ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #20 : .....My wife.....{20}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.52K
      17
      16 ส.ค. 56


    .....My wife..... {20}

    [Grafh]

     “หึ ใช่จริงๆด้วย กว่าจะหาเจอได้นะ” ผมพูดออกมาทันทีที่เห็นร่างเล็กตรงหน้า ความจริงผมรู้ว่าอยู่ที่นี่หรอก ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะเพื่อนผมมันโทรไปบอกว่าเห็นโมสอยู่ที่นี่นะ ผมคงไม่เสี่ยงนรกรีบบึ่งมาที่นี่หรอก เพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทุกครั้งผมจะช้าไปก้าวหนึ่ง กว่าจะหาที่อยู่เขจอ โมสก็ย้ายหนีไปแล้ว แต่คราวนี้ไม่ล่ะนะ ขี้เกียจเล่นวิ่งไล่จับแล้ว

    “กะ...กราฟ” เสียงสั่นๆของโมสทำให้ผมแน่ใจเลยว่า โมสไม่รู้ตัวเลยว่าผมจะมา

    “ทำไม ไม่อยากเจอกูขนาดนั้นเลยหรือไง” ผมพูด แต่คนตรงหน้ากลับมองค้อนมา

    “ก็รู้อยู่ว่าทำไม” เสียงแข็งที่ตอบผมมา รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรเลยแฮะ ร่างเล็กทำท่าว่าจะปิดประตูหนีผม แต่ผมไวกว่า รีบจับประตูไว้ก่อนจะขู่

    “เอาสิ ถ้าคิดว่ากูไม่กล้าพังประตูนี่แล้วลากมึงไปกับกูล่ะก็นะ” ได้ผล โมสชะงักทันที

    “แล้วจะเอายังไง” โมสถามผมแบบเกรงๆ แต่แบบนี้มันก็เข้าทางผมน่ะสิ หึหึ พลาดแล้ว

    “ให้กูเข้าไป” สีหน้าของร่างเล็กที่ทำท่าประหนึ่งโลกจะแตก ทำเอาผมแอบขำอยู่ไม่น้อย กลัวมากขนาดนั้นเลยหรือไง ทำอย่างกับว่าเป็นคนแปลกหน้าอย่างนั้นแหละ

    “มะ..” คนตรงหน้ากำลังจะปฏิเสธ แต่เรื่องอะไรผมจะยอมล่ะ

    “เลือกเอาว่าจะให้กูเข้าไปดีๆ หรือให้กูลากไปหอกู” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ผมเลยถือวิสาสะ เดินเข้าไปเองเลย โมสที่ทำท่าว่าจะห้ามก็เจอกับสายตาขู่ไป เลยต้องยอมอย่างเสียไม่ได้ หึ แบบนี้เห็นแล้วมันอยากแกล้งชะมัด ในขณะที่โมสกำลังผิดประตูนั่นเอง ผมเลยชิงถือโอกาสสวมกอดร่างเล็กจากด้านหลังเต็มวงแขน อย่างเร็วไม่ทันให้คนในวงกอดได้หลบทัน

    “อ๊ะ..” เสียงอุทานเบาๆ กับร่างกายที่แข็งทื่อนั่น ได้ใจผมชะมัดเลย บอกแล้วไงครับ ว่าคนๆนี้น่าแกล้งจะตายไป ถึงจะปากแข็งแค่ไหน แต่เรื่องความหวั่นไหวง่ายนี่ คนนี้เลยล่ะ

     “ตกใจอะไรขนาดนั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูกอดมึงสักหน่อย” เสียงกระซิบของผมที่ข้างหู ทำให้คนตัวเล็กกว่ายิ่งเกร็งกว่าเดิม ผมที่กอดอยู่แบบนี้รู้สึกถึงมันได้เลยล่ะ

    “ตะ แต่มันไม่เหมือนกันนี่ ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” แม้ว่าจะกลัวแค่ไหนแต่ก็ยังกล้าที่จะตอบผมออกมาอีกนะ เอาจริงๆว่าผมไม่ชอบคำนี้เลยจริงๆ ไม่ได้เป็นไรกันงั้นหรอ

    “หึ อีกแล้วนะ พูดแบบนี้อีกแล้ว รู้ไหมว่าคนฟังมันรู้สึกแย่”

    “มันก็ไม่แย่เท่าคนที่เคยโดนหักหลังมาก่อนหรอก” ผมอาจจะทำให้คนตัวเล็กกลัวได้ถ้าเป็นเรื่องอื่น แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็ ผมยอมแพ้เลยจริงๆ ทำไมกำแพงที่คนๆนี้สร้างมันถึงได้หนาแบบนี้นะ แค่ประโยคเดียวมันก็ทำลายคำพูดผมทิ้งได้หมดเลย ทำไมเขาไม่ฟังผมบ้างเลยนะ

