ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศรีอาริย์ ดั่งสวรรค์บนพสุธามนตราปาริชาติ

    ลำดับตอนที่ #5 : ต่อจากเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ย. 52


    การอุบัติปรากฏตัวขององค์ผู้เป็นจอมไตรเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา..ถึงเมื่อใดก็เมื่อนั้น ทรงมีพระบารมีพิสุทธิ์ มีศีลพิสุทธิ์  มีกายพิสุทธิ์ มรรคผลและการเรียนรู้หยั่งไปถึงจิตสันดานของเวไนยสัตว์ทุกถ้วนทั่วในหมื่นแสนโลกธาตุและจักวาลทั้งพิภพและนอกพิภพที่สัตว์ทั้งหลายบังเกิดมาด้วยบุญกรรมของตนเอง..  บุคคลซึ่งเปรียบดั่งสัตบุรุษเช่นพระศรีอาริย์..  ดังนั้นต้องคิดใหญ่ทำใหญ่..เหิมหาญที่จะแผ่บารมีของพระองค์..เพื่อให้เหล่าหมู่มารที่มีอำนาจในการคุกคามสร้างความชั่วร้าย..  ลดแรงอิทธิฤทธิ์ให้สงบลงด้วยพระโอวาทพุทธคาถาคำสั่งสอนของพระองค์ ดุจทำให้สัตว์ที่ดุร้ายเป็นโทษแก่มนุษย์ร้ายกาจด้วยเหลี่ยมเล่ห์หันมาสยบนอบน้อมอ่อนลงต่อพระพุทธชินสีห์เจ้า..เมื่อถึงกาลบัดนั้นมาเยือน

    บัดนี้องค์ผู้เป็นจอมไตร ..ถึงคราที่เสด็จมาโปรดโลก..ดังเช่นพุทธทำนายที่ตรัสไว้แห่งปัจฉิมกาลขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ทั้งสองพระองค์มีศาสนาที่จะต้องสนธิร่วมกันคือสืบสัมพันธ์ความยั่งยืนแห่งความดีงามของพุทธศาสนาที่ชี้แนะบุคคลให้ไปสู่ภพภูมิที่สูงสุดซึ่งไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง ..สิ่งนี้เองถือว่าเป็นการตัดขาดจากภพภูมิ.. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สรรเสริญว่าเป็นมรรคาสายทางที่ถูกต้อง..ที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนผ่านการฝึกฝนขัดเกลาดวงจิตวิญญาณจนกว่าจะอ่อนน้อมจนกว่าจะถ่องแท้เข้าซึ้งดิ่งดำจิตไปสู่นิพพาน  ..สุดแต่ว่าปัญญาของสัตว์โลกผู้ใด..จะอย่างเร็ว อย่างกลาง..สุดท้ายอย่างช้า  ..กรรมเองก็มีส่วนที่ปรุงแต่งจิตวิญญาณและการกระทำของมนุษย์ให้รับรู้ไปตามสภาพภาวะทางจิตของแต่ละบุคคล

    พระจอมไตรท่านนี้เสด็จลงมาแล้วดั่งคำทำนายที่ได้ให้ไว้..อย่างที่เอ่ยกล่าวว่า พระองค์เริ่มบันดาลมีพุทธดำริแนวทางการวาวงรากฐานศาสนาของพระองค์..  จะต้องทำให้พุทธบริษัทลูกหลานของพระองค์ที่ทรงรักมนุษย์ทุกคนดั่งบุตรในอุทร  อย่างที่บอกกล่าวการตระเตรียมสร้างโลกสวรรค์ของพระศรีอาริย์มีมานานแล้ว..จากดั้งเดิม

    เมื่อรู้ว่าพระองค์ได้รับการทำนายทายทักว่าเป็นหนึ่งในหน่อเนื้อพุทธางกูร..  เสร็จสิ้นจากการดับขันธ์ของสมเด็จพระโคตมะเจ้าของเราปัจจุบัน..  หน้าที่ของพระองค์เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่..และเพียบพร้อม..

