คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Episode 15 : Opposite
INSECURE
#สวี่คุนเป็นโอเมก้า
Episode 15 - Opposite -
.
เริ่มต้นที่สิบสอง ทว่าหลังประกาศผลอันดับครั้งที่2จะเหลือเพียงเจ็ด จำนวนสมาชิกที่ลดลงเกือบครึ่งทำให้จื่ออี้รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ผ่านเข้ารอบมาแท้ๆแทนที่จะได้ฉลองความสำเร็จอย่างมีความสุขกับเพื่อนๆ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดต้องมานั่งกลัดกลุ้มกับการจัดทีมใหม่ที่อาจส่งผลกระทบมหาศาลต่อโชว์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแทน แน่นอนว่าไม่ใช่แค่การแสดงที่มีผลกระทบ คอนเส็ปของเพลงที่เหมาะสมยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแต่ละคน อันนำไปสู่คะแนนโหวตที่มากขึ้นไปด้วย สุดท้ายมันก็กลับมาหยุดอยู่ที่การเอาชีวิตรอดในเกมส์นี้อีกจนได้สินะ
จื่ออี้มองบานประตูที่ยังปิดแน่น แม้จะเงาผ่านไปมาหลายครั้งแล้วก็ตาม ชายหนุ่มที่กำลังรอคอยให้ถึงคิวของตัวเองใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขาได้ยินเสียวกุ่ยพูดเกี่ยวกับความลำบากของทีมตัวเองที่ต้องเพิ่มสมาชิกใหม่เข้ามาเกินครึ่ง ในใจอยากตะโกนกลับไปว่าทีมที่ต้องตัดสมาชิกออกมากที่สุดอย่างทีมของเขาเองก็ลำบากใจไม่แพ้กัน แต่สุดท้ายจื่ออี้ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะรู้ดีว่ามาตรความรู้สึกของเขากับทีมนั้นคงไม่อาจเทียบกันได้
“กังวลเหรอ”
คงเพราะฝ่ามือชื้นเหงื่อของเขาที่เป็นตัวบอกให้คนข้างๆรับรู้ได้ถึงความรู้สึก หรือไม่ก็คงเป็นเพราะกลิ่นอายความว้าวุ่นใจที่คละคลุ้งอยู่ทั่วห้องจนแยกไม่ออกว่ามาจากใครกันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุไหน ผลของมันก็สรุปอยู่ที่เสียงพูดแผ่วเบาของช่ายสวี่คุนอยู่ดี
“โทษที”
จื่ออี้ที่คิดไปว่าอีกฝ่ายอาจจะระคายกับความชื้นแฉะระหว่างฝ่ามือที่เกาะกุมกันอยู่ดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ชายหนุ่มเคาะนิ้วบนต้นขาก่อนความอบอุ่นจากผิวเนื้อของคนที่เพิ่งจะเอามือออกจากกระเป๋ากางเกงเขาจะขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง ช่ายสวี่คุนไม่ได้จับมือเขาไว้เหมือนที่จื่ออี้ทำก่อนหน้า แต่อีกฝ่ายถือวิสาสะหงายฝ่ามือเขาขึ้นแล้วลากปลายนิ้วคล้ายกำลังเล่นสนุกอยู่บนมือของเขาแทน
“ฉันก็กังวล”
“ฉันรู้”
จื่ออี้เอ่ยตอบอีกฝ่ายไปเบาๆ เขาพยายามตัดสัญญาณรบกวนชื่อรุ่ยปินที่กำลังทำหน้าล้อเลียนเขาอยู่ที่มุมห้องออกไป มือใหญ่หุบเข้าหมายจะจับนิ้วยาวที่กำลังเล่นซนให้อยู่นิ่ง แต่ช่ายสวี่คุนกลับเลือกที่จะดึงมือออกอีกครั้งแล้วกลับมาทำอย่างเดิมอีกรอบ
“รู้ไหมว่าฉันกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด”
จื่ออี้ไม่ทันได้ตอบเพราะเสียงเปิดประตูดังขึ้นเสียก่อน ทีมงานเดินเข้ามาบอกให้เขาเตรียมตัวไปลงคะแนนทำให้ร่างสูงจำเป็นต้องลุกขึ้นยืนทั้งที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือเปล่า
ริมฝีปากเรียวสวยวาดรอยยิ้มบาง จื่ออี้กุมข้อความที่อีกฝ่ายอุตส่าห์เขียนลงบนมือไว้แน่น เขาซุกมือข้างนั้นลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกจากห้อง
‘นายไง’
“จื่ออี้มาแล้วใช่ไหม งั้นเข้าไปโหวตได้เลย”
.
