ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แว่วเสียงระฆังโบสถ์สุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #2 : ต่อจากเดิม

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 52


     

                    สามเณรน้อยที่เพิ่งบวชได้เพียงอาทิตย์กว่าๆซึมซับต่างๆรวดเร็ว ห่างอาลัยจากการคิดถึงบ้านคิดถึงคนที่รักแล้ว  เพราะเข้าใจว่าตัวเองเป็นบรรพชิต และเกิดมีความสุขในการทำตัวเองให้เป็นบรรพชิต  ผู้ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มองไปทางไหนก็โล่งโปร่งเบาหวิว

              ดวงตาน้อยๆของสามเณรนิ่งสงบ  มองไปทางไหนเป็นธรรมมะไปหมด  โดยไม่ทราบว่าจิตตนเองนิ่งอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว  การท่องบล่นภาษาบาลีตามแนวทางการสวดมนต์คำบัญญัติของพระศาสดา  ในครั้งเมื่อเป็นนักเรียนค่อนสวดบ่อยทุกเช้าหน้าเสาธงเวลาเคารพธงชาติ  จึงจำได้ขึ้นใจ ในยามนั้นถือว่าจิตน้อมกายใจให้กับพระธรรมคำสั่งสอน

                    พิจารณาดูแล้วจิตของตนเองเป็นคนที่สอนเข้าใจง่าย ต้องไม่กล่าวถึงความอวดโอ่ แต่พูดถึงความจริงณ ขณะนั้น    เมื่อรู้แล้วก็ไม่ได้ปริปากบอกใครปล่อยให้เงียบเฉย  อาจจะเป็นเพราะสั่งสมจากบุญกรรมความเป็นพหูสูตการได้สดับตรับฟังมามาก มีโอกาสร่วมบุญกับพระพุทธศาสนาในปางอดีตชาติที่แล้วหลายภพชาติกระมัง

                    แน่นอนมีทั้งคำปวารณาอธิษฐานเอาไว้  ขอให้เกิดมาในร่มเงาของพระพุทธศาสนา  เพราะเป็นคนที่อ่าน ขวนขวายในธรรมะมาก่อนแล้ว จำได้สมัยเรียนทุกเช้าหลังเคารพธงชาติมีการท่องบ่นบทสวดแผ่เมตตาที่จำได้ขึ้นใจเสียยิ่งกว่าอะไร  กับพุทธภาษิตบาลีในหัวข้อธรรมะวันละคำ   เช่น   ปาปาณํง อกรณํง สุขํง  การไม่ทำบาปนำสุขมาให้  อรติ   โลกนาสิกา    ความริษยาเป็นเหตุทำให้โลกฉิบหาย   ปูชาจะปูชะนียานํง  กราบไหว้บูชาแก่ผู้ที่ควรบูชา   อัตหิ  อัตโน นาโถ  ตนแลเป็นที่พึ่งของตน

                    และมีการสวดมนต์ตอนเย็นวันศุกร์  ทุกโรงเรียนคิดว่าต้องปฏิบัติกันหมด ทำให้บทสวดพาหุงย่อ นี้  ซึ่งไม่ใช่พาหุงยาวแบบพระสวด  เราท่องขึ้นใจจำได้ท่อนแรกทั้งหมด  ต้องขอบคุณปัญญาของตนเองที่ช่วยตน

    จึงเข้าใจและรู้สึกว่าสามเณรนั้นต้องเรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติ  เพื่อให้เกิดปฏิเวธ ความสังเวชเพื่อจะได้นำไปสู่การหลุดพ้น ซึ่งเหล่านั้นเป็นตำราใหญ่จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บัญญัติพระวินัยให้แก่บรรพชิตทุกท่าน  คำสอนที่มาแต่ดั้งเดิมพุทธกาล  เกิดจากพระภิกษุกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องถูกชาวบ้านติเตียนถึงความไม่เหมาะ  เพื่อให้เป็นความเรียบร้อยในหมู่คณะ