                    ทรงวางแนวทางการสร้างสวรรค์ให้ถึงพร้อมสำหรับมนุษย์ในยุคนี้และอดีต ..เหตุให้ถึงพร้อมก็คือ พยายามชักนำชี้แจงหนทางที่ทำให้ทุกคนได้กลับคืนสู่สวรรค์..หากบารมีเหล่านี้ถึงเมื่อใด..การที่ได้อุบัติบังเกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์ผู้เป็นศาดาแห่งยุคศรีวิไล..ที่ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์บังเกิดหมด..  พิษภัยความทุกข์ทั้งหลายมิบังเกิดมี..ศีลธรรมเจริญสุดขีด..มนุษย์ผู้ขวักไขว่ด้วยปัญญาและมากด้วยปัญญาจะเข้าใจหนทางแห่งการหลุดพ้นได้ง่าย..

    ดังนั้นสยามประเทศหรือไทยของเรานั้น ตั้งแต่สมัยพุทธกาลพระพุทธองค์โคตมะเองก็ทรงดำริมีพุทธทำนายว่า ณดินแดนที่แห่งนี้ซึ่งร่มเย็นด้วยเงาของศาสนาพุทธ  ..จักเป็นที่ดำรงสืบเชื้อสายของวัตรปฏิบัติแห่งพุทธแนวทางของพระพุทธองค์ได้ครบห้าพันปี

                    พระองค์เสด็จเข้าสู่สยามประเทศเป็นเวลานานแล้ว  ..สถิตอยู่ในแนวเขตอยุธยาดังที่กล่าวไว้ ..บริเวณแห่งนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  เมื่อถึงเวลาชุมนุมอันศักดิ์สิทธิพระองค์พร้อมด้วยหมู่เทพบริวารจะเสด็จลงมา เป็นประธาน..เพื่อรับฟังผลปัญหา..  แนวทางในการสร้างหนทางสวรรค์จะบังเกิดขึ้นในยุคของพระองค์.. เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าบุคคลใดที่จะได้ไปถึงฝั่งฝัน..  หมายถึงเกิดทันศาสนาของพระองค์..  หากแต่ทรงชี้แจงแนะแนวทางบอก..ผู้ใดระลึกถึงคุณงามความดี..อุปัฏฐากต่อคณาจารย์บุพการีของตนเองเยี่ยงบุตรผู้มีความกตัญญูแล้วไซร้..ประพฤติด้วยศีลเป็นเนืองนิจ..บุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลที่ทวยเทพชั้นสูงสรรเสริญ.. สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยทรงแย้มพระโอษฐ์ด้วยรอยยิ้ม..มิเสียแรงที่เป็นบุตรของพระองค์

    แต่ที่ทรงเสียพระทัยอย่างมาก..คือแนวทางวิธีการของพระองค์มิอาจช่วยฉุดบุคคลบางผู้บางเหล่า..ให้มีสติปัญญาพ้นจากความบาปและขุ่นมัว ..บุคคลผู้โป้ปดมดเท็จก็ดี..บุคคลผู้ลบหลู่ศีลธรรม..และสมณะ ..หมิ่นในคำสั่งสอนของศาสดาของศาสนาก็ตาม..บุคคลผู้ประพฤติชั่วทางกายวาจาใจ..บุคคลเหล่านี้พระองค์สุดยากที่จะแนะนำชี้หนทางให้พวกเขาไปสู่ภพภูมิและโลกศรีอาริย์ในกาลเบื้องไกล..ที่ใกล้วันมาถึงทุกขณะ  ..พระองค์ช่วยย่นระยะเวลามาใกล้กว่าเดิม..  เป็นไปด้วยพุทธบารมีของพระองค์ 

                    ถ้าหากความดี..บังเกิดในโลกนี้มาก..อุดมไปด้วยผู้คนมีศีล..เชื่อมั่นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สั่งสอน ..พระอรหันต์ทั้งยุคอดีตและปัจจุบัน..พระองค์จะเบาใจอย่างมากเชื่อมั่นแน่วแน่ว่าบุตรของพระองค์ทุกคนจะไปบังเกิดในทิพย์วิมานรอศาสนาของพระองค์..  แต่เป็นที่แน่ใจแล้วว่า  พลโลกนี้ทั้งหมด แบ่งเป็นสี่ส่วน.. จะได้เกิดทันศาสนาของพระองค์เพียงแค่หนึ่งส่วน..ที่เหลือสามส่วนเห็นต้องรอคอย..  รอจนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะเสด็จอุบัติมาเยือนโปรดโลกโปรดเวไนยสัตว์อีกครั้ง..แต่ก็บอกกล่าวได้ว่านาน  นานจนมิรู้ว่านานเยี่ยงไร.. เสร็จสิ้นพระศาสนาของยุคพระศรีอาริย์..  เหล่ามิจฉาบุคคล สัตว์ผู้มีกรรมสกปรกลามกจะบังเกิดในแผ่นดินโลกมนุษย์..  ความวุ่นวายเดือดร้อนต่างๆเยี่ยงสัตว์นรกผู้ใจบาปจะบังเกิดขึ้นโดยมิหยุดหย่อน