“ถ้าต้องคัดคนออก เราออกไปด้วยกันไหม”
“ไม่อยากอยู่กับฉันแล้วเหรอ”
“อยากสิ เพราะว่าอยากอยู่กับนายมากกว่าไงถึงได้บอกให้ออกไปด้วยกัน เราไปอยู่เพลงอื่นด้วยกันก็ได้นี่นา”
บทสนทนาสั้นๆในอดีตระหว่างเขากับช่ายสวี่คุนลอยผ่านเข้ามาในหัว จื่ออี้มองกระดาษแผ่นเล็กในมือด้วยสายตาว่างเปล่ากับความรู้สึกหลากหลายข้างในที่ปนกันมั่วจนไม่อาจสรุปความออกมาได้ ทั้งหวาดกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ แต่ก็ไม่อยากทำร้ายใครในทีม ถึงในวินาทีที่คุนคุนบอกแบบนั้นจื่ออี้จะตอบตกลงไปโดยไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย แต่พอเอาเข้าจริงนี่มันก็แอบทำใจยากกว่าที่คิดไว้อยู่เหมือนกัน เหตุผลหลักเลยก็คือถ้าสมมติว่าคนที่ต้องย้ายทีมเป็นเขาและสวี่คุนจริงๆขึ้นมา จะมีใครการันตีได้หรือว่าเราจะได้อยู่ทีมเดียวกันอีก จะมีใครยืนยันได้ไหมว่าจื่ออี้จะไม่หลุดไปอยู่ในเพลงที่ห่างไกลตัวเองจนเกินไป
หากต้องเสี่ยงขนาดนั้นแล้วล่ะก็ บางทีอยู่ทีมเดิมก็น่าจะดีกว่า
ความคิดเห็นแก่ตัวที่เขาเชื่อว่าทุกคนย่อมรู้สึกเหมือนๆกันผุดแวบขึ้นมาในหัว สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดในเกมส์เซอร์ไวเวิลที่มีเดิมพันเป็นความฝันของเขาบอกให้จื่ออี้เขียนชื่อตัวเองลงไปในกรอบบนสุดเสีย ทว่าจิตใจอีกด้านกลับส่งเสียงแย้งออกมาในตอนที่เขาเกือบตัดสินใจได้
แล้วจะให้ใครออก…
มีใครอีกไหมที่สมควรออกไปจากทีมนี้ เพราะทุกคนทุ่มเทกันมากและทุกคนคาดหวังจะได้อยู่ต่อ
เพราะฉะนั้นคำตอบของคำถามข้างต้นจึงเป็นไม่มีอย่างไม่ต้องสงสัย
ความคิดที่วนซ้ำอยู่ในลูปเดิมทำให้ชายหนุ่มปวดขมับหนึบ ปลายปากกาลูกลื่นจรดลงบนแผ่นกระดาษขาวก่อนจะยกออกซ้ำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง การกระทำที่แสดงถึงอาการสับสนของชายหนุ่มถูกกล้องจับภาพเอาไว้อย่างครบถ้วน จื่ออี้เงยหน้าขึ้นมองไปยังบุคคลซึ่งนั่งควบคุมกระบวนการทั้งหมดอยู่หลังกล้อง เสียงแหบๆของทีมงานชายในเสื้อคลุมยาวสีดำส่งสัญญาณบอกให้เขารีบตัดสินใจเพราะยังมีอีกหลายคนที่ต้องเลือกต่อจากเขา ยิ่งถูกเร่งรัดจื่ออี้ก็ยิ่งตัดสินใจได้ยาก ความกดดันทำให้สุดท้ายม้วนกระดาษในมือจึงยับยู่โดยที่จื่ออี้ไม่ทันได้รู้ตัว หมึกสีน้ำเงินเข้มทิ้งรอยไว้ในช่องสี่เหลี่ยมตามแรงกดของผู้บังคับทิศทาง เส้นลายมือตวัดไม่งดงามนักเนื่องจากหัวปากกาเริ่มจะแห้งอันเป็นผลจากการเปิดทิ้งเอาไว้นานเกินไป จื่ออี้มองรายชื่อสมาชิกทั้งเจ็ดที่เขาเขียนลงไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหย่อนมันลงไปในกล่องปิดทึบ
ถึงจะหวังเอาไว้ว่าไม่อยากให้มีใครเสียใจ
แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ…
เป็นเขาเองก็คงทำใจง่ายกว่า
.