    “เฮ้อ ยอมแพ้จริงๆเลยว่ะ” ผมคลายอ้อมกอดออกช้าๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างเงียบๆ ส่วนโมส พอผมคลายกอดถึงกับถอนหายใจออกมา ผิดประตูเสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่โต๊ะเล็กที่โซฟา มีหนังสือ เอกสารมากมายกางอยู่เต็มโต๊ะ ขยันเหมือนเดิมเลยแฮะ

    “งานเยอะหรอ” ผมถามคนที่ก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่แม้แต่จะหันขึ้นมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเลยสักนิด คนบ้าอะไรใจร้ายชะมัดเลย

    “ก็อย่างที่เห็น” โมสตอบผมมาสั้นๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่า ไม่ต้องพูดอะไรอีก

    “ทำไมถึงได้เย็นชาแบบนี้นะ” ผมบ่นออกมาลอยๆ ทำเอาโมสถึงกับหยุดเขียนแล้วหันมามองผมอย่างเหยียดๆ ก่อนจะก้มกน้าลงไปเขียนต่อ ให้มันได้อย่างนี้สิ

    “เย็นนี้ว่างไหม” ผมถาม ตอนนี้ผมพยายามพูดให้ปกติที่สุดแล้วนะ ไม่พยายามทำเสียงแข็งขู่เหมือนที่เคยทำมาแล้วนะ ผมอยากให้โมสเห็นคนเดิม คนที่เคยคบกับโมสคนเก่า

    คนตัวเล็กเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาตอบผมด้วยเสียงเอือมๆว่า

    “ไม่ว่าง ตลอดกาลสำหรับนาย และอย่ามาทำตัวเหมือนตอนที่คบกันอยู่นะ ยอมรับความจริงบ้างเถอะกราฟ เมื่อไรนายจะเลิกตามติดเราแบบนี้สักที ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ไปล่ะ” โมสระบายออกมาอย่างอ่อนใจ ความรู้สึกเบื่อหน่ายที่พรั่งพรูออกมา แม้จะดูเหมือนไม่เป็นแบบไร แต่เจอแบบนี้ผมก็จุกได้เหมือนกันนะ ใช่ ผมคงจะทำแบบนั้นได้ ถ้าผม ไม่ได้ รัก คนๆนี้ล่ะก็นะ

                แต่ก็นะ บางทีคนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องเล่นบทหวานแหววเสมอไปนี่ ซึ่งแน่นอนล่ะนะ ว่าผมก็คนหนึ่ง ผมมองคนตัวเล็กอย่างชั่งใจ โหมดพระเอกในนิยายที่จะต้องง้อด้วยความอ่อนโยนผมว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ในเมื่ออีกคนไม่เล่นด้วยตั้งขนาดนี้นี่

    “นั่นสินะ สำหรับกูมันคงจะไม่มีโอกาสแบบนั้นหรอก” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำเอาโมสถึงกับวางมือแล้วหันกลับมามองผมอย่างระแวง ก็แหงล่ะ เมื่อกี้นี้ผมยังพูดดีอยู่เลยนี่ไม่ทันไรก็เปลี่ยนมาดซะแล้ว  ผมเขยิบเข้าไปไกลคนตัวเล็ก ในขณะที่โมสหันหน้าหนี

    “เลือกเอา จะยอมออกไปด้วยกันดีๆ หรือจะอยู่ในนี้กันสองคน” ผมกระซิบที่ข้างหูของอีกคน ในขณะที่มือข้างหนึ่งกอดคนตัวเล็กไว้ ในขณะอีกที่ข้างจับอยู่ที่ชายเสื้อของอีกคน

    “นี่นาย!!  เสียงดุเอ่ยขึ้นทันที แต่ก็หันมาไม่ได้หรอก หึหึ ขืนเจ้าตัวหันมาหาผมตอนนี้แก้มขาวนั่นก็ได้ชนปากผมพอดีน่ะสิ ก็ตอนนี้คางผมเกยอยู่ที่ไหล่เล็กของโมสอยู่นี่

    “หืม ว่าไง จะยอมให้กูง้อดีๆ หรือจะเป็นเมียกูซะตอนนี้เลย” มือที่จับชายเสื้ออยู่เลิกเสื้อของร่างเล็กขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่มือเล็กๆของอีกคนก็รีบมาจับห้ามไว้ก่อน แต่มันก็ไม่ทันที่ห้ามมืออีกข้างผมไม่ให้ลงไปลูบไล้เล่นตรงที่หน้าท้องขาวเนียนนั่นล่ะนะ หึหึ ตัวสั่นเชียว

    “คะ...คิดจะทำอะไร” เสียงสั่นๆของอีกคนยิ่งได้ใจผมเข้าไปใหญ่ จะบอกตรงๆเลยนะครับ ผมคบกับโมสนี่ ไม่เคยมีเรื่องอย่างว่าอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นเลยสักนิด อย่างมากสุดก็อาจจะแค่นอนกอดกันแค่นั้น ไม่รู้สิ ผมคิดว่าร่างเล็กบอบบางเกินกว่าที่ผมจะทำอะไรรุนแรง รอเจ้าตัวยอมเองก่อนดีกว่า ผมยังไม่อยากเสียเขาคนนี้ไป แต่เวลานี้คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ เพราะเวลานี้คือผมจะทำทุกวิธีให้คนตรงหน้านี้กลับมาเป็นของผมให้ได้ ต่อให้ต้องร้ายมากแค่ไหนก็ตามทีเถอะ

