NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    || MurderArtist || PsychoDetective ||

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2 : โอนิมง (ฉบับรีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 50




    ตอนที่ 2

    โอนิมง

                    เสียงนกกระจิบดังผ่านอากาศแว่วมาเบา ๆ ในขณะที่แดดอุ่นยามเช้าส่องไปตามพื้นคอนกรีตทั่วทั้งบริเวณ นักรบนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวข้าง ๆ โต๊ะประชาสัมพันธ์ในสถานีจักรวรรดิ ช่วงเช้ามีผู้คนมาใช้บริการตำรวจซบเซา บันไดทางขึ้นมาที่ชั้นสองที่เขาอยู่นี้ยังไม่ค่อยมีคนมาเหยียบเลยยังคงดูสะอาดเอี่ยมเช่นเดิม...


                   
    เขาละสายตาจากแฟ้มรายงานเรื่องคดีศิลปฆาตกรรมในไทยไปมองขั้นบันไดทางลงไปชั้นหนึ่งตรงหน้า ทว่าจิตเขากลับไม่ได้อยู่ที่บันไดเพราะสมองยังคิดวนเวียนถึงเนื้อหาในแฟ้มอยู่


                   
    รายงานในแฟ้มมีแต่ศัพท์เรื่องลัทธิศิลปะซึ่งเข้าใจยาก ๆ กับข้อมูลของคดีที่ผ่านมาอย่างคร่าว ๆ รวมแล้วตลอดเกือบหนึ่งเดือนตั้งแต่เกิดคดีแบบนี้ครั้งแรกในไทยก็มีคนก่อเหตุรวมแล้วสิบเอ็ดคดี จับได้แปดคดี เหลือเพียงสามคดีที่ยังคั่งค้างหาตัวคนร้ายไม่ได้  ซึ่งจำนวนรวมของคดีน้อยกว่าที่นักรบคาดการณ์เอาไว้มากเพราะตอนแรกเขาคิดว่ามันน่าจะเยอะกว่านี้ ญี่ปุ่นถึงจะส่งคนมาช่วยเหลือ นี่แสดงว่าทางญี่ปุ่นมีความกระตือรือล้นอย่างมากในเรื่องของคดีศิลปฆาตกรรม...


                   
    หรืออาจจะมาจากข้อมูลล่าสุดในแฟ้มที่บอกว่าบรรดานักศิลปฆาตกรรมในไทยเริ่มรวมตัวกันแล้ว ส่วนเรื่องการติดต่อรวมตัวนั้นดูเหมือนข่าวดิบที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจะบอกว่ามีประกาศรวมตัวกันผ่านเวบไซด์ที่มีการตั้งโปรแกรมกำแพงปิดหมายเลขเครื่องไม่ให้ตรวจสอบสถานที่ตั้งได้ นอกจากนี้ยังต้องมีรหัสที่ต้องเอาไว้ใช้ผ่านเข้าเวบไซด์อีก


                   
    รวมตัว...เขาขมวดคิ้วยับยู่จนหัวคิ้วแทบจะชนกัน ทำไมถึงต้องมีการรวมตัว รวมตัวอย่างไร เจอกันตัวเป็น ๆ หรือรวมตัวแค่ทางเน็ต ตรงนี้ดูเหมือนยังไม่มีแม้แต่ข่าวดิบให้พิจารณาด้วยซ้ำ...


                   
    "เฮ้ย! เฮียไปทำอะไรมาน่ะ แบบว่าหน้าเครียดโคตร ๆ" เสียงทักดังขึ้น นักรบหลุดจากห้วงความคิดของตัวเองด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เขาหันไปมองคนที่ทัก ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นรุ่นน้องเขาในสถานีนี้นั่นเอง


                   
    "หน้าพี่ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แกยังไม่ชินอีกหรือไง" นักรบตอบเนือย ๆ พลางเงยหน้ามองจ่าชลูด รุ่นน้องตำรวจของเขาที่สูงชลูดตามชื่อเพียง ชายหนุ่มมีรูปหน้ายาวคม ตาใส ผิวขาวเหลืองดูผ่อง ผมก็ซอยสั้น ๆ แต่ก็ยังอุตริใส่ที่คาดผมสีเหลืองอ๋อยซึ่งไม่รู้จะใส่ให้มันเกิดประโยชน์มรรคผลอะไรขึ้นมาเหมือนกัน


                   
    "โห พี่นักรบ ผมหยอกเล่นน่ะพี่ แบบว่าเนเน่น้องพี่สบายดีเปล่า ผมเป็นห่วงนะเนี่ย...มีแต่ผู้หญิงกับเด็กอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือพี่" ชลูดลงนั่งที่ข้าง ๆ ตัวนักรบแล้วเซ้าซี้เสียงใส ก่อนจะลงท้ายประโยคชนิดน่าโดนถีบ


                   
    "ก็แบบว่า พี่ไม่อยากได้แมน ๆ อย่างผมไปช่วยเฝ้าบ้านมั่งเหรอ"