                    โดยมีหนังสือให้เรียนรู้ศึกษาชื่อ วินัยมุข   กับนวโกวาท  เป็นข้อบัญญัติห้ามและอนุญาตให้ภิกษุกระทำกิจบางอย่างได้  นวโกวาทถือเป็นวิถีการใช้ชีวิตของบรรพชิตอย่างแท้จริง  ที่พระองค์ต้องการให้ลูกศิษย์ของท่านปฏิบัติอยู่ในกรอบ  เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม  เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาต่อสาธุชน  การมีกฎระเบียบเพื่อเป็นการเข้มงวดเคร่งตัวเองในการปฏิบัติพรหมจรรย์ของบรรพชิตทุกหมู่เหล่าเอง

                    เณรปุ่นรับรู้คำสอนเหล่านี้จากหลวงพ่อผู้อาวุโสกว่าบอกให้ลองไปหยิบอ่าน  จะได้รู้พระธรรมวินัย และวางตัวได้ถูก   พระพุทธองค์ท่านเขียนครอบคลุมไว้ทั้งหมด  ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระภิกษุสามเณร  เพราะสามเณรเกิดขึ้นทีหลัง  เณรปุ่นเชื่อหลวงพ่อรูปนั้น  ความที่เป็นคนชอบขวนขวายก็ไปเจอของจริง  รู้สึกดื่มด่ำซาบซึ้งในจิตใจเมื่อได้อ่าน   

                    หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านไม่ได้อยู่วัด   ท่านมีกิจนิมนต์เหมือนเคยกับญาติโยม และธุระปะปังส่วนตัว  ระยะแรกที่เราพาตัวเองมาเป็นลูกศิษย์ของพระตถาคตจริง   ก็ไม่ได้ค่อยเห็นท่านนัก  เพื่อนสามเณรทุกคนมีความคิดเหมือนกันว่า ต้องการได้รับการสั่งสอนอบรมจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสมากกว่า   เพราะคิดไปในทางเดียวกันว่า ท่านคงมีปัญญามาก ขนาดได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส 

                    แต่จนแล้วจนรอดหลวงพ่อเจ้าอาวาสมักฝากพระรูปอื่นให้สอน  แต่พวกเราสามเณรน้อยก็รอคอยจากท่าน

    ซึ่งรู้แล้วว่าผลในการเรียนรู้วินัยไม่แตกต่างกันนัก และได้ประโยชน์เช่นเดียวกัน  แต่ก็หวังการพร่ำสอนจากท่านโดยตรง  เพราะคิดว่าท่านคงมีวิชาอะไรที่แตกต่างไปจากรูปอื่นอย่างแน่

                    ผู้คนทั้งหลายเคารพท่านเพราะเป็นเจ้าอาวาส ท่านรูปร่างเล็ก  เป็นคนพูดน้อย พูดสองสามคำแล้วหยุด  หลังจากฉันภัตตาหารเช้านี้เสร็จแล้ว วันแรกของวันนี้ที่เณรปุ่นกล้าออกไปบิณฑบาตกับรุ่นพี่ทั้งสามเณรและหลวงพี่บวชใหม่พร้อมกัน  หลวงพี่อีกสองสามรูปยังไม่กล้าบิณ เช่นหลวงพี่บัติ  หลวงพี่โอ๋  หลวงพี่ วาท   หลวงพี่เปลื้อง  ท่านให้เหตุผลกับเราว่า

                      อายโยมสาวๆน่ะสิน้องเณร  น้องเณรล่ะไม่อายบ้างหรือ   

    ท่านอายุห่างจากเราตั้งห้าหกปี หนุ่มรุ่นๆกระทงอย่างเราที่ดูยังไงก็ยังเป็นเด็ก  ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้หรอก  แต่ก็พยักหน้าเข้าใจ  พยายามเดาถึงเหตุผล  ความขวยเขินที่มีในกายเป็นเหตุทำให้ท่านเอ่ยเช่นนี้ แน่นอน ถือว่าเป็นพระภิกษุที่เพิ่งบวช   จะสลัดความเป็นฆารวาสยังไม่หมด

