ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดาวกับตะวัน...เวอร์ชั่นรีไรท์ (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 416
      0
      7 ต.ค. 55



    ดาวกับตะวัน บทที่ 1

        

     
    รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีขาวคันโตแล่นฉิวตรงผ่านประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หญิงสาวเอวบางร่างเล็กหมุนพวงมาลัยบังคับให้รถเลี้ยวไปตามทางอย่างช้าๆ พลางฮัมเพลงตามเสียงเพลงที่ดังออกมาจากลำโพงในรถอย่างอารมณ์ดี ดวงตาคู่คมเข้มมองซ้ายแลขวา แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข เธอมองทิวทัศน์สองข้างทางอย่างตื่นเต้นจนแทบจะเก็บอาการนั้นไว้ไม่อยู่
        
    นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมสถานที่ในความทรงจำแห่งนี้เลย ดุจดาวลองนับจำนวนปีเล่นๆ อยู่ในใจ แต่แล้วก็ต้องเผลออุทาน โอ้โห! พร้อมทำตาโตเป็นท่าประกอบคำพูด
        
    “9 ปีแล้วเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อ” น้ำเสียงพึมพำเเผ่วเบาหลุดออกมาจากปาก ดุจดาวหัวเราะตามเบาๆ เเล้วส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม
        
    หลังจากจบการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ เธอไม่เคยได้กลับมาเหยียบย่างที่นี่อีกเลย นับไปนับมาก็ครบรอบปีที่ 9 พอดิบพอดี นานพอดูเลยนะเนี่ย ไม่ใช่สิ! มันนานมากต่างหากล่ะ อีกเสียงหนึ่งแย้งขึ้นมาในความคิด ทำเอาเธอเองรู้สึกขันตัวเองไม่น้อย กับความคิดประหลาดๆ ที่ถกเถียงกันอยู่ในหัว  
        
    แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะนานพอดู หรือนานมาก มันก็นานเหมือนกันน่ะแหละ ดุจดาวสรุปความคิด กลับไปให้ความสนใจกับบรรยากาศใหม่ๆ ที่ยังกลุ่นกลิ่นไออดีตอย่างเพลิดเพลินอีกครั้ง  
        
    ไม่แปลกใจเลยที่ทิวทัศน์สองข้างของถนนเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ตึกสูงใหญ่โผล่ผุดขึ้นมาตั้งหลายตึก สนามฟุตบอลด้านหน้าของมหาวิทยาลัยที่รถของเธอเพิ่งเคลื่อนผ่านเมื่อสักครู่ ถูกปรับตกแต่งใหม่ให้สวยงามกว่าเดิม ต้นไม้ใบหญ้าดูจะเพิ่มจำนวนมากมายขึ้นกว่าสมัยที่เธอเรียนตั้งเยอะ  
        
    ดุจดาวระบายยิ้มน้อยๆ ถึงแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่ตึกคณะที่คุ้นเคยยังตั้งมั่นคงอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน เฉกเช่นความทรงจำในวานวันก็ไม่เคยลางเลือนไปจากความรู้สึกของเธอแม้เพียงครั้ง ถึงเวลาจะผันผ่านไปนานแสนนานก็ตาม

        











    สาวร่างเล็กหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถด้านหน้าอาคารคณะศิลปกรรมศาสตร์ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดเพลง ดับเครื่องยนต์แล้วหยิบกระเป๋าสะพายก้าวลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปในตึกอย่างมีความสุข การได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าประดุจบ้านที่คุ้นเคยอีกหลัง ช่วยเรียกเรื่องราวดีๆ ในอดีตให้กลับมาแจ่มชัดในมโนนึกได้ง่าย โดยที่แทบจะไม่ต้องเสียเวลานึกคิดให้มากมาย
        
