คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ(ฉบับรีไรท์)
MurderArtist PsychoDetective
ศิลปฆาตกรรม
ปีคริสตศักราช2031 ประเทศญี่ปุ่นเกิดปรากฏการณ์ที่วงการอาชญากรรมและวงการศิลปะจะต้องจารึก คดีฆาตกรรมที่ไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัดแต่กลับรวมทั้งสองวงการเข้าไว้ด้วยกันอย่างแยบยล ถ้าหากย้อนกลับไปในวันนั้น...ก็เป็นเพียงกลางดึกวันหนึ่งที่มีฝนตกโปรยปรายไปทั่วฟ้าอึมครึมเท่านั้นเอง
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
นายตำรวจสายตรวจรีบแจ้งเหตุไปยังสถานีของตนด้วยความร้อนรนจนสายฝนที่ตกลงมาตรงหน้าแทบจะระอุตามไปด้วย มือที่จับเครื่องมือสื่อสารตัวจิ๋วเอาไว้ใต้ชุดกันฝนสั่นระริกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนเพื่อนคู่หูของเขากลับยืนนิ่งงันสายตาจ้องมองไปยังสิ่งที่เคยมีชีวิตเบื้องหน้าตนเอง
"...ทำไม...ทำไมมันต้องทำถึงขนาดนี้" ตำรวจหนุ่มพึมพำเสียงสั่นพลางกัดฟันกรอดด้วยความไม่เข้าใจ เขาสั่นสะท้านราวกับกำลังเผชิญ 'จุดเริ่ม' ของบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว หากแต่ซับซ้อนจนน่าหลงใหลในตัวของมันเอง
ความจริงเรื่องมันอาจจะเริ่มตั้งแต่เดือนที่แล้ว พวกเขาทั้งคู่ขับรถออกตรวจตราตามปกติแล้วขับเข้าซอยเล็ก ๆ นี้เพื่อจะเป็นทางลัดออกไปทางถนนใหญ่ แล้วพวกเขาก็ได้พบกับภาพวาดประหลาดเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
ภาพวาดนั้นถูกวาดขึ้นบนกำแพงด้านนอกของตึกร้างนี้ เป็นภาพของถ้ำหินสีโทนน้ำตาลเทาอมแดงนิด ๆ ซึ่งระบายลงไปบนกำแพงด้วยสีที่กันน้ำ มันดูเหมือนจริงราวกับเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่เดินเข้าไปข้างในได้จริง ๆ จนพวกเขาจำต้องหยุดรถเพื่อดูด้วยความประหลาดใจเพราะไม่รู้ว่าใครมาวาดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยังมีเพียงถ้ำอย่างเดียวราวกับภาพที่ยังวาดไม่เสร็จดี
ทว่า...พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าจิตรกรจะกลับมาต่อเติมงานของตนจนเสร็จสมบูรณ์ในลักษณะนี้...
ร่างของหญิงท้องแก่คนหนึ่งถูกนำมาจัดวางให้อยู่กลางถ้ำนั้นโดยเปลือยกายนั่งเข่าชิดอย่างเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ที่คลุมด้วยกระดาษระบายสีน้ำตาลโทนเดียวกับถ้ำจนดูเหมือนเธอกำลังนั่งอยู่บนก้อนหิน ในวงแขนของเธอโอบอุ้มทารกตัวขาวซีดที่ไม่เคลื่อนไหวอีกแล้วเอาไว้ สายรกยังคงต่อจากสะดือของตัวเด็กผ่านเข้ารอยผ่าขนาดใหญ่ ตั้งแต่กลางอกไปจนถึงท้องน้อยของผู้เป็นแม่
หญิงสาวผู้หมดลมหายใจไปแล้วมีเพียงอาภรณ์ชิ้นเดียวที่จิตรกรสวมให้เธอ เป็นผ้าสีดำบาง ๆ ซึ่งถูกคลุมจากศีรษะของหญิงสาวมากองทับซ้อนอยู่บริเวณหัวไหล่ ที่ลำคอขาวซีดและเพรียวบางนั้นมีรอยเฉือนยาวเหยียดมากพอจะตัดหลอดลมคร่าชีวิตเธอได้ไม่ยากนัก เครื่องในที่ควรจะทะลักออกมาถูกยัดเก็บไว้ภายในอย่างเรียบร้อยก่อนจะเย็บแผลให้ห็นเป็นรอยขีดสีดำชัด ๆ ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านจนน่าอาเจียน...
หยดฝนเย็นยะเยือกจากฟากฟ้าอันแสนไกลตกลงกระทบชะล้างรอยเลือดบนร่างเธอให้ไหลเจือไปตามสายน้ำตามพื้น ใบหน้าของเธอหลุบตาเหลือบลงมองลูกน้อยตัวขาวซีดในอ้อมกอดอย่างสงบราวกับพระแม่แห่งหินผาผู้อารี
หากแต่ในความเป็นจริงเธอและลูกคือศพผู้เสียชีวิตซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะอันแปลกประหลาดนี้ไปเสียแล้ว...