                    ค่อยละทิ้งไปทีละนิด  แต่เราเมื่อปรารถนาและเปลี่ยนแปลงจิตใจศรัทธาและเชื่อว่าถนนสายนี้เป็นถนนสายที่ทำคุณงามความดี  พลังในการเรียนรู้แสวงหา  จิตใจที่น้อมศรัทธาก็บังเกิดขึ้นมาอย่างง่ายได้  พร้อมทั้งอธิษฐานกับตนเองอย่างมุ่งมั่นว่า   จะปฏิบัติตนเองเป็นเณรที่ดี  เพื่อสร้างกุศลผลบุญ และเพื่อให้ปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วสมกับที่บุพการีทั้งสองต้องการ    ดังนั้นหลวงพี่ทั้งสามที่ไม่ได้ออกไปบิณด้วยความเขินอายสตรีจึงได้มาฉันร่วมกันแบ่งปันจากหลวงพี่รูปอาวุโส ที่ท่านยกบาตรให้ ส่วนรูปใหม่ท่านอื่นๆก็ ถือบาตรยื่นให้ อีกอย่างญาติโยมมาถวายภัตตาหารตอนเช้าจะเวียนวนมาด้วยเหล่าญาติของหลวงพี่ผู้เป็นภิกษุนวกะคือบวชใหม่  ทั้งโยมพ่อโยมแม่  หรือโยมน้อง  บางท่านเช้าไม่ทันพระฉันก็ ยื่นปิ่นโตส่งให้เพื่อรอช่วงเพล  จากนั้นก็ขอเข้าไปหาหลวงพ่อเจ้าอาวาส  ถ้าท่านไม่อยู่ก็หลวงพ่อรักษาการ เป็นรองท่าน อยู่พูดคุยปสาทะกับท่านก่อนจะขอพบพระภิกษุลูกชาย  มีเรื่องบางอย่างจะบอกกล่าวซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวและญาติพี่น้อง

                    เสียงสวดมนต์ในรุ่งเช้าให้ความขลังอีกวัน ในใจของสามเณรนวกะที่เพิ่งผ่านได้มาเพียงอาทิตย์กว่า  ในใจเริ่มแช่มชื่น  เริ่มตื่นรับกับโลกใหม่  ที่พาตัวเองก้าวเข้ามา  บรรดาเพื่อนนวกะรุ่นเดียวกันหกเจ็ดรูป   มีทยอยบวชตามกันมาอีกสามรูป  ผู้บวชใหม่ดังกล่าวหลังจากอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น  ล้วนแต่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน  จบพร้อมกัน  และไม่ได้ศึกษาต่อ  ทีแรกใจของเณรปุ่นไม่ได้คิดอะไร  คิดในทางที่ดีเอาไว้ก่อน

                    แม้ในความรู้สึกนึกคิดจะบังเกิดรู้สึกว่า มารตามรังควานอีกแล้ว  เรากับเพื่อนบางคนซึ่งเป็นนวกะด้วยกัน  แต่อดีตถือเป็นไม้เบื่อไม้เมา  เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งชกต่อยกันมาแล้ว  แล้วเราก็สู้เขาไม่ได้ในทุกครั้ง  กุฏิที่เราพักอยู่นั้น ในกลุ่มบรรดาเณรนวกะด้วยกันจะอยู่ด้วยกันทั้งหมด   นอกจากเต็มแล้ว ถึงได้ให้อยู่ห้องอื่น

                    กุฏิของเราที่นวกะทั้งหมดอยู่นั้น เบื้องหน้าคือเมรุเผาศพ ดีอยู่หน่อยที่ขนาบเคียงข้าง  ซ้ายนั้นเป็นหลวงพ่ออาวุโสรูปหนึ่ง  ซึ่งทำให้เราอุ่นใจ  แม้ว่าขวาสุดจะมีกุฏิเราเป็นห้องสุดท้าย แต่ตรงกันข้ามกับห้องเรายังมีหลวงพ่อรุ่นอาวุโสอีกรูปที่พรรษารองเท่าอาวาส  ไม่ต่ำกว่าห้าสิบพรรษา ทำให้กลัวเรื่องภูตผีต่างๆมลายหายไป