    ใบหน้าคมคายระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อในความคิดมีเเต่เรื่องของวานวันไหลวนเวียนเต็มไปหมด ดุจดาวเดินเข้าไปด้านในตัวตึก ก่อนจะรีบก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อจะไปให้ทันลิฟต์ เมื่อมองเห็นประตูลิฟต์กำลังจะเลื่อนปิด
        
    “รอด้วยค่ะ” เธอส่งเสียงบอกคนด้านใน
        
    ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก ดุจดาวก้าวเข้าไปด้านในทันที เธอส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับหญิงสาวร่างสูงในชุดนักศึกษาที่กำลังกดลิฟต์ค้างรอเธออยู่ ประตูลิฟต์เลื่อนปิดลงอีกครั้ง
        
    “ชั้นไหนคะ” หญิงสาวร่างสูงเอ่ยถามอย่างสุภาพ พลางเหลียวมามองดุจดาวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
        
    ดุจดาวชะงักนิ่งไป เธอเผลอมองใบหน้าคมคายของหญิงสาวร่างสูงราวกับตกอยู่ในภวังค์ ยิ้มน้อยๆ ที่ประดับอยู่ในดวงหน้านั้นทำเอาหัวใจของสาวร่างเล็กอย่างเธอกระตุกวาบขึ้นมาอย่างประหลาดคล้ายหัวใจกำลังถูกช็อต
        
    เพียงเสี้ยวนาทีที่เธอได้สบตากับผู้หญิงคนนี้ ดังมีอำนาจลึกลับบันดาลให้สรรพสิ่งรอบตัวหยุดการเคลื่อนไหว ผนังลิฟต์ทั้งสี่ด้านมลายหายกลายเป็นกำแพงอากาศ ความรู้สึกวิ่งทะลุล่องลอยไปไกลในมโนคติ เธอรู้สึกเบาสบายเหมือนตัวเองกำลังวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจีที่เอนลู่ลมรับแสงสีทองที่ทาบทอขอบฟ้า  
        
    แปลกจัง! นี่เธอเป็นอะไรไป แค่รอยยิ้มจากคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอ ทำไมถึงสามารถพาหัวใจของเธอให้ก้าวกระโดด จินตนาการไปได้ไกลถึงเพียงนี้ เธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร รู้แต่มันดี! ดีจริงๆ เลย
        
    “คุณคะ จะไปชั้นไหนคะ”
        
    เสียงอ่อนโยนที่ทอดถามมาอีกครั้ง ทำเอาสาวร่างเล็กหลุดออกจากภวังค์อันแสนจะดี ดุจดาวมองไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวร่างสูงเสียแล้ว มีเพียงแววตาที่มองมาอย่างสงสัย ในท่าทางเหม่อๆ ลอยๆ ของเธอ
        
    บ้าจริง! นี่ฉันเผลอจ้องมองเค้าถึงขนาดนี้เลยเหรอ ดุจดาวแอบค่อนขอดตัวเองในใจ แล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ ก่อนจะเบนสายตาไปมองปุ่มตัวเลขที่วางเรียงรายไล่ระดับชั้นอยู่บนกำแพงข้างประตูลิฟต์
        
    “เออ... ชั้นเดียวกันค่ะ” ดุจดาวเหลียวไปบอก สาวร่างสูงไม่พูดอะไรต่อเพียงแค่ส่งยิ้มกลับมาให้เธออีกครั้ง  
        
    คราวนี้ดุจดาวถึงกลับพิศวงงงงวยไปกับความรู้สึกประหลาดที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาในใจอีกระลอกหนึ่ง ยิ้มที่กว้างกว่าเดิมของเด็กสาวร่างสูงในชุดนักศึกษา ทำเอาใจเธอสั่นเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะมันเอาแต่ร้อง ตุ๊มๆ ต่อมๆ ตุ๊มๆ ต่อมๆ โอ๊ย! ใจเด้ง ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น เลือดในตัวสูบฉีดไปทั่วร่าง ไม่เว้นแม้แต่พวงแก้มเนียนที่แต่งแต้มด้วยบรัชออนสีชมพูจางๆ บัดนี้สีที่ว่ามันคงเข้มปรี๊ดจนจวนเจียนจะแดงไปเสียแล้วมั้ง  
        
