เอง เสียงรองเท้ากีฬาของอีกฝ่ายจึงค่อยๆดังห่างออกไปจากห้องในที่สุด
ถ้าวิธีของช่ายสวี่คุนคือการผลักดันสมาชิกให้ทะลุขีดความสามารถของตัวเองเพื่อพัฒนาไปข้างหน้า
วิธีของหวังจื่ออี้ก็คงเป็นการปล่อยให้อีกฝ่ายก้าวเดินตามมาอย่างช้าๆโดยมีมือของเขาประคับประคอง
“ขอโทษนะ ทำให้ช้ากันไปหมดเลย”
“ไม่หรอกพี่ ยังไงก็เร็วที่สุดได้เท่านี้แหละ ถึงพี่ไม่พักใครสักคนก็คงไม่ไหวไปก่อนอยู่ดี”
ชายหนุ่มพูดออกมาภายใต้กล่องความคิดที่ว่างเปล่า แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะเหนื่อยๆจากหลี่หรางกลับมาอย่างที่ตัวคนพูดเองก็ได้แต่สงสัยว่าตรงส่วนไหนของประโยคนั้นที่น่าขันกัน เนื่องจากคนที่นั่งเอกเขนกอยู่ข้างกันไร้ซึ่งสัญลักษณ์ใดๆด้านหลังใบหู จื่ออี้จึงไม่รู้ว่าความจริงภายใต้เสียงหัวเราะนั้นคืออะไรกันแน่
“ฉันแก่แล้ว คนไม่ไหวคนแรกควรจะเป็นฉันนี่แหละ”
“ผมว่าฮ่าวฮ่าวก็ดูเหมือนกำลังจะตายนะ”
คราวนี้ทั้งเขาและหลี่หรางหัวเราะออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าบูดบี้ของเบต้าตัวเล็กกับท่าทางงกๆเงิ่นๆที่ดูกี่ทีก็น่าเอ็นดูผุดขึ้นมาเหมือนอีกฝ่ายยืนซ้อมอยู่ตรงหน้า คงต้องเรียกว่าเป็นความน่ารักที่น่าขำไปด้วยหรืออะไรสักอย่างที่มีความหมายในทำนองนั้น
“เจ้านั่นทำหน้าเหมือนจะตายตลอดเวลานั่นแหละ”
“ก็จริง…”
“ฉันนี่แย่จัง พอแก่แล้วก็เต้นไม่ทันสักที”
จื่ออี้เลิกคิ้วขณะมองเจ้าของฝ่ามือใหญ่บีบนวดต้นขาตัวเองไปเรื่อยๆ หลี่หรางก้มหน้ามองท่อนขาที่ปวดหนึบจากการฝึกซ้อมหลายชั่วโมงทำให้คนแอบมองไม่อาจเห็นแววตาของคนพูดได้ ถึงอย่างนั้นจื่ออี้ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาจะเป็นความจริง และเขาก็ไม่อยากให้รุ่นพี่คนนี้มีความเชื่อผิดๆแบบนั้นด้วย
“ไม่จริงสักหน่อย เพราะพี่ขยับตัวแบบนั้นมันเลยทำให้หมุนตัวกลับมาท่าเดิมยากกว่าคนอื่นต่างหาก”
หลี่หรางละสายตาจากท่อนขาของตนมาโฟกัสไปที่ใบหน้าของคนที่พูดราวกับสามารถแก้ไขปัญหาของเขาได้เพียงดีดนิ้ว ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยถามถึงคำว่า ‘แบบนั้น’ ของจื่ออี้ แต่กลับได้ฝ่ามือของอีกฝ่ายมาแทน