                   
    "ไปไหนก็ไปเหอะว่ะชลูด ก่อนที่แมน ๆ แบบแกจะโดนเตะ" นักรบประกาศขู่เสียงเข้มพร้อมกับกระตุกขาหงึกหงัก ทำเอาเจ้าหนุ่มตัวสูงเด้งจากเก้าอี้หนีแทบไม่ทัน


                   
    "โห...หยาบค๊าย หยาบคาย ไอ้เรารึอุตส่าห์รักจริงหวังแต่ง... เออพี่! จะไปซื้อน้ำให้สารวัตร พี่จะเอาอะไรไหม"


                   
    "กาแฟเย็นละกัน" นักรบพูดแล้วยื่นแบงค์ยี่สิบบาทให้รุ่นน้อง "ที่เหลือก็ทิป"


                   
    "น้ำใจท่านช่างประเสริฐนัก..." ชลูดพูดแล้วทำตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำนั้นแล้วโผเข้ามารับเงินพร้อมกุมมือข้างที่ถือเงินของนักรบเอาไว้ "ข้าลาก่อน...แล้วเราจะเจอกันที่ทางช้างเผือก"


                   
    "เปลี่ยนเป็นทางช้างถีบได้ไหม!" ว่าแต่นักรบก็กระตุกเท้าถีบชลูดแต่เจ้าหนุ่มสูงโย่งกลับหลบทันด้วยความว่องไว ตำรวจหนุ่มหัวเราะร่วนก่อนจะรีบวิ่งก้าวลงบันไดด้านหน้าสถานีลงไป นักรบได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจเหลือแสน ชลูดกับเขารู้จักกันสักปีครึ่งหรือสองปีได้แล้ว คือชลูดเข้ามาเป็นตำรวจก่อนหน้าที่เขาจะลาออกได้ไม่นานนัก


                   
    ด้วยนิสัยกวนโอ๊ยทำให้ได้รับการเอ็นดูจากสารวัตรเป็นพิเศษ เหมือนอย่างที่สารวัตรมักจะบ่นอยู่เสมอว่าด้วยความเอ็นดูว่า
    'เมื่อไรไอ้เด็กเวรนี่มันจะไปจากชีวิตกูเสียที'


                   
    เขาชะงักความคิดอีกครั้งและถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเดินขึ้นบันไดมา เป็นผู้ชายชาวเอเชียผิวขาว นักรบนิ่งอึ้งเพราะผู้ชายคนนี้หน้าตาดีราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นก็ไม่ปาน ผมสีทองสะท้อนประกายนั้นถูกจับแสกข้าง ปลายผมปัดไปด้านข้างดูพริ้วราวกับลายเส้นจากพู่กันจีน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนอำพัน ส่วนสูงนั้นถึงจะไม่สูงโย่งผอมแห้งเหมือนชลูดแต่ก็นับว่าดูสมส่วนทีเดียว


                   
    กว่านักรบจะหลุดจากภวังค์ ชายคนนั้นก็เดินมาถึงตัวเขาแล้วพร้อมกับเสียงเพลงชาติไทยยามแปดโมงเช้าที่ดังแว่วมาจากโรงเรียนประถมที่อยู่ใกล้ ๆ


                   
    "Good morning, I come from Japan." ชาวต่างชาติแปลกหน้าทักทายนักรบด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจนจนนักรบถึงกับนั่งนิ่งกลายเป็นหินด้วยความที่ได้เกรดหนึ่งวิชาภาษาอังกฤษมาตลอดตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งเรียนจบ โชคยังดีที่เขาแปลประโยคง่าย ๆ ดังกล่าวออก คงเป็นนักสืบชาวญี่ปุ่นที่เขากำลังรออยู่นั่นเอง


                   
    เมื่อเช้าตรู่ของวันนี้มีโทรศัพท์จากญี่ปุ่นเข้ามา ทางญี่ปุ่นแจ้งว่าต้องการให้มีการประชุมที่นี่ในเวลาเก้าโมงเช้าและนักสืบที่เขาส่งมาจะมาถึงประมาณแปดโมงเช้า สำคัญกว่านั้น...สารวัตรยืนยันอย่างแน่ใจว่านักสืบที่ญี่ปุ่นส่งมานั้นพูดไทยได้แน่ ๆ เขาถึงได้อาสามานั่งรออยู่นี่ไม่ใช่หรือ เขาคิดอย่างว้าวุ่นใจ


                   
    "...Hello" ชาวต่างคนเดิมก้มตัวลงมาใกล้นักรบ แล้วเอามือโบกผ่านหน้าชายหน้าเข้มไปมาจนนักรบได้สติ...ชายหน้าเข้มลุกยืนขึ้นแล้วพยายามใช้ภาษามือให้อีกฝ่ายตามเขามา


