คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ต่อจากตอนที่แล้ว
เรื่องกล่าวเล่าฟัง
ไม่ได้เขียนมานานพอสมควร ทั้งนิยายที่เกี่ยวกับธรรมะ ตอนนี้อยากจะพูดถึงสภาพธรรมดาของโลกเรานี้ก่อน เนื่องจากบทความเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เรื่องกล่าวเล่าฟัง สัพเพเหระ สอดแทรกเกร็ดต่างๆ ประวัติศาสตร์บ้าง ท้องถิ่นบ้าง ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่กลายรูปแบบ แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เหตุผลพวงจากความเจริญทางเทคโนโลยี ที่มีมากเกินขอบเขต มากเกินจำกัดได้ เพราะเหมือนมันได้ทะลักไหลลามเหมือนบ่าน้ำท่วมเข้าสู่ชนชั้นรากหญ้า พูดถึงความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ในการต่อสู้ของมนุษย์เราทุกวันนี้ ผู้คนเกิดมากมายมายในโลก แต่อาหารการกินมีไม่พอเพียง ต้องยื้อแย่งชิง สมกับกลียุคที่กล่าวไว้แต่โดยเริ่มแรกแท้
คนเรามีแต่ความละโมบ นึกถึงแต่เรื่องวัตถุมากกว่าจิตใจมากกว่ากุศลและศีลธรรม รูปแบบบิดเบี้ยว กลายเป็นสังคมที่พิกลพิการ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ความรวยกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหาเศรษฐีไม่กี่ตระกูลในเมืองไทย คนเหล่านี้ ทำมาหาหากินประกอบธุรกิจ ออกขายแล้วมีเงินหมุนเวียนกลับมาเฉพาะในครอบครัวญาติพี่น้องของตัวเอง ความไม่สมดุลทางฐานะจึงก่อเกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง
ในขณะที่คนส่วนมากในประเทศยากจนมากกว่า ร่ำรวย ทำยังไงถึงจะให้คนที่ยากจนเขยิบขึ้นมามีฐานะพอมีพอกินพอใช้ ปานกลางก็ยังดี แต่เท่าที่ทุกวันนี้หากมองไปโดยสภาพรอบด้าน แทบไม่มีจะกินเลยก็ว่าได้ ความอดอยากทำให้ดิ้นรนเข้ามาสู่ตลาดแรงงานในเมือง
หลวง ไม่มีคนชนบทคนไหนอยากจะเข้ามาอยู่ที่ไกลห่างจากพ่อแม่และญาติพี่น้อง หรอก เพราะความจำเป็น แล้วก็ใช่ว่า อยากจะอยู่นัก อยู่ด้วยความจำเป็น เพื่อชดใช้หนี้สิน
ลงไปคลุกคลีถึงถิ่นชนบทจะทราบและรู้ข้อมูลดีว่า บางบ้านในแต่ละเดือน แทบไม่มีอะไรจะกิน ไม่ต้องพูดถึงเงินเดือนเงินดาว นั่นเป็นกลุ่มชนชั้นแรงงานกลุ่มหนึ่ง แต่กลุ่มที่พูดถึง ชาวบ้านที่ไม่มีอาชีพอะไรสักอย่างเงินก็ไม่ได้ใช้ หรือไม่เคยได้ใช้ บางคนแม้แต่ร้อยเดียว ในเดือนหนึ่งก็แทบไม่ใช้ อย่างชนบท โดยมากเป็นผู้สูงวัยที่ฐานะยากจน แต่ตอนนี้มีเงินสงเคราะห์ผู้สูงวัย แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมดทีเดียว ตกหล่น ชื่อบ้าง
ความไม่เป็นธรรมในสังคมของเรามันมีมามานานแล้ว โดยถูกกดขี่จากคนด้วยกันเอง ความที่เราไม่พึ่งหวังจากนักการเมือง ผู้นำรัฐบาล ทั้งหลายในโลกนี่แหละ ไม่ต้องว่าที่ใดที่หนึ่ง เคยได้ยินคำกล่าวของท่านผู้หนึ่งเอ่ยกล่าวว่า ประชาชนพลเมืองของชาวโลกทุกคน ล้วนตกเป็นหนี้ของรัฐบาลประเทศนั้นๆ สาเหตุไม่ต้องพูดถึงอะไรหรอก พูดว่าเป็นกรรมของคนเรามากกว่า คนเรามีกรรม วิบากกรมที่ต้องชดใช้ร่วมกัน อีกทางคือสร้างบารมีร่วมกัน สมกับคำว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด มารยิ่งเยอะ หากกระทำได้ ฝ่าฟันได้ กุศลจะได้เพิ่มพูนเท่าทวี