                    แต่ไม่วายแอบมาครุ่นคิดจนได้  ตกดึกบางครั้งเผลอไปเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ในห้องเณรนวกะนอนอยู่ด้วยกันเจ็ดรูป  ยังพอคลายเรื่องนี้อยู่  แต่บางครั้งวันดีคืนดีเสียงลมพัดตึงอู้อี้เสียดเข้ามาภายใน รุนแรงกระทั่งเสียงออดแอดกลายเป็นกระชากเปิดหน้าต่างบานหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะกลอนหรือช่องลงกลอนไม่ดี หมายถึงรูไม้ที่เจาะไว้สำหรับดึงกลอนลง  เรายังพาลโทษไปถึงสิ่งนี้อีก  แต่กระนั้นก็ทำให้คนทั้งหมดสะดุ้งไปตามๆกัน ต้องเอื้อมมือเปิดไฟถึงจะปิดหน้าต่างบานนั้นได้  พวกเราถือว่าแสงสว่างทำให้ผีกลัว

                    อีกประการหนึ่งเพื่อนเณรนวกะด้วยกันชอบทั้งแกล้งและหลอกลวง ในความคิดของเราที่มีต่อเขาคิดว่า เขาช่างไม่มีความซื่อสัตย์ให้แก่ตนเองเลย  ปกติเราเป็นคนที่ไม่ชอบฟังคำพูดเท็จจากใคร  สมัยนั้นตัวเองไม่เคยพูดเท็จ เพราะพูดแล้วต้องทำได้ นิสัยนี้ถูกฝึกมานานนมเรียบร้อยจากโยมแม่ที่เฝ้าเข้มงวด  เรื่องเข้าผู้หลักผู้ใหญ่ทำยังไงถึงจะถูกต้อง  วางตัวยังไงกับท่านผู้อาวุโส

                    เลยพูดและคิดตามความรู้สึกของตนเองว่า  พ่อแม่เขาคงไม่บอกกล่าวกระมัง   เพื่อนบางคนก็เป็นกำพร้า  ขาดพ่อขาดแม่ บางคนอยู่กับยาย  เช่นเพื่อนที่ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเรา  ขอใช้เรียกชื่อว่า  เณร  ฉาย คนนี้บวชหลังสุด  เขาบวชเริ่มจะเข้าเดือนที่สองของเราในการใช้ชีวิตเป็นบรรพชิต เป็นผู้ปรนนิบัติอุปัฏฐากพระภิกษุ ติดตามท่าน  นี่คือหน้าที่ของสามเณรโดยตรง  โดยสามเณรคนแรกของโลกคือพระราหุล พระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งยังไม่ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

                    เหล่าสามเณรมีโอกาสพูดปรึกษาปสาทะทางธรรมกับหลวงพ่อผู้อาวุโสในวัด มีกระทู้ธรรมต่างๆป้อนถามสามเณรนวกะ เราเหล่าเณรนวกะแย่งกันตอบ  ตามภูมิปัญญาและความสามารถที่เรียนรู้   เช่นหลวงพ่ออาวุโสท่านคล่องชำนาญในการปฏิบัติและวางตัวของบรรพชิต ถามพวกเราเกี่ยวกับพระธรรมวินัย  ทั้งวินัยมุข ข้อที่บรรพชิตควรศึกษาและปฏิบัติ  ระเบียบข้อห่ามและไม่ห้ามในนวโกวาท  นี่ถามแบบหลวงพ่อเพชร

    ถามแบบหลวงพ่อธง  ท่านจะถามถึงพุทธประวัติ เช่นตอนที่พระพุทธองค์ประสูติออกมา  มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เณรนวกะก็ตอบไปตามที่เรียนรู้

      ประสูติออกมาเดินบนดอกบัวได้เจ็ดก้าว  หลังจากนั้นพระมารดาสิ้นพระชนม์ครับ เอ้อ มีเทวดาทั้งหมื่นมาอารักขาคอยดูแลทั้งแซ่ซ้องสรรเสริญ รวมถึงชั้นพรหมที่มหาบุรุษท่านได้บังเกิดในโลก    

    คำตอบแบบนี้ของเราถูก  หลวงพ่อท่านชมเชย   แต่ท่านเพียงยิ้มๆ ไม่เอ่ยอะไร แสดงว่าถูก เราแปลว่าท่านชมเชย   ส่วนเพื่อนบางคนตอบแล้วแต่ความคิด ถูกบ้างผิดบ้าง  ถ้าจะให้ดีเราก็แนะนำเพื่อ ลองไปอ่านหนังสือพุทธประวัตินักธรรมตรี