                   
    นักรบพาชายแปลกหน้าคนนี้ขึ้นไปยังชั้นสามที่ห้องทำงานของสารวัตรซึ่งใช้เป็นห้องประชุมงานคราวนี้ เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็พบสารวัตรนั่งรออยู่แล้ว ส่วนผู้เกี่ยวข้องคนอื่น ๆ คงยังมาไม่ถึง


                   
    สารวัตรสมพงษ์เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาก็รีบลุกมาต้อนรับ แรก ๆ ก็แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดภาษาไทยแต่ก็ปรับเปลี่ยนได้ในทันที พวกเขาสองคนยืนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษหน้าตาเฉย ทำให้นักรบต้องไปยืนหลบอยู่ที่มุมห้องใกล้ประตูด้วยอาการเซ็งนิด ๆ


                   
    "มาแล้วจ้า~ เบ๊ชลูดมาแล้ว ทิปก็ไม่มี เงินเดือนไม่เพิ่ม ขั้นไม่ขยับ แต่ใช้กันจริ๊ง~ กาแฟหมดก็ชลูด หิวข้าวก็ชลูด ปวดเมื่อยก็ชลูด เมียด่าก็ชลูด โอ๊ย! ชลูดลาออกมาเป็นแม่บ้านที่นี่ดีกว่าค่า~ เผื่อจะได้ทิปกะเขามั่ง" ชลูดบ่นเสียงแหลมแล้วเดินบิดก้นแบบกระเทยเข้ามาในห้อง แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเพราะรู้สึกว่าเปิดประตูมาชนอะไรบางอย่างจึงหันไปมองที่หลังประตูห้อง


                   
    นักรบยืนอยู่หลังประตูบานนั้นเอง เขาถอยหลบประตูจนไปชนโต๊ะวางกาแฟและกระติกน้ำร้อนที่อยู่ด้านหลัง โหลพลาสติกสีฟ้าแบบทึบราคาถูกที่ใส่กาแฟกับน้ำตาลตกลงมาที่พื้นจนกลิ้งขลุก ๆ ห้องจึงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วครู่


                   
    "...ทิปก็ให้ไปแล้วนี่" นักรบรีบบ่นแก้เขินที่ทำซุ่มซ่าม ชลูดจึงหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดแก้เขินบ้าง


                   
    "แหม ก็พูดไปงั้นแหละเฮีย เผื่อมีใครใจบุญให้ทิปเพิ่ม"


                   
    ชายหนุ่มหน้าเข้มไม่ว่าอะไร เขาก้มลงเก็บโหลพลาสติกขึ้นมาไว้บนโต๊ะอีกครั้งแล้วก็ต้องสะดุดตากับแผ่นกระดาษที่แปะอยู่บนฝาของมันเขียนบอกไว้ชัดเจนว่าข้างในใส่อะไรเอาไว้ ที่น่าสนใจกว่านั้นเห็นจะเป็นลายมือที่ตวัดโง้งราวกับประกวดคัดลายมือภาษาไทย เชื่อว่าคงเป็นลายมือของสารวัตรอย่างแน่นอน เขาจึงแอบชื่มชมกับลายมือบนฝานั้นครู่หนึ่ง


                   
    "..." นักสืบชาวญี่ปุ่นยื่นหน้ามามองโต๊ะกาแฟข้ามไหล่นักรบหน้าตาเฉย ชายหน้าเข้มสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะรีบหลบทางให้ เขาเดินไปหาสารวัตรที่โต๊ะประชุมราวกับหวาดกลัวเสียเต็มประดา สารวัตรจึงสบโอกาสยื่นกระป๋องโลหะที่ใส่ถุงกาแฟเย็นให้กับนักรบทันที


                   
    "เอ้า!" สารวัตรส่งเสียงเรียก นักรบยื่นมือมารับโดยละสายตาจากนักสืบชาวญี่ปุ่นเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันไปจ้องต่อ ปฏิกิริยาแปลก ๆ ของนักรบสร้างความแปลกใจให้สารวัตรมากทีเดียว


                   
    "อะไรของแกวะ เขาแค่จะกินกาแฟแต่อยากชงเองน่ะ" สารวัตรรีบพูดดักคอ ก่อนจะยกกระป๋องที่ใส่ถุงน้ำบ๊วยขึ้นดูดจากหลอด


                   
    นักรบเองก็ดื่มกาแฟเย็นของตัวเองบ้าง ส่วนทางนักสืบชาวญี่ปุ่นก็เริ่มเปิดโหลที่ใส่กาแฟแล้วตักมันใส่ถ้วยเซรามิกสีขาวที่มีเตรียมไว้ให้สองช้อน ก่อนจะหยิบโหลอีกอันขึ้นมาโดยที่ผาขวดโหลเขียนไว้ว่าคอฟฟิเมตแต่เขาอยากทานกาแฟดำมากกว่าจึงวางมันลงเบา ๆ แบบดูดีมีมารยาทท่าทางผู้ดี แล้วจึงหยิบอีกโหลขึ้นมาแล้วตักน้ำตาลใส่ไปอีกสองช้อน ก่อนคนทวนเข็มนาฬิกาแบบที่เขาชอบทำ


