เล่ห์ปฎิปักษ์ นักเขียนการ์ตูน
นักเขียนการ์ตูนไง เป็นมุมมองที่อยากเขียน การใช้ชีวิตและวิถีอย่างนี้ ผักกูด พี่ชายดอกกุ่ม ในเด็กสมัยนั้นเคยเลี้ยงควายกันอยู่ พืช ภาณุ แม้ครอบครัวของเขาจะถูกกีดกัน เพราะฐานะต่างกัน ภาณุ หลงรัก กัณ
ผู้เข้าชมรวม
251
ผู้เข้าชมเดือนนี้
9
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผักกูด เด็กชายที่เริ่มจะหนุ่มวัยเพิ่งสิบหก ยืนท่ามกลางฝูงควาย พ่อแม่ให้มาเลี้ยง ครอบครัวผู้ใหญ่บ้าน เพื่อนอ่าน
แรงบันดาลใจเหล่านี้มาต่อยอดอีกครั้ง
เมื่อมีหนังสือการ์ตูนเล่มละบาท ประกาศรับนักเขียน เขาจึงส่งเรื่องไป
เรื่องผ่าน ได้รับผลตอบแทน สามร้อยบาท ดีใจจนแทบเนื้อเต้น มุมานะไปเรื่อยๆ
ระหว่างเรียน จนจบ
และศึกษาต่อวิทยาลัยช่างศิลป์ที่กรุงเทพ โดยเอาน้องชายมาอยู่ด้วย น้องชายชื่อ วีรกิต
งานเลี้ยงของสำนักพิมพ์ถูกเขาเชิญตัวไป
ปีนี้ ภูศิลป์ทำงานครบสามปีของสำนักพิมพ์การ์ตูนที่มีชื่อเสียง เงินรายได้ เขาเก็บออมไว้
จนอยากซื้อบ้านหลังหนึ่ง จะได้ไม่ต้องเช่า
ตอนนี้เขาพักที่ห้องเช่า อพาร์ทเม้น ตรงกันห้ามเป็นหอหญิง มีผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากมาย และอีกหลังบ้านที่รั้วใหญ่ กำแพงสูงลิบ เป็นคฤหาสน์หลังงาม ของคุณนายจรุงพิศ มีลูกสาวสองคน คือ อันนิตา กับ
นุชอาภา นี่เริ่มปูแล้ว เรื่องต้องเป็นอย่างนี้
เขียน
เขาเข้ามา ความรักที่มีต่ออาชีพนี้ สวยสดงดงาม ความหวัง
เงินความปรารถนาเล็กน้อยของหนุ่มชนบท
วัยปีนี้ สิบสี่ปี
แม้ยังเด็กความมุมานะพยายามของเขาเกินเด็ก
รายรอบของเขาอยู่ท่ามกลางยากจน
เขาสู้ สู้อย่างเดียว บ้านที่มีแต่ไร่แต่ทุ่ง เขาชอบขีดเขียน เสาร์อาทิตย์คือวันมีความสุข
เพราะจะได้นั่งขีดเขียนการ์ตูนทั้งวัน การ์ตูนเป็นงานที่เขารัก
ไม่รู้ว่าเขาค้นพบความชอบของตัวเองนานแค่ไหนกัน
แม่ไม่ห้ามเพราะแม่รู้ว่าใจเขาชอบทางนี้
เพียงแต่กลัวลูกเขียนขีด
เพ้อละเมอไร้สาระ จึงให้ใส่ใจการเรียนไว้ก่อน
ก็ได้แล้วเรื่องนี้ จะต่อยอด
จับหงส์ลงตมสักหน่อย พลอตมา ทำได้ สู้นะ
เสาร์อาทิตย์คือวันมีความสุขสำหรับเด็กหนุ่มหุ่นผอมกร้องแกร้ง
ที่นั่งหันหน้าออกไปทางหน้าต่างบ้านหลังเล็ก ชนบทที่แวดล้อมไปด้วยท้องทุ่งนา และแสงตะวันที่กำลังแผดกล้าในเวลานี้ ร้อน เขาบ่นแต่ใช่ว่าอุปสรรค เขาเป็นลูกชาวนาๆ สู้ๆ แต่ไม่ชอบทำนา พ่อแม่ปลูกฝังอยู่ แต่ให้ช่วยทำเขาทำได้ แต่ความชอบไม่ค่อยจะมี เห็นพ่อแม่ทำนาหลังขดหลังแข็ง กว่าจะได้ผลผลิตมารอนานถึง ห้าเดือน
เขานึกเบื่อระอา ทำนามีแต่ใช้หนี้
หาได้มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำไม่
ฟังเสียงนกร้องคาคบไม้เพลินดี
มันชอบมากล่อม มือที่วาดดินสอลงลายเส้น
คิดแก๊กเพลินๆไป งานที่เขาต้องส่ง สำนักพิมพ์ทางกรุงเทพโทร.มาขอแล้ว ชื่นชอบ ทำงานได้เงิน ได้คุณค่า ไม่เสียเปล่า เมื่อก่อนพ่อแม่คอยปรามห้าม หาว่าไร้สาระ แต่เมื่องานเหล่านี้แปรผันเป็นเงินมาให้
ทั้งคู่เงียบ
