NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    || MurderArtist || PsychoDetective ||

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1 : นักรบ(ฉบับรีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 665
      4
      1 พ.ค. 50



    ตอนที่ 1

    นักรบ

     

                    ช่วงสายแดดส่องร้อนระอุพอประมาณ ย่านเยาวราชในวันเสาร์ยังคงมีการจราจรคับคั่งที่ถนนใหญ่ รถราแน่นขนัดเคลื่อนตัวตามกันไปได้เป็นระยะ มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะไปตามซอกระหว่างรถยนต์เท่าที่จะเบียดเสียดไปได้ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


                   
    หลายสิบปีแล้วที่ประเทศไทยหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันในการใช้รถ นอกจากนี้ช่วงหลังยังมีการใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมาจากการใช้แผงโซลาห์เซลล์ตามบ้านเรือนรวมถึงใช้กับรถยนต์ได้ด้วยแต่กว่าจะทำให้การใช้ระบบโซลาห์เซลล์เป็นที่นิยมขนาดนี้ก็ใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว


                   
    ขอบข้างทางต่างมีซอยเชื่อมต่อกันมากมาย ผู้คนสัญจรพากันผ่านเข้าออกเป็นระยะ ชายคนหนึ่งบรรดาคนเหล่านั้นเดินออกมาที่ปากซอยข้างห้างทอง มุ่งตรงมาที่แผงขายปาท่องโก๋ด้วยท่าทีไม่รีบร้อนอะไรเหมือนทุก ๆ วัน


                   
    อ้าว! ท่านรอง ชายร่างท้วมตาเล็กตี่แบบคนจีนรีบทักลูกค้า พร้อมขยับกระชอนในมือให้ปาท่องโก๋สะเด็ดน้ำมันด้วยความคล่องแคล่ว ไม่แปลกที่จะดูชำนาญงานเช่นนี้เมื่อเป็นฝีมือของคนขายปาท่องโก๋ที่ขายมานานนับยี่สิบปีสืบทอดจากรุ่นพ่อ


                   
    เอาอะไรดีล่ะวันนี้ เขาทักทายอย่างเป็นกันเองตามความคุ้นเคยแล้วเงยหน้าขึ้นมามองลูกค้าตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้เหงื่อไคลจะอาบหน้าก็ตาม


                   
    ชายที่ยืนลังเลอยู่ที่หน้าแผงเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่หน้าตาแลดูหนักไปทางไทยเสียมากกว่า อายุราว ๆ สามสิบ อาจจะฟังดูประหลาดกับคำว่า ท่าทางไทย ๆ แต่คงไม่มีคำพูดใดจะเหมาะสมกับเขาไปมากกว่านี้อีก


                   
    ก็เพราะผิวคล้ำแดดนิด ๆ คิ้วเข้มดำหนา ตากลมโตดูดุดันชัดเจน ผนวกกับทรงผมรองทรงด้านหน้าแสกกลาง ปลายผมตวัดโง้งไปด้านข้างคลับคล้ายทรงมหาดไทยในสมัยโบราณ ความสูงก็เพียงปานกลางเฉียด ๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร แม่เคยบอกว่าเขาหน้าเหมือนคุณทวดอย่างกับแกะ...ไม่ได้มีหน้าเอนเอียงไปทางจีนเลยสักนิด ด้วยบุคลิกอันจริงจังชวนให้นึกถึงภาพในหนังเก่า ๆ อย่างเช่นบางระจันเพียงแต่ไม่ได้ไว้หนวดอย่างในหนัง ถึงได้ไม่ค่อยมีคนนึกแปลกใจนักเมื่อได้ยินชื่อของเขา


                   
    นายนักรบ...แซ่โง้ว ถ้าจะฟังแล้วกระดากหูก็ตรงที่แซ่นี่ล่ะ...


                   
    เอ้า! ว่าไงเนี่ย คนขายปาท่องโก๋เริ่มขึ้นเสียงด้วยท่าทีกึ่งขบขัน พลางบุ้ยใบ้ยื่นคางอวบอ้วนไปตามรถเข็นของเขา ทั้งร้านก็มีอยู่สามอย่างนี่ะล่ะ ปาท่องโก๋ ซาลาเปาทอด น้ำเต้าหู้ จะลังเลอะไรนักหนาล่ะเอ๊อ!


