คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ต่อจากเดิม
ทำอะไรน่ะ แช่มชื่นเบิกบานใจจัง ขอเล่นด้วยนะ เชิญเข้ามาซิ ยิ้มให้กัน กระโดดโลดเต้นหรือโอสนุก ช่วยจับเชือกทิพย์ให้นะ เสียสละไง จิตใจถูกอบรมสอนมาอย่างดี ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ควรรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้ทำคนเดียวนะคนอื่นทำตามด้วย ก็จิตใจคนมีศีลธรรมกันหมด รู้ด้วยกัน อย่างที่ทราบ บาปไม่เกิด เพราะความชั่วไม่มี จะคิดจะทำแต่ละนิดสติตรองดำเนินไปตามครรลองแห่งความถูกต้อง
ไอ้เรื่องเบียดเบียนไม่ได้อยู่ในหัวสมอง ทุกข์ก็ไม่มีหัวเราะได้ทั้งวัน เล่นได้ทั้งวัน โอ๊ย เวลากลางวันยาวนานเป็นเดือนอย่างนี้ มืดมาก็รู้ว่ามืด ความรู้สึกกระทบ แต่ความมืดไม่เหมือนมืด ทำไมหรือ อ้าวแสงแวววาวจากเครื่องประดับอันวิจิตรพากันส่องและทอระยิบระยับแสงห้อมล้อมสว่างไสวไปทั้งเมืองทั้งโลกแห่งนี้ ไง ถึงค่ำมืดก็มีแต่แสงสว่าง ถนนหนทางไปไหนไม่เกิดเดือดร้อน โจร ก็หามีไม่ ฉกชิงวิ่งราวก็หามีไม่ อยากได้ก็อธิษฐานขอและสอยจากกิ่งกัลปพฤกษ์ คนอื่นมี อยากได้อย่างนั้นกับเขาก็ไปอธิษฐานขอเอา ไม่นานก็วับเข้ามาอยู่ในกำมือ ครอบครอง เหตุเช่นนี้ ผู้ร้ายมิจฉาชีพ มิบังเกิดมี อยากอยู่มั๊ย ทำทานเยอะ ทำบุญเยอะ ตั้งอยู่ในศีล ทำแต่ความดีเว้นความชั่วเด็ดขาด
แม่จ๋าพ่อจ๋ากลับถึงบ้านแล้วนะ สัญญาว่าจะกลับสองทุ่ม ตอนนี้สองทุ่มแล้วเป๊ะไม่มีขาดไม่มีเกิน
พ่อกับแม่ทานข้าวแล้ว เราทานมั่งอาหารก็มาจากทิพย์ ท่านทักสองชักชวนให้ไปสร้างบุญสร้างกุศลที่วัด ในวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง พูดถึงการทำบุญทำทานในครั้งนี้ หมู่ชาวบ้านไปกันทุกคน ไม่ควรที่จะเกียจคร้าน เพราะบารมีที่เราบังเกิดขึ้นมาในยุคนี้เพราะสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระองค์ยังไม่มาอุบัติก็ตามที แต่ใกล้เวลาเข้าแล้วล่ะ
ปู่ย่าตาทวดของเราท่านยังไม่เสีย จะว่าไปนั้นตามที่เราย้อนระลึกชาติเมื่ออธิษฐานต่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ก็บอกกล่าวได้ว่า อดีตชาติที่แล้วที่เราสั่งสมบุญกุศลมาเหลือคณานับ จนเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็มีอันเป็นเหตุเพราะ ครั้งมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ชักชวนคนทำบุญ มีส่วนในการสร้างโบสถ์และมีส่วนร่วมในการลงแรงก่อสร้างรวมทั้งถวายปัจจัย อันมีทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ เราได้ทำอย่างไม่ขาดตก รวมทั้งบริจาคให้ทานแก่ผู้เข็ญใจ ตั้งอยู่ในศีล หมั่นเจริญทั้งศีลและภาวนาอยู่เนืองนิตย์ อุปัฏฐากบิดามารดาของเราตามสมควรแก่ฐานะ ปัดกวาดถนนหนทาง ศีลห้านั้นบำเพ็ญได้ไม่ขาดตกบกพร่อง
ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อพูดก่อนแล้ว ย่อมยาก หากไม่ได้ทำลงก่อน อดีตชาติที่ผ่านมาครั้งในโลกมนุษย์ ชีวิตของเราสวนทางกับความเป็นจริงอย่างมาก ขณะที่เราเกิดอยู่ในตระกูลของชาวนาชาวไร่ ยากจนขัดสน แต่ก็ไม่ได้จนด้วยกุศลจนน้ำใจ ตลอดชีวิตหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลตลอดเวลากำจัดความตระหนี่ ดังนั้นเกือบตลอดชีวิตฐานะของเราจึงไม่ได้ร่ำรวย แต่เน้นหนักในทางรวยกุศลมากกว่า เงินทองไม่มีเก็บเพราะใช้ในการช่วยเหลือ มีเก็บบ้างพอใช้ เรารักเราชอบการทำบุญมากกว่า นอกจากให้ความสบายใจ ช่วยเหลือผู้อื่น ยังบังเกิดความสุขในจิตใจของตนเอง ที่ไม่ได้กอบโกย ด้วยความละโมบ เช่นบุคคลอื่นในภพชาติเดียวเวลานั้น
เมื่อเราไม่ได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทรางวัลหลังความตายในชีวิตของเราจึงได้ไปสถิตยังสุขาวดีแต่คุณทวดคุณชวดเราปู่ย่า สมัยที่เราเกิดมาแล้ว พวกท่านไม่มีชีวิตอยู่ หากแต่ยุคนี้ในสมัยพระศรีอาริย์ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตามีชีวิตรื่นเริงสนุกสนาน แม้ท่านจะมีอายุยาวนานถึงสามร้อยปีแล้ว ผิวพรรณก็ยังอิ่มเอิบผ่องใส ไม่ดูแก่ เหตุแห่งที่ว่าศีลที่รักษาในอดีตบวกกับปัจจุบันรักษาตลอดเนืองยังผลให้วรรณะงดงาม และเป็นที่เจริญตาเจริญใจเช่นบุคคลทั้งหลาย ถือว่าเราพร้อมสรรพแล้ว พร้อมด้วยแวดวงของญาติ ใบหน้าทุกคนมีแต่ความสราญเริงรื่น
เมื่อเราอยากทราบอดีตของเพื่อนสนิทหลายคนในยุคเก่าครั้งในโลกมนุษย์ก่อนหน้ายุคภัททกัปสุดท้าย
บางคนตกในที่ร้อน ทรมานแสนสาหัส เพราะบาปกรรมที่ก่อเอาไว้ มิยอมที่จะสั่งสมบุญกุศลไว้เพื่อเป็นสเบียงชาติหน้า โลกวิญญาณที่ยังคงอยู่และเที่ยงแท้ มนุษย์เรานั้นได้อยู่อาศัยยาวนานมากกว่าโลกมนุษย์เสียอีก
เพราะว่าไม่ว่าเราจะทำบาปหรือกรรม อายุของมนุษย์ยุคนี้ยุคนั้นไม่พ้นเกินกว่า แปดสิบปี หรืออย่างมากที่สุด เก้าสิบ ถึงร้อย จากนั้นก็ต้องใช้ชีวิตหลังความตายที่เราเรียกว่าโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่น่าจะบอกว่าเป็นที่ถาวรของดวงวิญญาณทุกคนในโลก โลกมนุษย์เราคงเป็นอยู่ด้วยกายเนื้อ ซึ่งมีความหยาบด้วยกิเลส แต่หลังจากความตายชีวิตทุกคน เป็นกายทิพย์ล่องลอย และทุกคนได้อยู่นานมากที่สุด เพื่อต้องมารับทั้งบุญกุศลและบาปกรรมที่ตนเองก่อไว้ น่าจะเป็นสถานที่เดิมที่ทุกคนจากมา คือ จิตนิพพาน เมืองที่ทุกคนสุดแสนปรารถนา เพราะไม่ต้องวนเวียนว่ายตายเกิด