“ตูน”เสียงทักเขาดังมาก่อน กัณสิมาจึงค่อยหัน “ภู”
“จะไปแล้วจริงเหรอ” ภูศิลป์พยักหน้า “เพื่อชีวิตที่ดีกว่า อนาคตรออยู่” เขาพุดแต่คำนี้เหมือนปลอบตัวเอง “มันเร็วนะ เราคบกันตั้งแต่เด็ก
เรียนหนังสือมาด้วยกัน แล้วภูก็ไป”
“เป็นธรรมดาของการดิ้นรน
เราจนนี่” ภูศิลป์เงยขึ้นฟ้า
มองไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมายตอบเสร็จ
กัณสิมานิ่งเงียบในเรื่องนี้ เพราะว่ากลัวพ่อ
พ่อห้ามการคบหาของเธอกับภุศิลป์ ประสาคนเป็นพ่อ ที่อยากให้ลูกได้ดิบดีกว่านี้ “พ่อยังเหมือนเดิม”
“ความคิดของผู้ใหญ่ เราว่าเขาคิดถูก”
“ถ้าไปแล้ว ได้เจอกันเมื่อไหร่”
“ไม่แน่”
ถึงอย่างไรกัณสิมายังมองเห็นภูศิลป์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แม้รู้ว่าภูศิลป์คิดยังไงกับเธอ ให้อนาคตข้างหน้าช่วยตัดสิน
แต่กัณสิมาไม่อยากรอถึงขนาดนั้น
ความผูกพันที่บ่มเพาะมายาวนาน กลายเป็นความรักได้ เธอกับภูศิลป์คิดอย่างนี้
“ยังคิดกับเราเหมือนเดิมมั๊ย” ถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
เพราะการคบหากันมาร่วมสิบกว่าปี จากเพื่อน ค่อยๆแปรไปทีละนิดเป็นความรัก แต่ความรักของภูศิลป์ก็สุดเอื้อม เพราะต่างฐานะและถูกกีดกัน พ่อแม่เขายังมีหนี้ ซ้ำที่ดินบางที่ก็เช่าเขาอยู่ นี่คือภาพที่ไม่ดีในสายตาของผู้ใหญ่ยง ถึงขนาดว่าไม่ชายตาเลย ไม่อยู่ในหางตา
ภูศิลป์ค่อยๆหันหน้ากลับมาถาม “ตูนล่ะ”
“ตูนอยากเรียนต่อราชฎัก”
“อยากเป็นครูเหมือนเดิมใช่ไหม” กัณสิมาพยักหน้า
“งั้นขยันตั้งใจเรียนแล้วกัน
เพราะเราทำงานที่โน่นเหมือนกัน”
การอวยพรเหมือนบอกว่าตัวเองก็อยู่ห่างไกล ยากที่จะพบกันอีก
“ภู คงทำงานหนัก”
“ ไม่ทำงั้น คงไม่มีเงินใช้หนี้พ่อแม่ ภูต้องทำให้ได้” แววตาของเขามุ่งมั่น
“ผู้ใหญ่ให้โอกาส”
กัณสิมายิ้มให้เขา “ตูนมั่นใจว่าภูทำได้”
แสงตะวันกำลังคล้อยดวงจมลับสู่ผิวดิน อาบด้วยสีส้มอ่อน เสียงไล่ควายดังฮึยๆๆ มาเป็นระยะ ถึงเวลาที่ต้อนควายเข้าคอก
พร้อมกับนกกาที่โผผินกลับเข้าสู่รัง
มาเจอกัณสิมาเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ล่ำลากันก่อนตะวันตกดิน
กัณสิมาต้องเรียนครู ขณะที่ภูศิลป์เลือกที่จะเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพ เพื่อปลดหนี้ครอบครัว
“จะไปแล้วจริงๆนะ”อีกนานมากเมื่อความมืดแผ่มาแล้ว แสงจันทร์กระจ่างมาแทนที่
ทำให้สองหนุ่มสาวได้เห็นภาพสว่างไสว
ที่นี่ไม่อันตราย เพราะคนหมู่บ้านเดียวกัน ใกล้สระน้ำของหมู่บ้าน โดยทั่วไปจะมีหนุ่มสาวและเด็ก
ตรงเข้าไปอาบน้ำก่อนเข้าบ้าน ไกลออกไปได้ยินเสียงเจี๊ยวจ้าวของเด็กๆที่เล่นกัน
“ก็ต้องไป ตัดสินใจแล้ว มันจะดีกว่า
อนาคตรออยู่”
“อนาคตอย่างที่ว่า ภูคงจะร่ำรวย มีเงินปลูกบ้านให้พ่อแม่ใหม่
รวมทั้งพ่อแม่ของตูนก็ชื่นชม”
ภูศิลป์เงียบ เขาไม่อยากนึกถึงผู้ใหญ่ยงพ่อของกัณสิมา ที่รังเกียจคนจนทั้งหมิ่นแคลน แต่เขาก็ยิ้มกับตูน
“สมพรปากนะ ถ้าเป็นไปได้
เราจะทำอย่างว่า” เขาตอบ
“อย่างว่าคืออะไร”
สาวเจ้าเอ่ยแต่สีหน้าเอียงอาย