    ดุจดาวพยายามระงับความรู้สึกแปลกๆ ใหม่ๆ เหล่านี้ให้นิ่งสงบลงโดยพลัน มือจับกระชับกระเป๋าสะพายเสียแน่นราวกับกำลังตั้งใจอย่างยิ่ง เธอสูดหายใจเรียกสติอีกครั้ง ก่อนจะเบนสายตาหนีจากพื้นที่เพิ่งก้มลงมองเพื่อหยุดความคิดที่กระจัดกระจายไปเมื่อสักครู่ เงยหน้าขึ้นมองตัวเลขที่กำลังเปลี่ยนระดับชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ
        
    เเต่เเล้วดวงตาคู่คมก็เผลอชำเลืองมองคนข้างๆ อีกครั้ง เเล้วก็ต้องแอบคิดพินิจพิจารณามนุษย์แปลกหน้าที่ดึงดูดตาดึงดูดใจเธอไปได้เพียงเสี้ยวนาที ผู้หญิงคนนี้ เอ๊ะ! หรือเด็กคนนี้ดี เธอจะเรียกยังไงดีนะ ดูท่าทางอายุอานามน่าจะสักยี่สิบต้นๆ ได้แล้วนะ เอาเถอะน่า ถึงจะยังไง ผู้หญิงคนนี้ก็อายุน้อยกว่าเธออยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ต้องเด็กกว่าเธออย่างแน่นอน เสียงลึกลับสองเสียงในหัว โผล่มาแทรกให้ได้ขบคิดราวกับพลุที่พุ่งขึ้นแล้วแตกกระจายสลายไปในอากาศ
        
    เฮ้อ...ช่างมันเถอะ จะเรียกยังไงก็ไม่สำคัญหรอก เพราะไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ความคิดที่แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายได้ข้อยุติเสียแล้ว ดุจดาวจึงเรียกสติให้กลับมาพิจารณาเด็กสาวร่างสูงได้อีกครั้ง
        
    เด็กคนนี้คงเป็นรุ่นน้องเธออย่างไม่ต้องสงสัย ชุดนักศึกษากับรองเท้าผ้าใบเก่าๆ คล้ายเป็นภาพชินตาไปเสียแล้ว สำหรับเด็กที่เรียนศิลปะ แต่สิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนที่สุด ก็คือเฟรมผ้าใบอันใหญ่ที่วางพิงผนังลิฟต์อยู่ข้างๆ ตัวเด็กคนนี้นั่นไงล่ะ ดุจดาวปรับระดับสายตาขึ้นไปมองเสี้ยวหน้าคมคายของเด็กสาวร่างสูงอีกครั้ง มันดูเสียมารยาทไม่น้อยที่แอบมองคนอื่นแบบนี้ เธอเองก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้หรอก
        
    แต่คราวนี้ ทำไม? สมองกับหัวใจถึงได้พร้อมใจกันสั่งให้เธอมองก็ไม่รู้
        
    สาวร่างเล็กสะบัดหน้าไปมาช้าๆ พยายามบังคับสายตาให้มองไปที่อื่น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถพาสายตาตัวเองให้หลุดออกจากเด็กสาวคนข้างๆ ได้เสียที เอาล่ะ เป็นไงเป็นกัน ขอทำตามความรู้สึกก็แล้วกัน ดุจดาวคิดได้ดังนั้นก็แอบปรายตามองสำรวจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างจดจ่อ
        
