ตอนที่ 2 : A - A FATA MORGANA
A FATA MORGANA
“จอนจองกุก”
น้ำเสียงคุ้นเคยขานเรียกชื่อของเขา มันเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะของสัปดาห์นี้ อ่า...ใช่รู้สึกจะครั้งที่ยี่สิบเอ็ดพอดิบพอดี
ยืนมองเม็ดยาที่อยู่ในถ้วยสเตนเลสใบเล็กแล้วครุ่นคิดไปว่าถ้าเปรียบยาพวกนี้เป็นดั่งอาหาร ชายหญิงในชุดผู้ป่วยที่อยู่ที่นี่คงเบื่อตายก่อนที่หมอจะวินิจฉัยได้ว่าพวกเขาไม่ได้ป่วย เสียงกระแอมไอของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเรียกดึงสติของเขาให้กลับมา เด็กหนุ่มหยิบถ้วยขึ้นมากระดกเม็ดยาและวางมันไว้ที่เดิม
แกล้งทำเป็นกลืนสิ่งที่อยู่ภายในโพรงปากทั้งที่ในความจริงแล้วเขากำลังซ่อนเม็ดยาเหล่านั้นเอาไว้ใต้ลิ้น
“อ้าปาก” สาวที่มีหน้าที่จ่ายยาเอ่ยประโยคคำสั่งออกมาเป็นครั้งที่สามของวัน เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าเธอจะรู้สึกเบื่อบ้างไหมที่เอาแต่พูดประโยคเดิมๆวนไปมาทั้งวัน ขานชื่อ บอกให้กินยาและอ้าปาก คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าตอนหล่อนกำลังร่วมรักกับแฟนหนุ่มเธอครางเป็นชื่อคนไข้หรือคำว่าอ้าปากบ้างรึเปล่า
เมื่อสิ้นสุดความคิดฟุ้งซ่านก็อ้าปากพร้อมแลบลิ้นให้ดูเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่มียาอยู่ในโพรงปากของเขา
“อ้าปากแล้วยกลิ้นขึ้น”
ประโยคนั้นทำเอาเด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อแทนที่จะอ้าปากอีกครั้งตามคำสั่งของหญิงตรงหน้า สมองพยายามจะคิดหาทางบ่ายเบี่ยงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องอ้าปากอีกรอบ
อา…ทางตันแล้วล่ะจอนจองกุก
“ฉันจะพูดอีกครั้งนะคะคุณจอน อ้าปากแล้วยกลิ้นขึ้น”
เธอพูดย้ำเป็นครั้งที่สองและมันคงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะพูดสั่งเขา ถ้าหากไม่อ้าปากตอนนี้ผู้ช่วยร่างยักษ์คงจะเดินดุ่มๆมาใช้กำลังบังคับเขาให้กลืนยาลงไปแน่ๆ เพราะแบบนั้นครั้งนี้เขาจึงเลือกที่จะยอมทำตาม อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเมื่อเห็นว่าเม็ดยายังคงไม่ถูกกลืนลงไป
“ทีนี้ก็ช่วยกลืนยาที่ซ่อนไว้ด้วย”
ในครั้งนี้คนโดนสั่งกลืนยาลงไปโดยที่ไม่ขัดขืน เขาอ้าปากพร้อมกับยกลิ้นให้อีกฝ่ายดูอีกครั้ง เมื่อเธอตรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ายาพวกนั้นถูกกลืนลงไปจริงๆถึงยอมปล่อยให้ผู้ป่วยเจ้าปัญหาเดินกลับห้อง
วันนี้เป็นวันที่จองกุกเดินกลับห้องด้วยความเร่งรีบกว่าทุกวัน
แน่สิเพราะเขาต้องรีบทำมันก่อนที่ผู้ป่วยร่วมห้องของเขาจะกินยาแล้วกลับมาที่ห้อง ทันทีที่บานประตูห้องถูกปิดลงเด็กหนุ่มก็รีบเดินตรงปรี่เข้าไปยังอ่างล้างหน้า
ผ่อนลมหายใจก่อนค่อยๆเอานิ้วล้วงเข้าไปในโพรงปาก ค่อยๆล้วงเข้าไปจนกระทั่ง
“อ่อก”
มื้อเที่ยงที่เพิ่งจัดการกินเข้าไปเมื่อกี้นี้ถูกขย้อนออกมารวมถึงเม็ดยาที่เพิ่งฝืนกลืนเข้าไปเมื่อครู่นี้
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดการล้างออกไปอย่างหมดจดราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ขณะที่กำลังจะหันกลับเข้าห้องก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีร่างของชายในชุดผู้ป่วยแบบเดียวกับเขายืนมองเขาอยู่
“นายทำแบบนั้นอีกแล้ว”
“ทำอะไร..ครับ?”
“นายไม่ยอมกินยาอีกแล้ว” ชายเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลไหม้พูดเน้นพร้อมกับเดินไปนั่งบนเตียงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเตียงของจองกุก
“คุณพูดเรื่องอะไร”
“นายจะโกหกทำไมในเมื่อฉันก็เห็นอยู่เต็มตา” จอนจองกุกเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างลืมตัว ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันจะถูกจับได้คาหนังคาเขา
“….คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าผมไม่กินยา”
“ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน”
อาทิตย์ก่อน?
อาทิตย์ก่อนนั่นมันก็ช่วงที่จอนจองกุกกลับมาเลิกกินเลยไม่ใช่รึไง
เด็กหนุ่มใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดีแต่ท้ายที่สุดมันก็จบลงที่การถามคำถามโง่ๆ “คุณจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครใช่ไหม?”