“ชีวิตมันก็อย่างนี้”
เยี่ยนเฉิงพึมพำออกมาลอยๆในระหว่างที่สมาชิกเกินครึ่งกำลังรอคอยเวลาประกาศผล ส่วนสมาชิกบางส่วนยังคงลังเลใจและยังไม่ได้ลงคะแนน เพราะเจิ้งถิงจัดลำดับการลงคะแนนตามอายุจากมากไปน้อย จื่ออี้จึงกลายเป็นกลุ่มที่ออกเสียงเรียบร้อยแล้วเฉกเช่นเดียวกันกับเยี่ยนเฉินไปโดยปริยาย
“นายได้อยู่ต่ออยู่แล้ว”
เยี่ยนเฉินยื่นปากเบะทำหน้าไม่เชื่อในคำพูดของเขาก่อนจะถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเจ้าของอันดับหนึ่งในใบกระดาษของจื่ออี้ทำให้ตัวเขาเองยิ้มขำ ไอ้คนที่น่าจะรอดดันไม่มั่นใจแต่คนที่น่าจะโดนตัดแน่ๆอย่างเขากลับเฉยๆไปเสียอย่างนั้น
แล้วทำไมจื่ออี้ถึงได้คิดว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ต่อน่ะหรือ เหตุผลง่ายๆก็คือเขาดันพลั้งปากออกไปตอนที่เห็นเด็กๆทำหน้าเครียดว่าต่อให้ไม่ได้อยู่ต่อเขาก็ไม่โกรธอะไร คือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ หวังจื่ออี้ยอมให้น้องๆตัดชื่อเขาออกจากทีมไปได้โดยไม่ทักท้วง ถึงจะปากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แต่จื่ออี้กลับพบว่าพอทำแบบนั้นแล้วก็รู้สึกสบายใจแปลกๆดีเหมือนกัน
“จะประกาศแล้วนะ”
เสียงของเจิ้งถิงบอกให้จื่ออี้รู้ว่าเวลาแห่งความจริงกำลังขยับเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มดึงมือเยี่ยนเฉินให้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ามาสมทบกับคนอื่นๆ
เสียงฮือฮาคละเคล้าไปด้วยเสียงโหวกเหวกของคนที่มีรายชื่อคนแล้วคนเล่าดังขึ้นเป็นช่วงๆ จื่ออี้หันหลังกลับไปมองเจ้าของคางแหลมที่กดอยู่บนลาดไหล่ของตัวเองเล็กน้อย นึกแปลกใจที่สวี่คุนไม่ได้ส่งกลิ่นจัดๆออกมาอย่างที่ควรจะเป็น รายชื่อลำดับที่หกปรากฏขึ้นโดยที่ไม่มีชื่อของเขาหรืออีกฝ่าย สวี่คุนวางแขนบนไหล่ของเขาแทนศีรษะอย่างเมื่อครู่ ใบหน้ามนดูจริงจังแต่ก็ไม่ได้เคร่งเครียดจนเกินไปนัก
“ถ้าหมิงฮ่าวไม่อยู่ในนั้นฉันจะโกรธ”
เป็นไอ้อัลฟ่ากวนประสาทอย่างรุ่ยปินที่พึมพำออกมาแล้วทำให้สวี่คุนพยักหน้าหงึก จื่ออี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับความเห็นของอีกหนึ่งสมาชิกที่ยังไม่ถูกเลือก คงเพราะเขากังวลว่ารายชื่อสุดท้ายจะกลายเป็นใครบางคนเสียมากกว่า
ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงๆก็คงแย่เอามากๆ
“ฮ่าวฮ่าวดีใจด้วย!”