    เด็กผู้หญิงคนนี้รูปร่างสูงโปร่งเกินมาตรฐานหญิงไทย ทำเอาคนตัวเล็กอย่างเธออดที่จะอิจฉาไม่ได้ แขนขายาวแบบนี้ คาดคะเนว่าน่าจะสูงสัก 170 เซ็นต์ได้กระมัง แต่เศษเท่าไหร่อันนี้ก็สุดเหนือความคาดเดา ผมหยักศกน้อยๆ ที่แผ่สยายยาวถึงกลางหลัง แถมมีผมหน้าที่ตัดสั้นคล้ายผมม้านั้นช่วยทำให้บุคลิกของเด็กคนนี้ดูเท่ๆ เซอร์ๆ ไปอีกแบบ แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ขัดตาเลยแม้แต่น้อย แปลกตรงที่มันกลับดึงดูดให้คนอย่างเธอเผลอมองจนเก็บเอามาชื่นชมอยู่อย่างเช่นในตอนนี้  
        
    ผิวสองสีที่ค่อนไปทางขาวนวลเนียนราวกับผิวเด็ก บุคลิกท่าทางนิ่งๆ เย็นๆ ทำให้เธอที่แค่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกสงบสบายอย่างไม่น่าเชื่อ เสียงสุภาพที่แสนจะอ่อนโยนยามเอ่ยถามเธอนั้นก็ราวกับมีแรงดึงดูดให้อยากจะเข้าไปทำความรู้จักยิ่งนัก มันช่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเสียจริง และนอกจากรูปร่างและบุคลิกที่น่าชมน่ามองแล้ว ใบหน้าของเด็กคนนี้ก็ช่างน่ายลเสียยิ่งกระไร
        
    โครงหน้าเรียวยาวคมคายแฝงเสน่ห์ล้ำลึกที่น่าค้นหา ดวงตากลมโตสดใสคล้ายดั่งดาวดวงน้อยๆ คู่นั้น ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้ว่ามันน่าหลงใหลแค่ไหน คิ้วเข้มที่โค้งเรียวสวยพอดีกับดวงตากลมคู่นั้นก็ช่างเหมาะเจาะพอดิบพอดี สันจมูกโด่งได้รูปรับกับใบหน้า ถ้าเธอได้ลองเอื้อมมือไปจับสักครั้งจะเป็นยังไงนะ แล้วยังริมฝีปากสีชมพูรูปกระจับที่เข้ากันอย่างเหมาะเจาะราวกับจับวางนั่นอีกล่ะ ถ้าได้ประทับสัมผัสแม้เพียงครั้ง จะหวานแค่ไหนกัน
        
    ตุ๊บ! เสียงเหมือนของหนักหล่นจากที่สูงดังขึ้นมาขัดความคิด แต่เปล่าเลยมันคืออาการตกใจคล้ายกับร่างของเธอร่วงดิ่งลงมาจากที่สูงนั้นเสียเองมากกว่า นี่คิดเลยเถิดไปไกลได้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันนะ เผลอแอบมองคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันยังไม่พอ ยังจะเผลอปล่อยความคิดเป็นตุเป็นตะไปได้ขนาดนี้ นี่ถ้าใครเกิดมาล่วงรู้ความคิดของเธอเข้า คงจะน่าอับอายขายหน้าเอามากๆ พวงแก้มของสาวร่างเล็กเข้มปรี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง  
        
    เอาล่ะสิ! นี่มันเกิดเหตุอันใดขึ้นกับตัวเธอกันแน่ ที่เขินจนแก้มเปลี่ยนสีเนี่ย อายเพราะว่ากลัวคนล่วงรู้ความคิดของเธอ หรือเพราะอายที่เธอจินตนาการคิดไปไกลถึงอารมณ์หวามไหวแบบนั้น
        
    ติ๊ง! เสียงสัญญาณบอกชั้นดังขึ้น เรียกสติดุจดาวที่กำลังสับสบวุ่นวายให้กลับเข้ามาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง  ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออกช้าๆ ทั้งสองสาวเหลียวมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ คล้ายมีมือลึกลับจับศีรษะของทั้งคู่หมุนเข้าหากัน ไม่รู้ทำไมต้องมอง?
        