อีกอย่างข้าราชการ หรือการเมืองเหล่านี้ ฉ้อราษฎร์บังหลวงจนติดเป็นนิสัย เคยได้อยู่ดีมีสุข จากการกินละโมบโกง ทั้งๆที่รู้ว่าบาป ทั้งๆที่รู้ชั่ว ตายไปแล้วก็รู้ว่าโทษทัณฑ์หนักหน่วงอย่างไร ก็มนุษย์เรามีจิตใจเหมือนสายน้ำที่มักจะย่อมไหลไปในทางที่ต่ำเสมอ ก็บุคคลประเภทนี้ทั่วโลกเป็นนายของเรา เป็นคนกำหนดทิศทาง จัดระเบียบให้ปฏิบัติ จะแตกต่างอะไรจากการที่มนุษย์ทุกคนถูกสวมได้ขื่อคาการเป็นนักโทษ ความเลวร้ายอย่างมหันต์ในวงราชการ คือการที่ไม่ยอมรับตัวเอง ยอมรับความผิด ป้ายความผิด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ผู้มีความสามารถทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก คนถูกกลายเป็นคนผิด กฎหมายหรือศาลนั่นเอง ที่รองรับสิ่งเหล่านี้เป็นช่องโหว่หรือกลไก
มนุษย์เราทั้งหลายอยากเกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์หรือเปล่า ต้องขอพูดบอกได้ว่า พวกท่านเหล่านั้นรวมทั้งตัวเราเองก็รอคอยมานานเป็นหมื่นเป็นแสนๆปีแสนๆชาติ รอการอุบัติของพระองค์ ความตั้งใจแต่ดั้งเดิมมีแล้วหายไปไหนหมดสิ้น พระองค์เป็นต้นแบบ เป็นผู้นำทาง
ด้านจิตวิญญาณและศีลธรรมที่ดีงามของมนุษย์ทุกคน เมื่อพระองค์เสด็จอุบัติมาปกครองยังโลกมนุษย์
ยุคของพระองค์บริบูรณ์หามนุษย์คนใดเปรียบเทียบมิได้ ก็บารมีถึงสิบหกอสงไขยกับอีกแสนมหากัปป์เป็นตัวชี้บอก ดังนั้นพระองค์จึงเป็นสมเด็จจักพรรดิ์ที่ทรงเปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมอย่างแท้จริง ว่ากล่าวถึงศาสนาหรือยุคของพระศรีอาริย์สั้นๆให้เข้าใจความกระชับๆ ไม่ได้วกเรื่องใดมาก อยากจะบอกว่า ถึงยุคของพระศรีอาริย์?ท่านมาปกครองแล้ว ปกครองโลกนี้โดยเงียบ ในภพภูมิที่ซ้อนกับมนุษย์เราอยู่ ภพภูมิที่ละเอียดภูมิทิพย์ พระองค์เร่งสร้างโลกสวรรค์หรือแบบจำลองของสวรรค์ในโลกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
ขณะที่มนุษย์เราไม่รู้อะไรเลย ศีลห้าก็ปฎิบัติไม่ได้ เอาใจฝักใฝ่เมามัวแต่แต่กิเลส ลุ่มหลงแต่อบายมุข สิ่งผิดกฎหมาย คนเป็นลูกก็หาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจให้พ่อแม่ไม่มีจบสิ้น คนแก่เฒ่าที่จวนสิ้นสังขารก็มัวแต่มัวเมาหลงในกิเลสตัณหากามารมณ์ แทนที่จะเอาใจใส่เข้าวัดเข้าวาเพื่อฝักใฝ่ให้บารมีเพิ่มขึ้น จะได้สถิตณสถานที่ใหม่สูงเยี่ยมกว่าภพมนุษย์ เมื่อสร้างวิบากกรรมก็ต้องรับวิบากกกรมนั้นต่อ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตกอยู่ที่ผู้รับและการกระทำ
เอ่ยไปไกลทีเดียว ถึงพระศรีอาริย์ ท่านสถิตอยู่เบื้องสูง หันมาพูดถึงครอบครัวชนชั้นรากหญ้าดีกว่า ยุคที่มนุษย์พยายามสร้างความชอบธรรมดีงามให้แก่ความชั่วหรืออกุศลกรรม แต่ถึงอย่างไร ความชั่วก็เป็นความชั่ววันยังค่ำ ไม่ว่าความหมายโดยนัยหรือความหมายอ้อมแฝง
