ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ต่อจากตอนที่แล้ว
ภพที่อำพรางซ้อนกันอยู่หลายชั้น พระศรีอาริย์ท่านก็ประกาศถึงแผนงานช่วยเหลือชาวโลกพร้อมกับสร้างแผ่นดินในยุคพระศรีอาริย์ ต่อหน้าที่ประชุมเทพ เป็นเช่นนั้นเสมอ และช่วงเวลาขึ้นสิบห้าค่ำใกล้วันพระก็จะเสด็จไปนมัสการเจดีย์สีเขียวแท่งทึบ บนสวรรค์ชั้นดุสิตที่มีชื่อว่า จุฬามณีเจดีย์
ภาระของพระองค์ที่เป็นภาพในยุคซ้อนระหว่างยุคในศาสนาของพระองค์ กาลเวลาเชื่อมติดกัน พระองค์สามารถมองแลลอดอดีตกาลและอนาคตกาล รู้ว่าสิ่งที่จะบังเกิดในศาสนาของพระองค์เป็นเช่นไร ก็แสงประกายธรรมจักรแก้วจักรทอง แก้วมังกรที่เป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ อันมีพระองค์เป็นเจ้าของ ได้เปล่งประกายแสง รวมทั้งดวงจิตแห่งพระศรีอาริย์ก็ถูกเปล่งแบ่งจิตแบ่งภาคกำเนิดให้ลอยล่องไปทั่วนภากาศจักรวาล เป็นหมื่นๆล้านดวง
ในโครงการที่เรียกว่า ทุกศาสนาเมื่อรวมตัวแล้วเป็นหนึ่ง ทุกสิ่งอยู่ที่ใจ ต้นธาตุกำเนิดมาจากที่เดียวกันความบริสุทธิ์ดีงามแต่เริ่มต้นที่เหล่าวิญญาณของมนุษย์เราบังเกิด เพราะทุกสรรพสิ่งจุติมาจากดินฟ้า หากเอ่ยพูดกันแล้วคงไม่เข้าใจ แค่คำพูดมันไม่สามารถยืนยันได้ ก็สุดแท้แล้วแต่ท่าน เพราะจิตศรัทธาเหล่านี้จะบังเกิด เฉพาะผู้ที่บำเพ็ญธรรมอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นไม่แปลกที่จิตเหล่านี้จะบังเกิดเฉพาะคนบางกลุ่มบางเหล่า ที่เข้าถึงธรรมและนิพพาน รวมทั้งปรารถนาซึ่งนิพพาน เพราะการปรารถนาธรรมให้เกิดในจิตมนุษย์เป็นเรื่องยิ่งยาก ไม่เป็นเรื่องถึงง่าย ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ถึงพร้อม เหมือนกับการบอกแนวทางให้คนหมู่มนุษย์ในยุคนี้ทำความดี ฉันใดก็ฉันนั้น ท่านว่ามันง่ายหรืออย่างไร เพราะมันหนักหนายิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก
ดังนั้นยังจะเฝ้าถามอีกหรือไร ว่าพระศรีอาริย์อยู่ที่ไหน ที่แท้พระศรีอาริย์อยู่รายรอบตัวเรานี่เอง บุคคลที่สัมผัสถึงความดีงามในกุศลที่ตนเองกระทำอยู่แล้วมีความสุข
พระศรีอาริย์เจ้าๆ เคารพระลึกนอบน้อมด้วยศรัทธาต่อพระองค์ท่าน เฝ้ากราบเช้าเย็น
นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโถงทิพย์ วรองค์สง่างามเกินมนุษยืใดเปรียบปานนั่นคือรังสีแห่งพรหมวิหารประจุและเคลือบอยู่ในร่างของพระองค์ ผู้มีพักตร์งดงามประหนี่งดวงจันทร์หมื่นแสนดวง องค์จริงพระศรีอาริย์เป็นอย่างนั้น แต่องค์จริงที่ปรากฏในเมืองมนุษย์บางครั้ง มักชอบแสดงจำอวด ตลก ท่าทางขึงขังเอาจริง จิตใจเสมือนหนึ่วไม้บรรทัดที่เอนคดงอไม่ได้ ชอบคนที่จริงโดยเฉพาะจริงใจในคำสัตย์