    กลายเป็นยุคสัตถันตรกัปป์ ยุคแห่งรังสีการฆ่าฟันเบียดเบียนจะมาเยือน  ..พรหมทั้งหลายกล่าวไว้ก่อนหน้านั้นบอกว่า  เป็นยุคแห่งความเสื่อกาลหายนะมาเยือนแก่ชาวโลก  สงครามนองเลือดจะมีนับเนื่องยาวนานไม่จบเสร็จ วิถีความเป็นอยู่เยี่ยงสัตว์นรกผู้มีกรรมหนักส่งมาให้ชดใช้กรรมเวร..ทุกข์ทรมานกว่าโลกปัจจุบันมากเกินจะพรรณนา เพราะเป็นกัปป์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้า.. อุบัติมาสั่งสอนแก่ชาวโลก.. ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงคุณ.. ไม่มีพระอรหันต์ผู้ทรงคุณ.. แม้แต่จักพรรดิราชผู้เปี่ยมบารมี  ..และเป็นเยี่ยงนี้อีกนาน ที่ถูกเรียกว่า สุญญกัปป์  กัปป์ว่าง เนิ่นนานอีกต่อไป  พระเจ้ารามผู้ประเสริฐ จะมาบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ถัดต่อมาเป็นพระเจ้า ปัสเสนทิโกศล, เทวดาชื่ออภิภู,  ซึ่งครองตำแหน่งพระมหาโพธิสัตว์ผู้มีบารมีแก่กล้า หนึ่งในจำนวนพระโพธิสัตว์ห้าร้อยสิบรูป ณ สวรรค์ชั้นดุสิต

    จำนวนสิบรูปดังกล่าวเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีมากล้นแก่กล้าสมควรที่จะเสด็จอุบัติมาเพื่อเป็นหลักชัยแก่พระศาสนา..และช่วยฉุดเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความมืดมัวบอดในกิเลสซึ่งเป็นกองทุกข์มหันต์

                    อีกห้าร้อยพระมหาโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมีต่อไป..  สิบพระนามดังกล่าวที่จากรึกชื่อไว้ ใน โสตัตถกีมหานิทาน.. ภิกษุผู้เป็นชาวลังกา รจนาเอาไว้

    1สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย หรือ  อชิตกุมาร.. อชิตเถระในสมัยพระพุทธกาล เมื่อครั้งมีการทำนายถึงหน่อเนื้อพุทธางกูร ซึ่งเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า.. ซึ่งย่อมทำนายพระมหาโพธิสัตว์ทุกพระองค์สืบทอดกันมา..  ว่ามหาโพธิสัตว์ท่านใดมีลำดับคิวต่อจากองค์ปัจจุบัน.. ตราบจนถึงยุคของพระองค์..  จะผ่านไปก็ต้องทรงทำนายถึงองค์ลำดับต่อไป

    2พระเจ้าราม

    3พระเจ้าปัสเสนทิโกศล

    4เทวดาองค์ผู้มีนามว่า  ท่านอภิภู

    5อสุรินทรายักษา ผู้มีนามว่า ฑีฆโสณี

    6จังกีพรามหณ์

    7สุภพราหมณ์

    8โตเทยยพราหมณ์

    9ช้างผู้มีชื่อว่า นาฬาคีรี  ผู้ที่เทวทัตย์เสือกไสให้ทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ช้างตกมันเชือกนี้มิได้ทำตาม เพียงแค่วิ่งหนีเพราะตกใจและสะเก็ดหินจากภูเขา  บาดต้องพระวรกาย  การกระทำทั้งหมดเทวทัตย์เป็นผู้ริเริ่ม  จนเทวทัตย์ต้องรับโทษหนักในอเวจี