หาเป็นสิ่งเลิศประเสริฐสีไม่ได้ อย่าเพิ่งมาครุ่นคิด ตระหนัก เราเกิดและตกอยู่ในยุคกลียุค ความหมายของมันก็ดังที่ทราบ ตั้งแต่ที่เราเกิดมาหรือก่อนเราเกิดมาโลกนี้มีหายนะใหญ่ๆหลายหน สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ผ่านสงครามใหญ่ๆระดับโลกถึงสองครั้ง เพราะการไม่เพียงพอต่ออำนาจ และการสวาปามของนักล่าอาณานิคม ชาวตะวันตกที่ก่อเรื่องยุ่งๆทิ้งไว้ให้เอเชียพากันปวดหัว เพราะความไม่ลงรอยเยื้อแย่งแผ่นดินใครแผ่นดินกูทุกวันนี้ อันแต่เดิม แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ชนแถบนี้อยู่ด้วยกันอย่างสุขสงบ
เมื่อความหมายบ่งบอกถึงกลียุค ความแร้นแค้นทางด้านจิตใจ อัตคัดขัดสนเงินทอง ความสุขสบายต่างๆที่เกิดขึ้นแก่ชาวโลก ถึงมีก็แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว มิใช่ถาวร เพราะเนื่องจากกลียุคเป็นตัวบ่งบอก
ถ้าสุขอย่างถาวรต้องเรียกว่ายุคศิวิไลซ์หรือยุคพระศรีอาริย์ที่สุขถาวรจนกระทั่งนิพพาน ดังนั้นให้มนุษย์เราสังวร ต่อสิ่งต่าง
ๆที่เกิดในโลก ว่าการอุบัติของมันเป็นธรรมดา หากเราเป็นมนุษย์ต่างหาก ควรต้องมีสติ จดจ่อมีใจอยู่ตลอดเวลากับการคิดคำนึง กระทำตัวเอง วางตัวเองให้เรียบร้อยสำรวมด้วยศีล หาใช่ว่า เราไปบังคับขู่เข็ญใคร ให้เราบังคับและขู่เข็ญตัวเองให้ทำจงได้
ให้เราระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ พระเจ้าของชีวิตที่ให้เราเกิดมา พ่อเกิดแม่เกิดจากกายของบิดามารดา หล่อรวมกันเป็นตัวตน หน่อเนื้อเชื้อไข บุญคุณของบุพการีมิมีวันพรรณนาหมด แม้ฟ้าจะดับหรือมหาสมุทรจะเหือดแห้งหาย ระวังการกระทำของเราที่มีต่อบิดามารดา หากเป็นกรรมดี ก็ไม่ว่า หากเป็นกรรมชั่ว จำเป็นต้องฉุกคิดหวนคืนไปขอขมาท่าน เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ก็ควรทำ เพราะหากท่านสิ้นชีพไปแล้ว ก็คงยาก ที่จะเข้าไปขอขมาว่ากล่าวความผิดให้ท่านยกโทษ
เกิดอะไรหนักหนาสากรรจ์ ให้มีสติ จิตใจจดจ่อ คิดในทางที่ดีก่อน อย่าให้อำนาจชั่วเข้าสิงครอบงำ หากเราตกอยู่ใต้กลอุบายความชั่ว เราจะทำอะไรโดยพละการ ขาดสติยั้งคิด ดังนั้นควรฝึกจิตใจให้พบกับความเข้มแข็งกล้าแกร่งเข้าไว้ จิตที่ถูกฝึกดีมาตลอด จะแกร่ง อำนาจใดๆทำร้ายไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในกรอบในศีลความดีงาม
มนุษย์เราทุกวันนี้ เพราะขาดสตินั่นละ ถึงได้ตายสิ้นก่อนอายุไข ไปสู่สัมปรายภพเร็วกว่าที่ควร เมื่อไปแล้วก็มาตระหนักว่าภพนี้อยู่ได้แค่บุญกุศลเท่านั้น หาใช่วัตถุเหมือนโลกปัจจุบันไม่ ก็ครางร้องโอดโอย ว่าตนไม่ได้ทำบุญมา หน้าที่ของผู้เฝ้าดูแลวิญญาณท่านก็ลงทัณฑ์ตามหน้าที่ จงอย่าไปในสภาพแบบนี้ ขอให้ไปโดยบริบูรณ์ด้วยกุศลทิพย์ มีความเปล่งปลั่งสว่างอยู่ตลอดกาย
ตายโหงก็ถูกจองจำวิญญาณ กำหนดอายุขัยเมื่อไหร่ ของวิญญาณสิ้นลง ถึงจะได้พ้นจากสถานที่จองจำไปรับทุกข์ที่อื่น วิญญาณเหล่านี้มีมากทุกวันนี้ ตายอย่างขาดสติ ทั่วโลก รถรานี่ละตัวดี เขาให้ขับเพื่อให้ถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพ ค่อยๆขับ ค่อยไป ไป ระมัดระวัง ไม่ใช่ซิ่งตะแบงลูกเดียว ชอบความเร็ว ความท้าทาย พอท้าทายอีกที ก็พบว่าตัวเองมาอุบัติใหม่ในภพที่ต่างจากความเป็นอยู่ แล้วทุกข์ทรมานมากกว่าเดิมหลาบสิบเท่า เหตุเพราะเกิดจากความประมาทของคนขับ ที่มีส่วนพาชีวิตคนอื่นตกโดยเร็วก่อนสมควรก็มี โชเฟอร์ตีนผี ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ตกเป็นหนี้ของเจ้ากรรมนายเวรได้แก่วิญญาณเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