ไม่มีคำตอบกลับมาจากชายที่นั่งอยู่บนเตียง มีเพียงรอยยิ้มประหลาดที่ไม่อาจเดาความหมายได้ถูกส่งมาเท่านั้น
“คุณจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครใช่ไหม” เขาพูดย้ำประโยคเดิมแต่อีกฝ่ายยังคงวาดยิ้มไม่ยอมพูดอะไร จนกระทั่งอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นแหละที่ความอดทนของจอนจองกุกจะหมดลง
“ฉันจะไม่บอกใคร”
ถึงอีกฝ่ายพูดว่าจะไม่บอกใคร แต่นั่นก็ไม่ทำให้จอนจองกุกวางใจได้ง่ายๆ มันเป็นเพราะความสะเพร่าของตัวเขาเองจึงทำให้ต้องมาคอยด้อมๆมองๆกิจวัตรประจำวันของเพื่อนร่วมห้องแบบนี้
ถ้าอีกฝ่ายเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นเด็กหนุ่มจะต้องแย่แน่ๆ
เขาเคยทำเรื่องแบบนี้ไปเมื่อปีที่แล้ว แอบเลิกกินยาแต่ก็โดนจับได้ ผลที่ตามมาน่ะหรอการถูกผู้ช่วยร่างยักษ์ใช้กำลังบีบบังคับให้อ้าปากแล้วยัดยาเข้าไปแถมยังโดนคุมความประพฤติตลอดสองเดือนเต็มนั่นแหละคือผลของมัน เพราะงั้นถ้าครั้งนี้โดนจับได้อีกเรื่องมันคงไม่จบแบบเดิมแน่
บางครั้งเด็กหนุ่มก็สงสัยนะว่ามันเป็นตัวของเขาหรือพวกหมอกันแน่ที่ป่วยจิต
ดึงตัวเองขึ้นมาจากความคิดยืดยาวได้ก็ตอนที่ไม่เห็นร่างของเพื่อนร่วมห้องอยู่ในบริเวณสายตา
เมื่อครู่นี้รูมเมทของเขายังนั่งเล่นหมากรุกกับคุณชเวอยู่เลยไม่ใช่รึไง จอนจองกุกแค่เผลอละสายตาเข้าไปในห้วงความคิดของตัวเองครู่เดียวคนที่เขาจับตามองกลับหายไปเสียแล้ว
“คุณชเว ผู้ชายที่เล่นหมากรุกกับคุณเมื่อกี้ไปไหนแล้วครับ?”
อีกฝ่ายๆเอียงหัวให้กับคำถาม อ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
“สวัสดีตอนบ่ายฮันโซล” ชายชราคลี่ยิ้มกว้างจนเกิดรอยย่นบนใบหน้า ชายผอมกะหร่องเอ่ยทักทายเขาด้วยชื่อของใครคนอื่น
“ผมชื่อจองกุกครับแล้วนี่ก็ตอนเย็นแล้วไม่ใช่ตอนบ่าย”
ให้ตายเถอะ การมาถามชายแก่สติเลอะเลือนที่แค่แป๊บเดียวก็ลืมว่าตัวเองเดินหมากตัวไหนไปนี่มันคงทำให้นายได้คำตอบหรอกนะจอนจองกุก
ถอดใจที่จะหวังพึ่งคนตรงหน้าทันทีเมื่อชายชราหันมาพูดกับเขาว่า ‘เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ’
จองกุกเดินผ่านตรงนั้นไปโผล่ตรงนี้หาจนเกือบทั่วทั้งโรงพยาบาลแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววของคนที่กำลังตามหา
เท้าของเขาเริ่มปวดหนึบลามมายังช่วงน่องการเดินวนไปมาเพื่อตามหาบุคคลที่หายไปดูจะไม่มีที่สิ้นสุด
“ลืมไปได้ยังไง”
ยังมีอีกที่หนึ่งที่เด็กหนุ่มยังไม่ได้ลองเดินไปและมันเป็นที่ที่เขาไม่อยากเจอร่างของอีกฝ่ายอยู่ที่นั่นมากที่สุด ใช่ห้องของหมออันจิตแพทย์ที่เขาอยู่ในความดูแลนั่นแหละ
ทันทีที่คิดได้ก็รีบหยุดเดินกลางทางก่อนหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วขาของเขาเริ่มก้าวเดินอย่างฉับไวอีกครั้งเมื่อสมองประมวลสถานที่ปลายทางได้แล้ว
จอนจองกุกรู้สึกเสียววาบเมื่อเดินมาถึงแล้วพบว่าพื้นที่ตรงหน้าห้องทำงานของหมออันมีร่างของคนที่กำลังตามหายืนอยู่ที่หน้าประตู
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ไม่ต้องห่วงฉันไม่ได้บอกใคร” คำตอบของอีกฝ่ายมันช่างไม่ตรงกับคำถามที่เขาถามออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของชายคนนั้นมันดูน่าหงุดหงิด จอนจองกุกกำลังจะเดินเข้าไปหาเจ้าของรอยยิ้มนั่นแต่เขาต้องหยุดตัวเมื่อบานประตูห้องถูกเปิดออกมาบดบังร่างของชายในชุดผู้ป่วยอีกคน
“คุณจองกุกสวัสดีครับ หมอนึกว่าวันนี้คุณจะลืมนัดของเราแล้ว”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนให้หมอก่อนที่จะเอียงตัวมาดูหลังบานประตูแล้วพบว่าไม่มีร่างของใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
“มองอะไรหรอครับ?”