จื่ออี้ดึงร่างของรุ่นพี่ให้ลุกขึ้น เขาไม่ได้เปิดเพลงอย่างที่ควรจะทำเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงต้องการเวลาปรับตัวก่อนจะเคลื่อนไหวให้เข้ากับเพลงจริงได้ ร่างสูงเดินไปจัดท่าทางของเพื่อนร่วมทีมให้เข้าที่ก่อนจะสอนเทคนิคเล็กๆน้อยให้กับคนที่เริ่มจะขยับตัวตามท่าที่กำหนดได้คล่องขึ้น
จากสิบนาทีเป็นสิบห้า ยี่สิบ สุดท้ายเวลาพักสามสิบนาทีที่ช่ายสวี่คุนให้ก็หมดไปกับการปรับแต่งรายละเอียดการเต้นให้กับเพื่อนร่วมทีม จื่ออี้มองกระจกเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองสอนไป เหนือกว่าทักษะที่พัฒนาขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ สิ่งที่ทำให้น้ำหนักที่กดทับร่างของอัลฟ่าหนุ่มเบาบางลงก็คือประกายความหวังในดวงตาคู่นั้นที่สะท้อนแสงไฟออกมาให้เห็นได้ในที่สุด
“พร้อมกันแล้วสินะ”
ช่ายสวี่คุนเดินเข้ามาพร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ ผู้นำในการซ้อมหยิบไอแพดขึ้นมาถือเหมือนเป็นคำสั่งให้คนอื่นๆเคลื่อนตัวไปประจำตำแหน่งของตนเอง จื่ออี้แท็กมือกับหลี่หรางที่ดูอารมณ์ดีขึ้น อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าของฮ่าวฮ่าวกับตาตัวเองอีกครั้ง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นท่าทางคงโดนท่านผู้นำจัดหนักมาสิท่า
การซ้อมดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดพัก หลี่หรางที่ได้รับคำชมจากสวี่คุนหันมายกนิ้วให้เขาผ่านบานกระจก เวลาบนนาฬิกาติดผนังถูกลืมเลือนไปเมื่อทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่มากขึ้น ก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น พร้อมๆกับร่างโปร่งของหัวหน้าทีมอย่างจูเจิ้งถิงจะเดินเข้ามาบอกว่าถึงเวลาอาหารเย็น
“เป็นยังไงบ้าง”
ความห่วงใยของหัวหน้าทีมถ่ายทอดผ่านประโยคคำถามที่ส่งมาถึงจื่ออี้ ชายหนุ่มยกยิ้มบางๆก่อนจะตอบกลับด้วยประโยคที่ไม่ผิดไปจากความจริงนัก
“เหนื่อย แต่คิดว่าไหว”
“เหนื่อยเท่าฉันหรือเปล่า”
เจิ้งถิงบุ้ยปากไปยังสองลูกลิงที่กำลังตบตีกันแย่งซองขนมทั้งที่ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วแท้ๆ จัสตินกับเฉิงเฉิงขู่ฟ่อใส่กันเหมือนกับเด็กๆ ก่อนสถานการณ์ความรุนแรงตรงหน้าจะสงบลงเมื่อโดนลีดเดอร์ฟาดฝ่ามือเข้าใส่คนละหนึ่งที
จื่ออี้เห็นสวี่คุนกุมท้องขำ
เขาคิดว่าตัวเองคงไม่เหนื่อยเท่าเจิ้งถิงหรอกมั้ง
.