    เด็กสาวร่างสูงส่งยิ้มน้อยๆ ให้ดุจดาวอีกครั้ง
        
    พอแล้ว อย่ายิ้มได้มั้ย สาวร่างเล็กแอบบ่นอยู่ในใจ เพราะรอยยิ้มน้อยๆ นั้นช่างมีแรงดึงดูดให้เธอเผลอปล่อยใจให้หลงใหลเสียเหลือเกิน ดุจดาวปั้นยิ้มเจื่อนๆ กลับไป ความรู้สึกดูไม่ค่อยสมดุลกับสภาวะการณ์ปกติเท่าไหร่นัก เหมือนความรู้สึกฟุ้งกระจายลอยวนอยู่ในอากาศ ในขณะที่ร่างกายยังคงนิ่งอยู่กับที่ รู้สึกเหมือนเสียการควบคุมยังไงก็ไม่รู้ คิดได้ดังนั้น เธอก็รีบก้าวเท้าเร็วๆ ออกจากลิฟต์เดินตรงดิ่งไปยังห้องพักอาจารย์ที่อยู่สุดมุมทางเดินทันที

        












    ดุจดาวเปิดประตูเข้าไปยืนอยู่ในห้องพักอาจารย์ ภายในห้องนี้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยที่เธอเคยเรียนอยู่มาก โต๊ะที่เพิ่มมากขึ้นทำให้การจัดวางภายในห้องเปลี่ยนไป อุปกรณ์เครื่องใช้ก็ดูทันสมัยขึ้นตามยุคสมัย เธอยืนเก้ๆ กังๆ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่อย่างนั้น ใบหน้าแลดูยุ่งเหยิงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หัวคิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดเข้าหากัน ได้เเต่แอบตำหนิตัวเองในใจที่ไม่โทรมาแจ้งเพื่อนสนิทก่อนว่าจะเข้ามาหา เป็นไงล่ะ ตอนนี้เหมือนคนหลงทางไม่มีผิด ครั้นจะเอ่ยถาม ก็ไม่เห็นจะมีวี่แววสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้เลย
        
    เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นด้านหลัง คล้ายเสียงระฆังช่วยชีวิต ดุจดาวรีบเหลียวไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่อย่างยินดี เด็กสาวร่างสูงที่ทำให้เธอจิตใจสับสนเมื่อสักครู่เดินเข้ามาด้านใน เด็กคนนั้นปรายตามองเธอนิดๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะแถวกลางตัวในสุด เธออดที่จะมองตามไปไม่ได้ ก็ท่าทางนิ่งๆ ขรึมๆ นั้นมันดึงดูดสายตาได้อีกครั้ง  
        
    ดุจดาวเห็นเด็กคนนั้นยกยกเฟรมผ้าใบที่ถือมาด้วยขึ้นมาสำรวจตรวจตราก่อนจะวางมันลงกับพื้นพิงโต๊ะเอาไว้ เธอมองท่าทางเหล่านั้นอย่างไม่วางตา  
        
    เฮ้อ! ทำไมต้องสนใจด้วยนะ ความคิดแปลกๆ ย้อนกลับมาให้เธอไถ่ถามตัวเองอีก ไม่มีอะไรหรอกน่า เธอก็แค่รอให้เด็กคนนั้นทำธุระให้เสร็จ แล้วเธอก็จะได้ถามถึงเพื่อนสนิทของเธอที่เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่สักที เพราะว่าเด็กคนนั้นดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่เล็ดลอดเข้ามาให้เธอพึ่งพิงได้ สาวร่างเล็กถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อหาคำตอบให้กับตัวเองได้ แต่นั่น...มันจะใช่คำตอบจากใจของเธอจริงๆ หรือ?
        
