“ขณะนี้เป็นเวลาที่ท่านต้องตื่นนอนแล้ว ขณะนี้เป็นเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบนาที...ขณะนี้เป็นเวลา...”
การบ้าน...
ผู้เข้าชมรวม
110
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
“ขณะนี้เป็นเวลาที่ท่านต้องตื่นนอนแล้ว
ขณะนี้เป็นเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบนาที...ขณะนี้เป็นเวลา...” เสียงนาฬิกาปลุกโทรศัพท์ถูกกดปิดอย่างรวดเร็วโดยมือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลและรอยข่วน
เจ้าของมือนั้นลอบถอนหายใจด้วยความตื่นตระหนก “ฟู่! เกือบถูกจับได้แล้วเชียว” แต่ถึงแม้เขาจะพูดอย่างนั้น เขาก็รูแก่ใจดีว่าเวลาเย็นขนาดนี้แล้วจะมีเพียงนักกีฬาที่สระว่ายน้ำและสนามฟุตบอล
และคุณครูที่ทำงานล่วงเวลาอยู่ ซึ่งทุกคนก็ทำกิจธุระของตนเองอยู่ที่ตึกอื่นๆ
ทำให้โถงอาคารสองที่เขาเดินอยู่ ณ ขณะนี้ปลอดคนอย่างสมบูรณ์
เขาขึ้นบันไดและเดินลัดเลาะเสาตึกจนกระทั่งถึงหน้าห้องเรียนของตน
เขาค่อยๆเดินเข้าไปหาบานประตูที่สีหลุดล่อนออกมา
เขาวางถุงผ้าลงบนพื้นคอนกรีตและย่อตัวลงเพื่อผูกเชือกรองเท้าก่อนจะสังเกตว่ารองเท้าหนังคู่ที่เขาสวมใส่อยู่เป็นประจำยามนี้กลับแลดูทรุดโทรมเป็นอย่างมาก
เขากล่าวขอโทษรองเท้าในใจ ร่างสูงใช้มือข้างที่ไม่มีผ้าพันแผลยันตัวขึ้นจะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูขึ้นสนิมเบาๆ
จนมันส่งเสียง “กริ๊ก!”
พร้อมๆกับบานประตูที่ค่อยๆถูกดึงให้เปิดออก
แสงจากภายนอกสาดส่องเข้าไปในห้องเรียนที่มืดสนิท
เขาวางถุงผ้าถุงนั้นลงบนโต๊ะเรียนที่ใกล้ที่สุด
ก่อนจะคลำไปตามผนังอันคุ้นเคยเพื่อหาสวิตช์เปิดไฟ
แต่เขาชะงักเพราะสำนึกได้ว่าตอนนี้เขากำลังแอบเข้ามาในห้องเรียนหลังเวลาราชการ
การเปิดไฟจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะทำก่อนจะถูกจับได้
เขาจึงเดินไปปิดประตูเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตจากคนที่สระว่ายน้ำซึ่งอยู่ตรงกันข้าม
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้งก่อนเขาจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์และเปิดไฟฉาย
ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเรียนของตน
มือข้างหนึ่งที่พันผ้าพันแผลไว้ของเขากระแทกโดนขาเก้าอี้เหล็กที่ถูกยกให้ตั้งขึ้น
เขากลั้นร้องเสียงไว้อย่างง่ายดาย เพราะความจริงแล้วผ้าพันแผลที่อยู่บนมือเขาก็แค่พันไว้เพื่อปิดรอยข่วนต่างๆเพียงเท่านั้น
ร่างสูงหยุดเดินลงเมื่อหาโต๊ะเรียนของเขาที่อยู่หลังห้องเจอ
เขาชะงักเพราะตกใจกับโต๊ะที่ถูกใช้ต่างกระดาษวาดรูป
ดูท่านักเรียนร่วมห้องที่มาใช้โต๊ะของเขาเมื่อสัปดาห์ก่อนจะไม่สนใจความสะอาดเท่าใดนักตอนเขาขาดเรียนไปเข้าค่ายความเป็นเลิศทางคณิตศาสตร์มา