“ถ้านายอยากให้เฉิงเฉิงผอม นายก็ต้องหยุดแบ่งอาหารให้เขาได้แล้ว”
มือที่กำลังยื่นไก่ทอดไปให้เด็กหนุ่มชะงักกึกหลังสิ้นเสียงของจื่ออี้ ช่ายสวี่คุนที่กำลังเคี้ยวข้าวในจานหันมาอมยิ้มแก้มตุ่ยทั้งยังพวักหน้าหงึกหงักแสดงอาการเห็นด้วยกับความเห็นของเขา เจิ้งถิงหยุดมืออยู่กลางอากาศเป็นผลให้น่องไก่ชิ้นโตลอยหราค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น จื่ออี้คิดว่าตัวเองแอบเห็นฟ่านเฉิงเฉิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะจับจ้องที่อาหารตรงหน้า เจ้าเด็กไร้สัญลักษณ์ทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือออกมาคว้าไก่ทอดไปจากคนที่ยังลังเลว่าควรยอมแพ้ต่อสายตาระยับนั่นดีไหมแต่ก็ไม่ทันหวังจื่ออี้ที่ดันจานตัวเองไปให้คนด้านตรงข้าม
“ถือว่าฉันขอก็แล้วกัน”
“เห้ยอะไรอ่ะ นั่นไก่ผม”
เจิ้งถิงหันไปส่งสายตาขอโทษขอโพยเจ้าเด็กยักษ์ก่อนจะยอมวางอาหารลงบนจานของเขาแต่โดยดี จื่ออี้แค่นหัวเราะหึเมื่อเห็นอาการฟึดฟัดจากเฉิงเฉิง โครงหน้าที่เคยขึ้นรูปชัดดูเปลี่ยนไปมากยิ่งเมื่อได้มองจากมุมนี้ เขาคิดว่าสิบสองกิโลที่เพิ่มขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญอีกต่อไป
“หยุดกินได้แล้วฟ่านเฉิงเฉิง”
คราวนี้เป็นสวี่คุนที่เอ็ดขึ้นมาบ้าง คนโดนดุทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยังจิ้มไก่ที่ขโมยมาจากจานของจัสตินเข้าปากอยู่ดี ดวงตาคมฉายแววดื้อรั้นอย่างคนไม่รู้จักยอมแพ้ แค่มองผ่านๆเขาก็เห็นเรื่องราวภายใต้ไขมันสิบสองกิโลขึ้นมารำไร
“ดื้ออะไรขนาดนี้นะ”
“อีกสองคำผมจะหยุดกินแล้วโอเคไหม เลิกบ่นกันสักทีน่า”
เฉิงเฉิงเขี่ยกับข้าวที่เหลือในจานมากองกันก่อนจะตักไก่ทอดจากจานหัวหน้ามาอีกพูนช้อน ทีแรกจื่ออี้คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่อาหารปริมาณนั้นจะหายไปจากจานด้วยการตักเข้าปากเพียงสองคำ แต่เขาก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่ควรประเมินเด็กนี่ต่ำไปนัก ฟ่านเฉิงเฉิงวางช้อนลงตามที่ได้บอกเอาไว้ มือขาวยกขึ้นเหมือนจะยอมแพ้แต่ปากยังเต็มไปด้วยอาหาร จื่ออี้ส่ายหัวดิกเมื่อเห็นว่าสมาชิกในค่ายไม่ได้ดุอะไรที่เห็นเด็กนั่นกินเข้าไปมากขนาดนั้น ทุกคนดูจะสนใจโชว์ความสามารถในการยัดอาหารคำโตเข้าไปในปากเสียมากกว่า
เพราะสปอยล์กันอย่างนี้ไงถึงได้น้ำหนักขึ้นตั้งสิบสองกิโล
“เดี๋ยวตอนบ่ายนายก็มาแย่งกินขนมอยู่ดี”
จัสตินไม่ได้คำว่าพี่กับคนอายุมากกว่าอย่างที่ควรจะเป็น เจ้าตัวยักคิ้วใส่เฉิงเฉิงที่มีทีท่าไม่สบอารมณ์กับข้อกล่าวหานี้นัก
“ไม่ยุติธรรมนี่ ก็พวกนายกินยั่วฉันอ่ะ”