“เปล่า.. ไม่มีอะไรครับ”
“เข้ามาก่อนสิครับ”
ชายใต้เสื้อกาวน์สีสะอาดผายมือเข้าไปยังห้องทำงานของตนเอง จอนจองกุกเกลียดห้องนี้เป็นอันดับสองรองจากห้องจ่ายยา เพราะเขาต้องเข้าไปนั่งฟังหมอหนุ่มคนนี้พูดซ้ำไปวนมาเกี่ยวกับอาการป่วยที่เขาเป็นและต้องคอยตอบคำถามน่าเบื่ออย่างวันนี้เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ช่วงนี้มีอะไรพิเศษบ้างรึเปล่า
ห้องสอบปากคำ นี่แหละชื่อที่เหมาะสำหรับห้องนี้ที่สุด
“พักนี้อาการของคุณดีขึ้นมากเลยนะครับ”
เขาพยักหน้าและยิ้มรับทั้งที่ในใจอยากออกไปจากห้องนี้จะแย่ กังวลว่าถ้าชายคนนั้นไม่ได้อยู่ในระยะสายตาอีกฝ่ายจะเอาเรื่องของเขาไปบอกใครรึเปล่า เพราะเริ่มคิดมากขาของเขาก็เริ่มสั่นตัวเองอย่างห้ามไม่ได้
“แต่มีคนแอบมาฟ้องผมว่าคุณเริ่มจะมีนิสัยไม่ยอมทานยาอีกแล้ว.. ใช่ไหม?”
เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ภายในหัวเริ่มคิดไปต่างๆนานาว่าความลับของเขาจะแตกแล้วรึไงกัน แต่ต่อให้ความคิดเตลิดเปิดเปิงมากแค่ไหนใบหน้ายังคงพยายามฝืนยิ้มให้คนตรงหน้าเห็น จังหวะหัวใจของเด็กหนุ่มเริ่มเต้นเร็วจนรู้สึกได้ ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อออกทั้งที่เขารู้สึกว่าทั้งตัวกำลังเย็นวาบ ให้ตายเถอะเขาต้องพูดอะไรออกไปสักอย่างไม่งั้นมันคงน่าสงสัยน่าดู
“ป..เปล่านี่ครับ” เป็นคำตอบที่สุดแสนจะสิ้นคิดแถมยังตอบกลับไปแบบเสียงสั่นๆ จอนจองกุกกำมือแน่นพยายามข่มความกระวนกระวายนั้นเอาไว้และหวังว่าหมออันจะไม่สังเกตเห็นถึงพฤติกรรมแปลกๆของเขา
“ดีแล้วครับ เพราะถ้าเกิดคุณไม่ยอมกินยา--”
“มันจะทำให้ผมดื้อยาแล้วหมอต้องวุ่นวายจัดหายาตัวใหม่มาให้ ครับผมเข้าใจ” ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่เด็กชายในชุดผู้ป่วยโดนพูดกรอกหูมาแบบนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
“ขอโทษครับผมไม่ได้ตั้งใจจะแย่งหมอพูดนะครับ แต่ผมแค่จะบอกว่าผมเข้าใจแล้ว… หมายถึงเข้าใจทุกอย่างที่หมอพยายามจะพูด”
“…โอเคครับ แบบนั้นก็ดีแล้ว”
“ผมไปได้รึยัง?” ดูถ้าว่าเด็กหนุ่มจะรีบร้อนเกินไปจนผิดสังเกต ก็แน่สิจอนจองกุกเพิ่งเข้ามานั่งได้ไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ คิ้วของจิตแพทย์หนุ่มขมวดลงเล็กน้อยให้กับท่าทีรีบเร่งของเขา
“ผมนัดคุณชเวเล่นหมากรุกกันครับเลยไม่อยากให้เขารอนาน เกิดเขาลืมว่านัดกับผมไว้แล้วดันไปชวนคนอื่นเล่นคงแย่น่าดู…” ใบหน้าของชายใต้เสื้อกาวน์ดูยังจะไม่ค่อยคลายความสงสัยในท่าทีรีบร้อนนั้นสักเท่าไหร่ แต่เพราะเขายืนกรานที่จะขอจบการคุยในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้แล้วจะอยู่ให้นานเป็นเท่าตัวในการนัดครั้งต่อไปอีกฝ่ายจึงปล่อยให้เขาออกมาจากห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้
วันนี้ดูถ้าจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ในห้องสอบปากคำ ทันทีที่ได้ออกมาจุดหมายปลายทางของเขาก็ไม่ใช่การเดินตรงไปหาคุณชเวเพื่อเล่นหมากรุกอย่างที่โกหกเอาไว้ แต่เป็นการตามหาผู้ป่วยร่วมห้องคนนั้นว่าหายไปไหน
“นายหายไปไหนมาทั้งวัน” ทันทีที่เปิดประตูห้องพักของตัวเองก็โดนยิงคำถามใส่โดยชายที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
เขาถอนหายใจก่อนจะปิดประตูห้องลง
“ผมสิที่ต้องถาม คุณนั่นแหละที่หายไปไหนทั้งวัน”
“ก็อยู่ในห้องนี้ตลอด”
คนที่ยืนอยู่นึกหงุดหงิดตัวเองที่เอาแต่ไปวิ่งวนตามหาอยู่ข้างนอกโดยคิดไม่ถึงว่าคนที่ตามหาอยู่จะมานอนสบายใจอยู่ในห้องแบบนี้
“ไหนคุณว่าคุณจะไม่บอกใครแต่คุณกลับเอาไปบอกหมอคนนั้น”
“ฉันเปล่า”
“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใครได้อีก”
“ถ้าไม่เชื่อนายก็ลองกลับไปถามหมอคนนั้นดูสิ แล้วรับรองว่าคำตอบที่ได้จะไม่ชื่อของฉันแน่นอน จอนจองกุก” คนโดนเรียกชื่อขมวดคิ้วอย่างงุนงงส่วนหนึ่งมาจากท่าทีที่ดูมั่นใจเกินร้อยของอีกฝ่ายแต่อีกส่วนก็เพราะ…
“คุณรู้ชื่อผมด้วยหรอ?”