    “แล้วคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างล่ะ” จากหน้าท้องตอนนี้ มือของผมย้ายไปเกาะที่ขอบกางเกงแทน โมสรับปล่อยปากกาออกจากมือมาจับมือผมไว้แทน ทำเอาผมถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆอย่างชอบใจ ทิฐิมากไประวังจะเสียตัวเข้าง่ายๆนะครับ คุณอดีตแฟนแต่ว่าที่เมีย

    พรึ่บ!!

    โมสดึงมือผมออกแล้วรีบลุกยืมขึ้นเต็มความสูงทันที ก่อนจะเดินเข้าห้องไปอย่างเร็ว

    “นั่งรออยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องตามมานะ ไม่นานหรอก” คำพูดทิ้งท้ายนั่นทำเอาผมถึงกับยิ้มออกมาเลยทันที สุดท้ายก็ยอมออกไปจนได้สินะ หึหึ แบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าโมสเลือกอีกทางหนึ่งผมจะกล้าทำอะไรลงไปจริงๆหรือเปล่าเนี่ยสิ

    สักพักไม่นานโมสก็เดินออกมา เสื้อผ้ามิดชิดเหมือนเดิมเลย บางทีผมก็แอบอยากให้โมสใส่เสื้อกล้ามขาสั้นอะไรแบบนี้บ้างนะ แต่ว่า แหม แบบนั้นจะอดใจไหวไหมเนี่ย

    “จะไปกันได้หรือยัง” โมสบอกผมอย่างรีบๆ สงสัยคงรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆเลย แอบเห็นเจ้าตัวหน้าแดงนิดๆตอนรู้ว่าผมจ้องอย่างไม่วางตา แค่นี้ก็อายด้วย

    “ครับผมๆ” ผมพูดตอบรับโมส ลุกขึ้นยืน แล้วแกล้งเดินผ่านเข้าไปใกล้ตัวเข็งทื่อเลๆ แล้วแอบสูดความหอมจากเจ้าตัวไปเล็กน้อย กำไรแค่นิดๆหน่อยๆผมก็เอาล่ะน่า โมสถึงกับยืนแข็งทื่อเลยทีเดียว พอเห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้า รีบคว้ามือของโมสแล้วพาเดินออกห้องไปทันที

    “นี่กราฟ เรื่องอะไรมาจับมือกันเนี่ย” โมสบ่นแล้วพยายามสะบัดมือออก

    “อยู่เฉยๆเถอะน่า จับแค่นี้ไม่สึกหรอไปง่ายๆหรอก” ผมบอกแล้วไม่พูดอะไรต่อ โมสก็รู้แหละน่า ว่าขืนพูดอะไรต่อไป รับรอง ผมไม่พาไปไหนแล้วแน่นอน ได้อยู่กันที่นี่ล่ะนะ หึหึ

     

    [Victor]

    ตอนนี้ผมเดินอยู่กับไอ้จอมปีศาจพาสต้า จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ มันเล่นจ้องผมแบบไม่ว่างตาเลยสักนิด โธ่เว้ย อะไรนักหนาวะ หลังจากที่มันลากผมกลับเข้าห้างมาจนได้ ตอนนี้แม่งก็เดินวนอยู่นั่นแหละ เอาง่ายๆว่าผมจะเดินไปแบบนี้จนกว่ามันจะเบื่อน่ะแหละ

    “นี่ จะเดินเล่นอีกนานไหมเนี่ย”  ไอ้พาสต้าพูดขึ้นมาจากข้างหลังผม

    “ทำไม ถ้าไม่พอใจก็กลับเลยดิ จะได้ไม่เบื่อ” ผมพูดท้าทายอย่าไม่กลัว มึงลากกูกลับเข้ามาเองมึงก็ต้องทนให้ได้ดิ ไอ้พาสไม่ตอบอะไรกลับมา แต่มันกลับมาเดินทำหน้าผมแล้วลากผมเข้าร้านข้างๆไปแทน ผมมองที่มือที่มันจับอยู่อย่างไม่พอใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นมา อ่าเฮ้ย!!