"ฆาตกรรม...ฆาตกรรมแบบนี้เพิ่งจะเคยเห็น..." นายตำรวจพึมพำด้วยความสับสน ทำไม...แค่คิดจะฆ่าคนทำไมต้องลงทุนจัดฉากเสียขนาดนี้ด้วย ทั้งเตรียมการวาดภาพถ้ำขนาดใหญ่แล้วยังต้องจัดวางศพให้เข้ากันอีก นี่เป็นการฆาตกรรมโดยเจตนาและมีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอน เขาคิดด้วยความวุ่นวายใจ สายตาไม่อาจละไปจากภาพตรงหน้าได้เลยแม้แต่นิดเดียว
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!" เสียงหัวเราะแหบห้าวดังขึ้นกะทันหัน ตำรวจทั้งสองพากันสะดุ้ง รีบสาดไฟฉายไปทั่วบริเวณทันทีแต่ยังไม่สะดุดตาว่ามีใครแอบอยู่ที่ตรงไหน
"นั่นใครน่ะ!" ตำรวจที่ยืนอยู่เบื้องหน้าศพแม่ลูกตะโกนถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นกระตุก รอเพียงครู่เดียวก็มีชายจรจัดท่าทางสกปรกคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากมุมตึกซึ่งมองจากทางพวกเขาแล้วมองไม่เห็นเพราะตรงนั้นมีถังขยะบังอยู่นั่นเอง ชายแก่แสยะยิ้มโชว์ฟันเหลืองในปากแล้วลุกขึ้นโงนเงน เดินเอียง ๆ เหมือนขาไม่ค่อยดีฝ่าสายฝนมาหาตำรวจทั้งสอง
"ใจเย็นน่าไอ้หนู อ๊ะ ๆ บอกเสียก่อนนา...ข้าไม่ได้ทำนะเว้ย ท่าทางอย่างข้าจะมีเงินไปซื้อสีตั้งมากตั้งมายมาวาดภาพใหญ่ ๆ ขนาดนี้ได้รึไงกัน" ยาจกเฒ่าพูดแก้ตัวก่อนอื่นใดแต่ตำรวจหนุ่มทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกไว้ใจอีกฝ่ายมากนัก
"งั้นลุงเห็นคนร้ายหรือเปล่าล่ะ" นายตำรวจอีกคนรีบถามเบาะแสทันที ชายชราทำท่าสะดุ้งก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนนายตำรวจคนนั้นต้องเอนตัวถอยหลังเพราะกลิ่นตัวที่รุนแรงของอีกฝ่าย
"เป็นเด็กวัยรุ่นนะ แต่มองไม่เห็นหน้าหรอก รู้แต่ว่ามันใส่ชุดกันฝนสีส้มแปร๊ดเด่นมาเลยเชียว พอเห็นมันลากศพผู้หญิงมาข้าก็รีบไปหลบข้างถังแทบไม่ทันเลยล่ะ..." ชายชราตอบ นายตำรวจยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองสภาพศพของหญิงสาวผู้น่าสงสาร เด็กสมัยนี้มันช่าง...เลวร้ายขึ้นทุกที ๆ แล้ว
"...พวกฆาตกรโรตจิต" เขาพึมพำด้วยความหดหู่ใจ ทว่าชายชราก็สวนกลับไปอย่างรวดเร็วน้ำเสียงแข็งกร้าว
"ฆาตกรอะไรกัน! แบบนี้เขาเรียกว่าจิตรกรต่างหาก!"