“ฉันก็รู้ชื่อของนายเหมือนที่นายรู้ชื่อของฉันนั่นแหละ”
“แต่ผมไม่รู้ชื่อของคุณ…”
“นายรู้ จะมีใครที่นอนร่วมห้องกันแต่ไม่รู้จักชื่อของกันและกันบ้างล่ะ” นั่นสิมันคงเป็นเรื่องแปลกที่เราไม่รู้จักชื่อของเพื่อนร่วมห้อง
“คิม… แทฮยอง?”
รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว รอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ถูกส่งมาให้เขาอีกครั้ง เพราะไอ้รอยยิ้มที่ยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่นั่นแหละมันทำให้เขาระแวงและเตือนกับตัวเองว่าอย่าละสายตาจากอีกฝ่ายอีกเป็นครั้งที่สอง
วันนี้ทั้งวันคิมแทฮยองก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลยจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน จองกุกนอนตะแคงมองร่างนอนหันเข้ากำแพงที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ชุดผู้ป่วยไม่ได้ทำให้แผ่นหลังกว้างนั่นดูแย่ลงแม้แต่น้อย
ผ่อนลมหายใจออกช้าๆก่อนจะค่อยๆหลับตาลง คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยและเรื่องน่าปวดหัวของวันนี้ที่ผ่านเข้ามา ใช้เวลาไม่นานที่ความคิดทุกอย่างถูกละลายหายไปเผลอแค่ครู่เดียวเท่านั้นเด็กหนุ่มก็เข้าสู่ภวังค์ความฝัน
เด็กหนุ่มกำลังวิ่งอยู่… ในสถานที่ที่มืดจนมองไม่เห็นสิ่งรอบตัว เขารู้สึกว่าหายใจไม่ทันแต่ขากลับไม่ยอมหยุดวิ่ง เขายังคงวิ่งราวกับว่าหนีจากอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น วิ่งจนกระทั่งจู่ๆร่างของชายที่มีใบหน้าคุ้นตาก็โผล่ฟุ่บขึ้นมาตรงหน้า --มือที่อยู่ข้างลำตัวของชายเรือนผมสีน้ำตาลค่อยๆถูกยกขึ้นมาไว้เหนือหัว
ราวกับว่าอีกฝ่ายยกมันขึ้นเพื่อแสดงถึงการยอมจำนนกับบางสิ่ง
“กุก..”
ชายในความฝันวาดยิ้มที่แสนคุ้นเคยกลับมาให้เขาก่อนที่ภาพทุกอย่างจะถูกตัดไป
“จองกุก!!”
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อลืมตาตื่นขึ้น ใช้เวลากะพริบตาปรับภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเห็นใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ
“อะไรของคุณเนี่ย!?”
“อย่าเสียงดังสิ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดปากของเขาเป็นเชิงห้ามปราม ให้ตายเถอะนี่มันยังไม่เช้าเลยนะ ที่จริงเหมือนจองกุกเพิ่งได้วูบหลับไปไม่ถึงสามสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ “ตามมา”
“จะไปไหนน่ะ” ผู้ป่วยคิมไม่ยอมตอบคำถามของเขาแต่กลับเดินนำหน้าออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหัวเสียแรงๆหนึ่งทีก่อนจะสลัดผ้าห่มบางๆนั่นทิ้งแล้วลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไป
ทั้งหงุดหงิดที่โดนปลุกตอนกำลังนอนและหงุดหงิดที่ตัวเองยอมทำตามอีกฝ่ายง่ายๆแบบนี้
เราทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบานประตูห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่ง กำลังจะเอ่ยถามคำถามกับอีกฝ่ายอีกครั้งแต่คิมแทฮยองหันมาบอกให้เขาเงียบก่อนที่จะได้ถามออกไป
“อะไร?” เขากระซิบเสียงเบาเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาขยับปากพูดอะไรบางอย่างแต่เพราะแสงสว่างของไฟที่เปิดไว้ตอนกลางคืนมันไม่เพียงพอต่อการมองเห็นทำให้จอนจองกุกไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ชายอีกคนต้องการจะบอก
ชายในชุดผู้ป่วยใช้นิ้วชี้ที่ตาของตัวเองก่อนจะชี้ไปยังกระจกตรงบานประตู
จอนจองกุกมองลอดผ่านช่องกระจกทรงสี่เหลี่ยมเข้าไปภายในตัวห้อง เขาเห็นร่างของคุณชเวนอนอยู่บนเตียงและข้างๆเป็นร่างใหญ่ของใครบางคนยืนอยู่
“ใครน่ะ?”
“เงียบๆ”
แสงไฟที่ไม่ได้ถูกเปิดเอาไว้ทำให้สภาพภายในห้องมองได้ยากแต่จากแสงสลัวๆของไฟด้านนอกที่ลอดผ่านหน้าต่างของตัวห้องเข้าไปทำให้จองกุกเห็นว่าชายร่างใหญ่สวมผ้าปิดปากคนนั้นกำลังจะทำอะไรบางอย่าง
ชายคนนั้นหยิบวัตถุคล้ายเข็มฉีดยาออกมาจากเสื้อคลุมก่อนที่จะนำมันทิ่มเข้าไปที่ท่อนแขนแห้งๆของชายแก่ที่นอนอยู่
ยังไม่ทันที่จอนจองกุกจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ร่างของคนที่นอนอยู่กลับตะเกียกตะกายดิ้นไปมาอยู่บนเตียง
“ไปเร็ว”
“ด..เดี๋ยว!?”