    “อะไรของมึงเนี่ย” ผมพูดออกมาทันทีที่เห็น ร้านขายแผ่นเกมส์ ห๊ะ! มันจะเอายังไงกันแน่เนี่ย อยู่ๆก็ลากผมมาร้านนี้น่ะ แม้ผมจะชอบเกมส์มากแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็ว่านะตอนนี้ผมแสดงท่าทีให้มันดูไม่ได้หรอก ทำไมน่ะหรอ ก็ดูมันจ้องผมตอนนี้สิ เชี่ย มึงจะอ่านใจกูหรอ

    “ตาลุกวาวเชียวนะมึง บังเอิญจริงนะ อยากได้ไรก็ซื้อสิ” ไอ้พาสพูดถามผมเสียงสูง ไม่มีทางเว้ย ไม่สิ ไม่ มันแค่เรื่องบังเอิญ อย่างมึงหรอจะมารู้ใจอะไรเรื่องของกู

    “เรื่องของมึงกูสืบมาหมดแล้ว ทำไมเรื่องแค่นี้กูจะไม่รู้ล่ะ” เหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ไอ้พาสถึงได้เดินมากระซิบผมซะใกล้ ทำเอาผมหันไปมองมันตาขวาง

    “ไอ้…..”  ไม่รู้จะด่ามันว่าอะไรดีนะเนี่ย นี่มันสืบเรื่องผมด้วยหรอ เกินไปนะ แม้จะแอบสงสัยนิดๆ เถอะ เพราะบางเรื่องของผมมันก็รู้มากไปนะ แต่ไม่คิดว่ามันทำจริงนี่

    “ไม่ต้องมามองเลย กูตามสืบเรื่องมึง ตั้งแต่ก่อนมาเจอมึงอีก เหยื่อทั้งคน จะไม่ให้กูรู้เรื่องอะไรเลยหรือไง” ไอ้พาสบอกผมอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเอาผมพูดไม่ออกเลยทีเดียว

    “เอา ว่าไง จะซื้อไม่ซื้อ” มันถามผมอย่างกวนๆ ไอ้นี่ กวนมาแบบนี้ใครจะไปซื้อ

    “ไม่ซื้อโว้ย!!” ผมพูดใส่มันแล้วเดินออกมาเลย ชิ อย่ามาทำหน้ากวนแบบนั้นนะเว้ย

    “ก็งี้แหละนะ เด็กปากแข็ง” ไอ้พาสพูดขึ้นลอยๆ ผมหันไปมองมันตาเขียวเลย

    “ทำไม มองหน้า มีปัญหาอะไรหรือไง” ผมไม่ตอบ ได้แต่ทำท่าฮึดฮัดแล้วเดินต่อไป ชิ ไอ้บ้านี่มันสืบได้ถึงไหนนะ ผมหวังแต่ว่าความลับสุดยอดยางอย่าง มันจะไม่รู้นะ บางเรื่องก็มีแต่ได้เซนท์เท่านั้นแหละที่รู้ ทำไมน่ะหรอครับ ก็ไอ้บ้านั่นมันเคยบุกเข้าห้องผมมาแล้วนะสิ เรียบร้อยเลย ความลับสุดยอดของผม ดีนะที่มันไม่ใช่คนที่พูดมากอะไร ไม่งั้นแย่แน่ๆ

    “เดี๋ยว!..” เสียงมันเรียกผมพร้อมกับดึงแขนผมไว้ ไอ้พาสหันหน้าไปมองร้านข้างๆ ทำเอาผมตาโตขึ้นมาทันที เห้ย!! อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้มึงก็รู้อ่ะ ค้างเลยสิครับ  ชิบหายละไง

    “นี่มึงไม่คิดจะหาไรกินเลยหรือไง” หา อะไรนะ ผมมองหน้าไอ้พาสแบบงงๆ

    “มองหน้าอีกล่ะ ไอ้นี่ เดี๋ยวกูให้มึงมองทั้งคืนเลยนี่ แต่ใต้ตัวกูนะ” ประโยคหลังไอ้พาสดึงผมมาประซิบเบาๆครับ เอารับผลักมันออกเลยในทันที

    “เหอะ ฝันกลางวันหรือไงวะ” ยิ้ม ครับมันยิ้ม ยิ้มอ้อนตีนกูหรือไง ไอ้เวรนี่ โอ้ย! ผมเกลียดมันครับ เมื่อไรมันจะไปให้พ้นๆหน้าผมสักทีเนี่ย

    “แค่นี้ก็เขิน” อีกแล้ว มันพูดลอยๆเหมือนไม่ได้พูดให้ผมฟัง แต่ตามึงนี่มองกูชัดๆ

    “เขินตีนกูก่อนไหมล่ะ” ผมโต้กลับเสียงแข็ง ไอ้พาสทำท่าถอนหายใจ

    “พูดไม่เพราะเลยมึงเนี่ย แค่กูถามว่าหาไรกินกันไหม นี่ ถึงกับเล่นตีนเลยหรือไง”

    “อย่างกับมึงพูดเพราะตายแหละ อยากแดกไรก็ไปแดกเองสิวะ กระเพาะไมได้ติดกัน”

    “แต่กูจะให้มึงไปกับกูด้วย” มุมปากที่ยกขึ้นเป็นเชิงเยาะเย้ย ผมที่แทบอยากจะวิ่งเข้าไปต่อยสักทีจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ข้อมือผมโดนมันล็อคอยู่ละก็นะ

    “แล้วมันเกี่ยวไรกูมิทราบ” ผมเถียงมันกลับ  ไอ้พาสเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือมากขึ้น จนผมต้องกัดฟันแน่น เรื่องไรทำหน้าเหยเกให้มันเห็นล่ะ แต่ไอ้บ้านี่ แรงแยอะไปแล้วนะโว้ย