    เด็กสาวร่างสูงเดินกลับออกมาจากด้านใน ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าสาวร่างเล็ก
        
    “คุณมารอพบใครหรือเปล่าคะ?”
        
    “เออ... คือพี่ เอ๊ย! ฉันมารอพบว่าน เอ๊ย! อาจารย์รสิตาน่ะค่ะ” ดุจดาวตะกุกตะกักตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ
        
    นี่เธอกำลังประหม่าเหรอเนี่ย โอ๊ย! ตายแล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกตื่นเต้นแบบนี้นะ ความคิดภายในหัวสมองดูจะติดๆ ขัดๆ ไม่แพ้คำพูดเลย
        
    “อ๋อ อาจารย์ว่านมีสอนน่ะค่ะ” เด็กสาวร่างสูงเอ่ยบอก ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
        
    คราวนี้ดุจดาวควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะหัวสมองกำลังประมวลหาสาเหตุแห่งความวุ่นวายอยู่กระมัง เธอถึงไม่ได้แสดงกิริยาอาการใดๆ ออกไป
        
    “แต่อีกเเป๊บเดียวก็น่าจะเลิกแล้วค่ะ” เด็กสาวร่างสูงเบนสายตากลับมามอง เเล้วส่งยิ้มให้อีกครั้ง
        
    “เหรอคะ แล้ว...แล้วพี่ เอ๊ย! ฉันจะไปรอได้ที่ไหนบ้างคะ แล้ว...แล้วโต๊ะอาจารย์ว่านก็อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้” ดุจดาวเริ่มตื่นเต้นอีก เมื่อได้เจอกับรอยยิ้มพิฆาตหัวใจอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนสาวร่างสูงจะยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อยด้วย เมื่อเห็นอาการพูดรนๆ ของเธอ
        
    “อืม โต๊ะอาจารย์ว่านอยู่ตัวในสุดค่ะ... ตรงนั้น” เด็กสาวร่างสูงพูดพร้อมทั้งชี้มือบอก ดุจดาวมองตามไป นั่นน่ะโต๊ะที่เด็กคนนี้เอาเฟรมไปวางพิงไว้นี่นา
        
    “แล้วก็...คุณนั่งรอที่โซฟาข้างๆ นี่ก็ได้ค่ะ” เด็กสาวร่างสูงเอ่ยบอกพร้อมกับชี้ไปยังโซฟาที่วางชิดติดกับกำแพงทางด้านขวามือ ดุจดาวเหลียวมองไปยังโซฟาทันที
        
    “ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมงหรอกค่ะ เพราะว่านี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย ถ้าอย่างงั้น... ขอตัวก่อนนะคะ”
        
    ดุจดาวพยักหน้าตามเล็กน้อย มองตามเด็กคนนั้นไปจนกระทั่งบานประตูปิดสนิท  
        
    อยู่ดีๆ ความรู้สึกใจหายก็พลันบังเกิดขึ้น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนั้น เธอเดินไปนั่งที่โซฟา ภาพเด็กคนนั้นย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง อันที่จริงจะว่าย้อนก็คงไม่ถูกนักหรอก เพราะมันเพิ่งจะหล่นหายไปเมื่อตอนที่เธอเหมือนถูกทิ้งให้เคว้งคว้างเพียงลำพังในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้
        
    ความคิดแปลกประหลาดที่ลอยฟุ้งกระจัดกระจายในอากาศเมื่อสักครู่ ถูกดึงกลับไปวนเวียนในหัวสมองอีกครั้ง เพราะอะไร? และเพราะเหตุใด? เธอถึงได้เกิดความรู้สึกแปลกๆ กับเด็กสาวแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอได้นะ ทำไมเด็กคนนั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเธอได้ถึงขนาดนี้ ขนาดที่เธอสามารถเก็บเอามาคิดอยู่อย่างเช่นในตอนนี้ได้  
        