เขาถูกคิมแทฮยองกระชากให้วิ่งออกมาจากตัวประตูหน้าห้องของคุณชเว ในใจคิดอยากจะถามทุกเรื่องที่สงสัยกับคนที่วิ่งนำอยู่แต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่
อีกฝ่ายวิ่งพาร่างของจองกุกกลับมายังห้องนอนที่คุ้นตา ใช่… ห้องพักผู้ป่วยของเขานั่นแหละ
“นอนซะ”
“หมายความว่ายังไงว่าให้นอน”
“ก็หมายความว่าแบบนั้น” คิมแทฮยองพูดพร้อมกับล้มตัวลงนอนที่เตียงของตัวเองเหมือนกับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพาเขาให้ไปเห็นเมื่อกี้มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะให้นอนได้ยังไง แล้วเมื่อกี้มันเรื่องอะไร”
“นอน ถึงพรุ่งนี้นายจะรู้เอง”
อีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรมากไปกว่านั้น แล้วจอนจองกุกจะทำอะไรได้? เขาก็ทำได้เพียงแค่เดินกลับมานอนบนเตียงของตัวเอง ปล่อยให้หัวใจเต้นระรัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านตามาเพียงชั่วครู่ ขบคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอไปเมื่อกี้และพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองว่าตกลงแล้วในห้องของผู้ป่วยชเวนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“คุณชเวหายไปไหนหรอครับ?” ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายของวันนี้เด็กหนุ่มยังไม่เห็นผู้ป่วยชเวมานั่งที่กระดานหมากรุกเลย มันจะไม่มีอะไรน่าแปลกถ้าเมื่อคืนจอนจองกุกไม่ได้ไปเห็นอะไรแบบนั้นเข้า
“คนไข้ชเวเสียชีวิตเมื่อคืน” หญิงสาวที่ทำหน้าที่จ่ายยาตอบกลับเสียงเรียบ
“ได้ยังไง?”
“หัวใจวาย” เธอถอนหายใจให้ก่อนจะใช้น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายนั่นบอกให้เขารีบกินยาและอ้าปากสักที
ความรู้สึกสับสนและงุนงงในตอนนี้มีมากกว่าปริมาณเม็ดยาที่เขากินเข้าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เสียอีก เรื่องที่เห็นเมื่อคืนมันเกี่ยวข้องกับการที่คุณชเวเสียชีวิตใช่ไหม ผู้ชายสวมผ้าปิดปากคนนั้นคือใคร
“เข้าใจรึยัง” ทันทีที่ประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงคิมแทฮยองก็พูดขึ้นมาทันที
“คุณจะให้ผมเข้าใจอะไร”
“เข้าใจว่าที่นี่มันไม่ใช่แค่โรงพยาบาลจิตเวชทั่วไป” จอนจองกุกกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ในตอนเช้าคิมแทฮยองบอกกับเขาว่าโรงพยาบาลแห่งนี้มันไม่ปกติ คนไข้ที่บอกว่าได้กลับบ้านหรือคนไข้ที่เสียชีวิตจากโรคต่างๆทุกคนล้วนเสียชีวิตเพราะฝีมือของคนสวมผ้าปิดปากคนนั้น สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันดูเกินจริงแต่การที่เขาเห็นเรื่องเมื่อคืนเสริมกับคำตอบที่ได้รับจากพยาบาลสาวมันก็ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มจะคิดแบบที่อีกฝ่ายพูด
“ถ้านายไม่อยากตายก็ต้องหนีออกไปจากที่นี่ซะ”
“หนีหรอ…” จอนจองกุกอยู่ที่นี่มานานเสียจนความหวังที่เขาจะได้ออกไปมองโลกภายนอกมันหายออกไปจากหัวของเขาตั้งนานแล้ว ในตอนแรกเขาก็คิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่เหมือนกันแต่การกระทำทุกอย่างมันเปล่าประโยชน์ เพราะระบบป้องกันของโรงพยาบาลแห่งนี้แน่นหนามาก
พอมาคิดๆดูบางทีที่นี่อาจจะเป็นคุกที่ใช้คำว่าโรงพยาบาลจิตเวชบังหน้า
“จะหนียังไงครับ?”