                   
    นักรบขมวดคิ้วพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นกอดอก สมแล้วที่ขายมานาน...ช่างปากคอเราะร้าย เขาหัวเราะกลบเกลื่อนเพราะที่จริงแล้วกำลังคิดอยู่ว่าจะกินน้ำเต้าหู้หรือจะเดินไปนั่งดื่มกาแฟเย็น ๆ ที่อีกร้านดีในเมื่ออากาศร้อนตับแลบเสียขนาดนี้


                   
    เอาปาท่องโก๋กับซาลาเปาอย่างละสองแล้วกันเฮีย เขาตอบ เออ แล้วก็เลิกเรียกผมว่าท่านรองเถอะ ลาออกมาตั้งปีแล้ว เรียกแบบนี้เดี๋ยวคนแถวนี้จะงงนึกว่าผมยังเป็นตำรวจอยู่อีก


                   
    คนขายที่สนิทกันมานานก็คว้าถุงใส่ของให้ตามที่สั่งด้วยความว่องไวพร้อมรับเงินพลางยิ้มกริ่ม


                   
    เอ้า! งั้นเรียกเถ้าแก่ก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” คนขายซาลาเปาร่างท้วมหัวเราะจนตาหยี นักรบไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อย เขาอยู่พูดคุยอีกสองสามคำก่อนจะผละจากมา


                   
    นักรบเดินกลับเข้าซอยอีกครั้งแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายมุ่งตรงไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำ เมื่อมาถึงร้านเหงื่อก็แตกพลั่ก ๆ ไปทั่วหลัง เขาลงนั่งแล้วรีบสั่งกาแฟเย็นของโปรด เมื่อกาแฟมาถึงจึงได้นั่งละเลียดปาท่องโก๋กับกาแฟโบราณอย่างช้า ๆ


                   
    ร้านกาแฟเอี๊ยะแซยังคงเป็นที่นิยมเสมอในย่านนี้ แม้ตัวร้านจะตั้งอยู่ในซอยแต่ลูกค้าก็ยังเนืองแน่นไปด้วยชาวจีนวัยชราที่ชอบมานั่งเสวนากันในเรื่องข่าวสารบ้านเมืองจนกลายเป็นสภากาแฟย่อม ๆ ข่าวสารในย่านเยาวราชจึงมักกระเด็นมาเข้าหูเขาเสมอเรียกได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีทีเดียว


                   
    หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างเขาต้องออกจากการเป็นตำรวจเพื่อมาช่วยน้องสาวสองคนขายข้าวสารที่ร้าน ทั้งที่เขาไต่บันไดขึ้นไปถึงตำแหน่งรองสารวัตรในเวลาอันรวดเร็วกว่าใครเพื่อนแล้วแท้ ๆ แต่ใจหนึ่งก็ยอมให้ร้านข้าวสารที่บรรพบุรุษอุตส่าห์ก่อร่างสร้างฐานขึ้นมาต้องปิดร้านลงในรุ่นเขาไม่ได้อยู่ดี


                   
    ที่จริงเหตุผลที่เขาลาออกจากกรมตำรวจก็ไม่ได้มีแค่เรื่องนั้นหรอก นักรบถอนหายใจเฮือกด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงเหตุวุ่นวายเมื่อปลายปีที่แล้วแต่ก็พยายามจะไม่คิดมากและทานอาหารเช้าต่อ หูก็สอดส่ายฟังข่าวจากโต๊ะข้าง ๆ ไปด้วยตามนิสัยของเขา


                   
    อ้ายเด็กพัวะนี้มันเลวชิง ๆ ชายวัยทองโต๊ะข้าง ๆ บ่นกับเพื่อนด้วยท่าทีหัวเสีย


                   
    ฝาหรั่งอีแต่งตัวยังไงก็แต่งตามอี อีกินยังไงก็กินตามอี แต่นี่มันก็เกินไป๊! ฝาหรั่งอีฆ่ากันก็ยังไปฆ่าตามอีอีก มันบ้ากันรึเปล่าว้า... เขาพูดใส่อารมณ์ในน้ำเสียงตามความเห็น