                    เหตุผลเราอ่านได้แล้ว จำขึ้นใจ หลังจากผ่านเป็นเณรนวกะได้ไม่ถึงสามอาทิตย์   เผอิญเกิดความสนใจใคร่รู้ก็เลยหยิบมาอ่าน เลยได้ความรู้หลายหลาย   รู้สึกศรัทธาเลื่อมใส ในจริยวัตรของพระพุทธเจ้า  และประวัติอื่นของท่าน   ยังอ่านไม่จบ เดี๋ยวขอกลับไปอ่านต่อ

                    หลวงพ่อธงท่านถามอีก

                       แล้วพระศรีอาริย์ล่ะ  รู้ไหม พระศรีอาริย์เป็นใคร      ท่านเคยมาบังเกิดในชาติเดียวกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน   ท่านชื่ออะไร    ตระกูลของท่านด้วย  หลังจากสิ้นยุคพุทธกาล  

    เณรปุ่นแย่งเพื่อนตอบตามเคยสนใจประเด็นนี้อย่างมาก เพราะชื่นชมในบารมีและตัวพระศรีอาริย์มาก่อนแล้ว   สมัยเป็นฆารวาสเคยทำบุญตักบาตรและอธิษฐานตามที่ผู้อาวุโสทั้งหลายในหมู่บ้านสอน  เพื่อให้เกิดทันศาสนาของพระองค์ท่าน  ถ้าวาสนาบารมีในชาตินี้ไม่ถึง

                      ยุคพระศรีอาริย์จะเริ่มต้น ยุคนั้นเป็นยุคศรีวิไลครับ  จะเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านศาสนาและวัตถุ  ศาสนาสูงกว่าวัตถุ  ไม่มีคนเจ็บป่วยไข้  ไม่มีการทะเลาะวิวาทสงคราม  ผู้หญิงผู้ชายรักเดียวใจเดียว   มีต้นไม้ทิพย์ชื่อกัลปพฤกษ์ผุดขึ้นทุกสี่มุมเมืองให้ประชาชนของพระองค์ใช้สอยตามความปรารถนาแค่อธิษฐาน ก็จะได้ ไม่มีโจรลักขโมยไม่มีคนตาบอดหูหนวก   คนสมัยนั้นพูดจาเพราะพริ้ง  มีความสนุกสนานในการร้องรำทำเพลง  ปัญจสิงขรเทพบุตรจะลงมาดีดพิณไพเราะให้ฟัง  ทุกคนจะสวยงามเหมือนเทวดานางฟ้า    แล้วเทวดานางฟ้าจะออกมาทักทายมนุษย์โลก   

    เราตอบแค่นี้ตามความรู้ที่รับทราบมา หลวงพ่อธงท่านพอใจมาก ส่วนที่เหลือเพื่อนเณรคือ  เณรบุญ เป็นคนตอบ

                       พระศรีอาริย์ในสมัยพุทธกาลที่เกิดมา(เณรบุญไม่ได้ใช้ราชาศัพท์ให้ถูกต้อง  แต่ใช้ภาษาธรรมดา)   ชื่อ พระเจ้าอชิตกุมารครับ   

    เรารีบบอกเพื่อนเมื่อเห็นเขาตอบเลยเกินไปหน่อย  แต่เจ้าตัวกลับถลึงตาใส่

                      ไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าต้องเป็นมหากษัตริย์ แค่กุมาร  หรือโอรส  

    แล้วเพื่อนเณรคนนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาตอบไปตามความคิดของเขาที่เขาจำได้แม่น เพราะผ่านไปอ่านเจอเหมือนเช่นกับเรา

                      เป็นโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูกับพระนางกาญจนา ได้มีโอกาสบวชในสำนักพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา     

    ก็ถูกของท่าน  หลวงพ่อธงท่านได้โอกาสบรรยายไปเรื่อยๆเสริมความรู้ให้พวกเรากระจ่างชัดลงไปอีก  สมกับเป็นผู้ที่ได้สดับตรับฟังมามากและเรียนรู้มามาก  ท่านเอ่ยเสริม