“แค่ทำตามแผนของฉันก็พอ”
หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่คุณชเวเสียชีวิต จอนจองกุกก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมในช่วงที่ฟ้าสว่างเขายังคงแอบเอายามาคายทิ้งโดยที่นางพยาบาลหรือผู้ช่วยจับไม่ได้ พอตกดึกก็เป็นเวลาของการสอดส่องเฝ้าดูช่องทางที่จะใช้หนีออกไปจากที่นี่พร้อมกับคิมแทฮยอง เราทั้งคู่ทำแบบนี้ตลอดทั้งสองสัปดาห์จนกระทั่งแผนที่อีกฝ่ายวางไว้เสร็จสมบูรณ์
“ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้” คืนนี้เป็นคืนที่พวกเราตัดสินใจว่าจะหนีออกไป วันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่กระวนกระวายไม่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
พวกเราต้องแอบเดินผ่านห้องโถงที่ใช้จ่ายยาโดยที่ไม่ให้ผู้ช่วยพยาบาลที่เป็นเวรกะดึกจับได้ ผ่านเข้าไปในห้องของหมออันเพื่อหยิบคีย์การ์ดสำหรับเจ้าหน้าที่ที่เขามักจะทิ้งไว้ในลิ้นชักแล้วย้อนกลับมาที่โซนห้องพักผู้ป่วยใช้คีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูเขตห้องพักผู้ป่วยที่อยู่โซนสุดท้าย ตรงเข้าไปในคลังห้องที่ใช้เก็บแฟ้มข้อมูลคนไข้เก่าหนีออกไปจากทางหน้าต่างของห้องนั้นทุกอย่างก็จบ
แค่อธิบายแผนการมันคงจะง่ายแต่ถ้าหากเขาหรือแทฮยองทำพลาด เราจะไม่มีโอกาสอีกจนกว่าจะถึงปีหน้า เพราะจากข้อมูลที่แทฮยองหามาได้ ในวันที่สองธันวาของทุกปีกล้องวงจรปิดและห้องมอนิเตอร์ที่เอาไว้จับตาดูผู้ป่วยจะถูกปิดทำงานหนึ่งวันเพราะแบบนั้นแหละถ้าพวกเขาจะหนีก็มีโอกาสแค่วันนี้เท่านั้น
“นายทำได้”
อีกฝ่ายเอื้อมมือมากุมมือที่สั่นเทาของจองกุกสายตาของเราจดจ้องกันเนิ่นนาน แม้แสงภายในห้องพักจะมีไม่มากนักแต่ใบหน้าของคิมแทฮยองยังคงชัดเจนในสายตาของเขา หัวใจของเขายังคงเต้นถี่รัวแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เพราะความกังวลในการจะหนีออกไปแต่มันเป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าของเขาต่างหาก
เราทั้งคู่ค่อยๆโน้มใบหน้ากระชับระยะห่างให้ใกล้กันอย่างช้าๆ ราวกับมีแม่เหล็กล่องหนดึงดูดพวกเราเข้าหากัน มอบความรู้สึกแปลกประหลาดให้กันผ่านทางการจูบที่แสนจะแผ่วเบานั้น
“ไปกันเถอะ”
เขาพยักหน้าแทนคำตอบ มือของเขายังคงถูกกุมไว้ด้วยสัมผัสร้อนจากมือของอีกฝ่ายพวกเราทั้งคู่เดินออกมาจากตัวห้องพักอย่างระแวดระวังและตรงไปยังห้องจ่ายยา
เสียงโทรทัศน์ขนาดเล็กอุปกรณ์ที่สำคัญยามค่ำคืนของผู้ช่วยคนนั้นกำลังส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจของรายการยามดึกผ่านออกมาทางลำโพง พวกเราค่อยๆเดินย่อตัวเลาะไปตามมุมอับสายตา จอนจองกุกเผลอกลั้นลมหายใจอย่างลืมตัว
ปึก…
เพราะวิธีการเคลื่อนไหวในท่าแบบนี้มันยากที่จะทรงตัวไหล่ของเขาจึงเซไปกระแทกกับตัวเคาท์เตอร์จนเกิดเสียงเบาๆ พวกเราหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างราวกับว่าเวลามันหยุดลง เสียงทีวียังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป จองกุกไม่ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่เป็นสัญญาณบอกว่าผู้ช่วยคนนั้นจะลุกจากเก้าอี้มาดูต้นเหตุของเสียงเมื่อเป็นเช่นนั้นคิมแทฮยองจึงเริ่มเดินนำไปอีกครั้ง
“ขอโทษนะครับเมื่อกี้เกือบไปแล้ว” กลับมายืนเต็มความสูงอีกครั้งเมื่อผ่านด่านห้องจ่ายยานั่นมาได้
“ไม่เป็นไรขากลับก็ระวังหน่อยแล้วกันเพราะมันอาจจะไม่โชคดีแบบนี้”
ประตูห้องทำงานของหมออันที่ไม่เคยถูกล็อกเอาไว้เลยสักครั้งตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย พวกเราทั้งคู่ตรงเข้าไปยังโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่กลางห้อง มือควานล้วงเข้าไปในลิ้นชักที่เต็มไปด้วยแฟ้มและสิ่งต่างๆ ก่อนจะสัมผัสเข้ากับสิ่งที่กำลังตามหาอยู่
คีย์การ์ดของหมออันมาอยู่ในมือของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย
ในขากลับไปยังโซนห้องพักผู้ป่วยจอนจองกุกระมัดระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับในตอนแรก การแอบออกจากห้องมาในเวลาแบบนี้ทำให้เขารู้ว่าผู้ช่วยร่างยักษ์คนนั้นมีงานอดิเรกเป็นการเต้นแอโรบิกตามรายการโทรทัศน์ยามดึกเขาเกือบจะหลุดขำเพราะเสียงการนับจังหวะเข้มๆของพี่เบิ้มที่อยู่หลังเคาท์เตอร์แล้วด้วยซ้ำถ้าแทฮยองไม่หันมาบอกให้ตั้งสติ
ร่างของพวกเรามาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเชื่อมที่กั้นระหว่างห้องขังผู้ป่วยโซนสุดท้าย หัวใจของเขาเต้นระรัวมากกว่าทั้งวันที่ผ่านมาเพียงแค่ผ่านบานประตูนี้ไปและเดินไปตามทางเดินเพียงแค่เท่านั้นชีวิตในการเป็นผู้ป่วยของเขาในโรงพยาบาลแห่งนี้ก็จะจบลง เอื้อมมือไปประสานกับมือของคนข้างๆแรงบีบประสานที่ตอบกลับมาช่วยคลายความกังวลของเขาไปจนหมด
ติ๊ด
บานประตูข้างหน้าถูกเปิดออกพร้อมกับความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นโครมครามยิ่งกว่าเก่า เขากระชับมือที่ประสานไว้ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะค่อยๆก้าวเท้าเข้าไป อีกแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น แค่เดินตรงไปตามทางห้องผู้ป่วยที่ยืดยาวแล้วเลี้ยวตรงหัวมุมที่อยู่ไกลออกไปอีกหน่อยก็จะเจอห้องเก็บประวัติที่อยู่ไม่ไกล
มันง่ายมาตลอดและจอนจองกุกอยากให้เรื่องทุกอย่างมันง่ายเหมือนที่ผ่านมา แต่มันคงจะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไปเมื่อพ้นหัวมุมทางเลี้ยวไปร่างของเขาและแทฮยองก็หยุดกึก ตรงทางเดินหน้าห้องที่เป็นเป้าหมายของพวกเรากลับมีร่างของใครบางคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
ชายร่างใหญ่สวมผ้าปิดปากยากที่จะมองออกว่าเบื้องหลังสิ่งที่ปกปิดอยู่นั้นเป็นใบหน้าของใครคนนั้นค่อยๆหันมาทางพวกเรา ความน่ากลัวที่ชวนเสียวสันหลังวาบฉายออกมาผ่านแววตาคู่นั้น
ในมือของชายร่างยักษ์คนนั้นถืออะไรบางอย่างเอาไว้ มันสะท้อนกับแสงที่ตกกระทบจนยากที่จะมองออก จอนจองกุก้องใช้เวลาเพ่งอยู่นานถึงจะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายคือ มีดผ่าตัด
“กลับไปเร็ว วิ่งกลับไป!!”
