คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : คำขอร้อง
ฉันนึกประหวัดไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง...ตอนที่ฉันยังคงเป็นเด็ก
“ฉันคิดว่าหลังจากที่จบประถมแล้วจะให้ลูกไปเรียนต่อในเมืองนะ” แม่ของฉันพูดขึ้น ขณะที่ฉันกับพ่อหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็กๆ ตรงมุมโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ที่ไหนหรือคุณ?” พ่อเอ่ยถาม พลางตักผัดผักลงบนจานข้าวสวยร้อนๆ
ฉันชะเง้อคอมองกับข้าวสองสามอย่างที่แม่ทำ มีผัดผักที่เต็มไปด้วยแครอทหั่นเป็นเส้นๆ ถั่วงอก เห็ดหูหนู และ กะหล่ำปลีสีเขียวๆ ไข่เจียวหมูสับฟูๆ รวมไปถึงต้มจืดกระดูกหมูในชามกระเบื้องปากกว้างก้นลึกที่มีควันลอยกรุ่น ทุกอย่างดูน่าทานจนฉันตาวาว
“ที่อยุธยาค่ะ น้องสาวฉันทำงานอยู่ที่นั่น เธอเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดให้แก่บริษัทนำเข้าเครื่องสำอางรายใหญ่ ฉันเกริ่นเรื่องนี้กับน้องแล้ว เธอดูแลลูกของเราได้” แม่ชี้แจงขณะรินน้ำเย็นในเหยือกใส่แก้วใบใสลายดอกทานตะวันให้ฉัน และลายกุหลาบแดงให้แก่พ่อ
“ทำไมเราต้องส่งลูกไปไกลหูไกลตาขนาดนั้นล่ะคุณ?”
“ฉันไม่อยากให้ลูกอยู่ที่นี่!” แม่กระแทกเหยือกลงบนโต๊ะอาหารทรงกลมจนน้ำกระเฉาะหกลงผ้าปูพลาสติกฉลุลายสีขาว ฉันตกใจที่จู่ๆ แม่ก็เสียงแข็งขึ้นมา
“คุณใจเย็นก่อนสิ”
“ฉันจะไม่มีวันยอมให้ลูกอยู่ที่นี่หรอกนะคะคุณ”
น้ำตาฉันปริ่มเหมือนจะไหล ขณะเงยหน้ามองแม่เห็นเธอยืนหลังตรงค้ำหัวของพ่อ ดวงตาโตจ้องประสานกับสายตาของอีกฝ่ายที่ก็มองจ้องมาทางเธอเช่นกัน สองมือของแม่ที่อยู่แนบลำตัวกำแน่นและสั่นระริก
“คุณนั่งลงก่อน” พ่อเตือน
ฉันรู้ว่าพ่อเองก็ตกใจเช่นกัน เพราะแต่ก่อนแม่ไม่ใช่คนแบบนี้จนมาช่วงหลังๆ นี่ล่ะที่ท่านหลุดแสดงอาการเครียดโดยไม่ทราบสาเหตุออกมาบ่อยครั้ง
แม่ค่อยๆ นั่งลงตรงที่ประจำของเธอ ร่างนั้นยังคงสั่น
“คุณก็รู้นี่คะว่าที่นี่เป็นยังไง” เธอหันไปคุยกับพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ พ่อวางช้อนส้อมลงและกอดอกรับฟัง ฉันแลเห็นเสี้ยวหน้าของแม่ และเส้นผมดำยาวถึงกลางแผ่นหลังขยับไหว มือข้างหนึ่งวางลงบนตักเหนือผ้ากันเปื้อนเก่าๆ ที่เปรอะไปด้วยคราบเขม่าก้นหม้อสีดำส่วนอีกข้างเธอยื่นไปเกาะแขนที่กอดอกอยู่ของพ่อและพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าฉันขอร้องละกันค่ะ”
“คุณน่ะคิดมากเกินไปนะที่รัก” พ่อยกมือซ้ายมากุมมือเรียวของแม่ไว้
ฉันแอบเหลือบมองดวงไฟเล็กๆ สีขาวอยู่เหนือโต๊ะอาหาร มีแมลงเม่าตัวน้อยบินหลงเข้ามาหาแสงบินเข้าถอยออกตอมหลอดแก้วนั้น
“ฉันกลัวว่าลูกเรา...” เสียงของแม่ขาดห้วงไป ระหว่างที่ฉันเฝ้ามองพฤติกรรมอันน่าฉงนของเจ้าแมลงเม่าอย่างสนอกสนใจ
“ฉันกลัวว่าลูกเราจะตกอยู่ในอันตราย....”