    10ช้างปาลิไลย

    ดังกล่าวคือพระนามของพระมหาโพธิสัตว์ ที่จะเสด็จมาอุบัติโปรดชาวโลกในกาลเบื้องหน้า..  หากทว่าการเสด็จอุบัติของพระพุทธองค์แต่ละพระพุทธองค์.. เป็นกาลที่ยาวนาน  ..มิได้มาบังเกิดเยือนถึงง่าย

    แม้แต่พระองค์เดียว..  เมื่ออุบัติมาแล้วจบไปแล้ว  ย่อมเว้นว่างต่อไป..กว่าที่องค์ใหม่ถัดมาเยือน

    ดังกล่าวเพื่อจะให้ทราบถึงพระพุทธคุณผู้เป็นคุณากรเป็นนาถที่พึ่งของโลก ว่าการจะเสด็จมาบังเกิดของพระพุทธเจ้าในโลกนี้แต่ละพระองค์ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด   อยากให้ชาวโลกซาบซึ้งถึง.. พระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  อันเป็นแนวทางที่ทำให้หมู่ชนได้เจริญไปถึงความสำเร็จขั้นนิพพาน  ถึงเวลานั้นการจะได้พบพานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่บังเกิดไปก่อนหน้านั้นหรือในอนาคตเป็นไปโดยไม่ยาก..

    กรณีอย่างพระศรีอาริย์ เมื่อครั้งปรารถนาพุทธภูมิเพียงแค่เปล่งวาจาปรารถนาจะเป็นก็ต้องทนเพื่ออุตสาหะพากเพียรบารมีพบพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนแสนกว่าองค์  ต้องสูงใหญ่เทียมฟ้าที่จะยกร่างกายจิตวิญญาณของตนอุทิศให้ชาวโลก ซึ่งเป็นแรงปรารถนาที่มนุษย์บุคคลธรรมดามีความปรารถนาไม่ถึงได้ นอกจากนั้นท่านต้องสละพ้นจากตัวเอง มอบความรักอันยิ่งใหญ่ให้แก่ชาวโลกที่เรียงรอรอคิวดวงวิญญาณเพื่อจะมาเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  มนุษย์และความอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงเป็นนโยบายการพาจิตใจให้หลุดพ้นของพระโพธิสัตว์  ที่ต้องต่อสู่ฝ่าฟันเอาชนะ..สมกับคำว่า หากมารไม่มีบารมีย่อมไม่เกิด ซึ่งเป็นหลักที่คงทนถาวรถึงความเป็นจริง

                    ปัจจุบันนี้พระจอมไตรของเรา เสด็จอยู่ทางทิศอีสานของประเทศ..ในตำนานว่ากล่าวถึงองค์ฤษีทองคำจากฝั่งซ้ายทางแม่น้ำโขงของไทย

    ซึ่งจะสิกขาลาเพศมาเป็นพ่อค้า ..  ตามตำนานที่กล่าวไว้ ..แต่หากความเป็นจริงผู้ที่เจริญจิตซึ่งวิปัสนากรรมฐาน สร้างบุญสั่งสมกุศลให้แก่ตนเองเนืองนิตย์ย่อมทราบและรับรู้โดยบัดดลของอำนาจคุณงามความดีว่า..พระองค์สถิตอยู่ใกล้พวกเราทุกคน..ทรงอยู่ภายในใจของมนุษย์ผู้ใฝ่ดีปฏิบัติชอบ  สามารถสัมผัสกระแสเหล่านี้ได้..เพราะดั้งเดิมแต่แรกเริ่มเดินทีนั้นคราที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ได้มีโอกาสมาบังเกิด เพื่อขัดเกลาสติปัญญาของตนเอง..ย่อมได้รับทั้งพรอันประเสริฐ์  และจิตใจของพระผู้สูงสุดซึ่งทนุไว้ซึ่งคุณงามความดีในจิตของเราทุกคน.. สุดแต่ว่ามนุษย์คนไหนหยั่งรู้มองเห็น.. เข้าใจมากกว่าคนอื่น..  สิ่งนี้เป็นการอบรมสติปัญญาด้วยนั่นเอง เพราะความฉลาดปราดเปรื่องที่จะไขข้องช่วยแก้ปัญหาได้นั้น..มนุษย์ผู้นั้นต้องบ่มเพียรสั่งสมความรู้ของตนเองมาจากบารมีในอดีตชาติที่มาบังเกิดนับไม่ถ้วน..นอกเหนือไปจากบารมีในปัจจุบัน