คนถือของมีคมอยู่ในมือเริ่มกวัดแกว่งมันไปทั่วพร้อมกับวิ่งพุ่งเข้ามา ทั้งจองกุกและแทฮยองต่างวิ่งหนีกลับไปทางที่พวกเราเดินมา ถ้าหยุดวิ่งหรือสะดุดล้มตอนนี้สมองของเขาประมวลผลออกมาว่ามันคงมีแค่ตายกับตาย
ตุบ
สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมันดันเกิดขึ้น เขาวิ่งแบบไม่คิดชีวิตวิ่งเสียจนสะดุดล้มเพราะขาของตัวเอง ชายร่างใหญ่ที่วิ่งกวัดแกว่งมีดใกล้เข้ามา ทั้งที่ควรจะรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งต่อไปแต่ความรู้สึกบ้าๆที่เรียกว่าความกลัวมันกลับทำให้ขาเขาสั่นจนตั้งหลักไม่ทัน
พลั่ก!!
แทฮยองวิ่งกลับเข้าไปชนกระแทกกับร่างนั้นจนทั้งคู่เสียหลักล้มลงไป
“นายเอาบัตรเปิดประตูเดี๋ยวฉันวิ่งตามไป!!” คิมแทฮยองโยนบัตรผ่านทางของหมออันในมือมาให้เขา จองกุกพยักหน้ารับคำสั่งนั้นก่อนที่จะออกแรงวิ่งสุดตัวโดยไม่หันหลังกลับไป
ติ๊ด
ทันทีที่ประตูกั้นโซนผู้ป่วยถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง จองกุกหันมองกลับไปในทางที่ไม่ไกลมากนัก เขามองเห็นแทฮยองกำลังยื้อแย่งอาวุธในมือกับชายร่างใหญ่คนนั้นอยู่ ชายสวมผ้าปิดปากถูกผลักจนเสียหลักเซหลังล้มลงไปอีกครั้ง
“ปิดประตูเลยเร็ว!!” เมื่อร่างของแทฮยองวิ่งผ่านเข้าประตูมาจองกุกก็ทำการผลักประตูปิดไว้ดังเดิม “ไปหลบในห้องก่อน”
พวกเราทั้งคู่วิ่งกลับมาที่จุดเริ่มต้นของทุกอย่างๆอีกครั้ง เขาและชายหนุ่มอีกคนยืนหอบหายใจภายในห้องพักของตัวเอง
“ทำยังไงดี”
“แกล้งทำเป็นหลับเหมือนคนอื่นๆหมอนั่นไม่น่าจะเห็นว่าเราเข้ามาในห้องนี้” แทฮยองเดินแยกไปยังเตียงนอนของตัวเองและเขาก็ทำแบบเดียวกัน
เสียงกุกกักบางอย่างดังมาจากฝั่งที่คิมแทฮยองกำลังนอนอยู่จองกุกเดาว่าบางทีชายหนุ่มคนนั้นคงจะกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่าง
ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนักๆวิ่งดังมาอยู่ไกลๆเด็กหนุ่มหลับตาเงี่ยหูฟังเสียงน้ำหนักเท้าที่วิ่งอยู่นั้น และหวังเพียงแต่ว่าประตูห้องของเขาจะไม่ถูกเปิดออก เสียงเดินนั่นวนอยู่แถวหน้าห้องของเขาอยู่พักใหญ่ จอนจองกุกลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไกลออกไปเขาลอบถอนหายใจและคิดว่าอย่างน้อยจนถึงตอนนี้พวกเรากรอดจากเงื้อมือของชายสวมผ้าปิดปากคนนั้น
ปึง!!!
เขาสะดุ้งตัวโหยงมองไปทางบานประตูอย่างลืมตัวเพราะบานประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง
“ไม่ ไม่ ไม่!!” ชายร่างยักษ์คนนั้นเดินมากระชากร่างของแทฮยองออกจากเตียงอย่างสุดแรง เขาพยายามเข้าไปยื้อหยุดแรงดึงของชายคนนั้นแต่มันกลับไม่ได้ผล
“จองกุก…” คิมแทฮยองใส่บางอย่างเข้ามาในมือของเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะโดนดึงออกไปนอกตัวห้อง “ตามหาฉันนะ”
“แทฮยอง!!!”