ก็น่าแปลกที่มนุษย์ในโลกปัจจุบัน พระศรีอิริย์ ท่านไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นได้ง่าย ไม่ได้คำนึงนึกว่าเทวดาเทพบุตรชั้นสูงทั่วรังเกียจกลิ่นเหม็นคาวจนทำให้วิงเวียนศีรษะอย่างมากในกายมนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นคนละมิติภพภูมิ
แต่พระศรีอาริย์ที่พวกเราอยากจะเห็นท่านก็ปรากฏ ทรงโปรดปรานการแต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนพระเอกลิเก สวมชฏาสีทองแหลม วางตัวแบบท่าทีง่ายๆใจนักเลง ไม่เกรงกลัวใคร ท่านชอบคนจริง คนซื่อมากกว่าคนฝอยตลบแตลง ท่าทางนั้นไม่ถือพระองค์สักนิด ภาพบางภาพที่เคยเกิด ผ่านเข้าไปนิมิตเพื่อแสดงให้บุคคลที่ถือว่ามีบุญได้พบเห็นพระองค์แล้วอย่างไม่รู้สึกตัว เป็นเพียงแค่ภาพของชายหนุ่มที่สง่างามนั่งอยู่บนธรรมมาสน์ ข้างกายสองฟากมีผู้ช่วยของท่าน
ใครจะอยากพบอยากเห็นหน้าตาพระศรีอาริย์ จะไม่ได้พบเห็น นอกจากคนที่ไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร ท่านมักแสดงให้เห็น อันนี้ก็เป็นปริศนาที่ลึกลับ อยากรู้ก็คงต้องไปถามพระศรีอารย์ อีกอิริยาบถหนึ่งคือพระองค์ชอบนั่งชันเข่าง่าย ไม่ถือองค์
ทว่าเมื่อตัดเข้าสู่ยคปัจจุบันในยุคพระศรีอาริย์ สิ่งที่มลังเมลืองที่สุด คือความสมบูรณ์พูนพร้อม อันหมายถึงความสุขที่เหล่ามนุษย์ผู้มีบุญได้เกิดอยู่ในยุคของท่าน จะถามหาเรียกร้องคำว่ายากจน.. คำนี้จะไม่เกิดขึ้นสักนิดเดียว ด้วยเหตุของยุคศิวิไลซ์ หรือธรรมกาลยุคขาว
ยุคแห่งความรุ่งเรืองขีดสุดของมนุษย์ในแต่ละยุค เรื่องยุคนั้นผู้เขียนเขียนมาแต่ต้นแล้ว จึงบอกให้รู้ว่า นี่คือ ยุคสิวิไลซ์ ความเจ็บปวดเดือดร้อน คับแค้นใจ แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จะไม่มีในจิตใจของมนุษย์ผู้ถือศีลประเสริฐ เราได้บารมีโดยตรงจากสมเด็จพระศรีอาริยะเมตรไตรย พระองค์พากเพียรสร้างบารมีนานนม สิบหกอสงไขยกับแสนมหากัปป์
บัดนี้ก็ถึงคราว พสกนิกรของพระองค์แสนปลาบปลื้ม วิถีที่ใช้ในการปกครองเป็นวิถีธรรมล้วน อยูในศีลอยู่ในธรรม ไม่มีกฏหมายปรากฏ เพราะจิตใจของมนุษย์ยุคนี้ไม่มีการอยากทำชั่วสักนิด อีกอย่างความสมบูรณ์พูนพร้อมด้านวัตถุ มนุษย์ชายหญิงวางตัวทำหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากเทวดานางฟ้าล่องลอยไปได้ในทุกสถานที่
ดอกไม้เงินดอกไม้ทองจากกิ่งกัลปพฤกษ์ทั้งสี่มุมเมืองของพระองค์ ไม่เคยขาด งอยเงยผลอยู่ตลอด ท้องพระคลังเรื่องอาหารการกินเช่นกัน ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็เช่นกัน ให้ทุกคนแต่งองค์ทรงเครื่อง ใครปรารถนาสวยอย่างไรก็เป็นไปตามความปรารถนาของผู้นั้น
วรองค์เสด็จก้าวลงจากปราสาทพระตำหนัก บัดนี้ถึงเวลาที่พระองค์ต้องกล่าวว่าราชการที่ห้องโถงท้องพระโรง เพื่อวางแผนแบบอย่างให้พสกนิกรของพระองค์มีความเป็นอยู่ปกติผาสุก หากแต่บุคคลเหล่านี้ต้องเคร่งครัดตนเองให้อยู่ในศีลในธรรมมากกว่าเดิม เพราะทรงเล็งเห็นแล้วว่าที่ระเริงลุ่มหลงเพียงแค่วัตถุ ซึ่งมันไม่ใช่แก่นแท้ ที่พระองค์นึกปรารถนา เช่นเดียวกับพระองค์ที่ทรงครองตำแหน่งกษัตริย์ ครองเรือนมีครอบครัวภรรยาผู้เป็นดุจที่รักรวมทั้งบุตร