    อาการหวั่นไหวยามได้พูดคุยอยู่ใกล้ อาการใจเต้นแปลกๆ ยามได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยน อาการเขินอายยามเมื่อได้สบดวงตาหวานๆ คู่นั้น อาการใจหายยามที่เด็กคนนั้นเดินจากไป และที่น่าพิศวงงงงวยเป็นที่สุดก็คือความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้น ณ ตอนนี้  
        
    อาการคิดถึง!
    เธอคิดถึงใบหน้าคมคาย คิดถึงดวงตาคู่กลมโต คิดถึงจมูกโด่งๆ คิดถึงริมฝีปากรูปกระจับ คิดถึงถ้อยคำอ่อนโยนที่แสดงความมีน้ำใจ เธอคิดถึงทุกอย่างที่รวมเป็นเด็กคนนั้น ทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักสนิทสนมคุ้นเคย แต่เธอก็คิดถึง ความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมมันช่างมีพลานุภาพต่อจิตใจของเธอได้ถึงเพียงนี้
        
    นี่มันอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอ เอ๊ะ! หรือว่านี่จะเป็น... รักแรกพบ!!!
        
    ปัง! เสียงปิดประตูเรียกสติสตังของสาวร่างเล็กให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง หลังจากที่เธอเผลอตัวลงไปว่ายวนอยู่ในความคิดแปลกๆ ที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งสักครู่ใหญ่แล้ว ดุจดาวเหลียวไปมองบุคคลที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง พลันรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏสู่ใบหน้างามของเธอทันที
        
    “อ้าว! ดาว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมไม่โทรมาบอกฉันก่อนล่ะ แล้วไปไงมาไง ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่ได้ ร้อยวันพันปีไม่ยักกะโผล่มา”
        
    รสิตาหรือใบว่าน ที่เพิ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าโซฟาเอ่ยทักเพื่อนสนิทเป็นชุด ก่อนจะวางกองเอกสารที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะกลางด้านหน้าโซฟาที่สาวร่างเล็กนั่งอยู่ ดุจดาวลุกขึ้นยืน เธอยิ้มกว้างมากกว่าเดิม เรื่องราวอัศจรรย์ใจที่เพิ่งบังเกิดขึ้นในความคิดขอยั้งไว้ก่อน ตอนนี้คือเวลาของเพื่อนสนิท
      
     “แหม! แกนี่ก็ พูดเกินไป ร้อยวันพันปี พูดซะแก่เชียวนะ” สาวร่างเล็กค่อนขอดเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม
        
    “ย่ะ ฉันแก่แกก็แก่เหมือนกันน่ะแหละ เพราะฉันกับแกก็เข้าเลขสามแล้วทั้งคู่ ฮิๆ อ้อ! แล้วฉันก็ไม่ได้พูดเกินไปด้วย ก็ตั้งแต่แกเรียนจบ แกก็สะบัดตูดหนีหายไปเลย ไม่เคยสำนึกรักบ้านเกิดกลับมาบ้านเก่าหลังนี้อีก... 9 ปีแล้วสิเนี่ย แกลองเอา 9 ปี คูณ 365 วันดูนะ ทั้งหมดมันกี่วัน แล้วยังจะมาหาว่าฉันพูดเกินไปอีกนะ คุณดุจดาว” ใบว่านเหน็บเพื่อนสนิทเสียยืดยาว คนโดนเหน็บได้แต่ทำปริบๆ จ้องมองเพื่อนสาวอย่างขำๆ
        
    “โห! เพราะเป็นอาจารย์หรือเปล่าเนี่ย เเกถึงได้ขี้บ่นขนาดนี้ ฉันแค่ไม่เคยมาหาแกที่นี่เท่านั้นแหละ พูดอย่างกะ 9 ปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยเจอแกซะงั้น ทำไม อยู่บ้านไม่ค่อยได้บ่นเเฟนเรอะไง พอเจอหน้าเพื่อนปุ๊บก็บ่นเอาซะยกใหญ่เนี่ย อาจารย์ว่าน” ดุจดาวเหน็บกลับบ้าง ทำเอาอาจารย์สาวเพื่อนรักทำตาโตส่งค้อนวงน้อยๆ กลับมา ให้ได้หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
        