“ถึงแม้ว่าหมู่บ้านนี้จะไกลปืนเที่ยงและไม่เหมือนที่อื่นๆ เค้า แต่ก็คงไม่เลวร้ายอย่างที่คุณคิดหรอก....คุณอย่ากังวลไปเลยนะอย่างน้อยตราบใดที่ลูกมีเราอยู่เค้าจะต้องปลอดภัย”
“กรคะ เราสองคนไม่อาจจะจับตาเฝ้าดูแลลูกได้ตลอดเวลาหรอกนะคะ...และฉันก็ไม่รู้ว่าพวกคนอื่นๆ จะมาจับตัวเธอไปเมื่อไหร่”
“นี่คุณรู้...คุณรู้ได้ยังไง!” พ่อเสียงแข็งขึ้นมาทันที ดวงตาโตใต้เรียวคิ้วเข้มลุกวาวด้วยความตกใจ
ฉันได้ยินเสียงเปรี๊ยะ เบาๆ ก่อนที่ไฟจะดับวูบลงเพียงวินาทีแล้วจึงส่องสว่างขึ้นมาใหม่
เจ้าแมลงนั่นหายไปแล้ว….
“สิ่งที่คุณพยายามปกปิดฉันตลอดมา ฉันรู้ ฉันเห็นหมดแล้วค่ะ... ‘ธินกร’ คุณจะให้ลูกอยู่ในที่ๆ อันตรายแบบนี้ได้ยังไงกันคะ” เสียงของแม่สั่นเครือ
“เรื่องพรรค์นั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับลูกของเราเป็นอันขาด…แต่ถ้าคุณไม่สบายใจเราจะส่งยัยริณไปเรียนต่อในโรงเรียนประจำในอำเภอเมือง” เสียงของพ่อฟังดูขุ่นเครียด แต่ในภาวะตรงนั้นฉันกลับสนใจสิ่งอื่นมากกว่าที่จะไปตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาทุ่มเถียงกัน
ฉันพยายามกวาดตามองหา เจ้าแมลงสีน้ำตาลตัวน้อยนั่น ‘มันบินไปไหนแล้วนะเร็วจัง?’
แต่แล้วเมื่อเลื่อนสายตาลงไปยังชามต้มจืด ฉันก็แลเห็นบางสิ่งบางอย่างดิ้นไหวอยู่บนผิวน้ำซุป
คราบมันเกาะปีกใสและตัวของแมลงเม่าก็กลายเป็นสีดำเมี่ยม ‘มันคงถูกไฟช็อตตกลงมา’ มีเพียงเท้าเล็กๆ ที่ชี้แข้งชี้ขาตะเกียกตะกายบอกให้รับรู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ และกำลังดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
“ลูกเรียนโรงเรียนประจำ มาพอแล้วนะคะ และฉันอยากให้เธอไปอยู่กับคนที่ไว้ใจได้ และพร้อมที่จะดูแลริณเป็นอย่างดี”
แม่กำลังพูดถึงน้องสาวเพียงคนเดียวของเธอที่อายุห่างกันห้าปี คุณน้าลดาแต่งงานมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีลูก ฉันรู้แต่เพียงว่าเธอเป็นคุณน้าใจดีคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในอยุธยา ที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป...ไกลจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่เราอยู่
“ทำอย่างนั้นก็เหมือนกับยกลูกของเราให้คนอื่นน่ะสิ....ผมไม่เห็นด้วย….ผมรักลูกมากนะ ‘รัน’ ”
“แล้วฉันไม่ได้รักลูกอย่างนั้นเหรอคะ...” แม่ลุกขึ้นพรวดพราด แม้เสียงของเธอจะสั่นเครือแต่ก็ฟังดูเด็ดเดี่ยวอย่างที่สุด
“แล้วการที่เราให้เธอไปเรียนโรงเรียนประจำอย่างที่ทำอยู่นี่มันไม่ได้เหมือนกับการยกลูกให้คนอื่นอย่างนั้นเหรอคะ”
