ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ต่อจากตอนที่แล้ว
คุณแม่มีคนคอยดูแลเรียกว่าพี่เลี้ยงแนะนำให้ปฏิบัติสามสิ่งอย่าง เป็นจุดหันเหอย่างหนึ่งของครอบครัว ที่พาสมาชิกเข้าใกล้ธรรมะมากขึ้น “บุญกุศล ถ้าเราใช้ไปมันก็หมดเข้า วันๆหนึ่งเราเผลอทำอะไรหลายอย่าง บางครั้งอาจพลาดพลั้งไม่เข้าใจว่า สิ่งนี้จะทำให้เราทุกข์กลายเป็นความไม่สบายใจ เติมสิ่งไม่ดีที่เรียกว่าขุ่นมัว”ตารวีเคยอยู่ฟังพี่เลี้ยงของมารดาคือ ป้าเพ็ญชม เมื่อแวะเข้ามาในบ้านก็ให้ธรรมะ ทำให้มารดาเปลี่ยนจากเดิม ท่านเคยเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นก็สงบปากสงบคำ ก็เปลี่ยนไม่ตวาดไม่ตะคอก มีแต่ยิ้มแย้มคอยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
ตารวีคล้อยไปตามความเห็นที่ผู้นำแสงสว่างมาให้ในครอบครัวสมมติจำลองภาพให้เห็นความจริงในโลกภายนอก หมายถึงกลุ่มคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตัวเสียสละความสุขของตัวเองให้ครอบครัวอื่น ก็จะมีชีวิตที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตัวเอง ทำด้วยตัวเอง จึงเป็นแต่สังคมที่มุ่งหาแต่วัตถุเงินตรา พอเอ่ยแล้วหันมาทางตารวีที่นิ่งสนใจนั่งฟัง
“ลูกสาวของคุณน้อม นี่ดีนะคะ นั่งฟังตาแป๋วเชียว จะหาเด็กผู้หญิงที่นั่งติดฟังธรรมะธัมโมเป็นชั่วโมงครึ่งชั่วโมงอย่างนี้หายากนัก ไม่ก็ติดเพื่อน ก็ติดเกม อย่างบ้านที่ดิฉันดูแล คุณนวลพร นั่นลูกสาวเขาไม่เอาสักอย่าง.. แต่เราอย่าไปตำหนิอะไรเลยนะคะ ที่พี่ว่า นี่ก็พูดเป็นอุทาหรณ์ อีกทั้งพระท่านก็ไม่ได้สั่งบอกให้มนุษย์ไปว่ากล่าวตำหนิคนอื่น มันเป็นเรื่องไม่ดี”การพูดที่เป็นกลางก็น่าฟัง แม้จะแอบวกไปตำหนิครอบครัวคนอื่นเข้าแล้ว แต่พี่เลี้ยงของมารดาก็ดึงสติกลับคืนมาได้
ฝ่ายที่ถูกเอ่ยถึงได้แต่อมยิ้มอย่างเดียว เพราะนิ่งฟังแล้วก็เพลินเกิดความสนใจจนกลายเป็นชิน ผู้เป็นมารดาจึงหัวเราะ “ค่ะ หนูก็รู้สึกสบายใจ ที่ลูกเชื่อฟัง หันเห มาสนใจแบบหนู เมื่อเป็นอย่างนี้แกก็เป็นเด็กที่ค่อนข้างว่านอนสอนง่าย หนูก็เบาใจเยอะ”
“โชคดีแล้วละค่ะ คุณน้อม พี่อยากให้ทุกครอบครัวที่พี่ดูแลเป็นอย่างคุณน้อมจริง แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนมีหนี้วิบากกรรมที่ไม่เหมือนกัน”พี่เลี้ยงของมารดาเอ่ยอีกอย่างศึกษาอยู่กับตำราและการใฝ่เรียนรู้จากบรรดารุ่นพี่มาพอสมควร “การปฏิบัติดูแลครอบครัวผู้อื่นแล้วเราเกิดความสุขนี่มีจริงนะคะ เรียกว่าสอนให้เราละวาง รักผู้อื่น เห็นใจผู้อื่น”เว้นเสียงไปครู่ “จิตใจเราก็เย็นอ่อนลงขึ้น พี่ก็เหมือนกันค่ะ เคยนึกตำหนิโกรธลูกกับสามีเหมือนกัน กลับไปจะต่อว่าเสียให้หนักเชียว แต่แปลกคะ ความคิดที่จะต่อว่าดุลูกนี่หายไปหมด หลังจากที่กลับไปเยี่ยมดูลูกกลุ่ม”เมื่อการคุยอย่างออกรส ทั้งตารวีและมารดาเงี่ยหูฟังด้วยความเพลิดเพลินและตั้งใจ