ทรงนึกเบื่อหน่ายความสุขแบบฆารวาสเต็มทน เพราะตื่นมามีแต่ความสุขซ้ำซากทำให้ติดยึดลุ่มหลง ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงภพชาติเป็นนิรันดิร์ เพราะการเปลี่ยนแปลงนั่นคือไปสู่นิพพาน
สิ่งที่พระองค์ชื่นชอบและปรารถนามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คือเพศนักบวช คราครั้งหนึ่งเทพมาอุบัติให้พระองค์เห็น เทวทูตทั้งสี่ ขณะเสด็จพระราชดำเนินอยู่ข้างล่าง เวลานั้นพระองค์เป็นมหากษัตริย์หนึ่งเดียวปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม มาเป็นเวลากว่าสี่หมื่นปี
พระวรกายของพระองค์ก็เป็นดุจเดิม ไม่แก่ร่วงโรยไปตามวัยสักนิด เหมือนได้โอสถวิเศษคุ้มกาย พระองค์สอนพสกนิกรให้เคร่งครัดในศีลห้า เหล่าพสกนิกรก็ปฏิบัติตาม พอถึงวันพระก็เข้าวัดทำบุญฟังธรรม มีการละเล่นสนุกสนานสมโภชน์ฉลอง ก่อกองทรายฝังลูกนิมิต สร้างพระวิหารลานเจดีย์ ให้จิตใจของพสกนิกรของพระองค์ฝังแน่นอยู่ในธรรม พอถึงวันศีลอุโบสถก็นุ่งขาวห่มขาวนั่งสมาธิ
กถาเองเพิ่งรู้ว่ายุคชาติที่แล้วมานั้นตนเองเกิดอยู่ในกลียุค กว่าจะได้พบยุคพระศรีอาริย์ซึ่งรอคอยกันมานานเป็นเวลา ที่ไม่อาจนับได้ รอคอยพบพระศรีอาริย์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ปัจจุบันก็สมใจ เมื่อดำริระลึกถึงบุญกรรมทำแต่งของตนเองใต้ร่มเงาของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอย่างกัลปพฤกษ์และปาริชาติ
ซึ่งสามารถระลึกนึกย้อนไปหาอดีตภพภูมิที่ตนเองเคยถือกำเนิดกระทั่งมุ่งย้อนไปสู่โลกอนาคตเบื้องหน้า ก็รับทราบว่า ด้วยบุญอันนี้จึงกอปรสำเร็จให้ตนเองบรรลุสมฝั่งฝัน มีสิทธิเป็นหนึ่งบุคลที่ได้เกิดร่วมศาสนาพระองค์
กลียุคดังกล่าวที่เพิ่งผ่านมา เขาเกิดอยู่ในครอบครัวหาเช้ากินค่ำ
เรื่องราวของพระศรีอาริย์ยังไม่จบ ท่านทั้งหลายที่อ่านคงทราบได้ว่าผู้เขียนหยุดไปอย่างต่อเนื่อง คือหยุดยาวไปเหมือนกันเพื่อตั้งหน้าตั้งตาริเริ่มทำงานเสียที เรื่องราวของพระองค์ท่านจะสมบูรณ์แบบได้ก็ต่อเมื่อข้อมูลต่่างๆพร้อมพรั่ง ดังนั้นจึงเจียดเวลสาเสียสละค้นคว้าต่อ ข้าพเจ้ารู้จักคำว่าศรีอาริย์มาตั้งแต่เด็ก นับมาจนปัจจุบันได้สามสิบกว่าปีไปแล้ว
ก็ถือว่าพระองค์เป็นหลักชัย เรื่องราวส่วนตัวของพระองค์ชวนให้อยากจะเขียน ยิ่งมาทราบว่าท่านเป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าภายในภัททกัปป์สุดท้าย อย่างกัปป์ที่เราอยู่นี่