“แต่อย่างน้อยลูกก็ยังอยู่ใกล้เรา และเราก็สามารถไปหาเธอเมื่อไหร่ก็ได้” พ่อให้เหตุผล
“คุณคะ...อีกหน่อย ลูกก็จะต้องโตขึ้น เธอจะต้องเข้าเรียนมัธยม เรียนมหา’ลัย เราจะให้ลูกอยู่’ประจำไปตลอดชีวิตได้ยังไงกัน สักวันหนึ่งเธอก็จะต้องไปจากที่นี่ และเธอควรจะไปจากที่นี่”
พ่อปรายตามาดูฉันแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นพยายามเข้าไปโอบกอดแม่เผื่อปลอบโยน แต่อีกฝ่ายกลับปัดป้องและดันตัวพ่อออกห่าง
ฉันได้แต่นั่งตัวแข็งทื่ออาการชาแล่นวาบไปทั่วร่าง เพราะความตระหนกตกใจ เพียงแต่ฉันไม่ได้ร้องไห้เหมือนกับแม่ในตอนนี้
“รันใจเย็นก่อน เราค่อยๆ หาทางแก้ไขไปดีมั๊ย ผมว่าบางทีคุณอาจจะคิดมากไปเอง เครียดไปเอง ทั้งๆ ที่ความจริงมันอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิด”
“ก็มีแต่คนในหมู่บ้านนี้เท่านั้นแหละค่ะที่คิดแบบคุณ” แม่แผดเสียงก่อนจะปาดน้ำตา “กรคะ คุณเองก็เคยเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ คุณพาฉันมาอยู่ที่นี่...เพราะฉันรักคุณ...ฉันเลยยังคงอยู่ที่นี่เพื่ออยู่เคียงข้างคุณ”
“แต่สำหรับลูกสาวเพียงคนเดียวของเรา...ให้เธอไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้เถอะค่ะ...ถือว่านี่เป็นสิ่งเดียวและสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะขอร้องจากคุณ”
พ่อมีท่าทีอ้ำอึ้งและนิ่งงัน เสียงฝนตกกระทบลงบนหลังคาดังกราวใหญ่ก่อนจะไหลลู่ลงมาตามร่องหลังคาไม้เป็นสายน้ำ ชั่วขณะที่เสมือนเวลาจะหยุดนิ่ง แม่ก็ประกาศกร้าวขึ้นมา
“แต่ถ้าคุณไม่ยอม ฉันก็จะเป็นคนหยุดความชั่วช้าของหมู่บ้านนี้เอง” พูดเสร็จแม่ก็สะบัดร่างเดินปึงปังกลับเข้าไปในครัว
ณ เวลานั้น...ฉันไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าสิ่งที่พ่อและแม่ทุ่มเถียงกันอยู่เป็นนานสองนานนั้นมันคืออะไร ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วิถีชีวิตของฉันต้องแปรเปลี่ยนไปในเวลาต่อมา
หลังจากที่แม่เดินออกไปแล้ว พ่อก็หันมามองฉันด้วยแววตาเหมือนกำลังครุ่นคิดหนัก ฉันหลบสายตาอันน่าอึดอัดนั่น ทำทีเป็นยกช้อนตักแมลงเม่าออกจากถ้วยกระเบื้อง และทิ้งซากของมันลงบนกระดาษทิชชู่ที่วางรองไว้ ก่อนจะลงมือรับประทานอาหาร
ดูเหมือนเจ้าแมลงตัวนั้นจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนอีกต่อไป ร่างสีดำของมันแข็งทื่อ และหงิกงออยู่ในท่านั้น ชีวิตของสัตว์ตัวน้อยๆ ดับมอดลงอย่างง่ายดาย และน่าเวทนายิ่ง
ความคิดเห็น