จนกระทั่งคุณชมชวนมารดาไปเยี่ยมสมาชิกครอบครัวท่านอื่นอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ ตารวีไม่ได้แวะตามไปด้วยเพราะต้องอยู่เฝ้าบ้าน ส่วนพี่กีสาออกไปเที่ยวสมาคมกับเพื่อนฝูงที่รักใคร่และเรียนด้วยกันมา แม้ตารวีอยากจะฟังคุณป้าชมเอ่ยธรรมะให้ฟังเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เวลาในการช่วยเหลือผู้อื่นสำคัญกว่า มารดาเองก็มีลูกกลุ่มดุแลถึงห้าหกบ้าน มารดาท่านปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือครอบครัวผู้อื่นแล้วความสุขจะย้อนกลับเข้ามาในคอบครัวตัวเองของท่านต่อไป แต่ไม่ละทิ้งงานบ้าน ท่านทำเรียบร้อยแล้ว
ตารวี ยังเป็นเยาวชนเรียนอยู่ชั้นปอห้า เธอปฏิบัติหน้าที่สร้างบุญกุศลให้ตัวเองพร้อมกับเพื่อนที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกปฏิบัติธรรมเช่นกัน เพื่อฝึกขัดเกลาจิตใจ และไม่อยากปล่อยให้ห้วงวันเวลาในแต่ละวันจากไปโดยไร้ความหมาย และเสาร์อาทิตย์เธอจะมาอยู่ที่ศูนย์หรือสาขาพร้อมด้วยตัวมารดาที่เข้ามาทำงานสร้างบุญกุศลให้แก่ตัวเองเป็นพิเศษ เหมือนการสะสมกองบุญเอาไว้ในโลกเบื้องหนห้า อันหมายถึงสุคติหรือสวรรค์
ภาพภายในสำนักงานหรือสาขาที่เธอมองเห็นนั้น ล้วนแต่มีผู้คนที่จิตใจดีงาม ต่างยิ้มแย้มทักทายสวัสดีกัน ไถ่ถามด้วยสารทุกข์สุกดิบอย่างปราศจากอคติปละปราศจากมดเท็จโกหกต่อกัน เพราะที่นี่คือการปฏิบัติศีลห้าขั้นตน มุสาวาทจึงเป็นเกราะข้อห้าม เพราะพระศรีอาริย์ท่านไม่ชอบคนพูดปดมดเท็จ เป็นความเข้าใจง่ายๆที่รับรู้อย่างนี้
ใช่จิตใจของตารวีพลอยอิ่มเอิบไปกับคนอื่นด้วย นี่กระมังการสัมผัสถึงความสุข ความสุขที่แม้ไม่มีเงินทองก็สามารถอยู่ได้ ถ้าใจเราเป็นสุข เพราะเห็นใบหน้าแต่ละคนแต้มแต่งด้วยรอยยิ้มหัวเราะหัวใคร่อย่างสุขสรรปราศจากการนินทาว่าร้าย เพราะเชื่ออย่างนี้แล้วความสุขจะเกิดขึ้นในชีวิตอย่างที่คำกล่าวดำริของสมเด็จพระศรีอาริย์ท่านกล่าวอย่างนั้น
ทุกคนพร้อมเพรียงไม่มีใครอยู่นิ่งวางเฉยหรือเกี่ยง ทุกคนจะกระวีกระวาดทำงานด้วยใจเป็นสุขร่าเริง ไม่เครียด เติมความขุ่นมัวหรือกระแนะกระแหนว่ากล่าวเหมือนคนภายนอก ตารวีคิดว่าเป็นบุคคลที่มีความสุจริตใจดีแท้ การบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบหนังสือคำสอนของพระและหนังสือเล่มย้อนหลังที่มารดารับเป็นประจำ เป็นหนังสือที่เข้าใจว่าเป็นของพระ โองการที่ยิ่งใหญ่ ที่พระกำลังสร้างรากฐานขึ้นในโลกมนุษย์
“บุคคลเช่นใดที่จะได้พบพระศรีอาริย์”ในบ้านของคุณปลั่งทิพย์สมาชิกที่พี่เลี้ยงทั้งสองเข้ามาเยี่ยมดูลูกกลุ่มหยิบหนังสือเล่มนี้อ่านให้ฟัง จิตใจของเธอมีความเพริดและภูมิใจจนขนาดเนื้อตัวสั่นขนลุกด้วยความปีติยินดีที่กล่าวถึง