                   
    อั๊วะก็ว่างั้นว่ะ บอกว่าจะฆ่าคนเพื่อศิลปะ ศิลป์ ๆ ศิลป์บ้า ๆ เพื่อนร่วมโต๊ะรีบขึ้นเสียงสบถส่งเสริม


                   
    เฮ้ย! อ้ายคงฆ่าคงแลกมันไม่ใช่ฝาหรั่ง มันเป็นญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอวะ


                   
    นักรบเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนจะมีการจับกุมเด็กวัยรุ่นที่เป็นนักศิลปฆาตกรรมได้อีกคนหนึ่งแต่เขาพยายามจะไม่สนใจข่าวนั้นเพราะว่าไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว ฟังไปก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งบ่นเหมือนคนแก่ ๆ พวกนี้น่ะแหละ...


                   
    ไง นักรบ กินปาท่องโก๋อีกแล้วเหรอ ทานแต่ไอ้นี่ทุกวันเดี๋ยวก็ขาดสารอาหารตายหรอก ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเดียวกับเขาแบบคนรู้จักมักคุ้นพร้อมยิ้มให้เล็กน้อย คำทักทายนั่นเขาก็แสนจะคุ้นเคย


                   
    ไม่หรอกครับพี่พงษ์ อะไรมันจะขนาดนั้น นักรบตอบแล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยความแปลกใจที่ได้เจอคนรู้จักอย่างกะทันหัน สารวัตรสมพงษ์หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบด้วยท่าทีเคร่งเครียดเล็กน้อยหลังจากลงมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน


                   
    ที่ร้านเป็นไงบ้างสมพงษ์ในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงสีกากีถามเสียงเนือย ๆ ด้านนักรบที่รับฟังคำทักถามกำลังใช้หลอดคนกาแฟเย็นไปมาแล้วจึงเงยหน้าขึ้นตอบ


                   
    ก็เรื่อย ๆ น่ะครับ แล้วนี่พี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่านักรบถามด้วยความสงสัย ไม่บ่อยครั้งนักที่เขาจะเจอสารวัตรสมพงษ์ที่ร้านนี้แต่ถ้าที่อื่นในเยาวราชล่ะก็เจอกันบ่อย ๆ เลยเชียว ทางสมพงษ์หันไปสั่งกาแฟและขนมปังปิ้งกับเด็กเสิร์ฟ ก่อนจะหันมาหานักรบด้วยท่าทีเคร่งเครียดกว่าเดิม


                   
    แกรู้ข่าวเมื่อคืนหรือเปล่า แค่คืนเดียวแถวนี้มีการศิลปฆาตกรรมตั้งสามรายแต่จับได้แค่รายเดียวเอง รายนึงเล่นจัดศพไว้ตรงวงเวียนโอเดียนเลย เวรเอ๊ย...เด่นฉิบหาย อีกรายหนึ่งไปจัดไว้ที่เสาชิงช้า ส่วนรายที่จับได้น่ะจัดศพไว้ที่หน้าหัวลำโพง ตรงนั้นมันมีคนผ่านตลอด พอดีมีพลเมืองดีหลายคนมาช่วยกันจับไว้เลยหนีไม่รอด


                   
    อะไรกัน...อุกอาจมากเลยนะครับ แล้วพวกเขารู้จักกันหรือเปล่านักรบถามแล้วขมวดคิ้วจนหน้าชักจะโหดขึ้นเรื่อย ๆ แต่สารวัตรก็ชินเสียแล้ว


                   
    ไม่รู้สิ คนที่ถูกจับได้มันไม่ยอมปริปากถึงอีกสองรายที่มาก่อเหตุพร้อมกันเลย บางทีมันคงรู้จักกันนั่นล่ะมันถึงได้ปิดปากเงียบ สารวัตรพูดไปตามข้อสันนิษฐานของตัวเอง


                   
    แล้วไอ้คนที่โดนจับได้นะ เพิ่งสิบห้าเอง บ้านอยู่ในตลาดเก่านี่แหละ แถมมันยังไม่ยอมบอกด้วยว่าทำไปเพื่ออะไร เรียกได้ว่าอุบเงียบทุกอย่างเลยประมาณนั้น แต่ที่บ้านมันบอกว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามันเก็บตัวเงียบเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่แต่ในห้อง พอก่อนเกิดเหตุสองวันมันก็หายจากบ้านไปกลางดึก ที่บ้านมารู้เรื่องอีกทีก็ตอนที่มันโดนจับได้แล้ว