มนุษย์สร้างแต่บาปไอในโลกวิญญาณหรือทั่วโลกจึงมีแต่สีดำคล้ำไปทั่ว เยอะทีเดียวเกี่ยวกับ รถรา ทุกวันนี้ กลายเป็นพาหนะสำคัญ ที่พัฒนาแต่ความเร็วแรงเป็นอันดับแรก ผู้ใช้ทางผู้ขับขี่ร่วมเส้นทางจึงหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เจอรถเราก็พยายามขับห่าง
หนี คนเดินถนนก็ออกห่าง พอคิดว่าตัวเองปลอดภัย ส่วนคนขับ ใครอยากจะแซงก็เชิญแซงไปเถอะ การขับรถที่ไม่มีวินัยเคารพ ก็เช่นกัน ผู้เขียนเองก็เป็นเช่นกรณีนี้ ได้แต่บอกกับตัวเองว่า จงยับยั้ง ขอให้ไปสู่ปลายทางโดยปลอดภัย จะช้าก็ช่างมัน ขอให้ได้กลับไปเห็นหน้าคนในครอบครัวที่ตัวเองรัก
ถ้าชินกับการซิ่งตะแบงสะวี๊ดสะว๊าด อย่างที่เห็นพบเจอข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ยังคงเป็นแบบนี้ ตลอดไป ข่าวอุบัติเหตุคงไม่หมดไป หน้าของของมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งก็ยังคงทำงานทุกวัน
จงให้ความสำคัญกับการเกิด กว่าจะเกิดเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นถ้าด่วนตายเร็วไม่ใช่เพราะอายุขัยหรือโรคภัยก็เป็นเรื่องที่น่าอาภัพและเวรกรรมอย่างมาก มนุษย์เราควรมีชีวิตอยู่เพื่อยืนยาวในการสร้างสมบุญกุศลมากกว่าอย่างอื่น
จงอย่ามองข้ามในโลกที่คนเรามองไม่เห็น ยิ่งมองไม่เห็นเท่าไร่ ยิ่งต้องเชื่อและระมัดระวัง สำรวมตัวเองให้ดีตลอดกายวาจาใจ ในโลกนี้ยังมีโลกอื่นมิติอื่นที่ซ้อนอยู่กับภพเราเป็นหมื่นๆแสนภพมิติ ซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็เกิดมาใช้กรรมอย่างเราเช่นกัน
ดูเหมือนเรื่องราวเกี่ยวกับพระศรีอาริย์ผู้เขียนทิ้งไว้นานมาก เหมือนกับดินพอกหางหมู ไม่มีเวลาต่อเนื่อง จากที่เริ่มเรื่องไปแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ขาดตอนเหมือนกัน
เพราะเดี๋ยวจะติด พักค้างทิ้งงานไว้ จึงขอเล่าเรื่องแบบง่ายๆ มากกว่าใช้คำประดิดประดอย ซึ่ง ถือว่ายากสำหรับคนเขียน ที่ต้องเสาะแสวงหา วัตถุดิบ ข้อมูลเรามีอยู่ในตัวแล้ว แต่เวลาที่จะเขียน โอกาสที่จะเขียน รวมทั้งอารมณ์ที่จะเขียน การเขียนแนวธรรมะ อารมณ์แตกต่างจาก งานเขียนนิยายประเภท รักโลภดกระหลง เพราะใช้ความมีสมาธิเที่ยงตรง ที่สำคัญยึดถือ สัจธรรม จึงอยากเล่า สภาพความเป็นไปต่างๆมากกว่า ที่เกิดกับคนในยุคนั้น ที่เรียกว่า ยุคผู้มีบุญ หรือ ยุคชาววิไล ที่สรรพสิ่งต่างๆมีความสมบูรณ์แบบมากกว่าโลกมนุษย์ปัจจุบันที่เราอาศัยอยู่
ความวิลิศมาหรา ความสมบูรณ์แบบที่ว่า ไม่ว่าจะทางด้านวัตถุกับจิตใจมีความเท่าเทียม เรียกว่าไม่ขัดสนอัตคัดอย่างที่เล่ากล่าวไปแล้ว บารมีของพระศรีอาริย์ ท่านบำเพ็ญเพียรมาเอนกอนันตชาติ เป็นระดับพระวิริยาธิกะ มีความเพียรอย่างมาก คนที่มีบุญเท่านั้นที่จะได้เกิดในยุคของพระองค์ คนบาปไม่มีสิทธิ์