เมื่อถึงเวลานั้น ผู้เขียนเคยเขียนอธิบายไปแล้วนี่ จากตำราบ้างจากจิตใจลึกของคนเขียนที่ต้องการใช้ภาษาแบบตัวเองที่เรียกว่าลุ่มลึกทางงานเขียน จะว่าไปเป็นภาษาชั้นสูงก็ถูก ท่านทั้งหลายมีปัญหาในการเดาความหรือเปล่า ผู้เขียนเองพยายามอธิบายตลอด เพื่อให้ท่านเข้าใจและติดตามอย่างต่อเนื่อง ระหว่างเดียวกันผู้เขียนเองก็บำเพ็ญธรรมพร้อมๆกับพวกท่าน ขณะดำรงชีวิตอยู่ตามสภาพของตน วิถีง
านงานที่เหมาะสมที่ต้องทำบุญสร้างกุศลทุกวัน ท่านก็ทราบแล้วนี่ การทำบุญนั้นทำได้หลายอย่างหลายทางนี่ ไม่ว่าทางเร็วหรือทางลัด หรือทางที่ทำแล้วได้ประโยชน์มากกว่าหรือทางที่ได้ประโยชน์น้อย ผู้เขียนไม่ได้เขียนในข้อมูลที่อวดโอ่ ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องขอโทษด้วยเพราะสักขณะจิตไม่เคยคิดแม้แต่สักนิดที่จะลบหลู่เบื้องบนเบื้องสูงไม่ว่าเทวดาอินทร์พรหม ถึงแม้จะไหลไปตามน้ำก็ต้องขออภัยอย่างสูง
และเรื่องราวการปรากฏของพระศรีอาริย์ท่านนั้น ได้บังเกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลาทุกสถานที่ เพียงแต่ต่างภพเท่านั้นภาพที่ซ้อนกันอยู่ ลืมไปแล้วหรือว่าพระศรีอาริย์ท่านสามารถแปลงกายได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่พระองค์ปรารถนาให้เป็ฌน แม้มนุษย์หรือเทพ อยู่ทวีปใดทวีปหนึ่งในภาพสง่างามหรืออัปลักษณ์ พระองค์ทำได้ แล้วท่านไม่คิดหรือไงว่า ท่านอยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลา คอยดูแลชี้แนะแนวทาง
เพราะภารกิจของพระองค์กับผู้ช่วยเหลือนั้่นมีความปรารถนาอยากให้มนุษย์ยุคสมัยนี้ไปเกิดทันศาสนาของพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ตำนานบอกเพียงว่า หยิบมือเดียว หยิบมือเดียวคูณกับประชากรพลโลกจะสักเท่าใด ท่านไม่อยากเป็นหนึ่งในหยิบมือของพระองค์ท่านเชียวหรือ ฉะนั้นทุกวันนี้จงตั้งใจตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติคุณงามความดี บุญกุศล
เรื่องที่จงใจกล่าวนี้ผู้เขียนต้องการกล่าวรวมไปถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะแม้แต่ศรีอาริย์สวรรค์บนพื้นพสุธามนตราปาริชาติก็เกี่ยวพันในเรื่องนี้ เรื่องที่ข้าพเจ้าบอกวก่า ทุกศาสนาหากเมื่อรวมตัวกันแล้วเป็นเพียงหนึ่งเดียว แค่นี้ล่ะขอให้ท่านกลับไปคิดลึกๆเสียเถอะเป็นไปได้มากมายแค่ไหนกัน แต่ทุกวันนี้พวกที่รู้ผูที่รู้ท่านก้เตรียมกันแล้วล่ะปฏิบัติเพื่อให้ไปสู่ผลที่ตั้งวาดหวหัง
ไว้คือศาสนาของพระศรีอารย์เป็นเป้าหมาย หากบุญเรามีไม่ถึงพอที่จะบรรลุและนิพพาน
เพราะอย่างที่ผู้เขียนเขียนถึงความอลังการมลังมเลืองในทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างวัตถุกับจิตใจเจริญเทียนบเท่าเทียมกันหมดสิ้น แตกต่างไปจากกลียุคของเรา เนื่องด้วยว่ามันเป็นกลียุคจึงมีแต่ทุกข์และทุกข์ไม่จบสิ้น ยุคที่วัตถุสูงและมันมีค่ากว่าจิตใจของมนุษย์ในความคิดของบางคน