“ก็มาสู่ขอตูนไง”
ภูศิลป์ออกไปดูควายกลางแจ้งสี่ตัว เขาล่ำลามันเพราะจะไปแล้ว
เหนื่อยจากการเขียนการ์ตูนพักสมองสายตาด้วยการเดินไปรอบสวน มีกำหนดเร่งจากเฮียสำนักพิมพ์ ที่รับงานเขาพิมพ์ เห็นว่าเขาฝีมือดีจะส่งเสริม
แต่ต้องขึ้นไปอยู่ที่กรุงเทพ เฮียหาที่พักให้ กัณสิมาเดินเข้ามาทัก ทั้งคู่เรียนประถมด้วยกัน เขาจะไปแล้ว
เอชื่นชมเขชา แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย
พ่อแม่เห็นอาชีพเขียนการ์ตูนต่ำต้อยไส้แห้ง
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะดูตะวันตกดินด้วยกัน ผู้คนไล่ควายต้อนเข้าคอกหมดแล้ว การร่ำลาครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น
การล่ำลาครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นแล้ว ภูศิลป์นั่งรถทัวร์เที่ยวหกโมงเช้า เป็นการตัดสินใจที่ดี “ไม่ต้องห่วงนะแม่ จะขยันทำงาน” สัมภาระมีไม่มากเท่าไหร่ ได้รับการช่วยเหลือ
จากเฮียเส็ง หรือ นายการุณ
ผู้เป็นเจ้าของโรงพิมพ์ หนังสือการ์ตูนที่เขาเพียรทำงานส่งมาเป็นเวลาสองปีเต็ม เขาไม่รู้ว่า
จินตนาการในเมืองกรุงจะต่างจากชนบทที่เขาเห็นหรือเปล่า แรงจูงใจ เจ้านายเห็นแวว สนับสนุน
“เข้ามาเถอะคนอ่านชอบ เฮียสนับสนุน”
การหาที่เช่าพัก อยู่ในซอยโรงพิมพ์
สำนักพิมพ์ ดาวกระจาย
เฮียเป็นธุระจัดการให้ทุกอย่าง
ขอแต่เพียงเดินทางไปถึง โทร.มาหา
สำหรับภูศิลป์การเดินทางไกลครั้งแรก
ทุ่งนาเวิ้งว้าง มีดอกจานหรือทองกวางหน้าแล้งทิ้งดอกร่วงปลิดจากขั้ว ต้นเดือนเมษาร้อนตับแตก
พอกับต้นคูณทิ้งดอกเหลืองสว่างไสวอยู่ข้างหลัง
มันเป็นภาพสวยงาม ที่จะพาภูศิลป์จากไปเมื่อเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ใครคนหนึ่งที่เขานึกถึง ตูน
กัณสิมาภาพสุดท้ายเมื่อคืนวานนี้
ล่ำลากัน คำสัญญา ไม่ได้มาส่งเขา
เขารู้เหตุผล กัณสิมาจะทำอย่างนั้นไม่ได้
ผู้ใหญ่ยงห้ามและไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกัน
ทั้งไม่ให้กัณสิมามาขลุกหรือเล่นใกล้บ้านเขา การพบกันครั้งสุดท้าย เป็นแอบลอบพบกัน
ตอนตะวันใกล้จะตกดิน
สำนักพิมพ์แห่งนั้นในซอย
เป็นกิจการเล็กๆ แต่เติบโตมายาวนาน
ประสบการณ์สามสิบปีเต็ม เปลี่ยนถ่ายจากรุ่นสู่รุ่น ความเป็นอยู่ของเจ้าของสำนักพิมพ์เป็นลักษณะนกน้อยทำรังแต่พอตัว
หากแต่มีคฤหาสน์ออกไปทางชานเมืองและกลางกรุงเป็นของตัวเอง เจ้าของทำตัวสมถะติดดิน เสี่ยเส็ง
หรือเฮียการุณของนักเขียนการ์ตูนหรือลูกน้องฝ่ายบัญชี ฝ่ายการจัดการ “ด๊องแด๊ง
จะขึ้นมากรุงเทพแล้วนะ จะมาอยู่กับพวกเรา”
เฮียเส็งแทบจะประกาศบอกลูกน้องทุกคน
ที่มีส่วนร่วมต่องานโรงพิมพ์
เพราะชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ทุกคนอยากเห็นหน้า ฝ่ายบัญชีและพนักงานโรงพิมพ์พากันร้องว้าว ที่จะได้เจอตัวจริง “เฮียให้อยู่ที่นี่”
ผลงานอื่นๆ ของ ดอกหางนกยูงสีส้ม ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ดอกหางนกยูงสีส้ม
ความคิดเห็น