                   
    "...อ้อ ชอบดื่มกาแฟดำนี่เอง มิน่าถึงได้ขอชงเอง" สารวัตรเปรยเหมือนหายสงสัยหลังจากเห็นท่าทางของนักสืบชาวต่างชาติ ท่าทางของเจ้ายุ่นนั่นดูพิถีพิถันมากเหลือเกิน ว่าแต่กาแฟดำจากกาแฟสำเร็จรูปน่ะรสชาติมันห่วยบรมเลยไม่ใช่หรือไงนะ สมพงษ์จะถอนหายใจแล้วหันไปปรึกษากับนักรบต่อ


                   
    "แล้วจะเอายังไงดีล่ะทีนี้ คนในทีมเราส่วนใหญ่ก็โง่ภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น"


                   
    ชายหน้าเข้มยักไหล่เล็กน้อย แล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้พลางถอนหายใจ ดูคล้ายโล่งอกอย่างประหลาด เป็นท่าทีที่สมพงษ์ไม่ค่อยเข้าใจนัก


                   
    นักสืบชาวญี่ปุ่นยกแก้วกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ ๆ ตัวที่นักรบนั่ง พลางใช้ช้อนเล็กคนกาแฟไปมา เขาหันไปยิ้มให้นักรบอย่างมีไมตรีจิตเพื่อรอให้คนมาครบเสียก่อนจะได้เริ่มประชุมเสียที ทว่านักรบกลับไม่ต้อนรับรอยยิ้มนั้น เขาจ้องเขม็งกลับไป...


                   
    "เลิกล้อเล่นแกล้งทำเป็นพูดไทยไม่ได้เสียที รีบ ๆ มาคุยเรื่องงานครั้งนี้กันได้แล้ว ไอ้ยุ่น"


                   
    ชายหนุ่มผมทองผู้มีดวงตาสีอำพันจ้องมองนักรบตาไม่กะพริบ ในขณะที่นักรบก็จ้องมองมาที่เขาอย่างไม่วางตาเช่นกัน


                   
    "คิดจะทำเรื่องไร้สาระไปถึงไหนกัน นักสืบจากญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ทุกคนหรือ เล่นบ้าบออะไรไม่เข้าเรื่อง..." นักรบยังฉะต่อทำเอาสารวัตรหน้าซีดกับความหุนหันพลันแล่นของลูกน้องจึงรีบเอ่ยห้ามด้วยอาการงุนงง


                   
    "ดะ...เดี๋ยวนักรบ พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจหรอกน่า"


                   
    "...ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจ" นักสืบชาวญี่ปุ่นเอ่ยปากพูดด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ สารวัตรเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงแล้วหันไปมองนักสืบคนนั้นทันที ชายผมสีทองจึงยิ้มมุมปากคล้ายกับยิ้มเยาะ


                   
    "...รู้ได้ยังไงกันครับ" เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ส่วนนักรบกลับมีท่าทีใจเย็น เขายกกาแฟเย็นขึ้นดื่มก่อนจะพูดต่อ


                   
    "ก็คุณทานกาแฟดำซึ่งไม่ใส่ครีมเทียมแต่ในเมื่อคุณยังไม่ได้เปิดฝาขวดโหลพลาสติกที่ทึบแสงและมองไม่เห็นข้างในออก คุณจะรู้ได้ยังไงว่าที่อยู่ในนั้นคือครีมเทียม...ทั้งที่หยิบมันขึ้นมาแล้วแต่ก็วางกลับลงไปอีกทั้งที่ไม่ได้เปิดดูข้างในเลยนี่มันหมายความว่าอย่างไงกันแน่" นักรบอธิบายแล้วเดินไปหยิบขวดโหลที่ว่ามาชูให้ทั้งสารวัตรสมพงษ์และนักสืบชาวญี่ปุ่นดู


                   
    "คำตอบก็คือคุณรู้ภาษาไทยและอ่านป้ายที่ติดอยู่บนขวดนี่ได้เข้าใจ เมื่อรู้ว่ามันเป็นครีมเทียมก็เลยไม่จำเป็นจะต้องเปิดออกดู จริงไหมล่ะครับ...ยิ่งไปกว่านั้นมีชาวต่างชาติจำนวนน้อยนิดมากที่อ่านไทยได้แต่พูดไทยไม่ได้ ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าคุณน่าจะพูดภาษาไทยหรืออย่างน้อยก็ต้องฟังออกอย่างแน่นอน"


                   
    ชาวญี่ปุ่นคนนั้นอึ้งไปชั่วครู่เพราะไม่รู้เลยว่านักรบจะสังเกตการกระทำของเขาขนาดนั้นจึงปรบมือเบา ๆ ด้วยความชื่นชม