                   
    นักรบฟังแล้วเงียบไปชั่วครู่ เป็นไปได้ว่าที่เด็กคนนี้ทำไปอาจเพราะไปเจอภาพงานศิลปฆาตกรรมของต่างประเทศจากทางอินเตอร์เน็ต ผู้ที่ก่อคดีหลายรายในไทยส่วนใหญ่ก็มาจากการไปพบภาพการฆาตกรรมแบบนี้จากในเน็ตจนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจนั่นเองและมักกลายเป็นกระแสที่เกิดขึ้นเป็นระยะในช่วงเวลาที่ผ่านมา


                   
    ผลของการสื่อสารที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วขึ้นมากในระยะหลายสิปปีที่ผ่านมานี้มีทั้งข้อดีข้อเสียเหมือนกับทุกสรรพสิ่งในโลกนี้จริง ๆ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ที่เขาอยากจะรู้ในตอนนี้ก็คือการที่สารวัตรหยิบเรื่องนี้มาคุยกับเขานั้นต้องการอะไรกันแน่มากกว่า


                   
    ดูเหมือนสารวัตรจะเข้าใจถึงความหมายจากสายตาของนักรบที่จ้องมองมายังตัวเขาได้ดีจึงเริ่มเอ่ยปากถึงจุดประสงค์ที่เขามาคุยด้วยในวันนี้ สารวัตรยืดตัวขึ้นแล้วประสานมือไว้บนโต๊ะ ก่อนจะพูดกับคู่สนทนาด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม


                   
    ทางญี่ปุ่นเขาเห็นว่าศิลปฆาตกรรมเริ่มต้นจากประเทศเขา เมื่อมันเริ่มมาแพร่ระบาดในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเลยแสดงความรับผิดชอบโดยส่งตำรวจที่เชี่ยวชาญคดีแบบนี้ของเขามาช่วยและเขาก็ต้องการให้ทางเราส่งตำรวจมือดีของไทยมาช่วยติดตามคดีพวกนี้โดยตรงเช่นนี้ โดยเฉพาะเขตของเราที่มีคดีมากกว่าเขตอื่น ก็เพราะอย่างนี้แหละ... สารวัตรหยุดเล็กน้อยแล้วสบตากับนักรบอย่างจริงจังมากขึ้น


                   
    นักรบ แกกลับมาช่วยพวกเราเถอะ พวกเราต้องการกำลังของแก


                   
    นักรบนิ่งเงียบไปเล็กน้อยพลางคิดถึงน้องสาวที่บ้าน แต่แล้วเขาก็กลับความคิดมาที่สถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง สารวัตรกำลังขอร้องให้เขากลับไปช่วยงานสืบคดีทั้งๆที่เขาลาออกจากการเป็นตำรวจมากว่าหนึ่งปีแล้วน่ะหรือ


                   
    ...แกเข้าใจหรือเปล่านักรบ ที่จีนตอนนี้สถานการณ์แย่มาก คนหายสาบสูญเพียบ ก่อเหตุฆาตกรรมเพื่อศิลปะกันให้วุ่นไปหมด ไม่รู้ใครเป็นฆาตกรหรือใครถูกฆาตกรรมไปแล้ว ที่ญี่ปุ่นเองก็ต้องใช้วิธีรุนแรงแล้ว ของไทยเราเพิ่งเริ่มมีเหตุการณ์แบบนี้เข้ามา แกจะปล่อยให้มันซ้ำรอยประเทศอื่นรึไง สารวัตรพยายามชักจูงอีกฝ่ายอย่างเต็มที่


                   
    พี่สมพงษ์ ผมไม่ได้เป็นตำรวจแล้วนะครับ ทำไมไม่ให้คนอื่นไปสืบล่ะในหน่วยสืบสวนก็มีคนเก่ง ๆ ตั้งใจทำงานเยอะแยะ พี่ก็รู้อยู่ว่าผมน่ะ...ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว... นักรบเค้นเสียงด้วยด้วยหน้าขัดเคือง สารวัตรก้มหน้าลง เขารู้ดีว่านักรบต้องการจะพูดเรื่องอะไร