"พูดอะไรแบบนั้น ลุงจะบอกว่าความตายเป็นศิลปะหรือยังไง" นายตำรวจพูดอย่างขัดเคืองในอารมณ์ ตาขอทานเฒ่านี่ก็ท่าทางเพี้ยนพอ ๆ กับไอ้ฆาตกรที่ฆ่าผู้หญิงคนนี้เลย แล้วเมื่อไรพวกที่สถานีจะมาถึงเสียทีนะ
ชายชราได้ยินดังนั้นก็เบิกตาสีฟ้าลุกโพลง ก่อนจะรีบก้าวมาโอบไหล่นายตำรวจทั้งสองให้หันมองไปยังศพแล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วอันทุ้มต่ำจนขนลุกเกรียวต่างกับน้ำเสียงตอนแรกลิบลับราวกับกำลังจะชี้นำบอกความลับแห่งงานศิลป์ให้คนหนุ่มทั้งสองฟัง
"จงดูด้วยใจมิใช่หน้าที่...แบบนี้ไม่เรียกว่าศิลปะหรอกหรือ"
ทั้งคู่จ้องมองภาพด้านหน้าอยู่นานท่ามกลางสายฝนเย็นเฉียบ วินาทีเนิ่นนานหลังเสียงกระซิบ กลับกลายเป็นว่าศพทั้งสองช่างแลดูสวยงามอย่างแปลกประหลาด ใช่...ราวกับภาพของพระแม่เวอร์จินผู้งดงาม เสียงกระซิบแผ่วเบาในสมองของเขาทั้งสองต้อนรับศิลปะอันงดงามจากความตาย...จากลมหายใจที่ดับลงของทารกและผู้เป็นมารดา
งดงามเหลือเกิน...งานศิลป์แห่งความตายกลางสายฝนเย็นยะเยือก... จิตใต้สำนึกของนายตำรวจหนึ่งในนั้นเน้นย้ำ บางสิ่งปลุกเขาจากความมืดดำของศีลธรรมที่เคยปิดกั้นความเคลื่อนไหวบางอย่างของมนุษย์เอาไว้ ตำรวจหนุ่มชักปืนลูกโม่ข้างเอวออกมาอย่างเชื่องช้าจนเพื่อนตำรวจที่ถูกชายขอทานกอดคอเอาไว้เหมือนกันต้องค่อย ๆ หันไปมองในจังหวะเดียวกัน
ปัง!
ก่อนที่จะได้ทันเอ่ยปากถามอะไรออกไป กระสุนนัดหนึ่งก็ลั่นไกเข้าทะลุหน้าผากของเขา ร่างที่ยังเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยร่วงลงไปบนพื้นเปียกแฉะด้วยแรงจากอาวุธของเพื่อนร่วมงานนี่เอง
ชายชราค่อย ๆ เดินถอยหลังกลับไปทางมุมตึกของตัวเองพลางเผยรอยยิ้มน่าขนลุก ตำรวจหนุ่มยังถือปืนไว้ในมือจ้องมองร่างของเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่ เม็ดฝนเย็นเฉียบกระหน่ำใส่พวกเขาทุกคนอย่างไม่ปรานี... ฟ้าเทาดำมืดครึ้มน่าอึดอัด หากแต่ในใจของตำรวจที่เหลือรอดกลับว่างเปล่าปลอดโปร่งราวกับไร้เมฆหมอกปกคลุม ในที่สุดเขาก็ได้รับรู้ความหมายของงานศิลปะในความตาย...ดังที่เสียงกระซิบนำทางเขา...
ชายขอทานเดินหลบออกมาแล้วปล่อยให้ตำรวจหนุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของงานศิลปะนั้นจัดการกับศพของเพื่อนด้วยตัวเอง มือของชายแก่เอื้อมขึ้นมาเกาคางอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานผิวใต้คางนั้นก็ลอกออก เขาค่อย ๆ ดึงหน้ากากยางที่หล่อขึ้นเองออกทีละชิ้นด้วยความระมัดระวังแล้วถอดวิกเก็บใส่ถุงพลาสติกที่เตรียมมาเพื่อไม่ให้หลงเหลือหลักฐาน พร้อมทั้งแกะถุงมือยางที่ทำให้เหมือนผิวหนังที่มีรอยย่นเก็บลงในถุงด้วย
โชคดีที่สายฝนยังกระหน่ำลงมาเรื่อย ๆ ทำให้เขาลอกยางตามตัวออกได้ง่ายขึ้น เขาใส่มันลงในถุงที่เตรียมมา ในเวลานั้นชายชราที่ไม่ได้เป็นชายชราอีกต่อไปก็หยิบเสื้อกันฝนสีส้มสดออกมาใส่คลุมเสื้อผ้าเก่า ๆ แบบขอทานที่ใส่อยู่แล้วจึงเดินออกมาให้พ้นซอยนั้น เขายื่นมือซ้ายไปกลางสายฝนแล้วนำน้ำฝนนั้นมาถูสีเหลืองพิเศษที่ฟันออกก่อนจะเดินดิ่งออกมาในย่านชุมชนบริเวณถนนใหญ่
แม้จะเป็นเวลากลางคืนทว่าผู้คนกลับพลุกพล่าน ทุกคนกางร่มเพื่อบังไม่ให้หยดน้ำจากฟากฟ้าร่วงหล่นลงมากระทบตนเอง เวลาหมุนไปเรื่อย ๆ ตามปกติ ยังไม่มีใครสนใจการฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นในที่แห่งนั้นเลยสักคนเดียว เด็กหนุ่มในชุดกันฝนได้ยินเสียงรถตำรวจแล่นผ่านเข้ามาใกล้ เขาเหยียดยิ้มอย่างบันเทิงใจ แล้วหนีบอุปกรณ์จำพวกวิกและหน้ากากในถุงพลาสติกให้แน่นขึ้น ดวงตาสีฟ้าของเขาเหลือบกลับไปมองตามทางที่เขาเพิ่งเดินจากมา
แม้จะปกป้องตัวเองอย่างไรแต่ทุกคนก็ยังเปียกฝนอยู่ดี
..........