การเตรียมโครงการนี้ เป็นไปอย่างยาวนาน และแบบดั้งเดิม เรียกว่า การดำริสร้างสวรรค์ให้เกิดในโลกมนุษย์ ระหว่างโลกทิพย์ หรือมิติอีกแห่งที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า การก่อสร้างสิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยทุกวัน ทุกวัน
บุคคลที่โชคดีมากที่สุด น่าจะเป็นมนุษย์ที่เกิดในยุคต้นๆ ตั้งแต่เริ่มมีภัทกัปป์ขึ้นมา เพราะพวกเขาเหล่านั้น ได้ไปสู่นิพพาน เป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็เป็นชาวสวรรค์ เทพนางฟ้า พวกเรามาสู่ยุคกลาง ก็ค่อนข้างจะเป็นไปอย่างที่ทราบ โลกใบนี้เองมีพัฒนาการของมัน จากความเจริญไปสู่ความเสื่อม และจากความเจริญไปสู่ความเสื่อม ครั้นความเสื่อมทรามถึงที่สุดแล้ว ความเจริญก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่างที่เราทราบว่าถึงยุคพระศรีอาริย์
ประมาณนี้ ที่เล่าให้ฟัง กล่าวถึงยุคที่มนุษย์ปรารถนาอยากจะไปเกิดกันมากที่สุด แต่ทุกท่านมีความพร้อม เตรียมการพร้อมมากเพียงไหน จิตใจต้องปฏิบัติศีลห้าให้ได้ คำว่าศีล มีความหมาย คือการสำรวมการวาจาและใจให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้ก็ถือว่าปฏิบัติศีล หรือถือศีลแล้ว ยิ่งศีลมีห้าข้อ ก็ปฎิบัติข้อเหล่าให้นั้นไม่ให้พร่องและขาด อันนี้หมายถึงฆารวาส ส่วนแม่ชี ก็ถือศีลแปด ส่วนพระสงฆ์ก็ 227ข้อ
อีกประการ ในวาระอันใกล้นี้ ผู้เขียนเองก็จะได้มอบถวายตัวให้เป็นกุลบุตร บุตรพุทธองค์ ดำเนินตามหลักเส้นทางพระพุทธโคดม หรือเรียกกันว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า การได้เกิดมาภายใต้ร่มเงาของศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญยิ่งยวดนัก
ยิ่งเกิดมาแล้วได้มีโอกาสเรียนรู้ธรรมอย่างถ่องแท้ และเข้าใจ ก็ยิ่งหาได้ยากเช่นกัน ดูจากสภาพความเป็นสังคมปัจจุบันที่ความเจริญทางวัตถุเข้าแทรกแซงบีบบังคับ สุดท้ายใครอยากได้บุญกุศลหนุนนำ ควรขวนขวายเสาะแสวงหาเอง
คงหมดยุคที่จะไปแนะนำสั่งสอนได้ เพราะเขาไม่ค่อยเชื่อถืออย่างแน่ ไม่ใช่ไม่ค่อย แต่ไม่เชื่อ เขาอาจจะเกิดและเติบโตมากับสิ่งที่เรียกว่าต้องการพิสูจน์ผลให้เห็นจริง อย่างวิทยาศาสตร์ ผู้คนทั้งหลาย แม้แต่หนุ่มสาวในปัจจุบันจึงพากันปฏิเสธสิ่งที่เรียกว่า รากเหง้า และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่ทนถาวรมากที่สุด จากชีวิตเบื้องสูงที่สุดไปสู่ต่ำ ที่เอ่ยความหมายเช่นนี้ คือสรรพสิ่งทั้งโลกเป็นแบบนี้
คนเราเมื่อละสังขารตายไปจากโลกนี้ มาตรฐานที่สำคัญมากที่สุด คือศีลธรรมความดีงาม และข้อปฏิบัติที่คนเรามักเรียกว่าคร่ำครึโบราณเก่าแก่นี่เอง จะเป็นข้อปฎิบัติที่มนุษย์เราเมื่อยังมีชีวิตอยู่มองข้าม ครั้นไปถึงโลกวิญญาณ ต้องมาฟื้นฟูเรื่องนี้กันใหม่อีกหน เพราะโลกวิญญาณเป็นโลกของจิตใจและความรู้สึกนึกคิดล้วนๆ และล้วนอยู่ได้ด้วยผลบุญกุศลที่กระทำมา
ใครทำก็ได้รับเท่าที่ทำมา ส่วนใครไม่ได้ทำก็อด เพราะเป็นรอย่างนี้เอ ง คนเราเมื่อละจากโลกนี้ไป ต้องผ่านข้อทดสอบเรื่องนี้ เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่เราก็มองข้าม และเป็นการกระทำดีล้วนๆ ปฏิบัติทั้งกายและใจ การกตัญญู การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และพรหมวิหาร