                   
    สถานการณ์ในไทยกำลังจะแย่กว่าที่คิดนะชายผู้สวมกางเกงสีกากียังพูดลองใจต่อ


                   
    พอเถอะครับพี่ พูดที่นี่ไม่เหมาะแน่ นักรบรีบขัดหลังคู่สนทนาพยายามเปิดหัวข้อ ผมไม่คุยแล้ว ผมเป็นคนนอกแล้วนะครับ อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดกับประชาชนธรรมดาอย่างผมเลย


                   
    เขาพูดแล้วลุกยืนขึ้นทั้งที่กาแฟยังไม่หมดแก้วดีและทำท่าจะไปจ่ายเงินแต่สารวัตรกลับรั้งแขนเขาเอาไว้  นักรบยิ่งตกใจเมื่อหันไปหาสารวัตรแล้วพบว่าสีหน้าของสารวัตรดูจริงจังมากกว่าครั้งใดที่เขาเคยเห็น


                   
    แกต้องฟังว่ะ ไปคุยกันที่สถานีเถอะ เรื่องนี้มันเร่งด่วน เกินกว่าจะให้แกมามัวเล่นตัวแบบนี้น่ะเว้ย สารวัตรพูดเสียงเข้ม แม้โทนเสียงจะเบาแต่คนทั้งร้านก็พากันเมียงมองสถานการณ์ระหว่างคนทั้งสอง เป็นอีกครั้งที่นักรบประหลาดใจในคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูทั้งร้อนรนแปลกและเคร่งขรึมในเวลาเดียวกัน


                   
    ...ก็ได้ครับ แต่ไปคุยที่บ้านผมดีกว่า ใกล้กว่ากันเยอะ เขาตัดสินใจกล่าวสรุปตามใจรุ่นพี่อย่างง่ายดาย

     

                    ..........

     

                    หญิงสาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้สำนักงาน เธอเคาะนิ้วไปตามแป้นพิมพ์เพื่อทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวันนี้ เมื่อเสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้นหญิงสาวจึงเอี้ยวคอหันไปดูเพราะคิดว่าเป็นพี่ชายของ ทว่าวันนี้พี่ไม่ได้กลับบ้านมาคนเดียว


                   
    สวัสดีค่ะสารวัตร เนเน่ผู้เป็นน้องสาวของนักรบทักทายด้วยท่าทียิ้มแย้ม สารวัตรที่หิ้วถุงขนมปังปิ้งเข้ามาพยักหน้าเล็กน้อยแต่นักรบนี่สิถึงกับทำหน้ามุ่ย


                   
    เดี๋ยวเถอะ! กับผู้ใหญ่ต้องยกมือไหว้ด้วยสิไม่ใช่แค่พูดทักทาย โตแล้วนะเน ทำไมต้องให้พี่บอกด้วย หือ...ผู้เป็นพี่ชายบ่นอย่างขัดเคือง ทำให้น้องสาวหน้าถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนจะยกมือไหว้ปลก ๆ หัวสั่นหัวคลอน สารวัตรเห็นก็หัวเราะร่วนแล้วรีบตบไหล่นักรบเบา ๆ


                   
    เฮ้ย! ซีเรียสไปหรือปล่านักรบ วัยรุ่นสมัยนี้จะไปดุเขามาก ๆ เดี๋ยวเขาต่อต้านนะเว้ย... สารวัตรเตือนพร้อมรอยยิ้ม รีบ ๆ คุยดีกว่า เดี๋ยวพี่จะกลับสถานีแล้ว มีเรื่องต้องทำนิดหน่อย


                   
    นักรบไม่พูดว่ากระไร เขาเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าวข้างโต๊ะคอมของเนเน่ สารวัตรจึงเดินมานั่งด้วยกัน ที่จริงปกติเวลาคุยเรื่องงานพวกเขาจะคุยกันในห้องที่ปลอดคนกว่านี้แต่เพราะนี่เป็นน้องสาวของนักรบเอง ทั้งคู่ค่อนข้างไว้เนื้อเชื่อใจเรื่องรักษาความลับอยู่พอควร


                   
    ..เข้าเรื่องเลยนะ ก็อย่างที่บอกน่ะแหละ ตกลงแกจะเอายังไงสารวัตรชิงเปิดคำถาม ทำให้คู่สนทนาทำหน้าเข้มพลางถอนหายใจ


                   
    ไม่ต้องมีผมก็ได้นี่ครับ มือดีของไทยยังมีอีกเพียบ แค่พวกวัยรุ่นคลั่งศิลปะก่อคดีเท่านั้นเอง ให้ไอ้ชลูดไปจับยังได้เลย...