ขอบคุณพระเจ้าที่เหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้น จื่ออี้ถึงได้อ้าแขนรับอ้อมกอดของน้องๆได้อย่างไม่ติดค้างอะไร เขายักคิ้วให้รุ่ยปินที่ต้องกอดคอกันย้ายทีมก่อนจะได้รับรอยยิ้มน่ารำคาญกลับมาเป็นรางวัล ใบหน้าหล่อๆนั่นก็ดูเหมือนเป็นใบหน้าของคนที่ทำใจเอาไว้แล้วไม่ต่างจากเขา ขณะเดียวกันคนที่ดูลำบากใจกลับกลายเป็นเจิ้งถิงที่เดินเข้ามากระตุกชายเสื้อเขาในตอนที่ทุกอย่างดูวุ่นวาย
“แย่หน่อยนะ”
“นายนั่นแหละ อย่าเป็นประสาทตายไปก่อนได้แสดงล่ะ”
ดวงตาติดจะตกของคนตรงหน้าสะท้อนประกายสดใสขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ามากพอจะทำให้จื่ออี้สบายใจได้ว่ากัปตันทีม ไม่สิ อดีตกัปตันทีมของเขาไม่รู้สึกแย่กับผลโหวตมากเกินควร ยังไม่ทันจะได้คุยต่อหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้จูเจิ้งถิงกลายเป็นบ้าก็กระโดดใส่เขาเต็มแรง จื่ออี้ลูบหัวจัสตินที่เมื่อครู่เพิ่งบอกลากันไปหมาดๆ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยนี่จับมือครบรอบแล้วหรือเปล่าถึงได้พุ่งใส่เขาแบบนี้
“เสียดายจัง โชคดีนะพี่”
“รู้แล้ว นี่พูดซ้ำนะ จำไม่ได้เหรอ”
จัสตินยู่จมูก หน้าเล็กๆนั่นยับยู่ไปหมดจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ จื่ออี้ยีผมของอัลฟ่าน้องเล็กในรายการจนเจ้าตัวต้องวิ่งหลบซ้ายทีขวาที เขาที่ขี้คร้านจะเล่นซนเป็นเด็กๆกับคนไฮเปอร์เกินลิมิตจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา พอหันกลับมาที่กลุ่มก้อนเด็กฝึกที่เหลืออีกทีก็พบว่าทุกคนร่ำลากันจนเกือบจะเสร็จหมดแล้ว
ช่ายสวี่คุนกอดอกยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่งดงามขนาดที่ว่าโดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนนับสิบที่แข่งกันส่งเสียงพูดจ้ออยู่รอบกาย จื่ออี้ไม่อาจห้ามขาตัวเองให้เดินตรงไปหาความงดงามอันน่าหลงใหลนั้นได้ ฝ่ามือของเขายื่นออกไปในอากาศ รอคอยการตอบรับจากคนที่เอาแต่ยิ้มอย่างเดียวโดยไม่ยอมพูดอะไร
“ไปกันเถอะ”
สวี่คุนยอมวางมือแตะลงบนฝ่ามือของจื่ออี้ในที่สุดเมื่อคนอายุมากกว่าเอ่ยบอกให้เริ่มก้าวออกไปยังอุปสรรคชิ้นใหญ่เบื้องหน้า สัมผัสอบอุ่นกระชับแน่นด้วยแรงบีบรัดจากทั้งสองคน จื่ออี้ตบหลังของรุ่ยปินแรงๆเพื่อบอกให้เจ้าตัวเริ่มเปิดประตูเสียที
จื่ออี้หันกลับมามองห้องซ้อมของทีมDREAMเป็นครั้งสุดท้าย ไร้ซึ่งประโยคใดๆจะเอื้อนเอ่ย ความรู้สึกในใจเมื่อต้องเผชิญหน้าความเป็นจริงว่างเปล่าเสียจนวูบโหวง เขาทำได้เพียงก้าวขาไปตามการเคลื่อนไหวของมือข้างที่กอบกุมไว้ก็เท่านั้น
“ให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาแล้วกัน”
รุ่ยปินเอ่ยขึ้นในระหว่างที่พวกเขาทั้งสี่คนกำลังรอคอยสมาชิกที่ถูกตัดออกจากอีกทีม วงหน้าหล่อเหลาของโวคอลมากความสามารถแหงนมองเพดานว่างเปล่าก่อนจะพรูลมหายใจออกมาแรงๆจนได้ยินเสียงของอากาศที่ไหลออก จื่ออี้มองมือที่ยังเกาะเกี่ยวกันไว้ระหว่างเขากับโอเมก้าข้างกายด้วยสายตาที่ไม่อาจแปลความได้
คราวนี้จื่ออี้คิดว่าตัวเองค่อนข้างเห็นด้วยกับรุ่ยปินทีเดียว
.