    บุคคลผู้อยู่ในธรรมเสมอ..ย่อมอิ่มเอิบ..ไร้ทุกข์..ไร้เดือดร้อน..  ทั้งที่ความร้อนในยุคกาลกลียุคปัจจุบันมีความร้อนจากทุกหย่อมหญ้าไม่เคยเหือดหายจบสิ้น..  แต่เรารู้จักปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ด้วยการไม่เดินดุ่มมุ่งเข้าหา..  เมื่อรู้ว่ามีความร้อนก็หาความเย็นเข้าดับ.. จิตยิ่งดำดิ่งด้วยพุทธคุณก็ยิ่งเยือกเย็นสงบ..มองภาพทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นลวงตา..และโลกที่พรางด้วยหน้ากากจอมปลอมหลอนเล่ห์จากอุบายมาร?

    เพียงแต่พยายามรังสรรค์โลกนี้เอาไว้แต่เปลือกนอก หุ้มห่อเอาไว้ให้ติดพันยึดลุ่มหลง หากแต่ภัย..มาเยือนซึ่งจิตวิญาณของมนุษย์ผู้ลุ่มหลงขลาดเขลาในสติปัญญา..  วิญญาณประเภทนี้เรียกว่าจิตวิญญาณอ่อนถูกชักชวนชักจูงลุ่มหลงโดยจิตมารที่เป็นหนึ่งซึ่งแทรกอยู่ในกายและจิตมนุษย์ไม่แตกต่างไปจากจิตใจของพระผู้สูงสุด..  ดังนั้นอำนาจฝ่ายดีและฝ่ายชั่วคานอยู่ในกายและใจของมนุษย์..แต่อำนาจมารมีมากกว่า..ถ้าเอาชนะความชั่วในจิตใจของตนเองได้..นั่นคือบารมี

                    ชนเราผู้ไม่เป็นคนที่กวักทุกข์เข้ามาหาตัวเอง..แน่นอนเสมอจะย่อมตั้งตนไม่อยู่ในลาภแห่งความประมาทและโลภแห่งความประมาท ซึ่งจะร้อยรัดชีวิตของตนเองให้ตกอยู่ในบ่วงทุกข์

    พระผู้ทรงชัยเสด็จอยู่เหนือบัลลังก์แก้ว

                    อาณาจักรยิ่งใหญ่นั้นยิ่งใหญ่เพียงไร..หมื่นโลกธาตุอันกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ เพื่อรองรับการเกิดอุบัติมาของจอมไตรผู้เป็นศาสดาเอกแห่งโลกองค์ใหม่ อุดมคติที่เคยเป็นเพียงแค่ความฝันไม่ถึงปรารถนาบัดนี้คืบคลานมาถึงหาใช่ความฝันแต่เป็นสิ่งที่จับต้อง ผู้มีบุญสูงสุดมาเยือนแล้ว เสียงกึกก้องกัมปนาทดั่งสนั่นหวั่นไหวด้วยกลองเภรีเครื่องดนตรีนาชนิดโดยองค์เทพปัญจสิงขรผู้มีฝีมือในการดีดพิณทิพย์เสนาะกังวานเสียงพลิ้วแผ่วหวานเสนาะดุจนกการเวกเจื้อยแจ้วจำนรรจ์ดังก้องทั่วโลกมหาตั้งแต่โลกมนุษย์สวรรค์พรหมไปจนถึงบาดาล   กาลที่ภพนาคราชบาดาลพิภพถึงคราวสะดุ้งตื่นบรรทมอีกรอบ อุทานอีกครั้งว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เสด็จมาเยือนเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ของโลกแล้วพาเหล่าบริวาร  เปล่งอนุโมทนาสาธุการถ้วนทั่วกัน