                   
    ชายวัยกลางคนทำหน้าเบ้หลังฟังคำตอบ จ่าชลูดตำรวจหนุ่มผู้เป็นตัวโจ๊กของสถานีจักรวรรดินี้น่ะหรือ ฝีมือมันดีใช้ได้ก็จริงแต่นิสัยกวนอวัยวะเบื้องล่างที่สุดในบรรดาตำรวจที่เขาเคยเจอมาตลอดชีวิต ขนาดเขาเป็นสารวัตรมันยังไม่เกรงกลัวเลย กวนประสาทได้ทุกวี่ทุกวัน ถ้าให้ทำงานใหญ่แบบนี้ร่วมกับมันเขายอมถูกตุ๊กแกกระโดดเตะตายให้อายประชาชีไปเลยดีกว่า


                   
    แกอย่ามาลูกเล่นนะเว้ย แกก็รู้ว่าชลูดมันบ้าบอขนาดไหน...วะ! พูดแล้วความดันจะขึ้น! สารวัตรบ่นอุบก่อนจะคว้ายาดมในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสูดแล้วเอาแขนทาบหน้าผากทำท่าจะเป็นลมเสียให้ได้ ในที่สุดก็กลับมาตีหน้าเครียดอีกครั้ง


                   
    แกรู้ไหมทางญี่ปุ่นเขาบอกว่า คนที่ริเริ่มการสร้างงานศิลปฆาตกรรม ไอ้พวกหัวโจกน่ะ มาอยู่ที่ไทยกันหมดแล้ว เขาพยายามเรียกร้องความสนใจจากนักรบอีกครั้ง


                   
    เห็นทางโน้นเขาบอกว่าพอญี่ปุ่นรู้ที่ซ่อนพวกมันที่จีนและกำลังจะบุกเข้าไปทำลาย มันก็ดันไหวตัวทันแล้วเผ่นมาที่ไทยแทน เขาบอกว่าจากข่าวที่ได้มารู้สึกพวกมันตั้งใจจะมาแพร่ขยายจำนวนนักศิลปฆาตกรรมที่ไทยด้วยเหมือนกับที่ทำกับจีนนั่นล่ะ


                   
    ...มันทำไปเพื่ออะไรกันนะ นักรบเกิดคำถามในใจ แต่ก็ไม่ทันได้เอ่ยถามออกไปเพราะสารวัตรชิงพูดต่อเสียก่อน


                   
    ขอร้องล่ะนักรบ...ทางโน้นเขาอุตส่าห์ส่งคนมาให้ ถ้าทางเราไม่มีมือดีมาทำงานนี้บ้างโดนดูถูกตายเลย สารวัตรพูดขอร้องอย่างน่าสงสาร อีกอย่างนะ ดูเหมือนว่าคนที่ก่อศิลปฆาตกรรมส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นถึงวัยทำงาน ทุกคนล้วนแล้วแต่เต็มใจทำ คนที่ถูกจับได้บางครั้งก็ฆ่าตัวตายเอง นายยังไม่อยากทำคดีนี้อีกหรือ...ขืนเป็นอย่างนี้ประเทศเราแย่แน่ มีฆาตกรที่จงใจจะเป็นฆาตกรเพิ่มขึ้นทุกวันนะเว้ย!