                      เรียกว่ากตยุค  ซึ่งหมายถึงยุคศรีวิไล  เมื่อพระศรีอาริย์เสด็จลงมาโปรดโลกมนุษย์ในยุคนั้น ทุกคนจะได้ไปนิพพานกันหมด เพราะพระศรีอาริย์บำเพ็ญบารมีนามาน  นับแปดพันอสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์ขณะที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราบำเพ็ญบารมีมาแค่เพียง สิบหกอสงไขยกับแสนมหากัป ท่านจัดเป็นประเภทปัญญาธิกะ  พระพุทธเจ้าที่เรียกว่ามีปัญญามาก  แต่สร้างความเพียรน้อย ส่วนพระศรีอาริย์ ท่านบำเพ็ญเพียรบารมีมาเยอะแต่ปัญญาท่านน้อย  จัดเป็นวิริยาธิกะ อันเป็นเหตุให้พสกนิกรของพระองค์ในยุคนั้นมีความเป็นอยู่สุขสบายกินทิพย์อิ่มทิพย์ไม่ได้ทอผ้าไม่ต้องทำนาทำงาน ตลอดอายุ  อยากกินอะไรอยากได้อะไรก็อธิษฐานเอาเหมือนที่เณรปุ่นว่านั่นล่ะ  โรคสมัยนั้น มีแต่โรคบริโภคกามสุข   คือ  อยากกิน อยากสุข ใคร่ในกาม    กับโรคขี้เกียจ  แล้วก็โรคชรา  ผู้หญิงอายุได้ห้าร้อยปี  ถึงแต่งงาน  คนยุคนั้นจะมีแต่คนดีมีศีลธรรมปราศจากคนชั่ว  ปราศจากสงคราม   องค์จักรพรรด  หรือที่เรียกว่า จักรแก้ว จะมีเพียงหนึ่งเดียว  คือ พระศรีอาริย์  จะปกครองบ้านเมือง  ด้วยทศพิธราชธรรม   ด้วยหลักของพรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา    สัตว์ที่เป็นศัตรูกันอย่างพังพอนกับงูเห่าจะจับมือรักกันเป็นเพื่อน และตำนานเรื่องท้าวผาแดงนางไอ่กับพญาพังคี พระศรีอาริย์จะเป็นคนตัดสินใจว่านางควรได้เป็นคู่ครองของใคร ตอนนี้นางไอ่คำยังอยู่ในบาดาลเมืองพญานาค รอพระศรีอาริย์มาจุติถึงจะตัดสินเรื่องนี้ได้  ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนทั้งหมดเกิดจากบารมีของพระศรีอาริย์  สิ้นศาสนาของพระศรีอาริย์แล้วจะยืนยงสืบอายุพระพุทธศาสนาอยู่ได้ถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นปี  จากนั้นศาสนาก็ล่มสลาย  กลายเป็นสุญกัปป์    กัปว่าง ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้  ดังนั้นถ้าใครปรารถนาที่อยากจะเกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์  ท่านแนะนำดังนี้  ให้หมั่นทำบุญสร้างกุศลไว้เยอะ  รวมทั้งหมั่นฟังพระสัทธรรมเทศนาเรื่องเวสสันดรชาดกให้จบได้เพียงวันเดียว หรือที่เรียกว่า คาถาพัน รวมทั้งมีดอกไม้ธูปเทียนอย่างละพัน ดอกสาวหาว ดอกบัว   แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ก็จะได้สมปรารถนาในอนาคต   อันนี้พระอรหันต์ในสมัยหลังพุทธกาล ชื่อพระมาลัยเถระ  ท่านเหาะไปเฝ้าพระศรีอาริย์บนสวรรค์ชั้นดุสิตท่านนำมาเล่าให้ชาวชมพูทวีปฟังในสมัยนั้น   ทำให้คนยุคนั้นเชื่อ แล้วทำตาม ทำให้ได้ไปเกิดเสวยสุขบนสวรรค์มากมาย   