มนุษย์ที่บูชาเงินตรา ละเลยการกระทำกองกุศลบุญกุศล แต่ก้ยังมีมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่พากเพียรเร่งรีบสั่งตุนเสบียงนี้ไว้ให้กับตัวเอง เพราะรู้ไง รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองนับต่อจากนี้ ก็เร่งทำ ทำ ทุกเมื่อเชื่อวัน ผสมกับแรงอธิษฐาน ผู้เขียนเคยบอกแล้วว่าศาสนาของพระศรีอาริย์ เป็นศาสนาแห่งการอธิษฐาน
เมื่อถึงเวลานั้น ใครอยากได้อะไรก็ขอให้บูชาเอา เราผจญทุกข์ร่วมโศกแบบเดียวกันคือ หลุดเข้ามาอยู่ในช่วงที่โลกกลายเป็นกลียุค แต่เราไม่ต้องโกรธไม่ต้องโทษ เรามีหน้าที่สร้างบุญกุศลเท่านั้น ในเมื่อกลียุคหมายถึงความเสื่อมไปในทางตกต่ำ มนุษย์เราไซร้จะวาดหวังอเะไรล่ะชีวิตที่ดีขึ้นหรืออย่าหวัง แม้แต่ชชั้นสูงหรือชนชั้นกลางธรรมดาสามัญยังต้อง
เผชิญทุกข์เช่นเดียวกัน ยุคที่ทุกข์มีมากกว่้าสุข ทุกข์มีน้อยครั้ง ยิ่งเลยกึ่งพุทธกาลมาถึง53ในปีนี้ ข่าวคราวต่างๆการพิจารณาเราก็พากันรู็ล่วงหน้าแล้วว่า ภัยพิบัติจะโหมกระหน่ำมนุษญ์โลกนี้มากกว่าเดิมหลายเท่า
แต่ว่าเป็นสิ่งที่เบื้องบนตรองคิดแล้วว่าเป็นสิ่งดี มนุษย์ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีด้วยเช่นกันเพราะอะไรหรือ ถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติบุญกุศลอย่างต่อเนื่องหรือกิจกรรมพระท่านจะม่ีจิตใจโอนเอนไม่ชื่อในสิ่งเหล่านี้ แต่ผู้ที่มีจิตใจผูกพันและกระทำเป็นนิจสินอาจิณย่อมไม่พะวงครุ่นคิดใด เพราะรับกับสภาพเหล่านี้แล้วด้วยการปลงละวาง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในจิต มันเกิดแล้วมันดับ สาระเป็นอย่างนี้เอง ไม่ว่าอะไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่าง
ผู้เขียนจึงคิดว่าเป็นสิ่งดี ในเมื่อเบื้องบนว่าเป็นสิ่งดี ท่านอย่าเพิ่งแย้งนะ ผู้เขียนเองก็ปุถุชนมนุษย์คนหนึ่ง ต้องเชื่อถือบุคลผู้สูงสุดท่านเป็นเทพเจ้าแห่งบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ และมีชีวิตเป็นอมตะมีความเป็นจริง สถิตอยู่ในโลกวิญญาณ แม้แต่กายมนุษย์ก็ได้รับส่วนแบ่งความดีงามมาจากท่าน เมื่อท่านเป็นบุคลชั้นประเสริฐ์เช่นนี้แล้ว
ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อถือท่านได้อย่างไรแล้ว แต่ก่อนข้าพเจ้าก็เป็นคนที่โต้แย้งท่านในคำนี้เช่นกันว่า ท่านคิดไม่ถูกท่านคิดลบ แบบนี้ท่านสุขสบายใจหรืออย่างไร ที่เห็นมนุษย์ล้มตาย บางคนหนักข้อไปอีกไปปรักปรำท่านกลายเป็นเอาบาปติดตัวเองเสียอีก ดังนั้นขอชี้แจง ที่ว่าเมื่อการทำลายล้างหรือการชำระล้างเกิดขึ้น
นั่นหมายถึงเบื้องบนไม่สามารถเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ คือตรงนั้นเป็นความสกปรกขุ่นมัวก่อบาปกรรมร้ายแรงแก่คนกลุ่มนั้นมนุษย์เหล่านั้นแต่ปางภพไหนก็ไม่ทราบ แต่เกิดขึ้นแล้ว บุคลผู้นี้เหล่านี้เป็นคนกระทำดังนั้นจึงต้องรับผลและโทษของกรรม ที่เป็นสัจธรรม