“อดทนสิ พวกฉันต้องเพิ่มน้ำหนัก ตัวเองทนไม่ได้เองอย่ามาโทษคนอื่นเลยน่า”
“เงียบเลยทั้งสองคน”
จื่ออี้นึกว่าตัวเองจะได้ดูมวยสดอีกรอบเสียแล้ว โชคดีที่เจิ้งถิงผู้ซึ่งเสียสละตัวเองนั่งคั่นกลางเด็กซนทั้งสองห้ามทัพเอาไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงเกิดโศกนาฏกรรมระหว่างเด็กฝึกค่ายเดียวกันแน่ๆ
“ทีหลังก็อย่าสั่งมายั่วน้องสิ ถ้าสั่งมาแล้วแต่ไม่ยอมให้กินมันก็ลำบากนะ”
“ยังไงตอนค่ำมากินขนมกับพวกฉันก็ได้ อาหารคลีนเยอะแยะ”
จื่ออี้เหมือนจะเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมขบวนการกินให้สุดแล้วหยุดที่เสื้อปริอย่างช่ายสวี่คุนกับฟ่านเฉิงเฉิงขึ้นอย่างไรอย่างนั้น เด็กหนุ่มที่นั่งเยื้องไปพยักหน้าเห็นด้วยกับคำค่อนแคะของรุ่นพี่ ก่อนจะตกลงที่จะใช้ช่วงเวลาเบรกตอนค่ำกับช่ายสวี่คุน เขาไม่โทษเฉิงเฉิงหรอกที่หลงเชื่อคำโฆษณาของโอเมก้าตัวหอมข้างกายเขา เพราะที่อีกฝ่ายบอกก็ไม่ถือว่าเป็นคำโป้ปดไปเสียทีเดียว
เพียงแต่ไอ้อาหารคลีนน่ะมันของเขา
ส่วนของช่ายสวี่คุนนั่นมันคาร์โบไฮเดรตล้วนๆ
เรียกได้ว่าถ้านับแคลอรี่อย่างจริงจังแล้วล่ะก็คงจะต้องมีคนร้องไห้แน่นอน
“ตอนพักก็ไปนั่งคนเดียว ไม่ก็ออกไปวิ่งน่าจะมีประโยชน์กว่า”
“ใจร้ายจัง ไหนล่ะจื่ออี้เกอคนดี”
เฉิงเฉิงตวัดสายตาขุ่นมาให้ ทั้งที่เขาหวังดีกับอีกฝ่ายแท้ๆ กลายเป็นคนใจร้ายไปโดยไม่ได้ตั้งใจจนได้
“ไม่มีหรอกจื่ออี้คนดี มีแต่คุนคุนคนดีต่างหาก นี่เฉิงเฉิงถ้าหิวมากก็กินไปเถอะอย่าไปคิดมากเลย ช่วงนี้มันเครียดฉันเข้าใจ ร่างกายนายกำลังต้องใช้พลังงาน”
ฟ่านเฉิงเฉิงยิ้มร่าให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ เป็นปฏิกิริยาที่ทำให้จื่ออี้ต้องหันไปส่ายหน้ากับเจิ้งถิงเงียบๆ พอหันกลับมาก็เห็นว่าทั้งสองคนกำลังหัวเราะคิกคักกับเรื่องอะไรสักอย่างที่เขาไม่ทันได้ฟัง
“รักนางฟ้าคุนคุนที่สุดเลย”
ช่ายสวี่คุนยิ้มบางก่อนจะผิวปากอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวหันมายักคิ้วกวนๆให้กับเขา ก่อนที่ท่าทางขัดเขินอย่างกะทันหันของฟ่านเฉิงเฉิงจะทำให้เขาคิ้วกระตุก
จื่ออี้ยกนิ้วขึ้นมาถูปลายจมูก
เอาล่ะ เขาชักจะไม่ชอบกลิ่นส้มแปร่งๆนี่ขึ้นมาแล้ว
_____________
Nobly แปลว่าประเสริฐ ถ้าเป็นคนก็น่าเคารพมากๆอะไรประมาณนี้ค่ะ
ตอนนี้งานเร่งมาก วันจันทร์น้องสอบ ร้องไห้แปป ว่างกว่าโมเม้นก็หัวน้องนี่แหละค่ะ
จะว่าไปโมเม้นก็ไม่ว่างนาจา กัปตันก็พายอยู่เด้อ ดีใจ
อาทิตย์หน้าน่าจะมาแค่ตอนเดียวนะคะ เพราะมีสอบจันทร์พุธพฤหัสเลย
แล้วเจอกันค่า
ปอลอ อยากทอล์กยาวๆก็รู้สึกผิดกับหนังสือเหลือเกินเจ้าค่ะ
ความคิดเห็น