โชคดีที่มีรอยลบออกไปให้บางส่วน เขาเดาว่าสมใจเป็นผู้ที่มาลบให้เพราะเธอติด โพสต์-อิต ขอโทษแทนนักเรียนคนอื่นๆไว้ เขาเอื้อมมือเข้าไปในโต๊ะเพื่อหยิบหนังสือเรียนและของใช้บางส่วนที่ยังไม่ได้เก็บกลับบ้านไป
แต่ยังไม่ได้สอดมือเข้าไปลึกนักก็ไม่สามารถดันเข้าไปอีกได้
ร่างสูงจึงนั่งลงกับพื้นก่อนที่จะเห็นความไม่เป็นระเบียบของใบงานและหนังสือที่คาดว่าน่าจะเป็นใบงานใหม่ๆของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ใครสักคนในห้องคงตามเก็บไว้ให้และยัดลงใต้โต๊ะโดยไม่ใส่ใจ
ใบหน้าของร่างสูงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ความจริงเขาก็ดีใจอยู่หรอก
เขาค่อนข้างโกรธนักเรียน แต่ถ้าพิจารณาว่าคนที่แทบจะไร้เพื่อนอย่างเขามีเพื่อนเก็บของไว้ให้
เขาก็ควรดีใจแล้วสินะ? ความจริงเขาก็ดีใจแต่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีคนตามเก็บของให้
หากเป็นเพราะวันพรุ่งนี้เขาจะได้ย้ายโรงเรียนแล้ว อีกเพียงหนึ่งวัน! เขารีบเก็บของใส่ถุงผ้าก่อนออกจากห้องไป เขาเดินไปหยิบ
โพสต์-อิต บนโต๊ะเขาแล้วเขียนคำขอบคุณให้แก่สมใจขากลับเขาก็ไม่ลืมที่จะเขียนกระดานดำด้อยชอล์กไว้ว่า
“ลาก่อน และหวังว่าจะไม่ต้องพบกันอีก” ลงชื่อไว้ว่า นิรนาม
เขาจงใจเล่นคำแฝงไว้ด้วยความเสียดสี ถึงแม้ว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจก็ตามที
“ลาก่อนนะครับคุณลำไย” เขาพูดด้วยความอาลัย
ลำไยของเขาที่นั่งอยู่ในลังตอบกลับมาด้วยเสียงแหลมสูง “เมี้ยว?”
“พรุ่งนี้ผมจะย้ายโรงเรียนไปแล้วนะครับ
ขาของคุณลำไยก็หายแล้วคงจะหาอาหารได้เองนะครับ”เขาสื่อสาร(อยู่ฝ่ายเดียว)กลับแมวอ้วนซึ่งยังคงนอนอยู่ในลังปากกาเคมี
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาตอนที่เขาแอบปีนรั้วเข้ามาในโรงเรียนเขาพบแมวตัวนี้ขาหักอยู่
ด้วยความสงสารเขาจึงไปหาอาหารมาวางไว้ใกล้ๆ
จนเย็นวันรุ่งขึ้นเขาจึงขอแม่พาเจ้าแมวอ้วนตัวนี้ไปพบสัตวแพทย์ กว่าจะฉุดกระชากลากกันไปได้ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้เขาถูกคุณลำไยตัวนี้ข่วนจนเป็นแผลมากมาย
จนกระทั่งตอนที่ขาของมันหายดีแล้วก็ยังข่วน นั่นไงข่วนอีกแล้ว! โชคดีที่ข่วนลงบนผ้าพันแผลจนเป็นรอยยาว ไม่ใช่แขนหรือหน้าเขา
แต่ก็เพราะคุณลำไยทำให้เขามาโรงเรียนบ่อยขึ้น
เพราะถ้าอยากจะมาหาลำไยแม่จะไม่พาเขามาส่งแค่กลางคันแล้วรับกลับไป
เขาจึงต้องอดทนเรียนซ้ำๆ และสอบเนื้อหาเดิมๆ เพื่อจะได้มาหาลำไยตอนพักกลางวัน
และหลังเลิกเรียน แต่การมาโรงเรียนก็มีข้อดีอย่างอื่นเหมือนกัน เพราะเขาก็ได้เพื่อนเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะนักเรียนหญิงที่เอ็นดูเจ้าลำไยเช่นกัน