                   
    นักรบครุ่นคิดด้วยความลังเล ที่เขาพยายามจะไม่ดูข่าวของคดีพวกนี้ก็เพราะแบบนี้แหละ มันเป็นคดีรูปแบบใหม่ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในไทยเท่าไร เพราะงั้นมันถึงทำให้เขาสนใจเป็นพิเศษแต่ก็ยังพยายามเงียบไว้


                   
    ชายหนุ่มลองวิเคราะห์ดูเผิน ๆ เขายังไม่มีข้อมูลพื้นฐานของพวกนักศิลปฆาตกรรมมากนักแต่หากจะให้คิดแล้ว...การที่พวกมันพุ่งเป้าไปที่วัยรุ่นและวัยทำงานคงเพราะเป็นวัยที่ยังมีเรี่ยวแรงจะทำงานฆาตกรรมได้อยู่และเป็นวัยที่มีการใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุด เวบไซด์...อาจจะเป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อก็ได้ หากคิดโดยพื้นฐานแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเป็นหนทางที่สะดวกที่สุดทางหนึ่ง


                   
    ศิลปะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหมือนเรื่องศาสนาและการเมือง หากใครบ้าคลั่งก็คงจะบ้าคลั่งไปเลย ใครไม่มีความสนใจก็ไม่สนใจเอาเสียเลย ดังนั้นเท่าที่เขาอ่านข่าว คนที่กลายเป็นนักศิลปฆาตกรรมมักจะมีความสามารถด้านศิลปะอยู่แล้วจึงทำให้ง่ายในการถูกชักจูง


                   
    แต่บางคนแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศิลปะเลยด้วยซ้ำ นักรบเบนสายตาลงต่ำแล้วกำมือหลวม ๆ ขึ้นมาแตะคาง เขานึกถึงกรณีคนตกงานชาวจีนที่ก่อคดีในไทยเมื่อสามวันที่แล้ว เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปะเลย แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับศิลปะเลยสักนิด แต่จากข้อมูลบอกว่าชาวจีนดังกล่าวให้ปากคำว่าตนเองตกงานเพราะถูกใส่ร้ายเรื่องยักยอกเงินแล้วเจ้านายไม่ฟังเสียงและไล่ตนออก เขาจึงใช้มีดเข้าไปตามฆ่าคนในออฟฟิส ซึ่งเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ยังมีคนเพียงสิบห้าคนจนตายทั้งหมด


                   
    ที่น่าตกใจคือเขานำศพทั้งสิบห้าคนมาสร้างงานศิลปฆาตกรรมโดยเอาเชือกห้อยคอทุกคนแล้วแขวนให้ออกมานอกหน้าต่าง ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายนอกตึกเห็นศพทั้งสิบห้าอย่างชัดเจนเพราะตึกบริษัทใหม่ที่ว่านี้สูงเพียงสามชั้นเท่านั้น ว่ากันว่า...หากชาวจีนคนนั้นฆ่าแล้วรีบหนีไปอาจจะหนีรอดก็ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะจัดการศพของอดีตเพื่อนร่วมงานให้เป็นเช่นนั้นแล้วเขียนป้ายชื่อของงานชิ้นนี้ว่า


                   
    ตราบาปบนแผ่นหลังของข้าพเจ้า

                    แสดงให้เห็นถึงความเสียใจที่กลายเป็นฆาตกรแต่เขาก็ยังทำ...และไม่ยอมให้ปากคำเรื่องที่ว่าเขาไปเอาแนวคิดเรื่องงานศิลปฆาตกรรมมาจากไหนเลย จนเมื่อพักการสอบสวนฆาตกรชาวจีนผู้นั้นก็วิ่งหนีไปทางหน้าต่างของสถานีตำรวจทั้งที่ถูกใส่กุญแจมือแล้วเข้าไปในห้องของสารวัตร กระโดดพุ่งตัวออกนอกหน้าต่างชั้นสองโดยจงใจเอาหัวลงพื้นจนเสียชีวิตไปดังที่หวัง เป็นคดีที่อุกอาจทั้งการฆ่าและการฆ่าตัวตาย จนเป็นข่าวดังเมื่อสามวันที่แล้ว


                   
    แรงจูงใจที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับศิลปะแต่เป็นแรงแค้นจากการถูกใส่ร้ายจนทำให้เสียงาน ทว่าเมื่อดูจากการตั้งชื่องานที่ระบุในข่าว ก็เห็นได้ว่าฆาตกรชาวจีนนั้นรู้สึกเสียใจที่ฆ่าคนทั้งสิบห้าคนแสดงว่าไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยมโดยพื้นฐาน แถมยังฆ่าตั้งสิบห้าคนหากรู้สึกเสียใจจนฉุกคิดได้ก็น่าจะหยุดฆ่าที่คนใดคนหนึ่งไม่ใช่มาเสียใจเมื่อฆ่าทุกคนไปแล้ว