    “ก็บอกแล้วไงมึงต้องไปกับกู หูหนวกหรือไง”

    “แต่กูไม่หิว มึงหิวก็ไปเอง ยุ่งกับกูทำเชี่ยไร” ผมโกหกไปงั้นแหละ เพราะมัวแต่นั่งฟังไอ้เซนท์คร่ำครวญ ตอนเที่ยงผมเลยได้กินไปนิดเดียวเอง แต่ผมทนได้น่า ไม่กินกับได้บ้านี่หรอก

    “แล้วกูถามมึงหรอว่าหิวไม่หิว กูสั่งมึงต้องไป  จบไหม”ไม่รอให้พูดต่อมันก็ลากผมไปทันทีเลยครับ เชี่ยนี่แม่ง เคยฟังอะไรกูบ้างไหมวะ ไอ้จอมเผด็จการเอ้ย!! อย่าให้ถึงตากูบ้างนะ

    ไอ้พาสลากผมเข้ามาที่ศูนย์อาหาร แทนที่มันจะเข้าร้าน แต่แบบนี้ก็ดีนะ หึหึ พื้นที่มันกว้าง จะไปไหนมาไหนมันก็สะดวก เสร็จกูล่ะมึง ผมหันมองไปมาอย่างยิ้มๆ

    “เอ้า จะซื้ออะไรก็ไป” ไอ้พาสที่ซื้อบัตรเรียบร้อยยิ่นมาให้ผมใบนึง ผมรับบัตรมาแล้วมองอย่างยิ้มๆ นี่มึงโง่หรือเปล่าวะที่พามาที่แบบนี้เนี่ย รู้จักคนอย่างไอ้วิคเตอร์น้อยเกินไปแล้ว

    “อ้อ อีกอย่างนะ...” ไอ้พาสหันมาบอกผมอย่างยิ้มเหมือนกันครับ เหี้ยละ ยิ้มเชี่ยไรมึง

    “อะไร...” พอเห็นมันยิ้มอย่างเดียว ผมแม่งขัดใจอ่ะ เลยถามมันออกไปตรงๆ ไอ้พาสเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมหว่าเดิมก่อนจะพูดเสียงเบาที่มีแต่ผมที่ได้ยิน

    “คิดจะหนีอยู่ใช่ไหม” ไอ้พาสพูด ทำเอาผมผงะเลย เฮ้ย มึงอ่านใจกูออกหรือไงวะ ไอ้พาสมองหน้าผมยิ้มๆ แล้วจับไหล่ผมให้กลับไปฟังมันพูดต่อ

    “อย่าคิดหนีล่ะ คงยังจำได้ใช่ไหม ว่าล่าสุดที่มึงหนีกู มึงเจอกับอะไรบ้าง....” แค่นั้นแล้วมันก็ปล่อยมือผมแล้วเดินไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างอยู่ !!!!!!!! คิดอยู่ว่าทำไมมันไม่กลัวผมหนี ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง อ๊ากกกกก  ผมอยากจะฆ่ามันให้ได้เสียตรงนี้เลย เจอแบบนี้ไป คิดหรอว่าผมจะโง่หนีมันไปน่ะ ผมไม่ลืมหรอกนะ ว่ามันทำอะไรกับผมไว้บ้างน่ะ ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ผมได้แต่กำหมัดแน่น แล้วเดินเข้าศูนย์อาหารไปอย่างขัดใจ ถ้าจะถามว่าทำไมผมต้องไปกลัว งั้นถามกลับเลยครับ ว่าเอาอะไรคิดว่าผมจะหนีมันพ้นน่ะ ยิ่งมันขู่แบบนี้แล้วด้วย

    โธ่เว้ย!!!!!

     

    [Pasta]

                ผมมองหน้าไอ้คนตัวเล็กอย่างสะใจ สุดท้ายมันก็ไม่โง่ถึงขนาดจะหนีไปไหนจริงๆด้วย ไอ้ตัวแสบก้มหน้านั่งกินข้าวอย่างเดียวเลย แล้วเมื่อกี้หมาไหนบอกไม่หิววะ เอาจริงๆว่าเมื่อกี้ใจผมนี่แทบหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยตอนที่มันมาเจอผมน่ะ ความจริงแฟร์เป็นน้องสาวผมจริงๆนั่นแหละครับ ไม่ใช่น้องจริงนะ แต่เป็นญาติกัน แต่เรื่องเป็นมายังไงผมไม่ขอบอกตอนนี้ละกัน ความจริงก็ว่าจะลากไปอธิบายเฉยๆละนะ แต่พอเห็นไอ้ตัวแสบนี่เถียงอยู่นั่นแหละ ปากกับการแสดงออกไม่ตรงกันสักนิด ผมเลยขอแกล้งมันหน่อยดีกว่า ส่วนเรื่องที่ผมรู้อะไรเกี่ยวกับไอ้เด็กนี่บ้างนั้น ไม่ขอบอกละกันครับ  แต่ก็มากกว่าที่ไอ้วิคเตอร์คิดอยู่ละกัน