แผ่วเบาซึ้งซาบในปรารถนา แต่เป็นปรารถนาอย่างละเอียดผ่านจิตบางเบาหาได้หยาบ ลอยกรุ่นบางเบาในบรรยากาศเป็นสายสีขาวบริสุทธิ์ ดอกไม้อะไรหอมจัง หอมตระหลบอบอวลไปทั่ว ดอกแบบนี้กลิ่นแบบนี้ หอมเย็นประหลาดใจยิ่ง คนในธรรมกาลยุคขาว อันเป็นความหมายเปรียบเปรยถึงยุคของสมเด็จพระศรีอาริย์
หากเพียงแต่พระองค์ยังได้เสด็จมาอุบัติในโลกใบนี้ โลกที่สัมผัสชัดเจนถึงโลกธาตุที่บริสุทธิ์ ตราบจนอายุไขของพวกเราในโลกยุคศรีอาริย์อายุได้ แปดพันปี กาลนั้นหนาพระองค์จะเสด็จมาโปรดโลก กาลนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ
โลกที่หากเราย้อนทวนกลับไปยังสู่ภพเดิม ซึ่งกายหยาบเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ในยุคอดีตชาติที่ผ่านมาสมัยยุคของศาสดาองค์โคตมะ มันผิดแผกแตกต่างกันเหลือเชื่อ โลกที่เรียกว่าสวรรค์บนแดนดินไม่เคยมีปรากฏในโลกมนุษย์ สวรรค์ที่บ่งความหมายจริงๆ ดินแดนแห่งร่มเย็นของมนุษยชาติ เป็นดินแดนไร้ความร้อนไร้ความอดอยาก ไม่ว่าทางด้านวัตถุจิตใจ ปราชญ์ใดแต่โบราณมา จึงสรรเสริญยุคพระศรีอาริย์ไว้ดังนี้ ในยุคที่มนุษยชาติอย่างเราและท่านนี้พูดบ่นคำว่าอดอยากหรือไม่มีจะกินไม่ปรากฏ
สวรรค์ในความหมายข้อนี้ทุกสิ่งเป็นสวรรค์ สวมใส่เสื้อผ้าทิพย์ กายผุดผ่องด้วยเครื่องประดับต่างจากองค์เทพเทวานางฟ้าที่ไหน สวยงามเพียบพร้อมเท่าเทียมกันมิปาน จึงได้พยายามหยั่งลึกลงในจิตใจว่า คนยุคนี้ จิตใจเป็นอย่างไร อัธยาศัยไมตรี.. ล้วนหลากสิ่งของประการทั้งปวงมองผ่านนัยน์ตามีแต่ความสวยเป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจ ทุกสี่มุมเมืองทุกหนทุกแห่งประดับประดาด้วยต้นกัลปพฤกษ์ ต้นไม้วิเศษแห่งการให้พร
ยุคนี้ขนาดดอกไม้ที่แหล่งกำเนิดอยู่ในสรวงสวรรค์แท้ กลับมาอุบัติในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก ..ยิ่งใหญ่เพียงไหนมนุษยชาติทราบดีแท้ ทุกคนไม่ต้องเดิน หรือจะเดินก็ได้ เพราะอำนาจบารมีของเจ้าของศาสนาบุญกุศลสูงสุดของสมเด็จพระศรีอาริย์ ทำให้ทุกคนเหาะเหิรเดินอากาศ
ทุกข์ที่เกิดในหมู่มนุษย์ ทางด้านกายและจิตใจไม่ปรากฏ เพราะอำนาจทางด้านรัฐศาสตร์นิติรัฐไม่ปรากฏ มีแต่อำนาจธรรมที่ปรากฏอยู่ในอุ้งหัตถ์ของสมเด็จพรระมหาจักพรรดิ หมู่คนเหล่านี้เมื่อรู้ศีลธรรมอันดีงามถ่องแท้ในจิตใจแล้ว ก่อนจะมาถือกำเนิดได้ต้องเป็นบุคคลที่ถูกคัดเลือก และแน่นอนเฝ้ารอคอยเสวยสุขอยู่บนสวรรค์เสียก่อน คุณสมบัติของเทวดานางฟ้า ย่อมอบรมศีลให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ เพราะเป็นบุคคลที่ปราศจากหิริและโอตตัปปะ แผ่นดินสวยงามดังว่าเชื่อมต่อกันไปทั้งประเทศ พระมหาจักรพรรดิเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ผู้ผุดมาพร้อมกับสิ่งวิเศษเจ็ดอย่าง อันหมายถึงรัตนะทั้งเจ็ดดังที่เคยกล่าว
มหาจักรพรรดิจะมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง หากมีสองย่อมไม่ใช่มหาจักพรรดิ จักรแก้วบัลลังก์แก้วควรมีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีใครเยื้อแย่งปกครองศาสนาและประเทศนี้ได้ เพราะเป็นของสมเด็จพระศรีอาริย์แต่เพียงผู้เดียว
เวโรจน์ไม่ได้กังขาใด เขารู้เท่าเพื่อนรู้ ตอนนี้ขอโอกาสเวลาชื่นชมความบริสุทธิ์ เริงระบำรำฟ้อนกับหมู่เพื่อนกลางวงสังคีตศิลป์ ที่มีเหล่าหมู่เทพพรหมมาปรากฏชื่นชม ลงมาเดินเล่นในโลกมนุษย์
สนุกนะ เพลิดเพลินเหลือเกิน น่าชื่นชม เธอเต้นได้สวย รำก็เก่ง ขอชมจากใจจริงจ้ะ เวโรจน์หลุดปากออกมา แพรวพัสตราภรณ์สีสันหลากหลายแล้วแต่ความปรารถนาของผู้สวมใส่ .. ชะรอยความสุขสนุกสนานร่าเริงที่แท้ก่อเกิดทุกข์ในใจนั่นเอง ถึงแม้ยุคนี้ไม่มีทุกข์ แต่ติดสุขบริโภคกามสมบัติทั้งหลายมากเกินไป ย่อมไม่ทราบถ่องแท้ของการตัดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เป็นไร ขอสนุกสนานอย่างนี้ไปก่อน ศาสนามีอายุตั้งแปดหมื่นปีนี่ คนเราอายุห้าร้อยปีถึงจะแต่งงานกันได้ ขอใช้กาลเวลาร้อยๆปี สองร้อยปีก็ได้เอ้า ใช้ให้คุ้มก่อนเถอะนะ
เรื่องศีลธรรมอันดี พระสงฆ์องค์เจ้าพ่อแม่ก็เตือนอยู่แล้ว เราก็เข้าใจเชื่อฟังท่าน รับรู้ดี เพราะจิตถูกสั่งสอนว่านี้คือประเพณีของมนุษยชาติในยุคนี้ ทำบุญร่วมกันปราศจากคนใจบาปหยาบช้า ไปทางไหนห้วงหนตำบลใด ก็ไร้ความหวาดระแวง เพราะทุกคนใฝ่แต่บุญกุศล ไม่หวงห้ามวิชาเรียน เป็นที่พึ่งได้ทุกคนเมื่อขอคำปรึกษา
โถ่ แม้แต่คุณพี่พังพอนกับพี่งูเห่าก็ผูกสมัครรักใคร่กันเป็นสหายจับมือกันรักกันนักหนา สัตว์เดรัจฉานในยุคนั้นได้รับความเมตตากรุณาถึงเพียงนั้น แล้วสามารถพูดจาเข้าใจภาษามนุษย์ด้วย ท่านก็ไม่ไปทำร้ายกันอยู่ในวิถีของท่าน ..ครอบครัวของท่าน
ความสุขแบ่งเป็นสองอย่างมีให้ไขว้คว้าและกอบโกย สุขอิ่มหนำสำราญในการกอบโกยบุญกุศล อีกประการ สุขทางด้านวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ ติดนั่งนอนชมทีวีดูหนังฟังเพลิน อยากกินอาหารดีอร่อย ให้เลือกเอาได้ตามใจชอบ