บางครั้งบางคราวโชคชะตาก็ไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้น
จื่ออี้คิดว่าตัวเองทำถูกแล้วที่ฝืนร่องรอยขีดเขียนของพระเจ้าออกไปอีกทางหนึ่ง
หรือบางทีโชคของเขาคงไม่ได้ตกอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกล่ะมั้ง
จื่ออี้เพิ่งจะสละโอกาสที่จะได้อยู่ทีมเดียวกับสวี่คุนไปเพื่อแลกกับอนาคตของคนหนึ่งคน เขายอมให้พี่ใหญ่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการแม้ว่านั่นจะหมายถึงเพลงสุดท้ายที่จื่ออี้คิดว่าตัวเองพอจะทำได้กำลังหายไปด้วย ร่างสูงเตะขวดน้ำที่เพิ่งพลิกชะตาคนสองคนไปโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะมัวแตะคุยอยู่กับเสียวกุ่ย ขวดพลาสติกนั่นกลิ้งหลุนๆไร้ทิศทางจนไปหยุดอยู่ที่มุมห้อง
ไม่อาจกำหนดได้
ไม่มีทางไปต่อ
เหมือนกับตัวเขาในตอนนี้ไม่มีผิด
ต่างกันก็แต่หวังจื่ออี้มีความสามารถพอที่จะลุกขึ้นมาเองได้ ไม่เหมือนเจ้าพลาสติกไร้ชีวิตที่ต้องรอคอยให้ใครสักคนหยิบมันขึ้นมาจากมุมอับ หากแสงส่องไม่ถึง หน้าที่ของจื่ออี้ก็คงจะเป็นการเอาตัวเองออกมาหาแสง
ดวงตาคมปลาบมองมือนิ่มๆของช่ายสวี่คุนที่จับอยู่บนส่วนเดียวกันของเขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป ผิวเนื้อเย็นเยียบไม่อบอุ่นอย่างเคย จื่ออี้อยากรอให้มันอุ่นขึ้นอีกนิดแต่กลับต่อผละออกเพราะฉินเฟิ่นต้องการจะกอดขอบคุณเขาอีกครั้งหนึ่ง
เขาลูบแผ่นหลังของรุ่นพี่ในวงการพลางมองใบหน้าอ่อนโยนของคนที่ยืนรออยู่อย่างใจเย็น กระทั่งคนที่เหลือเริ่มจะออกไปจากห้องนั่นแหละ สวี่คุนถึงได้โอกาสเดินกลับมาหาเขาอีกรอบ
จื่ออี้รั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด แปลกที่เขาได้กลิ่นมินต์เจืออายปร่าทั้งที่ตอนโดนคัดออกจากทีมไม่ได้สัมผัสถึงมันเลยแม้แต่น้อย
“ทำดีแล้วจื่ออี้ ฉันเข้าใจ”
หวังจื่ออี้พยักหน้าเบาๆ เก็บถ้อยคำให้กำลังใจอีกสองสามประโยคเอาไว้เป็นเสบียงในยามท้อ วันสองวันต่อจากนี้คงจะต้องลำบากมากสำหรับเขา เพียงจินตนาการถึงสิ่งที่ต้องก้าวข้ามไปขาทั้งสองข้างก็เหมือนจะหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่จื่ออี้ก็ยังเชื่อว่าเขาจะทำได้
ไม่สิ
เขาต้องทำได้ ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นให้ได้ในคราวนี้
.