คนเราในยุคปัจจุบันนี้ เป็นยุคที่ไม่ค่อยถือสัตย์ถือศีล ความต่ำทราม เมื่อเป็นอย่างนี้ เบื้องบนก็ต้องลงโทษ เพราะเบื้องบนมีอิทธิพลเหนือกว่าเรา การที่คนเราเกิดมานั้นจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่เหนือกว่านั้นคือศีลธรรมความเป็นมนุษย์และจิตสำนึกย่อมต้องมา เพราะมาเกิดแล้วเป็นคน นอกเหนือจากว่า คุณมาเกิดเพียงชั่วคราว มาจากวิญญาณของสัตว์เดรัจฉาน หรือ วิญญาณบาป เหตุที่ถูกส่งมาให้เกิด เป็นเพราะต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อ เห็นไหม กรรมเหมือนวงล้อที่หมุนไปโดยไม่มีจบสิ้น
ยกตัวอย่างศาสนาหรือยุคพระศรีอาริย์ กฎหมายไม่มีการนำมาใช้ เพราะแผ่นดินโลกธาตุแห่งนี้บริสุทธิ์ ผู้คนล้วนแต่เป็นสัตบุรุษและยอดสตรีหมายถึงผู้มีศีลธรรมสูงส่ง ถือใบพาสปอร์ตผ่านภพเพื่อมาเกิดอย่างเรียบร้อย มีการระบุเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคราวเป็นเทพและนางฟ้าในสรวงวิมานณขณะนี้
อันนี้เป็นเรื่องดี และจึงแตกต่างไปจากโลกเราในปัจจุบันนี้เป็นอย่างมาก ก็เพราะอย่างที่บอก ยุคนี้เขาเรียกว่า กลียุค ผู้คนอย่างเราแม้แต่สัตว์อื่นๆที่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม จำเป็นต้องยอมรับ และพบกับความแร้นแค้นยุ่งยากใจในชีวิต ทั่วถึงกัน จนถึงสิ้นแก่ชีวิต เพราะโลกเราพัฒนาไปถึงขั้นนี้แล้ว และกำลังพัฒนาไปถึงจุดเสื่อม ดูอย่างสภาพสังคมความเป็นอยู่ของคนเราในปัจจุบัน การผิดศีลธรรม การผิดชู้ผิดประเวณีกลายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ในสังคม หากเป็นมนุษย์ความละอายแก่บาปไม่มี กุศลผลบุญหรือสิริมงคลแก่ชีวิตก็ย่อมไม่มีเช่นกัน
แล้วพุ่งไปสู่เหตุการณ์ข้างหน้าจากยุคบรรพบุรุษไปถึงลูกหลานละ ถึงได้กล่าวว่าโลกใบนี้มีการทำนายทายทัก มีแบบแผน และการดำเนินผ่านไปเป็นช่วง เป็นยุค ยุคของเรา ในสมัยนี้ ไม่ใช่เหมือนแต่ก่อน ที่เรื่องราวสังคมวงการบันเทิงนั้นปิดบังซ่อนเร้น หนุ่มสาวรู้จักกระมิดกระเมี้ยน ไม่พูดเรื่องที่ผิดศีลธรรม เพราะมีความอาย ยิ่งคนรุ่นปู่บ่าตายายลุงป้า ซึ่งเป็นยุค วัดวาอาราม ชนบทรื่นเริงบันเทอิงด้วยวัตนธรรมประเพณีในท้องถิ่น แต่รุ่นอา รุ่นน้า รุ่นนี้เริ่มมีความเสื่อม แล้วยุคปัจจุบันของเราล่ะหนุ่มสาวในวงการบันเทิงที่น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมและรุ่นต่อไป กลับแย่งสามีแย่งภรรยาคนอื่นหน้าตาเฉย ทำตัวให้เป็นเรี่องฉาวคาว เพื่อต้องการความเด่นดัง ให้คนสนใจ
ก็เรียกว่า เป็นยุคที่ประพฤติผิดในกามแบบที่ใจตัวเองรู้ว่าไม่ควรทำและประพฤติ บาปหนักอย่างแน่นอน เพราะใจมีเจตนา รู้ว่าควรละควรห้าม กลับดึงดันที่จะประพฤติ แทนที่จะห้ามปราม ยุคทีวีเกมโชว์ครองเมือง ผู้คนใช้ชีวิตเลียนแบบละครในทีวี หนุ่มสาวสมัยใหม่ขาดการสัมมาคารวะต่อผู้สูงอายุ แม้แต่คำพูดคำจา การดูแลเป็นไปโดยห่างเหิน และไม่สนใจ
สิ่งนี้ก็เป็นตัวบอกความเสื่อมของยุค อย่างที่พระพุทธเจ้า ทำนายเอาไว้ เมื่อคนประพฤติผิดศีลธรรม เพราะเข้าใจและเห็นว่าเป็นของสนุก เป็นของง่ายๆ ใครอยากทำก็ทำได้ ความเสื่อมเหล่านี้เองกระทบไปสู่สังคมวงกว้าง คนอื่นเอาแบบอย่าง เมื่อเห็นว่าดารานักแสดงที่พวกเขาและเธอโปรดปราน ยังแย่งสามีภรรยาคนอื่นได้หน้าตาเฉย ตัวเขาและเธอก็น่าจะทำได้ อันนี้เป็นเรื่องของโลก ถ้าเป็นเรื่องทางธรรม นั้นไม่ควรนำมาคิด