                   
    "หืม...ใช้ได้ครับใช้ได้" เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วลุกยืนขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อจับมือกับนักรบแต่นักรบกลับไม่แสดงท่าทีว่าอยากจะจับมือด้วย


                   
    "หลังจากนั้นผมยังไม่มั่นใจ" นักสืบไทยพูดต่อ "ผมจึงลองพูดกับคุณแรง ๆ เป็นภาษาไทย แล้วก็ได้ผล... คุณหน้าเสียแล้วชะงักไป ทำให้ผมรู้แน่ว่าคุณฟังภาษาไทยออกและน่าจะพูดภาษาไทยได้ด้วยเช่นกันอย่างที่บอกไปแล้ว"


                   
    นักสืบผู้มีผมสีทองนิ่งเงียบ เขากลับมาจ้องนักรบอีกครั้ง ลักษณะท่าทางของนักรบช่างมั่นคงและดุดันราวกับอนุสาวรีย์ทหาร ชาวญี่ปุ่นเผมยิ้มบาง ๆ มือที่อยู่ในท่ายื่นออกมารอการจับมือค่อย ๆ ลดต่ำลง

                    "...คุณคงจะเป็นนักสืบที่บอกว่าเป็นมือดีของไทยสินะ ผมโยชิโนริ โอนิมงครับ เป็นรองหัวหน้าหน่วยพิเศษเพื่อความมั่นคงของประเทศ ฝ่ายสืบสวน" เขาพูดเป็นเชิงทักทาย ส่วนนักรบก็ได้แต่ยิ้มเนือย ๆ เท่านั้น


                   
    "ผมนักรบครับ นักรบ แซ่โง้ว" เขาแนะนำตัวกลับพลางยิ้มให้เล็กน้อย "ที่คุณลองทดสอบเรานี่ คงจะคิดว่าถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ก็จะไม่ยอมบอกชื่อบอกตำแหน่งเลยรึยังไงกันครับ" นักรบแอบประชดเล็กน้อยก่อนจะวางขวดโหลคอฟฟิเมตลงบนโต๊ะเล็ก โอนิมงยักไหล่เบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ


                   
    "แหม...ก็ใครจะไปรู้ว่าตำรวจไทยจะ'โง่ภาษาอังกฤษ'กันขนาดนี้ล่ะครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน ล้อเลียนคำพูดของสมพงษ์เมื่อครู่ ทำเอาสมพงษ์หน้าแดงแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันทีแบบฉุนเฉียว นักรบได้ทีก็ฉวยโอกาสแนะนำตัวให้


                   
    "ท่านนี้คือสารวัตรสมพงษ์ครับ เป็นหัวหน้างานคราวนี้ด้วย" เขาพูดแล้วผายมือไปทางสารวัตรที่ยืนนิ่งท่าทางเอาเรื่องอยู่ โอนิมงจึงเดินเข้าไปจับมือเป็นการทักทาย


                   
    "ยินดีที่ได้รู้จักครับ" โอนิมงพูดเสียงดังฟังชัด แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม เขาไขว้ห้างมือเกาะเข่าพลางเอียงคอเลิกคิ้วด้วยท่าทีที่ดูยโสเสียเหลือเกินจนทั้งสารวัตรและนักรบพูดอะไรไม่ออกกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย จากชาวต่างชาติผู้มีไมตรีจู่ ๆ ก็กลายเป็นนักสืบหนุ่มท่าทางจองหองเช่นนี้


                   
    "มานั่งรอก่อนเถอะครับ ไม่ต้องทำท่าระแวงผมขนาดนั้นก็ได้" ชายหนุ่มเรียกร้อง ก่อนจะเผยยิ้มเยือกเย็น "เรายังต้องร่วมงานกันไปอีกนานนะครับคุณผู้ชายทั้งสอง ไม่ต้องรีบร้อน...ค่อยๆมาสนุกกันดีกว่า" เขาเอ่ยแล้วเหลือบมองนักรบด้วยดวงตาสีอำพันสะท้อนเป็นประกาย


                   
    หลังจากนั้นพวกเขาถึงได้รอคอยกันอย่างสงบปากสงบคำเพราะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องค่อย ๆ ทยอยเข้ามากันแล้ว เมื่อครบองค์ประชุมโอนิมงก็เปิดเครื่องฉายภาพเพื่อบรรยายเหตุการณ์โดยรวมและเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักศิลปฆาตกรรม เครื่องฉายภาพฉายสไลด์ขึ้นจอสีขาวในห้องสว่างแต่ภาพที่ออกมาก็ยังชัดเจนดีไม่เหมือนเครื่องรุ่นเก่า ๆ โต๊ะทรงวงรีที่อยู่ตรงกลางถูกนั่งล้อมไปด้วยผู้คนหลายชีวิต บรรยากาศบางอย่างกำลังแผ่ขยายไปทั่วทั้งห้องซึ่งน่าอึดอัดอย่างแปลกประหลาด