“เห็นไหมคะ พี่ชม พี่น้อม อย่างที่เราปฏิบัติก็สอดคล้องเข้ากันเลยค่ะ ที่ตำรามีระบุไว้ว่า นี่เป็นคำตรัสจริงๆที่พระศรีอาริย์บอกกล่าวกับพระมาลับพระอรหันต์ในสมัยโน้นที่ศรีลังกา มีฤทธิ์เหาะเหินไปถึงเมืองนรกเมืองสวรรค์ได้ ตรงกับที่เราปฏิบัติไว้เปี๊ยบเลยนะคะ ท่านบอกว่าต้องเป็นบุคคลที่หมั่นทำบุญทำกุศลเนืองนิตย์ “เจ้าของบ้านคือปลั่งทิพย์เว้นไปครู่ก่อนเอ่ยต่อเพราะติดหล่มด้วยความปลื้มปีติ ที่อยากแจกแจง” ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เห็นใจให้ทานแก่ผู้ยากไร้ ที่สำคัญห้ามฆ่าคนด้วยกันเอง ท่านบอกว่ากรรมหนัก ไปเกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์ไม่ได้” ฟังด้วยความยกย่องชื่นชมสมาชิกที่ตัวเองดูแลอย่างมาก น้อมจิตรเองก็อยากให้ลูกกลุ่มที่เธอดูแล เป็นครอบครัวที่มีความสุข หันเหตัวเองเข้ามาหาธรรมะกันทั้งครอบครัว
แบบนี้สวรรค์น้อยๆก็เกิดขึ้นปราศจากการทะเลาะวิวาทบาดหมาง พี่เลี้ยงทั้งสองจึงยิ้มพยักหน้าด้วยความยินดี ที่ครอบครัวของลูกกลุ่มโดยเฉพาะแม่บ้านหันมาใส่ใจฝักใฝ่ธรรมะเหมือนแบบเธอ
“พี่เด่นยังไม่กลับหรอกค่ะ เห็นว่ามีโอทีต่อ จะกลับก็คงดึก คงจะเป็นฉลองกันตามประสาผู้ชายนี่ล่ะค่ะ”พูดเปรยเมื่อนึกถึงสามีหันมาทางพี่เลี้ยงทั้งสอง “ปลั่งเองก็ไม่ได้นึกห่วงอะไรหรอกค่ะ เป็นปกติของเขาเสียแล้ว ตำแหน่งเขาสูงเป็นผู้จัดการแผนกงานเขาย่อมเยอะไปด้วย เพื่อนฝูง ปลั่งเองก็ไม่คิดอะไรแล้ว ยิ่งตัวเองพาตัวมาหาธรรมะแบบนี้สบายใจที่ได้ยินสิ่งดีงามของพระเอาไว้” เท่าที่ปลั่งทิพย์พูดน้อมจิตรกับเพ็ญชมครุ่นคิดตาม จนอดกังวลใจไม่ได้ขมวดคิ้วถาม
“ถ้ามีเรื่องแบบนี้ คุณน้องอย่าได้ยิ่งนอนใจเป็นเด็ดขาดนะคะ”คุณน้อมจิตรเอ่ยพูดเหมือนนึกถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองได้ สามีที่ออกนอกลู่นอกทาง ขณะที่เอไว้ใจเขา แต่เขากลับทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ให้เธอปวดใจ เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่คุณน้อมจิตรจดจำไว้อย่างดิบดีทันที คุณเพ็ญชมนิ่งฟังเงียบ ขณะที่คนถูกระบุตัวกลับอ้าปากค้างกับคำของพี่เลี้ยงเอ่ย ซักถาม “ยังไงคะพี่น้อม”
“ผู้ชายเราไว้ใจไม่ได้หรอกค่ะ แม้เป็นสามีของเรา พี่เองก็เคยไว้ใจอย่างนี้ละค่ะ โดนกับตัวเองเต็ม จึงได้รู้ว่า โลกด้านนอกเขามีที่ทางไปกันเยอะ เพื่อนฝูงของเขาเอย ทีเที่ยวเอยมากมี แล้วผับบาร์ร้านอาหารที่ยั่วยวนก็มีมาก เขาก็ติดเพื่อนหลงใหล”เอ่ยมาถึงตรงนี้นางน้อมจิตรพยายามเอ่ยเล่าอดีตของตนเองให้เป็นประสบการณ์ของลูกกลุ่ม ทำให้ปลั่งทิพย์รู้สึกเฉลียวใจกับท่าทีแปลกๆของสามีเหมือนกันในระยะหลัง เพียงแต่เธอไม่ได้เอะใจ ครั้นพอพี่เลี้ยงเอ่ยคุยเรื่องนี้ด้วยการนำประสบการณ์ชีวิตของตัวเองมาเล่าให้ฟัง