    หลวงพ่อธงท่านกรุณาเทศนาให้พวกเราได้ฟังยาวเหยียดมากแต่ก็อัดแน่นด้วยความรู้  ซึ่งพวกเราสนใจฟัง  นั่งนิ่งยกมือพนม กระหายที่จะได้ฟังอีก  อยากให้ท่านเล่าต่อแล้วท่านก็เสริมต่อ

                      พุทธทำนายมีไว้ว่า  คนในยุคปัจจุบันนี้ ถือว่า เป็นกาลียุค  ยุคนี้คนเราเมื่อตายไปแล้ว  ทั้งสี่ส่วนได้ตกไปยังอบายภูมิ  มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่ได้เกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์  แค่หยิบมือเดียว  ต้องเป็นคนที่รักษาศีล  ให้ทาน ดูแลพ่อแม่ กตัญญู เจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน  ตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่เสวยสุขรอ จนกว่าพระศรีอาริย์จะเสด็จลงมาโปรดโลกมนุษย์  เทวดานางฟ้าทั้งหมดก็ตามพระองค์มาบังเกิดด้วย  ถ้าเณรทั้งหลายต้องการเกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์  ให้ทำอย่างนี้ แล้วก็หลีกเว้นการทำอนันตริยกรรมห้าข้อที่พระพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ     

    ข้อความนี้ยาวขอขึ้นย่อหน้าสนทนาใหม่ต่อจากเดิม

                      ข้อที่หนึ่ง  ปิตุฆาต  ฆ่าพ่อ  ฆ่ามนุษย์  ข้อสอง  มาตุฆาต   ฆ่ามารดาผู้มีพระคุณครูบาอาจารย์ ข้อสาม อรหันตฆาต    ฆ่าพระอรหันต์  ข้อสี่ โลหิตตุปปาท   ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต   หลวงพ่อท่านกรุณาอธิบายต่อไปว่า  เหมือนอย่าวงที่พระเทวทัตย์พระญาติของพระพุทธเจ้าไสช้างนาฬาคีรีเข้ามาทำร้ายพระพุทธองค์แค่เพียงเศษหินสะเก็ดกระเด็นเข้ามาบาดที่ผิวหน้าแขนของพระพุทธองค์  เท่านั้นเทวทัตย์ถูกแม่พระธรณีสูบลงไปเสวยทุกในมหานรกอเวจี    

    พวกเราได้ฟังตรงนี้รู้สึกสลดใจหดหู่ไปตามๆกัน  เมื่อรู้ว่าผลกรรมที่พระเทวทัตย์จะได้รับเป็นอย่างไร  ซึ่งไม่น่าเลย กรรมเมื่อก่อแล้วผลต้องเกิด  หลวงพ่อท่านบอกกล่าว  เวรกรรมของพระพุทธองค์กับพระเทวทัตย์จึงจบลงในชาตินี้  พระพุทธองค์ทรงอโหสิให้   ต่อมาอีกนานมาก พระเทวทัตย์พ้นจากขุมนรก  จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธจ้า  พระพุทธเจ้าที่รู้ได้เฉพาะตนไม่ได้สอนใคร  จากนั้นท่านก็ไปสู่นิพพาน   ส่วนข้อสุดท้าย  ข้อที่ห้า  คือ  สังฆเภท  คือยังสงฆ์ให้แตกแยกกันเป็นหมู่เหล่าคณะ  ข้อนี้บัญญัติเอาไว้เฉพาะบรรพชิตอย่างเรา  ถ้าประพฤติก็ต้องได้รับผลกรรมเช่นเดียวกับเทวทัตย์แล้วก็เฒ่าปาริพาชก  ที่กล่าวจาบจ้างศาสนา  ในช่วงปัจฉิมวัยของพระพุทธองค์   ที่ใกล้จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน  จนพระธรณีดูดไปเสวยทุกข์ในอเวจี  เช่นเดียวกับนางจิญจมาณวิกาอีกคน     นี่ทั้งห้าข้อที่พระพุทธองค์บัญญัติเอาไว้   ถ้าใครทำพลาดประมาทข้อใดข้อหนึ่งในแต่ละข้อ จะไม่มีโอกาสไปบังเกิดศาสนาพระศรีอารย์ได้ทัน     ฉะนั้นสามเณรทั้งหลายควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท  พยายามประพฤติตัวทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ  เช่นที่พระพุทธองค์สอน   ในฐานะที่ได้เป็นกุลบุตรของพระองค์      