    ถึงคราวที่สิริมหามายาเทพบุญมีสัญญาปรารถนาอธิษฐานในดวงหทัยถึงการเป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในภัททกัปป์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญ จากท้าวสันดุสิตเทวราชพร้อมด้วยเหล่าพรหมชั้นสูงรวมทั้งบรรดานางฟ้าเทพบุตรอีกหมื่นร้อยพันในโกฏิจักรวาล  ประสาทแก้วสี่หลังอุบัติผุดชำแรกใต้แผ่นดินลอยวับปรากฏรูปร่างงดงามตกแต่งด้วยรูปแบบของช่างทิพย์เป็นเรือนแก้วปราสาทอัญมณีสลักเสลาวิจิตรบรรจง  ปราสาทสี่หลังมีเรือนยอดแต่ละหลัง100000ยอดโอภาสด้วยประกายเรืองรองระยิบระยับของแก้วมณีไพฑูรณ์ บุษราคัม  ประพาฬ แก้วมุกดาที่มีล้วนหลากประดิษฐ์ด้วยข้าวของเงินทองเครื่องใช้ งามอร่ามเรืองประดุจเปลวทองคำและอัจกลับแก้วที่สว่างไสวตลอดกาล..  

      ตั้งแต่บานทวารซุ้มประตูห้อยคล้องเป็นพู่ระย้า   เป็นรูปสัตว์ ดอกไม้  กระดิ่งทิพย์ที่เสียงกังวานกวัดไกวดุจดนตรีชาวสวรรค์ เสาธงชัยซึ่งระบัดพัดพลิ้ว หากกำแพงเป็นเพชร กำแพงเพชรแต่ละประสากางกั้นหนาถึงเจ็ดชั้น เป็นกำแพงแก้ว กำแพงเงิน  กำแพงทอง  บุษราคัม ประพาฬ  ทับทิม โกเมน แต่ละหลังเป็นเพชรบุทับทิม โอภาสที่เรืองรองจักส่องสว่างราบเรียบดุจแสงอาทิตย์ยามเช้าที่โชยสายลมอ่อน  แผ่ไพศาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความงดงามเฉกนี้เองจึงได้ชื่อว่ากตยุค ยุคที่หาคนชั่วปะปนไม่มีเลย เมื่อทุกสิ่งบริบูรณ์พร้อมพรั่ง    พสกนิกรของพระองค์ล้วนเต็มด้วยความสุขพร้อมสรรพด้วยสิริยศและความมั่งคั่ง

    แผ่นดินอันชื่อเกตุมดีนครนี่เอง อุบัติในยุคสมัยที่เรียกว่า ชมพูทวีป  บ้างก็บอกกล่าวว่าพาราณสีนั้นถูกเปลี่ยนแปลงเป็นเกตุมดี ซึ่งน่าจะอยู่อินเดีย  แต่ความจริงแล้วเชื้อสายราชวงศ์ของพระมหาโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้านามว่าศรีอาริยเมตไตรยนี้เป็นศรีลังกาหรือเรียกว่าลังกาวงค์ ภายในปราสาทแต่ละหลังอุดมไปด้วยสระโบกขรณีอันดาษดื่นไปด้วยอุบลพรรณชาติแทบทุกชนิดทั้งสีเขียวสีขาบบัวหลวงบัวแดงบัวเหลืองบัวชมพู  จักผุดขึ้นเองโดยอัตโนมัติดุจดั่งเป็นบุญญาธิการบุญญานุภาพที่ก่อปาฏิหาริย์  อันนามเฉลิมของพระผู้ทรงชนะมารองค์นี้ มีพระวรกายดุจพระพักตร์ดุจทองคำมีโอภาสรัศมีสว่างเรืองรองทรงฉลองพระองค์ในฐานะพระเยาวกุมารมหากษัตริย์  สิริโฉมที่หล่อเหลาบวกกับรัศมีเปล่งปลั่งรายรอบ 

    ทรงเป็นบุรุษเหนือบุรุษที่ไม่มีใครยิ่งกว่า ทรงเป็นหนึ่ง  ปรารถนาเพียงสองในแผ่นดินกตยุคแห่งนี้ของพระองค์ย่อมหามีไม่ บารมีสมบัติพัสถานทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระองค์ จักไม่มีพรหมเทวดามหากษัตริย์องค์ใดเทียมเท่าแข่งขันบารมีกับพระองค์