ตัดลัดไปอย่างเดียว คือทางสายกลาง และคำสั่งสอนของพระองค์ไม่ได้บอกเรื่องพร่ำเพ้อ เพ้อเจ้อหรือ เรื่องราวที่ไร้แก่นสารสาระ เรื่องราวหยุมหยิม ปลีกย่อย กระจุกกระจิก หรือเป็นเรื่องอจินไตย คือเรื่องที่ผู้ควรจะรู้นั้นไม่น่าถามออกมา เพราะปกติโดยทั่วไปก็เป็นไปตามกลไกของมัน คือการเกิดมาของมนุษย์เราเป็นทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพียงธรรมดา แต่เป็นทุกข์มหันต์
ฉะนั้นควรหาทางที่ดี ในการดับทุกข์เสีย ดิบกิเลส คือไปนิพพาน นั่นคือการพบสุขอย่างถาวร ที่มนุษย์ ทุกคนนั่นล่ะที่ปรารถนา สุดท้ายทุกคนก็ปรารถนาไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือไปนิพพาน เพียงแต่ว่า ใครไปถึงเร็วหรือช้า เพราะยังลุ่มหลงในการเกิด ยังอาลัยอาวรณ์ชีวิตแบบมนุษย์ ที่มีแต่สุกๆดิบๆ นั่นถือว่าติดการเกิด ยึดมั่นตั้งมั่น ถือเอามันมาเป็นอุปาทาน ทำให้คนเราต้องหลงในกับดักที่เวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้คนที่เกิดในยุคศาสนาพระศรีอาริย์ ทุกคนสวยงามเสมอเหมือนกัน ชายหล่อหญิงสวยดุจเทพบุตรและเทพธิดามาบังเกิด มีศีลห้าอยู่ในตัว จึงระมัดระวังสำรวมกายวาจาใจ เข้าใจว่า ยุคนั้น ความเป็นอยู่ เป็นในลักษณะ เหาะเหิรเดินอากาศ เพราะมีบุญบารมีขนาดที่พนมมืออธิษฐาน ต่อต้นไม้มงคลศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งอยู่สี่ทิศในประตูเมือง อยากได้อะไรก็มาอธิษฐานเอา
"ประมาณว่า ฉันสวย เธอหล่อ ไม่มีที่ติ" มีแต่เรื่องราวบันเทิงเจริญใจ ทุกคนชอบร้องรำทำเพลง เฮฮาหรรษา ไม่มีทุกข์โศก ที่บอกว่ากฎหมาย ไม่มี ไม่ถูกนำเอามาใช้ เพราะในยุคสมัยนั้นไม่มีเรื่องขัดแย้ง คาราคาซังให้วุ่นวายเหมือนยุคนี้ มีกษัตริย์ผู้ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือพระศรีอาริย์ และประชาชนตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศล ส่วนพระศรีอาริย์ก็ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม เส้นแบ่งกั้นดินแดน ก็ไม่เกิด ไม่ว่าโลกไหน ทวีปไหน เชื่อมถึงกันหมด
เป็นเช่นสมมุติตัวละครว่า "สุดาวดี ทำเธอสวยจัง" ส่วนสุดาวดีก็ตอบ
"เธอเองก็สวยเหมือนกัน นิรมล" ชื่นชมกันไปมา อวลด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ปล่อยให้ธรรมชาติในกายทำงานเต็มที่ ปลดปล่อยความหรรษา ร่าเริง ชมกันไปมา ปราศจากจิตใจที่โกรธเคืองอคติ เพราะคนในยุคนี้ไม่มีความโกรธ ดังนั้น คำว่าอกุศลจึงเกิดไม่ได้
ฝ่ายชายก็ สมมติ สถาพร "โอ้ สถาพร ชุดของคุณที่สวมใส่นี่ ก็ดูแพรวพราวดีเหลือเกิน สีทองระยับงามสง่าจริง" ต่างชื่นชมกันด้วยใจจริงไม่มีเสแสร้ง ตลบตะแลงหรือเยาะเย้ย เพราะคนในยุคนี้มีจิตใจบริสุทธิ์