พระศรีอาริย์อยู่ไหน? อา ..ผุดวาบเข้ามาในใจอีกครั้งแล้วถึงการตามติดเพียรที่จะค้นหาว่าพระองค์สถิตอยู่ณที่แห่งใดในเวลานี้ แม้จะทราบอย่างดิบดีแล้วว่าในบรรดาวงศ์หน่อเนื้อพุทธางกูรทุกพระองค์จะเสวยในสุขสมบัติอันเป็นกุศลสวรรค์ ณชั้น ดุสิต สถานที่ประทับของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ก่อนถึงยุคบรรลุ พระศรีอาริย์ก็เป็นเทพชั้นสูงชั้นนี้เช่นกัน เป็นที่สถิตของพระองค์มาตลอด ครั้นสร้างบุญบารมีก็เปล่งอำนาจดวงจิตทิพยอำนาจของพระองค์ อย่างที่ทราบทรงอธิษฐาน แผ่นดวงจิตให้จุติยังโลกมนุษย์ปัจจุบัน นอกจากปัจจุบันยังมีอดีต ดวงจิตแห่งโพธิสัตว์
ต้องการสร้างโลกพระศรีอาริย์ ต้องการสร้างโลกสวรรค์บนดิน ทรงดำริก่อตั้งนั้นเปล่งดำรัสมานานผ่านหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วน เมื่อคราวครั้งที่แน่แท้ว่าพระองค์จักเป็นหนึ่งในพุทธเจ้า เนื่องจากทรงมองเห็นการณ์ไกลถึง วิถีของเวไนยสัตว์ที่เวียนอยู่อยู่บนกองทุกข์ อันที่ไม่มีที่สิ้นสุดของภพ ..ตราบเท่าที่ยังพัฒนาสติปัญญาถึงความละเอียดไม่เพียงพอ ละเอียดลึกลงไป บางเบาดุจอากาศ เช่นนี้ถึงเรียกว่าละเอียด ไม่สามารถจับต้องได้
..ภาวะเหล่านี้เป็นทิพย์ และพ้นจากกายหยาบของมนุษย์ หยาบของมนุษย์ปรากฏเป็นเนื้อหนัง เป็นความยึดติด มนุษย์ใช้การยึดติดว่า นี่เป็นของเรา โน่นเป็นของเรา เป็นสิ่งที่ตัวเรากระทำ เพราะเหตุนี้มนุษย์จึงถูกปรุงแต่งมาด้วยกิเลส ประชุมการเกิดของธาตุทั้งสี่ อันมี ดิน น้ำ ลมไฟ บวกกับพลังจักรวาลและความเมตตากรุณาของเบื้องบน นอกจากมนุษย์ถูกปรุงแต่งด้วยตัณหากามารมณ์ มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม จึงมีตัณหากามารมณ์ เป็นที่ก่อเกิดสืบเชื้อพงษ์เผ่าวงศ์วารตระกูลอย่างปรากฏในปัจจุบัน
มนุษย์ไม่เคยมองพ้นความหยาบ มนุษย์จึงเห็นแต่ความหยาบ มนุษย์ไม่เคยเห็นวิถีทางแห่งสวรรค์ วิถีที่เทพ เทวบุตรเทวธิดาประพฤติ จึงมองไม่เห็นทางสวรรค์ ทางที่ทวยเทพเหล่านั้นยกย่องแซ่ซ้องสรรเสริญ นั่นก็คือบุญกุศล ในภาะวะทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเสพได้เพราะบุญกุศล ..อำนาจที่อุบัติมาได้เพราะการกระทำดีที่ยิ่งยวดอันเรียกว่ามหากุศล ครบถ้วนคุณสมบัติของเทวดานางฟ้า จึงได้เสวยบุญที่ตั้งและเกิดขึ้นมาเอง อันเกิดจากผลบุญและแรงกรรมดีเมื่อคราวครั้งเกิดเป็นมนุษย์ บุญที่ถูกอุบัติจึงถูกเรียกว่ากุศลสวรรค์
ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครทราบ เกินญาณทัศนะของผู้ที่จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปสุดท้าย ที่ทรงแผ่จิตด้วยอนาคสตังญาณ ญาณเฉพาะผู้ที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์มองเห็นกาลหมดทั้งหมด ไม่ว่าอดีตปัจจุบันอนาคต จะย้อนกลับไปสักอีกกี่ภพกี่ชาติ ซึ่งถูกฉายเด่นชัดในจิตของโพธิสัตว์