                “หึ ไม่หนีแล้วหรือไง” ผมแกล้งถามคนตรงหน้า ไอ้วิคเตอร์มองค้อนผมก่อนจะตอบ

    “กูไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ”  แล้วก้มหน้าต่อไป อ่าว ไอ้นี่

    “แล้วเมื่อกี้ใครมันทำท่าเหมือนจะหนีก่อนเองล่ะ”

    “หุบปากไปซะมึงอ่ะ” ไอ้ตัวเล็กพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์สุดๆเลยล่ะ

    “ปากเก่งนักนะมึง คิดว่าตัวเองเป็นต่อมากนักหรือไง ถึงได้ด่าเอาๆเนี่ย”

    “เสือก ไอ้สัส คิดว่ากูกลัวมึงมากนักหรือไง”

    “กลัวไม่กลัว ที่แน่ๆ ตอนนี้มึงไม่กล้าหนีกูล่ะวะ” เงียบเลยครับ ไอ้วิคเตอร์ไม่เถียงต่อเลย

    “หึหึ เงียบเลยนะมึง เออ วันนี้กูพอละ กินเสร็จกลับเลยก็ได้”  พูดจบ ไอ้วิคเตอร์ก็มองหน้าผมอย่างกับเป้นตัวประหลาดเสียอย่างนั้น มันน่าตกใจอะไรมากมายเนี่ย กับคำพูดผมอ่ะ

    “มึงพูดจริงอ่ะ” ไอ้วิคเตอร์ถามผมเพื่อนความแน่ใจของมัน

    “เออ สิวะ ทำไม หรือมึงอยากอยู่ต่อหรือไง” ผมแกล้งหยอกมันเล่น

    “อยู่ต่อแม่งก็โง่ละ กลับดิวะ” ดูมันตอบดิครับ ปากแบบนี้แม่งมันน่าจูบ(?)สักทีไหมล่ะครับ หึหึ พอกินเสร็จ ไอ้วิคเตอร์ก็ลุกเดินทันทีเลยครับ ส่วนผมเองก็ลุกตามมันไป รีบเลยนะมึง

    “โอ้ย!! ไอ้บ้านี่ มึงจะตามกูมาทำไม” มันหันหลังมาว่าผมทันทีเลยพอออกเดินไม่กี่ก้าว

    “ใครบอกกูตามมึง กูก็จะเดินไปรถกูต่างหาก” หน้าไอ้เด็กนี่เหวอเลยครับ สะใจชะมัด ไอ้ตัวเล็กทำท่าฮึดฮัดแล้วเดินต่อไป โดยมีผมเดินตามอยู่ห่างๆ จะด่าผมก็ด่าไม่ได้ล่ะนะ

    “อ่าว ถึงที่จอดรถแล้วจะไปไหนก็เรื่องของมึงสิวะ ตามมาทำอะไรอีกล่ะ” ทันทีที่ออกประตูมาแม่งมันก็ว่าให้ผมอีกอ่ะ ปากร้ายเกินไปแล้วนะ

    “ก็จะไปไหนก็เรื่องของกูไง มึงนั่นแหละ ยุ่งอะไรด้วย” โดนไปอีกดอก สำหรับไอ้ตัวแสบ ไอ้วิคเตอร์ทำท่าเจ็บแค้นผมก่อนจะเลี่ยงเดินไป ผมก็เดินตามมันไปอีกนั่นแหละ พอถึงรถ ผมก็จัดการกางแขนกั้นไอ้ตัวเล็กนี่ทันทีเลยครับ ไอ้วิคเตอร์รับกลับหลังหันมาจ้องหน้าผมทันที

    “มึงจะทำอะไร” มันถามผมเสียงแข็ง แต่สายตาดูก็รู้ว่าแอบกลัวอยู่ ผมก้มลงไปที่ข้างหูของไอ้วิคเตอร์ ในขณะที่มันเบี่ยงตัวหลบเต็มที่ แต่วงแขนผมกางไว้แบบนี้จะหนีไปไหนได้ล่ะ

    “หึ ทำตัวให้น่ารักหน่อยสิ ไม่แน่ว่ากูอาจจะใจดีด้วยกว่านี้ก็ได้นะ” 

    “ไปตายเหอะว่ะ ไอ้...อ๊ะ” ทันที่ที่ปากเล็กนั่นด่าผม ก็ต้องหยุดทันทีเพราะสัมผัสที่แก้มใสนั่น ถูกแล้วครับ ผมหอมแก้มมันเองแหละ ไอ้วิคเตอร์ทำท่าจะด่าผมอีกรอบให้ได้ แต่ก็กลัวอยู่ว่าจะเจออะไรมากกว่านี้ เลยได้แต่ทำท่าฮัดฮัดไม่พอใจอยู่อย่างเดียวเลย

    “ถ้าไม่ติดว่ามีกล้องนะครับ พี่จะจูบวิคเตอร์หนักๆเลย” ผมบอกมันอีกครั้งครับ ไอ้วิคเตอร์ยืนอึ้งแดกเลยไงล่ะ ผมปล่อยแขนออกพร้อมกับรอยยิ้มชนิดที่ว่าถ้าเป็นผู้หญิงคงมีเขินแน่ๆล่ะ แต่คงไม่สำหรับไอ้เด็กนี่แน่ เพราะทันทีที่ผมเดินออกมามันก็ด่าผมตามหลังมาทันทีเลยครับ

    “ไอ้บ้าพาส!!! ไอ้โรคจิต!!!  อย่างให้ถึงตากูบ้างนะเว้ย!!!