                   
    ทางซ้ายมีนักรบนั่งอยู่ เรียงต่อมาเป็นผู้กำกับสถานี รองผู้กำกับฝ่ายสืบสวน ส่วนด้านขวานั้นเป็นสารวัตรสมพงษ์ฝ่ายสืบสวน รองผู้กำกับหน่วยปราบปราม และตัวแทนจากฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน ส่วนตัวโอนิมงนักสืบชาวญี่ปุ่นนั้นยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ


                   
    ระหว่างการประชุม...โอนิมงได้อธิบายเรื่องการแยกลัทธิของพวกนักศิลปฆาตกรรมไปแล้วโดยมีการแบ่งเป็นสามลัทธิที่นิยมกันเป็นพิเศษตามลัทธิของศิลปะที่มีอยู่จริง


                   
    ลัทธิที่หนึ่งคือลัทธิเรนาซองค์ ส่วนใหญ่แล้วลัทธินี้จะชอบจัดศพเลียนแบบงานชื่อดังของศิลปินชื่อดัง เช่น ภาพอาหารมื้อสุดท้ายของเลโอนาโด ดา วินซี่เป็นต้น มักจะไม่ดัดแปลงลักษณะศพมากนัก นอกจากดัดร่างกายให้อยู่ในท่าทางที่ต้องการด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ


                   
    ส่วนลัทธิที่สองนั้นคือลัทธิเอ็กเพรสชั่นนิมส์ คือลัทธิที่ชอบนำศพที่ตนเองฆ่ามาดัดแปลงบางส่วน เช่น เฉือนเนื้อที่แขนออกจนเหลือเพียงกระดูก หรือการนำเครื่องในมาไว้ข้างนอก แต่มักจัดศพในลักษณะที่คล้าย ๆ ลัทธิเรนาซองค์ คือดูเรียบร้อยและสะอาดสวยงาม


                   
    สวยงาม...คำพูดนี้ขัดใจนักรบเหลือเกิน เมื่อโอนิมงบรรยายออกมาแบบนั้น...


                   
    "ครับ ถ้าเข้าใจเอ็กเพรสชั่นนิมส์แล้วผมจะผ่านไปลัทธิต่อไปเลยแล้วกัน" โอนิมงพูดน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนจะเดินเข้าหาโน้ตบุ๊คของตัวเองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ


                   
    ขณะเดียวกันบนหน้าจอสีขาวขนาดใหญ่นั้นยังคงฉายภาพถ่ายมุมสูงของศพที่ถูกฆาตกรรมแบบเอกซเพรสชั่นนิมส์อยู่ เป็นร่างของชายคนหนึ่งที่ถูกจับนอนคว่ำค้ำยันร่างด้วยกองกิ่งไม้ยาว ๆ จำนวนมาก  ผิวหนังบริเวณใบหน้าถูกลอกออกมาทั้งแผ่น แล้ววางเกี่ยวไว้กับกิ่งไม้แห้งเหนือหัวตรงนั้นเอง


                   
    นั่นทำให้บรรยากาศทั้งห้องประชุมเต็มไปด้วยความอึดอัดดังกล่าว แม้แต่ละคนจะผ่านการสืบคดีฆาตกรรมต่าง ๆ มามากแต่สภาพศพที่พวกเขาได้เห็นบนจอขณะนี้กลับทำให้รู้สึกหวาดหวั่นพิกล คงเพราะแรงจูงใจในการฆ่าไม่ได้ฆ่าเพราะความโกรธแค้นหรือสาเหตุตามปกติ เพียงแต่
    'ศพ'เป็นวัตถุดิบที่พวกมันต้องการเท่านั้น...จึงนำมาสู่การฆาตกรรมเพื่อศิลปะดังที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานับตั้งแต่คดีแรกได้เกิดขึ้น


                   
    "ส่วนรูปนี้เป็นของลัทธิแอปสแตรกครับ" โอนิมงพึมพำ ก่อนจะเปลี่ยนรูปใหม่ขึ้นฉายบนจอ ทุกคนที่หันหน้าเข้าหาจอนั่งนิ่งเมื่อรูปใหม่ปรากฎขึ้นมา รองผู้กำกับฝ่ายสอบสวนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอามือขึ้นปิดปาก ก่อนจะรีบวิ่งออกไปนอกห้อง ส่วนคนที่เหลือก็พากันเบือนหน้าหนีไปคนละทิศละทางเหมือนจะขอเวลาทำใจในการดูรูปนี้อีกหน่อย


                   
    "...จะอ้วกว่ะ" รองผู้กำกับฝ่ายปราบปรามเอ่ยด้วยความจริงใจ "ทำไปได้...อะไรดลใจวะเนี่ย"