“พระเอกมากมั้งน่ะ”
รุ่ยปินกระแทกไหล่เขาแรงๆครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน จื่ออี้กะพริบตาปริบ ไม่รู้จะพูดอะไร อันที่จริงเขายังชาๆอยู่เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกข้างในมันโหวงๆแปลกๆ คล้ายกับว่ามีคนฉีดยาชาเข้าไปในกระแสเลือดจึงทำให้ทุกความรู้สึกภายในหายไปสนิทอย่างไรอย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
เสียงที่ดังออกมาจากหน้าประตูเป็นเหมือนสัญญาณให้คนที่ตั้งท่าจะกวนเขามาตั้งแต่เมื่อกี้เริ่มทำภารกิจของตัวเอง
“มีคนดีเขาเสียสละที่ในทีมให้ชาวบ้านน่ะ ได้ใจสุดๆไปเลย”
“น่ารำคาญว่ะ อย่างแกเขาเลือกก็บุญแล้วไม่ใช่หรือไง”
จื่ออี้จิ๊ปากอย่างรำคาญใจที่รุ่ยปินดูไม่สะทกสะท้านกับคำปรามาสของตนเลยแม้แต่น้อย พอดีกับที่โจวรุ่ยสมาชิกทีมใหม่ล่าสุดของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับแผ่นกระดาษซึ่งพิมพ์เนื้อเพลงทั้งหมดเอาไว้ รวมถึงแบ่งพาร์ทในความรับผิดชอบของแต่ละคนเอาไว้อย่างสมบูรณ์ และระบุรายละเอียดยิบย่อยระหว่างการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบเอาไว้อย่างครบถ้วน คนตัวเล็กยื่นมันให้กับเขาก่อนจะออกปากไล่เจิ้งรุ่ยปินที่เข้ามากวนประสาทกันถึงในห้องนี้ให้ออกไป ไอ้หมอนั่นยักไหล่นิดหน่อยก่อนจะคว้าเอาหูฟังที่มันมาขอยืมเขาออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมที่จะทิ้งระเบิดไว้ให้อารมณ์กรุ่นเล่นๆ
“ไม่ต้องห่วงนะหวานจึ จะดูแลน้องมิ้นต์ให้อย่างดีเลย”
น้องมิ้นต์กับผีสิ ไอ้เวรตะไลนี่ก็นะ
“แต่ก็แปลกนะ ไม่คิดว่านายกับคุนคุนจะแยกกันอยู่”
จื่ออี้ไม่ได้ตอบโจวรุ่ยไปในตอนนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทกับรุ่นพี่อยู่หรือเปล่าแต่ขณะนี้หัวเขาว่างเปล่าเหมือนโหลแก้วขุ่นๆที่มองไม่เห็นข้างใน กลวงโบ๋แต่ก็ไม่อาจเข้าถึง คงเป็นโหลก้นลึกที่ต่อให้ยื่นจนสุดแขนก็ไม่สามารถสัมผัสปลายทางได้ จื่ออี้เพ่งสายตาไปยังเนื้อเพลงราวกับจะให้ความสนใจนี้ทำลายความรู้สึกปั่นป่วนข้างใน โชคดีที่โจวรุ่ยไม่ได้พูดอะไรต่อเขาจึงไม่ต้องวุ่นวายกับความคิดของตัวเองไปมากกว่านี้
.
แรปก็คือแรป
และร้องก็ส่วนร้อง
เขาไม่คิดว่าคนที่แรปได้ดีจำเป็นจะต้องร้องเพลงได้ไพเราะ
หวังจื่ออี้เป็นแรปเปอร์คนหนึ่งที่มั่นใจว่าทักษะการแรปของตัวเองอยู่ในขั้นที่สามารถขึ้นไปเจิดจรัสอยู่บนเวทีได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งปรุงแต่ง กระนั้นเขาเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทะเยอทะยานไปเสียทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางการร้องที่ไม่ได้โดดเด่นมาตั้งแต่แรกหรือจะเป็นความสนใจที่ห่างออกไปจากทางบัลลาด ทั้งหมดนั่นทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะเอาดีทางการเต้นและแรปไปจนสุดทางมากกว่ามาให้ความสำคัญกับอะไรไกลตัว