เมื่อหน่วยสนับสนุนมาถึง พวกเขาทั้งหมดจำต้องพรั่นพรึงเพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า หญิงสาวที่อุ้มเด็กตัวขาวซีดนั่งนิ่งอยู่บนก้อนหินภายในถ้ำขนาดใหญ่ สีหน้าของเธอดูสงบทั้งที่ถูกฆาตกรรม ฝนที่เพิ่งหยุดตกชะล้างเลือดคาวออกไปจากตัวเธอจนหมดสิ้นกระดาษที่นำมาทำก้อนหินยุ่ยยุบลงจนดูคล้ายร่องรอยของก้อนหินที่ถูกกัดเซาะ
นายตำรวจทั้งสองคนที่เป็นผู้แจ้งเหตุกลับนอนเปลือยเปล่าเสียชีวิตอยู่แทบเท้าหญิงสาวผู้นั้น ที่ศีรษะของทั้งคู่มีรอยกระสุนปืนซึ่งมาจากปืนของตำรวจคนหนึ่งในนั้น คนหนึ่งถูกฆ่าและอีกคนก็ฆ่าตัวตายตาม... ร่างของนายตำรวจทั้งสองคนดูราวกับเหล่าคนบาปที่สำนึกในบาปของตนเองจึงหมอบลงแทบเท้าของพระแม่กลางถ้ำหินอันกว้างใหญ่
ตำรวจที่เพิ่งมาถึงได้แต่ยืนเงียบอยู่เนิ่นนานจนเสียงของสายฝนลาจากไปในที่สุด อะไรบางอย่างตรึงพวกเขาเอาไว้กับที่ อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ กลุ่มหมอกควันอันแปลกประหลาดกำลังรวมตัวกันก่อกำเนิดลางร้ายอย่างที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้
พวกเขาได้แต่ยืนหวาดหวั่นอยู่ท่ามกลางรอยเลือดจาง ๆ ที่ส่งกลิ่นคาวออกมาเพียงบางเบา...
นับตั้งแต่วันนั้น การฆาตกรรมเพื่อสร้างงานศิลปะก็แพร่กระจายออกไปในวงกว้างทั่วญี่ปุ่นราวกับเป็นแฟชั่นหรือค่านิยม ไม่มีใครรู้ว่านักศิลปฆาตกรรมเหล่านั้นคิดอย่างไรถึงได้นำเอาชีวิตของคนมาสร้างเป็นงานศิลปะ คนที่ถูกจับได้ มักจะชิงฆ่าตัวตาย เบาะแสจึงขาดหายอยู่ตลอดจนไม่อาจสาวไปถึงผู้บงการที่แท้จริงได้เลย
สุดท้าย จากที่เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่นเพียงที่เดียว เรื่องของงานศิลปฆาตกรรมเริ่มโด่งดังขึ้น จนกระทั่งแพร่กระจายไปถึงจีน ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมาย จำนวนผู้หายสาบสูญเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
มีการรวมตัวของนักศิลปฆาตกรรมและการประกาศการรวมตัว ผู้คนหวั่นวิตกจนเกิดความระส่ำระสายทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ตำรวจต้องเผชิญกับงานหนักและทางตันของคดีเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนบางคนถึงกับทนไม่ได้ขอลาออกก็มี ทั้งยังมีการแยกสายงานศิลปฆาตกรรมเป็นหลายลัทธิอีกด้วย การตรวจสอบว่าลัทธิไหนเป็นของจริงของปลอมจึงยิ่งลึกลับวุ่นวายไปกันใหญ่
การฆ่าเพื่อศิลปะยังถูกถ่ายทอดผ่านทางสื่อออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครหยุดยั้งได้และผู้คนที่คลั่งไคล้มันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นไปด้วย เมื่อการสื่อสารทำให้โลกไร้ขอบเขต ทั้งความดีงามหรือความเลวร้ายต่างก็แพร่กระจายไปทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย...
จากคดีแรกผ่านไปเพียงสองปี...สองปีที่ทำให้สังคมโลกหวั่นวิตกกับกลุ่มฆาตกรขนาดใหญ่ผู้มีศิลปะเป็นที่ตั้ง ในที่สุดกระแสค่านิยมอันน่าสะพรึงกลัวนี้ก็มาถึงที่นี่ตามที่หลาย ๆ ฝ่ายคาดไว้
ปีคริสตศักราช 2033 หรือ พุทธศักราช 2576
ประเทศไทย
ความคิดเห็น