นั่นหมายถึงความชั่วจะต้องถูกทำลายแล้วความดีจะกลับมาคืนดังเดิม เหมือนชำระคราบสกปรกผ่านไป เหมือนมรสุมร้ายถูกเมฆหมอกพัดผผ่านเหมือนยามที่สายฝนจางจากลับขอบฟ้า และฟ้าในเวลานั้นย่อมสว่างไสวมากกว่าเดิม นี่คือภัยพิบัติ มนุษย์จะไม่ล้มเจ็บตายเท่าแค่สึนามิแต่จะมากกว่าเดิมเป็นพันเป็นทวีคูณเท่า เทวดากลุ่มหนึ่งท่านก็ทราบและรายงานพระอินทร์เมื่อทรงถาม มนุษย์ก่อกรรมทำเข็ญมากกว่าความดีหรือบุญกุศล
สิ่งนี้เป็นการลงโทษมนุษย์ที่ฝ่าฝืนและละเมิดกฏ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล ฤดูร้อนก็หนาวฤดูหนาวก็ร้อนตาลปัตรกลับกัน ซ้ำร้อนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เหมือนที่บอกว่าโลกมันร้อนขึ้น หากมองกลับกันจากโลกวิทยาศาสตร์ไปสู่โลกแห่งวิญญาณหรือโลกแห่งความนึกคิดของคนเราที่ว่ายเวียนอยู่รอบตัวนั้น จะทราบว่าการเปลี่ยนแปลงที่เป็นนิรันดร์เหล่านี้เบื้องหลังคือพระผู้สถิตณเบื้องสูงสุด ดังนั้นสิ่งไม่ดีก็กลายเป็นดี สิ่งที่ดีแล้วก็ดีขึ้นไปอีก จะไม่มีสิ่งไม่ดีปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นพระเบื้องบนประทานให้
ท่านผู้มีดอกไม้ประจำกายคือดอกมณฑาทิพย์ ท่านสถิตอยู่ณเบื้องตะวันออก ท่่านสามารถแปลงกายได้ทุกอย่างในโลกนี้ เป็นไปตามเจตจำนงที่ต้องการสร้างโลกพระศรีอาริย์ ตามตำนานกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคท้องถิ่นเขตแว่นแคว้นประเทศ และบรรพบุรุษในอดีตกาลรับรู้เรื่องนี้มาก่อนพวกเราแล้วสั่งสมบอกเล่าต่อกันเป็นทอดๆว่า ใกล้จะถึงยุคพระศรีอาริบย์แล้วนะเตรียมทำตัวทำใจเถอะ
ให้ถึงพร้อมของความดีงาม ชีวิตจะผาสุกนั้นพร้อมจะรองรับบารมีของพระองค์และพร้อมกับประชาชนพลเมืองของพระองค์จะมีความสุขอย่างที่ใดจะหาเปรียบปานไม่ ถึงเวลานั้นโลกมนุษย์ของเราณ ปัจจุบันนั้นกลายเป็นสวรรค์ไปแล้ว เป็นความเชื่อที่คงสถิตและถาวรอย่างที่สุด ถ้าท่านเชื่อ กายและโลกของดวงวิญญาณที่มีมนุษย์เราทุกคนสิงถิตพักอยู่นั้นก็ย่อมเชื่อด้วยเช่นกัน
ท่านอย่าคิดว่าท่านมีกายเดียว กายที่พระท่านสร้างแต่งให้ท่านแต่แรกเริ่มเดิมที มีจิตใจบริสุทธิ์งดงามแท้อยู่บนโลกสวรรค์ ปรากฏจริงมีอยู่ ท่านต้องเร่งความเพียร เพื่อให้ได้กลับไปสถิตอยู่ณที่เดิม แบบนี้จึงได้คิดว่า ท่านและบรรพบุรุษของท่านที่หลากหลายภพชาติหมื่นแสนก็ตามที
ท่านจะคิดสักนิดไหมว่าผ่านทางกระแสเลือดหรือเซลล์เลือดหากเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดโดยที่ไม่รู้และถึงแก่นแท้ของสุขทุกข์ไปถึงนิพพาน กายทิพย์ที่นำพาในการเกิดรวมทั้งโลกวิญญาณภายในกายของท่านก็จะยังดำเนินชีวิตต่อไปร่วมทั้งสุขและร่วมทั้งทุกข์ สุดแท้ณเวลานั้นท่านเลือกให้ตนเองมีสุขหรือมีทุกข์มากกว่า ก็เช่นเดียวกัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น