"สีเขียวไข่นกการเวกที่คุณสวมก็สง่า และ ดูเท่ไม่ปานกันนะ เทิดพงษ์" เวลาแห่งความสุขช่างยาวนาน ไม่เบื่อ เพราะยุคนี้บันดาลให้คนเกิดมามีแต่ความสุขเพียงประการเดียว ส่วนสาวสวยหากปิ๊งรักชอบ ต้องเป็นเนื้อคู่ของตัวเอง ยุ่งกับใครอื่นไม่ได้ เป็นไปโดยอัตโนมัติ เพราะในยุคนี้ถูกกำหนดให้รักเดียวใจเดียว มาจากบารมีการบำเพ็ญเพียร ความเป็นคนใจซื่อมือสะอาดของพระศรีอาริย์ เมื่อครั้งปฏิบัติบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ไม่เคยโป้ปดมดเท็จว่าร้ายคนอื่นให้เจ็บปวดใจ จิตใจมีแต่ศีลธรรมและซื่อตรง บุคคลที่เกิดในศาสนาของพระองค์จึงได้รับอานิสงส์ในข้อนี้
ชายและหญิงจะประสบสมอภิรมย์รักแก่คู่ของตัวเองเท่านั้น ยินดีในกามก็เช่นกัน ยินดีเฉพาะคู่ของตน ไม่มีการมักมากในกาม ซึ่งทุกคนแต่ละคู่เป็นคู่พรหมลิขิตของกันและกัน
ความหมายของชั่วไก่บินถึง ถนนหนทางที่ อยู่อาศัยเชื่อมโยงถึงกัน มีอาหารการกินบริบูรณ์ แม่น้ำบริสุทธิ์ น้ำในลำธารและคลอง หวานเหมือนเกสร ไม่พร่อง ไม่ขุ่น ไม่ไหลขึ้นไหลลง แต่ไหลไปในทิศทางเดียวกัน ฝนจากฟ้า เลือกตก เมื่อตกแล้วถูกต้องตามฤดูกาล เลือกที่จะตกในยามรุ่งอรุณ เป็นบุญกุศลยิ่ง ถ้าใครได้เกิดในยุคนี้ เพราะไม่มีเรื่องราวทุกข์ร้อนใจ เหมือนกับยุคที่เราพบเจอในปัจจุบัน ถ้าไม่ทุกข์ของตัวเองก็ต้องทุกข์เรื่องของคนอื่นเพราะสงสาร จึงกล่าวได้ว่า ยุคของพระศรีอาริย์เป็นยุคโลกในอุดมคติที่ทุกคนปรารถนากัน
แต่ว่ากันว่าโลกใบนี้ทั้งโลก ที่เรียกว่าชมพูทวีป ในจำนวนสิบส่วนของคน เจ็ดส่วนจะตกลงในขุมนรก ที่เหลือเพียงสามส่วนเท่านั้น จะได้ไปบังเกิด เกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์ คนเหล่านี้มีบัญชีรองรับไว้แล้วบนสวรรค์ เกิดจากการกระทำของตนเอง ทีเป็นปกติ คือ ใฝ่บุญใฝ่กุศลสะสมเสบียงบุญเหล่านี้ทุกวัน ทำทานรักษาศีล เจริญภาวนา การทำบุญมีเพียงแค่เล็กน้อย หากดวงจิตไม่มีความขุ่นมัวกองบุญกุศลก็เพิ่มพูนเป็นภูเขาเลากาได้ ให้เราบันทึกบุญกุศลไว้ทุกวัน ว่าแต่ละวันเราทำมากน้อยเพียงใด ขอให้มีจิตตั้งมั่น และอธิษฐาน ท่านก็จะได้ในสิ่งที่อธิษฐาน เพราะจำไว้ว่า ศาสนาพระศรีอาริย์ ขึ้นก็อธิษฐาน ลงท้ายก็อธิษฐาน
บุคคลประเภทนี้เป็นเช่นไร คือบุคคลผู้ขวนขวานประกอบกิจกุศล ให้ทั้งตัวเองและคนอื่น เสมอมามิได้ขาด เช่นไปวัดไปวา ปฏิบัติธรรม มีความเพียรอย่างเคร่งครัด ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ยินดีในทานที่ผู้อื่นกระทำ ละความตระหนี่ บริจาคสมทบทุนก่อสร้างสถานที่ปฎิบัติ ธรรมหรือ สร้างโบสถ์วิหาร ถวายกองผ้าป่า ทำบุญกฐิน ตักบาตร ช่วยคนชราข้ามถนน เสียสละที่นั่งให้แก่เด็กและสตรีที่ตั้งครรภ์ จะเห็นได้ว่า การทำบุญนั้นมีหลายอย่าง สัมฤทธิ์ผลเหมือนกัน ถ้าผู้ปฎิบัตินั้นมีจิตใจถึง ไม่ต้องคำนึงว่า จะได้รับหรือไม่รับ ขอให้จิตเป็นกุศล ไม่ทำไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง และละโมบ เห็นแก่อามิสสินทาน ชื่อเสียง คือเอาหน้า ตำหนิคิดเล็กคิดน้อย บุญกุศลต้องเพิ่มพูนแน่
ทุกวันนี้สำหรับคนในสังคมเมือง ทำบุญกุศลนั้นหาเวลายาก เพราะงานการ ชีวิตที่รีบเร่งด้วยธุรกิจการงานแย่งเอาไปหมด คนเราถึงมีชีวิตอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวและเอารัดเอาเปรียบกัน
ความคิดเห็น