แรปดีน่ะร้อยเปอร์เซ็นต์
เต้นดีก็ไม่ต้องสงสัย
ร้องดี … ก็อาจจะไม่ ถึงอย่างนั้นจื่ออี้ก็ไม่คิดว่ามันแย่นัก ความคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นฝังอยู่ในหัวเขามาตั้งแต่เข้าเป็นเด็กฝึกหัดใหม่ๆและติดอยู่อย่างนั้นมาจนถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้
“เอาใหม่นะจื่ออี้ โปรเจคเสียงให้พุ่งออกไป เกร็งหน้าท้องไว้จะได้คอนโทรลเสียงได้”
หวังจื่ออี้หันไปยิ้มแหยให้กับจ่างจิ้ง ใบหน้าน่าเอ็นดูดูตั้งอกตั้งใจในการสอนเขาสมกับที่โจวรุ่ยยกให้เป็นอาจารย์จำเป็นสำหรับคนที่มีทักษะในการร้องเกินเยียวยาเช่นจื่ออี้ จ่างจิ้งกระแอมเบาๆก่อนจะตะเบ็งเสียง(แบบที่อีกฝ่ายเรียกมันว่าการโปรเจคเสียง)ออกไปยังตึกฝั่งตรงข้ามเป็นต้นแบบ ชายหนุ่มแอบปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมอยู่ตามไรผมโดยไม่ให้อาจารย์ผู้เป็นเบต้าของตนได้สังเกตเห็น มันไม่ได้เหนื่อยเหมือนตอนออกสเต็ปบีบอย แค่น่ากลัวจนคนมั่นใจอย่างเขาเกร็งไปทั้งร่างก็เท่านั้น
“อา…”
จื่ออี้พยายามเลียนแบบสิ่งที่อีกคนทำไปก่อนหน้าแต่ก็พบว่ามันยากเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ในชั่วข้ามคืน จ่างจิ้งตบไหล่ปุให้กำลังใจพลางกล่าวชื่นชมในความพยายาม เสียงหวานๆเอ่ยขอตัวไปทำธุระและบอกให้เขาลองฝึกซ้อมเองดูก่อนจะเดินหายไปอีกทาง จื่ออี้มองตามแผ่นหลังเล็กที่หายไปไวไวพร้อมกันกับแผ่นหลังของใครอีกคนที่เขาไม่คุ้นเคยนัก
ถึงไม่คุ้นแต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
ความสัมพันธ์ของเบต้าที่เรียบง่ายแต่ชัดเจนได้ขนาดนั้น … น่าอิจฉาเกินไปหรือเปล่า
“มัวเหม่ออะไรอยู่”
สัมผัสเย็นจัดทั้งยังชื้นเปียกแนบลงกับผิวแก้มทำให้คนแอบอู้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสะดุ้งโหยง จื่ออี้หันขวับมองคนที่ยืนหัวเราะเสียงใสประสานกันกับเสียงอีกเสียงหนึ่งด้วยหัวคิ้วที่ผูกกันเป็นโบว์ กลิ่นแปร่งจมูกทำให้จื่ออี้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว และเขาก็ใช้เหตุผลนั้นในการดึงตัวช่ายสวี่คุนเขามาใกล้ๆ หวังให้มวลอากาศเย็นสบายที่แผ่ออกมากลบเจ้าสิ่งนั้นไปได้บ้าง
“อ่ะ เฉิงเฉิงไปซ้อมเลย เดี๋ยวพวกนั้นดุเอา”
สวี่คุนหยิบกระป๋องเครื่องดื่มพร้อมทั้งห่อแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตออกมาจากถุงที่สกรีนลายเดียวกัน ก่อนจะยื่นส่วนที่เหลือให้ฟ่านเฉิงเฉิงที่รอรับอย่างดีใจ เจ้าเด็กกลิ่นส้มแลบลิ้นใส่จื่ออี้ซึ่งก็คงเป็นเพราะสายตาดุๆที่เขาส่งให้ล่ะมั้ง ก่อนร่างสูงเกินวัยจะวิ่งแจ้นออกไปอีกทาง
“เอาไปสิ ซื้อมาเผื่อ เห็นนายไม่ไปกินข้าวกลางวัน”
“ทำไมถึงมาด้วยกัน”