ทรงรับรู้มานาน ทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ที่ไร้แก่นสารสาระ ทรงรู้วิธีทรงรู้อุบายหนทางที่จะช่วยเหลือเวไนยสัตว์ผู้เปรียบดังบุตรของพระองค์ ให้มองเห็นสภาพะภาวะอันแท้จริง ของทุกข์มหันต์ในการที่ดวงจิตยังเวียนว่ายวนในวัฏฏสงสาร .. อันไร้ที่สิ้นสุดจุดปลายทาง
โครงการสร้างโลกสวรรค์นั้นมีมานาน แต่มนุษย์ไม่มีวันรู้ ก่อตัวอย่างเงียบๆ สานสืบ และดำเนินไปเรื่อย ด้วยวิธีของเบื้องบน และเทพสูงสุดพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นฝ่ายดีฝ่ายบุญกุศลที่จะคานต้านอำนาจของเหล่าพญามารที่กำลังเหี้ยมหาญสยายอำนาจเหิมเกริม ..ครอบงำจิตใจมนุษย์อยู่ทุกวันนี้ ฝ่ายพระฝ่ายกุศลเป็นคนต้าน และใช้อุบายในแนวแบบทางขององค์พระศรีอาริย์ และใช้ได้ ผ่านมาทุกยุคทุกสมัย บุคคลที่รับรู้ได้ ต้องมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระศาสนา เห็นภัยในการเกิดมองเห็นบุญและบาปรู้โทษทัณฑ์ของมันและเกิดความละอายเกรงกลัว นี่คือ คุณสมบัติข้อหนึ่งของเทพเทวานางฟ้าณ แมนสรวง
ยังเอ่ยกล่าวถึงการเกิดของมนุษย์ เมื่อได้รับโอกาสและถูกลิขิตจากฟ้าเบื้องบนแล้ว ได้มุดท้องแม่เกิด
แรกเริ่มเดิมทีการอุบัติของมนุษย์ เป็นพรหมชั้นสูงระดับสุทธาวาส ทำผิดกฎสวรรค์หลงในรสชาติง้วนดิน เมื่อก่อนอยู่ในอาภรณ์ทิพย์ที่สง่า อิ่มเอมในรสทิพย์ เนื่องจากความซุกซนอยู่ไม่สุข จึงลิ้มชิมรสของแปลกอันเป็นของต่ำกว่าฐานะของตนเอง วรกายแห่งพรหมที่เคยสุกสกาวเปล่งรัศมีอร่ามเรืองก็ทอนลดแสงมาเรื่อย จากการติดใจง้วนดิน จนกระทั่งหม่นสีไร้แสงเปล่งปลั่งดุจพรหมเพศเดิม เมื่อเริ่มกลายเป็นมนุษย์ เริ่มมีสัญญาลักษณ์แห่งเพศชายหญิง เกิดทวาร แขนขา มือ กลายเป็นมนุษย์ และสืบสายเชื้อพันธ์ด้วยการสมสู่ และเป็นต้นเรื่องของอำนาจหลงผิดในกามอย่างปัจจุบัน เมื่อพรหมเริ่มมีเพศ ได้เสพสมกันจนภาวะทิพย์หายไปโดยอันตรธาน จนในที่สุดทิพย์ในสภาวะหายขาดไม่ปรากฏ หมดทั้งฤทธี ไม่เหาะเหิรเดินอากาศได้ ต้องเดินด้วยเท้า ปลูกกระท่อมอยู่ ทำมาหากินด้วยการเกษตร
พรหมผู้มีจิตเดิมยังบริสุทธิ์ ก็ยังต่อว่าต่อขาน ว่า พวกเธอทั้งหลายการกระทำเหล่านี้เป็นกรรมลามก อย่าทำอย่างนี้ มันไม่ดี เมื่อถูกห้ามปราม มนุษย์แรกเริ่มต้นบรรพบุรุษของมนุษย์โลก ก็พากันแอบหลบไปสมสู่ตามถ้ำตามป่าชายเขา ณ ปัจจุบัน มีเมล็ดข้าวสาลีงอกเงยขึ้นมาทีแรกมีแต่เมล็ดไร้เปลือกแรกเริ่มเดิมที .. ครั้นพอจำนวนมนุษย์เพิ่มขึ้นเกิดกิเลสอิจฉาริษยา กลัวคนอื่นแย่ง อันเป็นวิสัยของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ การที่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในเมตตาช่วยเหลือเอื้ออาทรแบ่งปัน เมล็ดข้าวสาลีที่เพียงแต่หุงทานง่าย ไร้เปลือก .. บัดนี้มีเปลือกหุ้มหนา กินยากต้องผ่านการกะเทาะแกะออกมา เหมือนเม็ดข้าวสารในปัจจุบัน ..