ตัวอย่างของเพื่อนที่เขาได้พบเจอก็คือ สมใจ แสนใจดี
สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะกล่าวคำอำลาแก่ลำไย
เขาคงจะไม่ได้มาหาเจ้าลำไยบ่อยๆแบบนี้อีกแล้ว เขาหันหลังและเดินจากไป
แต่ก่อนจะเดินไปไหนได้ไกลแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนจะมีอะไรมาสะกิดที่ขาจึงหันไปดู
เจ้าลำไยที่คงจะเดินอุ้ยอ้ายมาสะกิดเขาด้วยก้างปลาในปาก
พอมันเห็นเขาหันมาก็วางก้างปลาลงบนพื้น พร้อมใช้อุ้งมือดันหางปลาไปให้เขา
ร่างสูงยิ้มแล้วดันก้างปลาคืนเจ้าลำไยไป
เขาวางอาหารแมวไปให้มันอีกหลายเม็ดก่อนจะเดินจากไป
จุดประสงค์ที่เขามาโรงเรียนวันนี้จริงๆคือเขาต้องการจะมาอำลาแมวอ้วน
แต่ที่ถือโอกาสขึ้นไปเก็บของที่อาคารเรียนก็เพราะเขาคำนวณแล้วว่ามีเวลาเหลือพอก่อนที่แม่เขาจะวนรถมารับ
เขาที่เคยเป็นคนที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวมากกว่านี้
นี่เป็นหนี้บุญคุณที่ไม่อาจตอบแทนได้ที่เขาติดค้างไว้กับแมวอ้วน
แสงสีของเมืองกรุงยังคงไม่จางหายไปยามเช้ามืด
กระจกห้องนอนของเขาถูกปกคลุมไปด้วยละอองน้ำจำนวนมากจนพร่ามัว
แสงจากเสาไฟและป้ายโฆษณาส่องเข้ามาในห้องของเขาพอให้เขาเห็นทางเดินไปยังห้องน้ำ
เขาลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียก่อนที่จะไปล้างหน้า เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอีกแล้วสินะ” เขาทอดสายตาไปยังท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำทะมึน
เหมือนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเขาที่จะต้องเริ่มใหม่จากต้นอีกครั้งในวันนี้
ในใจของเขาคาดว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า
เขาเดินไปมาในทางเดินอันคับแคบระหว่างโต๊ะทำงานและเตียงของเขาด้วยความประหม่าและความตื่นเต้นจากวันใหม่
เขาจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งและเดินออกจากห้องนอนของตนไป
หลังจากเขาและแม่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จสิ้นแล้วพวกเขาเดินกางร่มไปยังสถานีรถไฟฟ้า
“สู้ๆนะลูกรัก สัญญากับแม่ก่อนว่าวันนี้จะมีเพื่อนอีกสักคนนะ” เขาพยักหน้า
แม่ของเขากอดเขาครั้งหนึ่งก่อนจะแยกกันไปตามสายรถไฟฟ้า
ผ่านไปสามสิบนาทีเขาก็เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยที่เขาต้องมากบดานอีกประมาณหกปี
แต่วันนี้เขาแค่มาเพื่อลงทะเบียนนักศึกษาเท่านั้น
เขาเริ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งมุ่งหน้าไปสู่สถานศึกษาในอนาคตอันใกล้ของเขา
เขากระชับเนกไทก่อนจะเริ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างจริงจัง