                   
    หากฆาตกรไม่ใช่คนโหดเหี้ยม ไม่ใช่คนวิกลจริต...งั้นก็อาจจะมีใครคอยยุยงอยู่เบื้องหลัง พวกเบื้องหลังนั่นอาจจะเป็นหัวโจกที่เป็นผู้ริเริ่มงานศิลปฆาตกรรมอย่างที่สารวัตรสมพงษ์เล่ามาก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกมันใช้วิธีใดในการติดต่อกับฆาตกรชาวจีนคนนั้นล่ะ


                   
    เฮียหนึ่ง!” เนเน่ร้องเรียกด้วยชื่อเล่นของพี่ชาย ทำเอานักรบสะดุ้งตกใจหลุดจากภวังค์ของการคิดวิเคราะห์ทันที เขาเงยหน้าขึ้นเห็นทั้งสารวัตรและน้องสาวกำลังอมยิ้มกันอย่างมีเลศนัยเพราะทั้งคู่เข้าใจว่าหากนักรบนิ่งเงียบไประหว่างคุยเรื่องคดีเมื่อไรก็หมายความว่ากำลังคิดวิเคราะห์อยู่ ซึ่งแม้จะห่างงานสืบสวนไปเป็นปีแล้วแต่ในตอนนี้นักรบในสายตาของพวกเขาก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน


                   
    ถ้าสนใจก็ไปทำเถอะเฮีย ไปช่วยเขาหน่อย น้องสาวตัวดีรีบสนับสนุน นักรบกระแอมกระไอแปลก ๆ แล้วขยับตัวนั่งตรงอีกครั้ง


                   
    จะบ้าหรือไง แล้วร้านนี้ล่ะ...เธอเพิ่งสิบแปดสิบเก้าจะทำคนเดียวไหวหรือ


                   
    สาวน้อยขมวดคิ้วเหมือนพี่ชาย
    ได้สิ! ตั้งเป็นปีแล้วนะตั้งแต่ป๊าเสีย หนูทำคนเดียวได้คล่องแล้วล่ะ แถมยัยหนูนาก็อายุสิบสองแล้วช่วยงานได้สบาย เพราะงั้นถ้าเฮียอยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ


                   
    นักรบนิ่งอึ้ง ปีที่แล้วที่พ่อของเขาเสียชีวิตก็เหลือแต่เขากับน้องสาวทั้งสองคนในครอบครัวเพราะแม่เองก็เสียไปหลังจากคลอดหนูนาได้ไม่นาน ในตอนนั้นเขาเป็นตำรวจอยู่แล้วเลยมาช่วยอะไรไม่ได้มาก จึงปล่อยให้เนเน่ที่เพิ่งจบมัธยมปลายและไม่คิดจะเรียนมหาวิทยาลัยต่อมาทำงานขายข้าวสาร แต่เธอก็ทำได้ไม่ดีนักเพราะปกติก็ไม่ค่อยได้ช่วยงานขายของที่บ้านอยู่แล้ว หลังจากช่วงที่พ่อเสียไปได้ไม่นานเขาก็มีเรื่องนิดหน่อยตอนทำงานทำให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นตำรวจแล้วมาช่วยเนเน่ขายข้าวแทน


                   
    แล้วตอนนี้ล่ะ เขาควรปล่อยมือจากน้องที่เริ่มแข็งแรงและยืนหยัดได้เองหรือยัง...


                   
    เขามองไปที่สารวัตร ซึ่งกำลังส่งสายตาวิงวอนพลางยิ้มให้เขาอย่างมีความหวัง นักรบกระแอมกระไออีกครั้ง ก่อนจะหลุบตาลงต่ำมองโต๊ะทานข้าวไม้สีน้ำตาลเข้มดูอบอุ่นในบ้านของเขาเอง


                   
    เย็นวันนั้น สถานีจักรวรรดิก็ได้รับข่าวดีจากนักรบ พ่อค้าข้าวสารที่กำลังจะมาเป็นนักสืบอีกครั้ง...

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×