     

    [Mozz]

              จนสุดท้ายผมก็ต้องยอมออกมากับนายกราฟจนได้สิน่า ผมไม่รู้ว่านายคนนี้เจอผมได้ยังไง แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้ผมไม่ได้รู้สึกตัวก่อนเลย กว่าจะรู้ตัวผมก็โดนหาเจอเสียแล้ว เลยทำให้ตอนนี้ผมต้องมานั่งหน้าบูดอยู่ร้านอาหารโดนมีคนที่ลากผมมานั่งอยู่ตรงข้ามนี่ไงล่ะครับ

                “ทำไม ออกมากับกูแค่นี้มันจะตายมากหรือไง” นายกราฟพูดกับผมอย่างหัวเสียเบาๆ

    “นายเป็นคนบังคับเราออกมาเองนะ มันน่าดีใจตรงไหนหรือไง” ผมไม่ถามต่อล้อต่อเถียงกับคนๆนี้เลยสิน่า เพราะไม่ว่าจะยังไงผมก็รู้ตัวว่าผมแพ้ แพ้จริงๆเลยสำหรับคนนี้

    “ต้องเป็นน้องเซนท์นั่นหรือไง ถึงจะยิ้มร่าได้แบบนั้นน่ะ” กราฟพูดประชดผมกลับมา

    “เกี่ยวอะไรกับเซนท์ด้วย” ผมขมวดคิ้วถามคนตรงหน้า

    “แหม ปกป้องมันเชียวนะ ไอ้เด็กเวรนี่น่ะ ทำไม ชอบมันมากหรือไง” อึก! ผมชะงักไปเล็กน้อย ตามความจริงเลยนะครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมกับเซนท์อยู่ในสถานะของอะไรกัน ผมพอจะรู้เรื่องกับเซนท์มาพอควรนะครับ แต่ที่แปลกคือสิ่งที่ผมได้ยินมา ผมไม่เคยเจอกับตัวเลย เซนท์ไม่เคยทำอะไรเลยเลยจริงๆนะครับ อย่างมากก็แค่กอด หรือหอมแก้ม แต่ไม่มีจูบเลย แต่เวลาที่มีคนทักว่าเป็นแฟนกัน ผมก็มีเขินบ้างละนะ ก็เซนท์เล่นดูดีตั้งขนาดนั้นนี่นา

    “ปะ..เปล่านี่” ผมตอบไปอย่างอึกอัก ก็จะให้ตอบว่ายังไงล่ะครับ ในเมื่อผมกับเซนท์ต่างคนก็ต่างไม่รู้สถานะตัวเองเลยนี่นา เราสองคนเข้ากันได้ดีนะครับ แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลย

    “เสียงสั่นเชียวนะมึง  หึ นอนกับมันแล้วหรือไง”

    “พูดจาร้ายกาจเกินไปนะนายน่ะ!!” ผมมองกราฟอย่างไม่พอใจ

    “ทำไม กูพูดผิดตรงไหนหรือไง หรือมึงจะบอกว่า มึงกับไอ้เด็กนั่นไม่ได้คิดอะไรกันเลย” แม้คำพูดจะร้ายกาจแค่ไหน แต่สายตาที่มองมา มันเหมือนกับจะตัดพ้อผมมากกว่าจะว่า

    “อยากคิดอะไรแบบไหนก็ตามใจนายเถอะ แต่เรากับเซนท์ไม่เคยมีอะไรกันเกินเลย”

    “ขอให้มันจริงเถอะ” กราฟพูดด้วยเสียงเบา แล้วเลือกที่จะหันมองไปทางอื่นแทน ผมรู้ว่ากราฟต้องการอะไร แต่ในเวลานี้ผมไม่พร้อมที่จะคิดเรื่องแบบนี้จริงๆ มันเหมือนผมยังเจ็บกับเรื่องเก่ามากกว่า ผมยอมรับว่า ผมไม่รู้จริงๆถึงที่มาของเรื่องนั้น แม้กราฟจะบอกว่าไม่มีอะไร แต่คนที่เห็นภาพแบบนั้นมากับตา ยังไงก็ยากที่จะลบเลือนออกไปได้ง่ายๆนะครับ

    ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน กราฟไม่พูดอะไรอีกเลย จนกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ ผมไม่ได้สั่งเลยนะ นายคนตรงหน้าผมนี่สั่งเองล้วนๆ และก็แน่นอนละครับ จะเป็นอะไรไปได้อีก ถ้าไม่ใช่ของโปรดของผมละนะ กราฟไม่ใช่คนที่อดทนจะหวานได้ตลอด ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ คนอารมณ์ร้อนแบบกราฟ คิดจะดี ก็ได้แป๊ปเดียวเองนั่นแหละ ไม่ใช่เพราะนิสัยแย่ แต่ผมจะบอกให้เลยนะครับ หมอนี่น่ะ ขี้อายแถมขี้หึงสุดๆเลยล่ะ แม้บางทีจะดูโหดๆไปบ้างก็เถอะ

    “มองอะไร” ร่างสูงถามผมเสียงแข็ง นั่นไงล่ะครับ พอเจอผมมองเข้าหน่อยก็ทำท่าไม่พอใจซะงั้น เจอแบบนี้มากเข้าผมก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ

    พอทานข้าวเสร็จ เราสองคนก็ไม่ไปที่ไหนต่อครับ นั่งทานของว่างต่อใจร้านนั่นแหละ กราฟเป็นคนสั่งมาให้ผมครับ นายคนนี้เขาไม่ชอบทานของหวานน่ะครับ จนกระทั่งเสร็จแล้ว กราฟก็พาผมกลับหอทันทีโดนปราศจากการคำพูดใดๆ ความอึดอัดที่เกิดจากความเงียบ ยังคงมีอยู่ตลอดทางกลับ มีแค่นี้จริงๆแหละครับ ก็แน่สิครับ ก็มากับคนเอาแต่ใจแบบนายคนนี้นี่

    “เอ้า ถึงแล้ว” กราฟบอกผมทันทีที่รถจอดถึงหน้าหอพักของผม เขาไม่มองหน้าผมเลย

    “ไม่ลงไปหรือไง” พอเห็นผมไม่ลง นายนี่ก็ทำท่าจะขึ้นเสียงทันทีเลย ผมหันไปมองแล้วถอนหายใจ มือของผมเปิดประตูออกไป แต่ก่อนที่จะก้าวลงรถ  มือหนาของใครอีกคนก็คว้าแขนของผมให้หันหน้าไปหา กราฟมองหน้าผมด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

    “กราฟ” ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าออกมาเสียงแผ่ว ผมไม่ชอบเลย ความเงียบแบบนี้น่ะ

    มือหน้าอีกข้างปล่อยออกมาพวงมาลัยรถเลื่อนมาที่ท้ายทอยของผม ก่อนที่ร่างสูงจะดึงตัวผมเข้าไปหา พร้อมกับริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาบนรัมฝีปากของผม ท่ามกลางความเงียบ ผมกับกราฟต่างคนต่างหลับลงช้าๆ ราวกับจะนึกถึงอะไรบางอย่างที่ขาดหายไป  จูบที่อ่อนโยน จูบที่ผมเคยได้รับเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีความรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา ราวกับต้องการย้ำเตือนให้รู้ถึงการรอคอยที่แสนนาน ผมปล่อยให้ลิ้นของกราฟทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างไม่มีการขัดขวางใดๆ ผมไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั้งกราฟถอนริมฝีปากออกไปอย่างช้าๆ  นั่นแหละ

    ทันทีที่ลืมตาขึ้น เราสองคนต่างก้มหน้าอย่างเดียวเลย ต่างคนต่างไม่กล้ามองหน้ากัน มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!! ทำไมผมถึงเผลอใจไปได้ถึงขนาดนั้นกัน ทำไมผมถึงอ่อนไหวต่อหน้ากราฟได้ถึงขนาดนี้กันล่ะ ทั้งๆที่ผมควรจะอยู่ให้ห่างเขามากที่สุดไม่ใช่หรอ

    “กับเด็กเซนท์นั้นไม่มีอะไรจริงๆใช่ไหม” กราฟถามผมขึ้นเสียงเบา ท่ามกลางความเงียบในรถ ตอนนี้ผมไม่รับรู้อะไรแล้วเนี่ย ไม่ระแวงเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครเห็นเราสองคนไหม

    “อืม” ผมตอบกลับไปแค่นั้น ทำไมมันถึงเงียบได้แบบนี้เนี่ย ผมกลัวนะ

    “ดีแล้วล่ะ ไปเถอะ” ผมพยักหน้ารับคำของกราฟ ก่อนจะลงรถไปอย่างเงียบๆ แล้วเดินเข้าหอพักไป ส่วนกราฟก็ขับรถออกไปทันที ปล่อยให้ผมเดินอยู่กับความคิดตัวเองคนเดียว นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวแบบนี้น่ะ คงตั้งแต่ที่ผมเดินจากเขามานั่นแหละมั้ง

    คิดกันจริงๆหรอครับ ว่าเวลาแค่ ปีกว่า จะทำให้คนเรา ลืม “ความรัก” ได้จริงๆน่ะ


    **********************************************************

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับผม


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×