การกึ่งเดินกึ่งวิ่งเป็นอะไรที่น่าเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากเขาเดินไป เขาก็กังวลว่าอาจจะไม่มีเวลาเดินชมมหาวิทยาลัย
แต่หากวิ่งไปในชุดนักศึกษาก็จะดูไม่งาม
ดังนั้นเขาจึงต้องก้าวขายาวๆอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นการกระทำที่ลำบากมากหากพิจารณาถุงผ้าของเขา
เขายังคงแนวคิดการกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังโต๊ะลงทะเบียน
และเข้าแถวเพื่อรอเช็คชื่อ ในไม่ช้าเขาก็เป็นอิสระหลังจากที่รุ่นพี่ที่มีหน้าที่ดูแลเด็กใหม่ให้ป้ายนักศึกษาและนัดวันมาปฐมนิเทศอีกครั้ง
เขาเดินไปยังตึกห้าของคณะสัตวแพทย์ที่ถูกบอกมาว่ามีห้องสมุดอยู่
เขาวิ่งและไม่ได้กึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปจนเห็นห้องสมุดปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เขาผลักบานประตูกระจกไป ไม่มีเสียงใดใดจากในห้องให้ได้ยิน
เขาสอดส่องสายตาไปทั่วห้องสมุดขนาดมหึมานี้เพื่อหาเบาะเก้าอี้เพื่อความสะดวกสบายแก่การสิงสถิตอยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้
คำว่าสิงสถิตอาจจะฟังดูเกินความเป็นจริงไป แต่เขาก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในห้องสมุด
นานจนกระทั่งเขาคิดว่าคำๆนี้เป็นคำเดียวที่จะอธิบายบ้านหลังที่สองของเขาได้
เขาเดินไปยังหัวมุมอันหนึ่งของห้องสมุด มีเสียงคนคุยกันเล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน
รุ่นพี่คนหนึ่งหันหน้ามาพบเขาทันที “เด็กใหม่เหรอ?” เขาตอบเบาๆ “ครับ”
“มาจากไหนล่ะเนี่ย?” “โรงเรียนวัดเขากบครับ” “มาหาหนังสืออ่านเหรอ” “ครับ”
“พี่ชื่อสมจิตนะคะ หนูชื่ออะไร?”
เสียงหัวเราะคิกคักมาจากเพื่อนอีกสองสามคนของพี่สมจิต “ผมชื่อ...”
หลังจากบทสนทนาที่น่ามึนงง
ก็นำไปสู่การเข้ากลุ่มหนอนหนังสือของคณะ นำไปสู่การทบทวนหนังสือเรียนก่อนสอบ
สู่การเป็นพี่รหัส-น้องรหัส สู่งานกีฬาสี
สู่งานพิธีกรของงานมหาวิทยาลัย สู่แวดวงเพื่อนนักเรียนที่เขามีหน้ามีตามากขึ้น
สู่การเป็นผู้ประกวดดาวคณะ ทั้งหมดเริ่มจากก้าวเล็กๆที่อาศัยความกล้าของเขา
ความกล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อไม่ใช่แค่หนังสือ
เพราะแม่...ที่สนับสนุนการศึกษาของเขา
เพราะพี่สมจิต...ที่ดึงเขาออกจากการเป็นมนุษย์ที่ไม่มีเพื่อนเป็นตัวเป็นตน
เพราะเจ้าลำไย...ที่ทำให้เขาเลือกแนวทางชีวิตในการเป็นหมอหมาหมอแมวแบบนี้
ขอบคุณ
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ และ ขอบคุณครับ
พูห์
นักศึกษาเกียรตินิยมอันดับ ๑
*ไม่ได้กล่าวไว้*
“ขณะนี้เป็นเวลาที่ท่านต้องตื่นนอนแล้ว
ขณะนี้เป็นเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาห้าสิบนาที...ขณะนี้เป็นเวลา...”
ความคิดเห็น