                   
    ภาพบนจอเป็นร่างของคนที่นอนเหยียดตรง ถ่ายจากมุมสูงลงมา ผิวเนื้อด้านหน้าถูกตัดออกไปเกือบหมดจนเห็นถึงกระดูกภายใน เครื่องในถูกชำแหละออกไปและในช่องท้องก็มีลูกหมูที่ตายแล้วนอนเน่าตัวเละเพราะถูกมีดสับอยู่แทนที่ มีดปังตอถูกปักไว้บนตัวหมูในท้องของผู้ตาย ส่วนลูกตาของหมูนั้นถูกเลาะออกไปยัดปากผู้ตามเอาไว้ สภาพโดยรวมเละเทะเลอะเทอะไปหมดทั้งรูป


                   
    "เอาล่ะครับ นี่ก็คือสภาพศพที่จัดในแบบแอปสแตรก" โอนิมงเปรยแล้วเงยหน้ามาอธิบายอีกครั้ง "ก็อย่างที่เห็นนะครับ นักศิลปฆาตกรรมประเภทนี้จะลงมือรวดเร็วและตัดสินใจเร็ว จากประสบการณ์ที่ทางเราจับคนร้ายมาได้ ส่วนใหญ่มักมีลักษณะเป็นคนใจร้อนหรืออารมณ์รุนแรง การจัดศพก็จะจัดในลักษณะสื่อถึงความดุเดือดรุนแรงต่างจากสองแบบแรกอย่างมาก...เอาล่ะครับ นี่ก็ครบทั้งสามแบบที่เป็นที่นิยมแล้ว มีใครอยากถามอะไรไหมครับ"


                   
    ทุกคนนิ่งเงียบ นักสืบชาวญี่ปุ่นจึงถอนหายใจแปลก ๆ  ก่อนจะหันไปจัดการกับคอมพิวเตอร์อีกครั้ง โดยปิดภาพศพนั้นลงไปแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะประชุม


                   
    "ก็ได้รู้กันไปแล้วนะครับ คิดว่าทุกคนคงเข้าใจเรื่องลัทธิทั้งสามดีแล้ว หลังจากนี้ผมคงต้องขอให้จับตาดูคดีประเภทเรนาซองค์ให้ดี หากจับคนร้ายได้ก็ควรพยายามระวังไม่ให้คนร้ายฆ่าตัวตายไปอีกเหมือนที่ผ่านมา"


                   
    "เอ่อ แล้วทำไมต้องเป็น ระ...เรนาซองค์ด้วยล่ะครับ" นักรบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


                   
    "ขอบคุณครับที่ถาม" โอนิมงพูดประชดแล้วยิ้มเล็กน้อย "เพราะลัทธินี้ใช้เวลาและเงินทุนในการสร้างงานมากกว่าคนอื่น ดังนั้นโอกาสที่พวกหัวหน้าจะต้องไปขอพึ่งหรือคนเหล่านั้นถูกยุและต้องให้เงินทุนจากพวกคนที่เป็นหัวหน้าก็มีมาก...ดังนั้นถ้าเราจับนักศิลปฆาตกรรมกลุ่มนี้ได้ โอกาสที่จะสาวถึงตัวหัวหน้าได้ก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกัน"


                   
    "...หัวหน้ามันอยู่ที่ไทยงั้นหรือตอนนี้น่ะ" ผู้กำกับสถานีถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังระคนพะอืดพะอม


                   
    "อยู่ครับ น่าจะอยู่แน่ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของประเทศเท่านั้นเอง" โอนิมงรีบตอบทันที "ส่วนข้อมูลของพวกมัน...ก็ยังไม่แน่ชัดว่าใครเป็นใคร"


                   
    ห้องประชุมเงียบลงอีกครั้ง สารวัตรหยิบแฟ้มเอกสารตรงหน้ามาอ่านดูด้วยสีหน้าเนือย ๆ ในขณะที่นักรบกำลังทำท่าครุ่นคิด


                   
    "อย่างนี้...แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ" นักรบเอ่ยน้ำเสียงเครียด "สรุปแล้วคือต้องรอไปก่อนอย่างนั้นหรือ แล้วเรื่องการรวมตัวล่ะ...ปล่อยให้รวมตัวกันจะดีหรือ"


                   
    "รวมตัว" โอนิมงทวนคำด้วยความแปลกใจ "ตั้งแต่คดีแรก เพิ่งจะสามสัปดาห์นิด ๆ ไม่ใช่หรือครับ ได้ข่าวมาแล้วหรือว่าจะมีการวมตัวกัน"


                   
    "ใช่ครับ เราเค้นคอเด็กที่จับมาได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มันบอกว่าอีกไม่นานจะเริ่มรวมตัวกัน" สารวัตรช่วยตอบให้ แล้วยื่นแฟ้มเอกสารในมือให้นักสืบชาวญี่ปุ่น ส่วนคนอื่น ๆ ก็เริ่มสนใจในท่าทีของโอนิมงอีกครั้ง