    ฟังแล้วขนลุกไปตามๆกันแต่ก็เต็มไปด้วยความปีติที่ได้รับฟังโอสถทิพย์ธรรมน้ำคำผ่านริมฝีปากหลวงพ่อผู้แก่พรรษาและคงแก่เรียน

                    ใต้ร่มพิกุลมีเศษใบไม้ร่วงสะสมนานหลายวันบางใบเพิ่งหล่นร่วงสีเหลือง พอนานวันเข้าแปรเป็นสีน้ำตาลแห้งสนิท  หลวงพ่อเจ้าอาวาส  ท่านพระครู วิน ซึ่งเพิ่งการผ่านฉลองพัดยศ  จากเจ้าอาวาสธรรมดาเป็นชั้นพระครูใบฏีกา  รูปร่างท่านผอมแห้ง ยืนถือไม้กวาดทางมะพร้าวอยู่บริเวณภายใต้ร่มเงาใหญ่ของทั้งต้นพิกุลหว้าและต้นกุ่มบก

                    ไม้กวาดทางมะพร้าวปัดกวาดไปมาด้วยท่วงท่าเรียบเรื่อยของท่าน ไม่ได้ใจร้อนนัก  เหล่าเราสามเณรนวกะเห็นแล้วเกิดปีติยินดีทันที   ขณะพากันเดินผ่านมาสองสามคน เดินเข้าไปถามท่าน  เพราะอยากแบ่งเบาภาระ  เมื่อเห็นท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่างอย่างนี้ จึงเอ่ยปากขออาสาแล้วแต่ท่านจะสั่งให้เราทำอะไร

                       อยากจะปัดกวาดเหรอ   โน่น เณรทั้งหลาย  ใต้ร่มไม้  กวาดเศษใบไม้ทิ้งถังขยะ    

    ทั้งสามเณรใหม่รับปากพร้อมกัน รู้ดีว่า ไม้กวาดทางมะพร้าวถูกเก็บไว้ใต้ถุนหอระฆังชั้นล่าง  หลวงพ่อเจ้าอาวาสเป็นคนบอก

                      ไปเปิดเอา นี่กุญแจ   แล้วนำกุญแจกลับมาให้หลวงพ่อด้วย    

                       ครับ    

    เราทั้งสามพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน  แล้วแยกย้ายกันกวาดตามความประสงค์ของหลวงพ่อเจ้าอาวาสป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ท่าน  แล้วแต่ท่านจะสั่งชี้อะไรให้ทำ เราพร้อมจะทำทุกอย่าง  เมื่อกวาดไปอย่างนี้   สักพักหนึ่ง ใจเกิดความสุข  เบิกบานขึ้นมา  เป็นเรื่องแปลกประหลาด นี่เอง  เรียกว่าการทำบุญ  กวาดวิหารลานเจดีย์ใบไม้รวมอยู่ในกิจของสงฆ์ด้วย

                    สังเกตบริเวณอุโบสถซึ่งเป็นที่อาศัยของเหล่านกพิราบมักจะถ่ายมูลเรี่ยราดกองไปทั่วบริเวณรอบๆโบสถ์ สักวันหนึ่งพวกเราจะขออนุญาตหลวงพ่อเจ้าอาวาสเพื่อปัดกวาด ถ้าท่านยังไม่สั่งก็ยังไม่ทำอะไร  แต่เห็นแล้วรู้สึกไม่เจริญสายตาเท่าที่ควร หวั่นแต่ญาติโยมเดินผ่านเข้ามาเหยียบย่ำ 

                    เพราะภายในอุโบสถถึงแม้จะปิดภายในแต่ว่าบริเวณประตูเข้าและกำแพงช่วงกลางวันจะเปิดทิ้งไว้  เพื่อใช้เป็นที่สัญจรผ่านไปมาของญาติโยม  ซึ่งเป็นทางลัดตัดสะดวกกว่า  โดยเฉพาะคนแก่ที่ไม่ชอบเดินอ้อม

                                                                                                    *****

     

     

                   

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×