    เมื่ออุบัติเป็นพระเยาวกุมารในดวงจิตก็ทรงแผ่ด้วยเมตตา  พระมารดาประสูติได้เพียงแค่เจ็ดราตรีก็ถึงแก่ทิวาคต ครั้นเมื่อประสูติออกมาแล้วใต้ต้นกากะทิงตามพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าเมื่ออุบัติขึ้นมาแล้วพระราชมารดาย่อมไม่มีจิตใจฝักใฝ่กำหนัดต่อบุรุษใด ภายในกายพระอุทรเป็นดุจห้องหอที่ว่างเปล่าเคหสถานที่ไม่เปิดต้อนรับการปฏิสนธิจากสัตว์หมู่อื่นหมู่ใดทั้งสิ้น ย่อมให้พระราชมารดากระทำในลักษณะทรงยืนคลอดเท่านั้น

     ไม่เคยปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่คลอดโดยพุทธมารดานั้นจะนอนจะนั่ง สิ่งเหล่านี้ไม่อุบัติเกิดขึ้นในลักษณาการกิริยาอิริยาบถของพุทธมารดา  เหล่าเทวาดถวายบูชาด้วยเครื่องอบหอมทิพย์ ไม้แก่นจันทน์ ธูปเทียน  เหล่าดอกไม้ทุกชนิดที่ปรากฏในโลกพากันส่งกลิ่นหอมระรินรวยดุจดั่งเกสรทิพย์ฟุ้งกระจายไปทั่วนภากาศขอบเขาเนินไศลกว้างไกลหลายหมื่นโยชน์ เสนาะด้วยดนตรีทิพย์ของเทพเทวาและเหล่านางฟ้าที่ฟ้อนระบำแซ่ซ้องสาธุการในการอุบัติมาของศาสดาองค์สุดท้ายในภัททกัปป์ ซึ่งจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว  การดับขันธ์ปรินิพพานของพระองค์คือการสิ้นสุดของการเวียนว่ายตายเกิดหมดลงไปกับกองทุกข์

    เกสรดอกไม้คลี่ขยายบานเบ่งดารดาษขจรกำจายสะพรั่งพรึบไปทั่วแผ่นดิน  แผ่นดินชมพูทวีปที่ปรากฏเป็นสี่เมืองใหญ่ เมืองเหล่านี้เชื่อมต่อกันเป็นแนวแผ่นดินเดียวกัน ปราศจากปราการขวางกั้น แนวเขตที่เป็นปฏิปักษ์หรือศัตรูย่อมไม่ปรากฏ  เมื่อพระผู้ทรงคุณลักษณะแห่งพระบรมนาถเจ้าหรือพระรัตนะผู้เปี่ยมเมตตาบังเกิดนั้นบารมีแห่งพระองค์ย่อมทำให้พสกนิกรทวยราษฏรที่จัดว่ามีบุญกุศลมหากุศลอย่างสูงสุด  ที่ได้เกิดทันศาสนา

    เหล่าดอกกัลปพฤกษ์อันเป็นไม้ซึ่งให้ผลผลิตเครื่องใช้สอยเงินทองสมปรารถนาของหมู่ชนที่ต้องการผุดดารดาษไม่มีหมดสิ้นสอยไปแล้วหยิบใช้แล้วงอกเงยขึ้นใหม่ด้วยเดชานุภาพบุญญาบารมีของพระบรมนาถเจ้าพระองค์นี้แท้เทียว