ลงโทษมนุษย์ที่ไร้ความเมตตากรุณาต่อกัน ทีนี้จะเก็บเกี่ยวต้องใช้เคียว ผ่านการสีขัด และต้องลำบากในการขนถ่าย จากนั้นอกุศลกรรมเหล่านี้ทำให้บังเกิดเป็นขโมย ฉกชิงวิ่งราว นี่เล่าประวัติของมนุษย์แต่เริ่มเดิมที พอเป็นสังเขปเอาแค่คร่าว
กล่าวถึงโองการของพระศรีอาริย์ ที่ประชุมพร้อมเพรียงในสภาเทพ ดำริเรื่องการช่วยเหลือมนุษย์โลก โดยมีเทวดาใกล้ชิดเป็นผู้รับคำสั่งถ่ายทอด ทำงานช่วยเหลือโลกร่วมกัน ดังนั้นทรงแบ่งดวงจิตของพุทธะเป็นล้านๆดวงให้กระจายลงไปสู่มนุษย์โลก เพื่อให้ช่วยเหลือโลก ..สร้างสวรรค์ในแบบอย่างของพระศรีอาริย์
ทรงแผ่ดวงจิตอันมหากุศลของพุทธะไปยังทุกหนทุกแห่งในโลกจักรวาล .. ซึ่งมิใช่โลกของมนุษย์อย่างเดียว จักรวาลอื่นก็มีมนุษย์อาศัยด้วยเช่นกัน รวมทั้ง สัตว์ ต้นไม้ใบหญ้า สิ่งเหล่านี้ก็มีชีวิต ทรงแผ่ดวงจิตโพธิสัตว์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ..ไม่เลือกชนชั้นวรรณะผิวพรรณ สูงต่ำดำขาวผิวเผือกผิวหม่น เนื่องจากทรงมีพระประสงค์ในปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยเหลือเวไนยสัตว์ทุกคนให้ข้ามพ้นภัยทุกข์
ยิ่งณที่แห่งใด กันดาร.. ลำบาก ข้าวยากหมากแคลน พระองค์ยิ่งสงสาร ผู้มีทุกข์ยาก จะอวตารแบ่งดวงจิตไปช่วยเหลือในทุกครั้ง สภาพบ้านเมืองที่เกิดรบราฆ่าฟัน ผู้คนล้มตายเลือดนองทาแผ่นดิน ทรงมีจิตสงสารในบาปกรรมที่ก่อเกิดณแผ่นดินนี้ ..ทั้งนี้เมื่อพระองค์ช่วย จิตใจของประชาชนพสกนิกรชาวโลกต้องน้อมนำใจหันมาปฏิบัติรับเอาหลักธรรมของพระองค์มาใช้ด้วย มิเช่นนั้นจะไร้ประโยชน์ด้วยประการทั้งปวง
ดังนั้นประชาชนมักจะตีโพยตีพายว่าการที่จะได้พบพระศรีอาริย์นั้นยากเย็นจริงๆ พระองค์ไม่ลงมาโปรดมนุษย์ พระองค์ก็ตอบแทนชาวโลกมนุษย์ มนุษย์ต่างหากล่ะที่ไม่ปรารถนาจะพบพระองค์ พระองค์จะไม่เสด็จลงมาแน่ หากจิตใจมนุษย์ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเกลียดเกรงกลัวต่อบาป อันจะเป็นเกราะค้ำยันให้บุคคลเหล่านั้นได้บังเกิดทันศาสนาพระองค์