“คุณจองกุกคุณเข้าใจที่หมอพูดใช่ไหมครับ”
“ผมไม่เข้าใจคุณโกหก เขามีตัวตนจริงๆ ผมเห็นเขา หมอก็ต้องเห็นเขา เรานอนอยู่ห้องเดียวกันเขานอนอยู่เตียงตรงข้ามผมทุกคืนเขาจะไม่มีอยู่จริงได้ยังไง” จองกุกพยายามดิ้นจากการถูกยึดมือและเท้าไว้กับเก้าอี้ด้วยที่ล็อกพวกนี้ “หมอตอบผมสิคุณชเวไม่ได้ตายเพราะหัวใจวายใช่ไหม เขาต้องตายเพราะถูกฉีดสารพิษเข้าไปแน่ๆ”
“คุณชเวตายด้วยเพราะอาการหัวใจวายจริงๆครับ ทั้งผู้ชายสวมผ้าปิดปากคนนั้นและทั้งผู้ป่วยร่วมห้องของคุณพวกเขาไม่มีอยู่จรงนะครับคุณจองกุก”
เพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของหมอคนนั้นสำหรับเขามันไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป จองกุกเอาแต่โหวกเหวกคำว่าโกหกซ้ำไปและวนมา
“พาเขากลับไปที่ห้องหน่อยครับ” หมออันบอกกับผู้ช่วยร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหลังของเขาวีลแชร์ถูกเข็นผ่านทางเดินห้องผู้ป่วยที่สุดแสนคุ้นตาจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของเขา สภาพภายในห้องทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพียงแต่ว่ามันไม่มีเตียงอีกเตียงที่ควรจะตั้งอยู่อีกฝากของห้อง
“คุณรู้ใช่ไหมครับว่าอาการป่วยของคุณหากคุณหยุดกินยามันจะทำให้สมองของคุณเริ่มสร้างภาพจินตนาการออกมา”
“ไม่ ไม่ มันควรจะมีเตียงอีกเตียงอยู่ตรงนั้น”
“มันไม่เคยมีเตียงอีกเตียงครับ คุณนอนในห้องนี้คนเดียวตลอดคุณจองกุก”
“ไม่ผมจับตัวเขาได้ เรากอดกัน จูบกันเขาต้องมีตัวตนอยู่จริง” ชายในเสื้อกาวน์ส่ายหน้าเบาๆ
“มันเป็นเพราะสมองของคุณบอกว่าคุณกำลังกอดกับเขา คุณกำลังสัมผัสเขาแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามีตัวตนอยู่จริงนะครับ”
“ไม่…. ไม่” เขาเอาแต่พูดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา เรื่องราวที่ผ่านมามันจะไม่ใช่เรื่องจริงได้ยังไง หมออันก็เหมือนคนพวกนั้นที่ซ่อนแทฮยองไว้จากเขาเอาแต่โกหกเขาทำเหมือนกับว่าเขาเป็นบ้า
จอนจองกุกหลุดจากพันธนาการแต่ก็ต้องถูกขังเอาไว้ในห้องที่มีการใส่กลอนแน่นหนาจากข้างนอก เด็กหนุ่มเดินพูดคำว่าง‘ไม่’วนไปมาอยู่ในห้อง มองไปยังกำแพงที่ว่างเปล่า
“มันควรจะอยู่ตรงนั้น เตียง!! มันควรจะ!! อยู่ตรงนั้น!!!” ระบายอารมณ์โมโหทุกอย่างด้วยการปาทั้งหนังสือผ้าห่มและหมอนใส่กำแพงสีขาวอย่างสุดแรง เขาหวีดร้องออกมาสุดเสียง
“ทุกอย่างมันต้องเป็นความจริงใช่ไหม… แทฮยอง” จองกุกเดินวนไปมาเอ่ยถามกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้อีกต่อไป
แกรบ
เท้าของเขาเดินไปเหยียบบางอย่างจนเกิดเสียง จอนจองกุกก้มลงเก็บมันขึ้นมาดูมันเป็นเศษกระดาษสีขาวที่ถูกเขียนอะไรบางอย่างเอาไว้
‘Find Me’
เสียงคำพูดของแทฮยองในคืนนั้นดังกึกก้องเข้ามาในหัว น้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่ร้อนผ่าว จอนจองกุกไม่รู้ว่าในตอนนี้ตัวของเขาควรจะรู้สึกอะไรก่อนแล้วเป็นอย่างแรก
เศษกระดาษนี้มันคือของที่ชายคนนั้นให้เขาไว้ก่อนที่จะถูกจับตัวไป
มันคือสิ่งที่สามารถใช้พิสูจน์ได้ว่า
คิมแทฮยองมีตัวตนอยู่จริง
รึเปล่า ?
แฮร่
ขอบคุณบ้าน @VKfictionsTH ที่เปิดโอกาสให้เราได้เข้าร่วมโปรเจกต์นี้นะคะ
เดิมทีไม่ค่อยจะเพื่อนที่ชิปคู่เดียวกันพอมาเข้าร่วมโปรเจกต์ก็รู้จักไรต์เตอร์เพิ่มหลายท่านเลยค่ะ
เราพยายามแต่งในแนวที่เราคิดว่าน่าจะถนัด
เพราะแบบนั้นจึงหวังว่าจะชอบกันนะคะ หากมีข้อผิดพลาดเราต้องขอโทษด้วยค่ะ
ขอบคุณสำหรับโอกาสดีๆค่ะ
MR.XAI
02/12/2017
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮือเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกปวดหัวใจจี๊ดๆเลยค่ะ ._. ขอบคุณไรท์ที่่แต่งขึ้นมาให้อ่านด้วยนะคะ <3
ชอบค่ะ
ส่วนตัวเรา คิดว่าแทน่าจะมีตัวตนอยู่จริงค่ะ เพราะตอนโดนจับตัวไปแทบอกให้ตามหา แล้วยังมีกระดาษนั่นอีก แต่ที่กุกหาแทไม่เจอเพราะหมอแยกแทออกจากกุก หมออาจจะให้กุกคิดว่าตัวเองเป็นบ้าจริงๆก็ได้ค่ะ เราคิดแบบนี้นะ