    พระองค์ทรงทราบดีว่า..ดอกไม้ประจำพระวรกายของพระองค์ คือดอกอะไร?  ทรงติดตรึงรำลึกถึงดอกไม้ชนิดนี้เสมอ ความเป็นจริงพระองค์ทรงพบดอกไม้นี้เองบนสรวงพิมานในดุสิต ดอกไม้ที่มีความงามเหนือดอกไม้ชนิดใดในโลกมนุษย์ หอมหอมชื่นเย็นบริสุทธิ์เป็นดอกไม้ที่มีแสงทิพย์เรืองระยับดุจทองลอยละลิ่วมาหาพระองค์  หรือผู้ใดก็ตามที่บำเพ็ญเพียรบารมีถึง ก็จะสามารถเห็นดอกไม้ชนิดนี้ โดยเฉพาะนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานถึงขั้นสูงสุด..  หอมขจรขจายไปไกลเป็นโยชน์ กลิ่นดอกไม้ทิพย์อันมีนามว่ามณฑาสวรรค์ ไม่เคยเจือจางกลิ่นเกสร  ดังนั้นเมื่อคราวก่อนพระองค์จะระลึกถึงว่า หากผู้ใดปรารถนาที่จะพบพระองค์ บุคคลใดที่อยากรู้จักพระองค์ บุคคลคนนั้นต้องเที่ยวตามหาดอกมณฑาสวรรค์อย่างเดียว.. เพราะความเข้าใจเที่ยงแท้ของหมู่มนุษย์ในอดีตเหล่านั้นเข้าใจว่า ถ้าพบผู้ใดครอบครองดอกมณฑาสวรรค์ นั่นถือว่าผู้นั้นเป็น..สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย.. ข้อนี้เป็นความเข้าใจถูกต้อง..

    ปุบปับทันทีเผอิญคลิกเข้าไปดูข้อมูลจากคุณพี่กูเกิ้ล  ได้เห็นดอกมณฑาที่ปรากฏแล้ว ยอมรับว่าใช่จริง..  มณฑาเป็นพรรณไม้พุ่ม แต่คงจะเป็นคนละชนิดกับดอกมณฑาที่พระศรีอาริย์ทรงถือติดมือ เนื่องจากมณฑาดอกนี้อุบัติขึ้นที่สวรรค์ สภาวะความเป็นทิพย์และความหยาบในโลกมนุษย์ย่อมแตกต่างจากกันกลิ่นหอมก็เช่นกัน

    ดอกไม้ที่เป็นทิพย์เช่นมณฑาสวรรค์หอมไปไกลเป็นโยชน์หอมหวานฟุ้งตระหลบอบอวลตลอดเวลา เป็นดอกไม้ที่พระศรีอาริย์ทรงพบเองในนิมิตบนสวรรค์  ก็เป็นที่น่ายินดีที่โลกเรามีดอกมณฑาเป็นไม้มงคลที่สมควรปลูกไว้เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์หรือพระศรีอาริย์  ดอกมณฑาสรรค์ที่ปรากฏว่าปลูกได้ในพื้นที่เย็นจัดซี่งมีหิมะปกคลุมอยู่ประเทศจีนที่เสฉวนและเมืองอื่นสองสามที่ ส่วนประเทศไทยทางตอนเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น บางแห่งของพื้นที่กาญจนบุรี ที่จังหวัดเลย   เขาค้อ เพชรบูรณ์  ดอกมณฑาดังว่ากลีบดอกสวยว่ากันว่ามีเก้ากลีบดอกสีขาวอมชมพู ยามดอกผลิ แย้มพรายกลีบอ้าเปิดจากกันมองเห็นเกสร  ไม้พรรณนี้เป็นไม้พุ่มใบใหญ่ ลำต้นสีน้ำตาลเป็นไม้วงค์เดียวกับจำปา ถ้าประมาณตามความคิดแล้ว กลีบดอกคล้ายดอกสาละแต่ว่าเล็กกว่าเพราะมีลักษณะคล้ายดอกจำปีแต่โตกว่าหน่อย  แต่มณฑาก็แบ่งเป็นหลายประเภท  ทั้งมณฑาสวรรค์ มณฑาป่า  มณฑาดอย แล้วเรียกตามพื้นที่ที่ปลูก  บางดอกสีครีมขาว  บางดอกสีเหลืองนวลหรือสีทองเหลืองอร่ามดุจแสงตะวัน

    80000ปีคราวนี้ที่มาเยือนสมควรแก่เวลาที่เหมาะสมในระยะที่โลกมนุษย์จัดอยู่ในชมพูทวีปเป็นทวีปที่เหมาะสมที่สุด หลังจากที่พระองค์ทรงตรึกตรองถ้วนทั่วในหทัย..  ทวีปอื่นๆตามพุทธประเพณีไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติบังเกิด

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×