                   
    ชายผมสีทองทำตาโตจ้องแฟ้มเอกสารในมือเขม็ง ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้มีข่าวเรื่องการรวมตัวแล้ว เรื่องนี้ทำให้เข้ารู้สุกงุนงงอย่างมากเพราะเมื่อครั้งเกิดเหตุที่ญี่ปุ่น ยังต้องใช้เวลาถึงสี่เดือน กว่าจะมีการประกาศรวมตัว ส่วนครั้งที่เกิดขึ้นที่จีนก็สามเดือนนิด ๆ แล้วทำไมครั้งนี้ถึงได้มีการรวมตัวกันเร็วเหลือเกิน หรือว่าก่อนหน้านี้มันได้ติดต่อกับผู้คนในไทยให้มาเป็นนักศิลปฆาตกรรมไว้ก่อนแล้ว


                   
    ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารอีกครั้ง


                   
    "เปลี่ยนแผน" โอนิมงพูดห้วน ๆ "จากที่ตอนแรกผมบอกว่าให้เรารอจนกว่ามันจะโผล่หางออกมาเองใช่ไหมครับ แต่ในเมื่อใกล้ถึงเวลารวมตัวของพวกมันแล้ว ดังนั้นเอาเป็นว่าทำเท่าที่จะทำได้..."


                   
    ตึง
    !!

                    เสียงกระแทกทำให้ทุกคนพากันสะดุ้ง หลังจากโอนิมงโยนแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะด้วยท่าทีนิ่ง ๆ ทว่าแฝงอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด คราวนี้สายตาของเขากลับจ้องเขม็งไปยังผู้ร่วมประชุมทุกคน

                    "ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หาข้อมูลทุกอย่าง ทุกข้อมูลซึ่งเกี่ยวข้องกับนักศิลปฆาตกรรมที่พวกคุณรู้กันในกรม ขอให้ส่งมาให้ผมในบ่ายวันพรุ่งนี้" ชายผมสีทองออกคำสั่งเสียงกร้าว โดยไม่เกรงใจกระทั่งผู้กำกับสถานีที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในห้องประชุมแห่งนี้


                   
    "เข้าใจตามนี้นะครับ หากมีอะไรเพิ่มเติมผมจะขอเรียกประชุมอีกที ขั้นแรกผมขอข้อมูลทั้งหมดโดยเร็วที่สุดและขอให้ตรวจสอบเป็นพิเศษเรื่องเวบไซด์ต่าง ๆ เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกมันจะใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเส้นทางการติดต่อ เอาล่ะครับ เลิกประชุมแค่นี้..."


                   
    ทุกคนลุกยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียง ผู้กำกับสถานีเดินเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับโอนิมง ก่อนจะพาโอนิมงไปที่ทำงานส่วนตัวที่เตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ นักรบมองตามคนทั้งสองไปพลางถอนหายใจ ที่จริงโอนิมงก็มีตำแหน่งสูงแต่ที่ต้องมาทำงานในโรงพักเล็ก ๆ แบบนี้แทนที่จะมีการต้อนรับกันเป็นทางการก็เพราะทางญี่ปุ่นกลัวว่าหากทำให้เป็นข่าวว่าญี่ปุ่นส่งคนมาช่วยแล้ว พวกหัวหน้าของนักศิลปฆาตกรรมจะไหวตัวทัน แล้วงัดแผนอื่นมาใช้อาจจะยิ่งทำให้ทางไทยรับมือไม่ทันก็เป็นได้


                   
    "ดุชะมัดเลยว่ะ ไอ้โอนิมงอะไรนั่น" สารวัตรเดินมาบ่นกับนักรบทันทีที่คนอื่น ๆ ออกไปจากห้องแล้ว "วางท่าเสียใหญ่โต คิดว่าตัวเองตำแหน่งสูงกว่ารึไงวะ"


                   
    นักรบฟังคำบ่นของสารวัตรแล้วหัวเราะเล็กน้อย ก็คงไม่แปลกอะไรที่ทุกคนจะคิดกันอย่างนี้ ท่าทางคนอื่นที่เข้าร่วมประชุมคงคิดไม่ต่างกัน


                   
    "ฮ่า ๆ ก็น่าหมั่นไส้จริง ๆ ครับ" นักรบพูดแล้วเก็บสมุดบันทึกของตัวเองใส่กระเป๋าเสื้อ "แต่ว่านะ...ผมว่าเขาเอาจริงเอาจังดี ดูทุ่มเท อายุก็ยังไม่มาก ดู ๆ แล้วยังไงก็น้อยกว่าผมแน่" เขายิ้มแล้วถอนหายใจเหมือนโล่งอกที่ได้เพื่อนร่วมงานที่ดี


                   
    "น่าชื่นชมออกนะครับ" นักรบเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้ม สารวัตรได้ยินแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดว่ากระไร สำหรับเขาแล้วต่อให้ความตั้งใจดีก็เถอะ แต่ท่าทีหยิ่ง ๆ แบบนั้นไม่ว่ายังไงมันก็น่าหมั่นไส้อยู่ดีนั่นแหละน่า...


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×