ถ้ามีความบาปและชั่วในจิตใจมากมาย พระองค์ก็ไม่ลงมา แผ่นดินที่เต็มไปด้วยความสกปรกโลกที่มีแต่ความขุ่นมัวทางด้านจิตใจ ..พระศรีอาริย์ จะไม่เสด็จลงมา นั่นคือเปล่าประโยชน์ ตราบใดโลกแห่งนี้มิใสสะอาดบริสุทธิ์ จะมิใช่ภาวะรองรับพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นมหาเทพสูงสุดผู้บริสุทธิ์ สั่งสมบารมีพบพระพุทธเจ้ามาเป็นล้านๆพระองค์ ยังจะบำเพ็ญพุทธบารมีเริ่มต้นตั้งแต่ ตั้งความปรารถนาในใจเป็นพุทธะ ก็ต้องเวียนตายเกิดมานับไม่ถ้วน ครั้นด้วยวาจา ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็นับไม่ถ้วน ครั้นต่อมายังต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระชินสีห์ที่ผ่านมาแล้วก็นับเป็นล้านๆชาติ
กัปไม่อาจเปรียบเทียบได้ แต่อุปมาเหมือนเม็ดทรายในมหาสมุทรใหญ่ ลองนับไปสิมีเท่าไหร่ ทีละเม็ด ดังนั้นพระศรีอาริย์ ท่านเกิดมานาน เกิดก่อน แต่ไม่ยอมตรัสรู้และเสด็จปรินิพพาน ..เพราะมีจิตสร้างโลกใบนี้ในเมืองมนุษย์ให้กลายเป็นสวรรค์เสียก่อน ปรารถนาที่จะช่วยเหลือมนุษย์ในศาสนาของพระองค์ ไปสู่สถานธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นความสุขชั่วนิจนิรันดิร์ ซึ่งไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดลำบากเข็ญใจอยู่ในกองทุกข์ที่ไม่จบสิ้น ..เยี่ยงประเพณีพระพุทธเจ้าองค์
แต่มนุษย์ในโลกปัจจุบันจะให้ความช่วยเหลือพระองค์ได้มากเพียงใด ว่ากล่าวกันแล้วมิใช่หรือ ทราบกันเพียงล่วงหน้าจากคำทำนายของพระองค์ หนึ่งในสี่ส่วนของโลกมนุษย์ยุคนี้ จะได้เกิดทันศาสนาพระองค์แค่ส่วนเดียว จะเป็นใครบ้าง กระจายไปทั่วโลก เพราะต่อไปในอนาคตชาวต่างชาติจะซาบซึ้งถึงพระพุทธคุณเรียนรู้นั่งวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งพิสูจน์มองเห็นกระดูกของนักวิปัสสนาที่เราเรียกว่าพระธาตุเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ ..แล้วถึงเวลานั้นศาสนาพุทธจะเจริญงอกงามเพียงศาสนาเดียว จวบจนกระทั่งครบห้าพันปีตามพุทธทำนาย
นั่นเป็นอนาคต ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏแล้ว ชาวต่างชาติให้ความสนใจในการบวชเรียนพากเพียรเพื่อการหลุดพ้นหลายคน แล้วเขาเหล่านี้จะไปสอนบอกญาติเพื่อนสนิท แต่ที่น่าเสียดาย สมเด็จพระศรีอาริย์ท่านบอกว่า แต่ประชาชนพลเมืองที่นับถือศาสนาพุทธแท้ กลับเสื่อมไปในหนึ่งของพลโลกทั้งหมด
แสดงให้เห็นภาวะอันตราย พระศรีอาริย์ท่านจึงบอกว่า มนุษย์ในยุคนี้ไม่ปรารถนาที่จะพบท่าน เป็นความนัยที่บอกกล่าวว่า มนุษย์ในปัจจุบันไม่ได้เร่งรีบที่จะขวยขวายทำบุญบริจาคทานเพื่อที่จะมีบุญกุศลบารมีพอที่จะไปบังเกิดในสวรรค์ แล้วรั้งรอที่จะเกิดในยุคพระองค์ เช่นบรรดาเทพเทวานางฟ้าที่เสวยสุขอยู่ณขณะนี้
ความคิดเห็น