จื่ออี้รับอาหารกลางวันมาจากมือขาว น้ำเสียงที่ออกมาดูห้วนสั้นกว่าปกติถึงจะผิดวิสัยคนอ่อนโยนอย่างหวังจื่ออี้ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าการที่คนสองคนจากสองทีมเดินมาด้วยกันพร้อมกับถุงอาหารถุงเดียวกันหรอก
“คิดมาก น้องมันไดเอ็ทมากไปคงจะหิว ตอนกลางวันไปนั่งกินข้าวกับพี่เจิ้งถิง เห็นบอกว่าเฉิงเฉิงบ่นเวียนหัวตาลายมาตั้งแต่เช้าเลยสั่งมาเผื่อ”
จื่ออี้พยักหน้ารับ ชายหนุ่มกัดแผ่นขนมปังและเนื้อบดข้างในเข้าปากไปพร้อมกัน ผิวแก้มเนียนอย่างคนดูแลตัวเองอย่างดีบวมตุ่ยดูคล้ายกระรอกในความคิดของสวี่คุน
“หวงหรือไง”
“หวงสิ”
ช่ายสวี่คุนหัวเราะเบาๆให้กับพ่ออัลฟ่าจอมคิดมาก ไอ้ร้านนี้ที่เขาโทรสั่งทั้งที่กินข้าวกลางวันจนอิ่มแปล้ก็เพราะพระเอกประจำรายการไม่ยอมไปกินข้าวกินปลานั่นแหละ แล้วอย่างนี้จื่ออี้จะมาหงมาหวงอะไรกันอีก
“นี่หวงจริงๆนะ”
จื่ออี้ที่คิดว่าคนข้างกายหัวเราะด้วยเหตุผลคือไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงรีบสำทับยืนยันคำกล่าวไปอีกรอบ ผิวเนื้อขาวไล่เฉดสีแดงๆขณะที่ฉีกยิ้มจนตาปิด เป็นภาพที่สว่างจ้าเสียจนเขาแทบมองไม่ไหว
“ก็ไม่ได้ไม่เชื่อ”
“แล้วหัวเราะทำไม”
ช่ายสวี่คุนทำหน้าคิดหนัก เจ้าตัวเสยผมขึ้นพร้อมกับกระดกเครื่องดื่มชูกำลังไปอึกใหญ่ ดวงตากลมเหลือบมองคนที่ยังรอคอยคำตอบแล้วจึงหันร่างมากระซิบ
“ไม่รู้สิ แค่คิดว่าเป็นคนสำคัญของใครบางคนนี่มันก็รู้สึกดีจริงๆเลยนะ”
จุ๊บ
จื่ออี้เบิกตาโพลง มองร่างสูงโปร่งโบกแขนไปมาพร้อมทั้งวิ่งถอยห่างไปด้วยด้วยแววตาเลื่อนลอย มือใหญ่ค่อยๆยกขึ้นมาแตะใบหูที่อีกฝ่ายเพิ่งจะกดริมฝีปากลงมา สาบานได้ว่ามันร้อนจัดจนจื่ออี้มั่นใจว่าหน้าตัวเองต้องเปลี่ยนเป็นลูกมะเขือเทศแล้วแน่ๆ
“สู้ๆนะหวานจึ”
สวี่คุนตะโกนมาจากบันไดชั้นล่าง เสียงดังมั่นคงจนน่าไปขอเคล็ดลับการโปรเจคเสียงสักหน่อย เสียดายที่แค่ขยับตัวออกจากที่จื่ออี้ยังทำมันไม่ได้ด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงทำได้แค่ตอบเออออไปเบาๆ เบาเสียจนเป็นไปไม่ได้ที่คนข้างล่างนั่นจะได้ยิน
.
ให้ตายเถอะ
เสียงหัวใจเขายังดังกว่าเสียงพูดตัวเองในตอนนี้เลย
.
______
เธอๆ เราจบปีสองแล้วแหละ กรี๊ดดดดด
จบมาได้ยังไงอ่ะคะ สมองพี่มีอะไรอยู่ข้างในบ้างอ่ะคะ คำตอบคือ ไม่มี!!
ดีใจมากค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจ
อีกคำถามคือเมื่อไหร่NinePercentจะได้เดบิวต์ นี่รอนานละนะคะ ได้โปรดเถิดที่รัก
สปอยล์ตอนหน้านิดนึงว่าจะเฉลยแล้วว่าเจ้าก้อนส้มเป็นตัวอะไร สำคัญต่อคสพของสองคนนี้ไหม ก็นิดนึงอ่ะค่ะ ช่วยติดตามกันด้วยนะ
อีกเรื่องคือเราคิดว่าจะรวมเล่มแหละถ้าแต่งจบจริงๆ น่าจะกลาง-ปลายกรกฎา อยากถามก่อนว่ามีคนสนใจไหม เดี๋ยวได้สัก18-19ตอนจะมาตั้งโพลอีกทีครับป๋ม
#สวี่คุนเป็นโอเมก้า
ความคิดเห็น