เธออดหวั่นวิตกไม่ได้กลัวสามีจะนอกใจ ตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่พี่เลี้ยงอารมณ์เย็นและสุขุมกว่าในฐานะที่ผ่านชีวิตมากว่า “ใจเย็นค่ะ น้องปลั่ง ค่อยๆคิด บางทีไม่อาจเป็นอย่างที่เราคิดก็ได้..ยิ่งเราปฏิบัติอยู่ตรงนี้คิดได้หลายอย่าง ที่เป็นคำตอบ น้องปลั่งดูเหมือนจะโชคดีกว่าพี่ ที่เข้ามาเจอโลกแห่งแสงสว่างก่อนที่พี่เจอปัญหาในครอบครัวพี่ยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกเลย”
คุณเพ็ญชมสอดขึ้นเมื่อจังหวะว่างและเสริมในที่ถูกควร “ค่ะน้องปลั่ง ตอนที่พี่พบกับคุณร้อมใหม่ ครอบครัวแกกำลังทุกข์ใจเรื่องหนี้สินแล้วสามี” เว้นไปครู่ “เลยแนะนำให้ไปไหว้พระด้วยกัน แล้วแนะนำให้คุณน้อมรู้จักโครงการของพระศรีอาริย์ นำแสงสว่างมาสู่ครอบครัว”
“ฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ น้องปลั่งอย่าไว้ใจได้นะคะ มีหลายครอบครัวเหมือนกันที่เกิดเหตุทำนองแบบนี้ สามีเราเมื่ออยู่ในบ้านก็เป็นของเรา แต่ตอนไปอยู่ที่อื่นข้างนอกซึ่งลับหูลับตาเราสิคะ เขาอาจจะเป็นของคนอื่น.. บางทีฝ่ายเราไม่ได้เป็นคนเริ่มแต่ฝ่ายนั้นเริ่มขึ้นต่างหาก”คุณเพ็ญชมเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงผู้หญิงอื่นเพื่อไม่ให้กระเทือนใจใคร อีกอย่างนางอยู่ในฝ่ายปฏิบัติบุญกุศลจำเป็นต้องอยู่ตรงกลาง ไม่เอ่ยในเรื่องที่ดุถูกสร้างความไม่สบายใจปวดร้าวแก่ผู้ฟัง ซึ่งจะทำให้ตัวเองไม่สบายใจเพราะแบกทุกข์อีก คนที่ถูกเอ่ยให้ระมัดระวังในเรื่องนี้เริ่มฉุกใจ “ค่ะหนูก็เริ่มรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน แต่ทว่าทุกครั้งคุณเด่นจะพูดจาเพราะอ่อนหวาน ทักทายหนุเสมอ จนไม่สังเกตว่าผิดปกติ แกเมามาแต่ก็ไม่หงุดหงิดระบายอารมณ์ใส่ ดีอย่างหนึ่งค่ะ เมื่อเมาแล้วรู้จักเข้านอน หนูก็นึกไม่ออกว่า พี่ เอ้อ เขาจะไปติดผู้หญิงที่ไหน”
“ผู้หญิงเดี่ยวนี้เราต้องระมัดระวังตัวนะคะ แม้ว่าสามีเราไม่อยากจะได้ แต่เขาอยากได้สามีของเรา ก็ยัดเยียดตัวเองเข้ามา แล้วมันก็เลยไปตามเลย และรับผิดชอบ”เพ็ญชมต้องเอ่ยอีก
“ค่ะหนูจะทำตามคำแนะนำของพี่ชมกับพี่น้อม ว่าควรทำอย่างนี้”เอ่ยพูดออกมาสีหน้าคนพูดรู้สึกไม่สบายใจนัก สองพี่เลี้ยงรู้สึกเป็นกังวลกลัวคำพูดของตัวเองกลายเป็นดาบทิ่มแทงความรู้สึกของลูกกลุ่มที่ดูแล
“พี่หมายความว่าไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ พูดจาเข้าหากันดีๆถามถึงเหตุผล ไม่ใช่ว่าพี่จะนิยมส่งเสริมให้สามีภรรยาทะเลาะกันนะคะ พี่ช่วยให้ทุกครอบครัวที่พี่ดูแลเป็นครอบครัวชาวสวรรค์มีความสุขปราศจากทุกข์สามอย่าง โรคภัยไข้เจ็บความยากจนแล้วก็ทะเลาะวิวาทบาดหมาง”คุณชมเอ่ยถึงเหตุผลให้ลูกกลุ่มเข้าใจ ปลั่งทิพย์จึงพยักหน้า
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น