    “แหม ก็เเฟนฉันทำตัวดี อยู่บ้านฉันก็เลยไม่ค่อยได้บ่น ว่าแต่แกเถอะ มีธุระอะไรถึงมาหาฉันโดยไม่บอกไม่กล่าวก่อนเนี่ย ไป ไปนั่งคุยที่โต๊ะกัน” ใบว่านพูดพลางเดินนำไปตามแถวกลาง นึกเเปลกใจที่เห็นเพื่อนรักปรากฏตัวขึ้นในที่ทำงานของเธอ เพราะโดยปกติเเล้ว เวลาที่เธอจะได้เจอกับเพื่อนคนนี้ ถ้าไม่เป็นที่บ้านก็เป็นตามร้านอาหารด้านนอกเสียมากกว่า
        
    “ก็จะมาขอความช่วยเหลือแกนิดหน่อย” ดุจดาวพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนนิดๆ
        
    อาจารย์สาวตวัดสายตากลับไปมองด้วยความสงสัย เอ...มาขอความช่วยเหลือเรื่องอะไรล่ะ เเม่เพื่อนซี้ถึงกับถ่อจากรีสอร์ตหรูที่ปราณบุรี เเล่นมาถึงที่เเบบนี้ เเต่ใบว่านยังไม่ทันจะได้ถามไถ่เอาความ เพราะดันสังเกตเห็นเฟรมผ้าใบที่พิงโต๊ะอยู่เสียก่อน
        
    “เอ๊ะ! นี่ของใครเนี่ย” อาจารย์สาวเอ่ยลอยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเฟรมผ้าใบขนาดเท่าโปสเตอร์ขึ้นมาดู
        
    “ลูกศิษย์แกนั่นแหละ ฉันเห็นเดินเอามาวางไว้ตอนที่แกสอนอยู่เมื่อกี้นี้ เด็กผู้หญิงที่ตัวสูงๆ ผมยาวๆ น่ะ” ดุจดาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามระงับให้ราบเรียบ เพราะตอนนี้ใจเจ้ากรรมดันเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ อีกครั้ง เมื่อพูดถึงเด็กคนนั้น...รักแรกพบของเธอ เรื่องราวอัศจรรย์ใจกลับเข้ามาวนเวียนในความคิดอีกแล้ว
        
    ใบว่านขมวดคิ้วเหลียวไปมองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย ใครกันล่ะนั่น เด็กผู้หญิงตัวสูงๆ ผมยาวๆ ลูกศิษย์ลูกหาเธอมีลักษณะเเบบนี้ตั้งหลายคน เเต่เเล้วเธอก็พาสายตาเบนกลับไปมองที่เฟรมผ้าใบอีกครั้ง จนกระทั่งมองเห็นลายเซ็นที่ปรากฏอยู่มุมขวาล่างของเฟรมผ้าใบ อ่อ! รู้เเล้วล่ะว่าภาพวาดนี้เป็นฝีมือใคร
        
    “หืม ฝีมือดีเหมือนเคย แกดูสิ เนี่ยลูกศิษย์ดีเด่นของฉัน พรสวรรค์เต็มเปี่ยม พรแสวงล้นพ้น แถมยังฝีมือดีด้วย อนาคตไกลเชียว” อาจารย์สาวพูดอย่างชื่นชม พลางเบี่ยงเฟรมผ้าใบในมือให้เพื่อนสนิทดูด้วย
        
    เมื่อดุจดาวเห็นภาพในเฟรมก็ออกอาการชะงักไป เพราะคำชื่นชมของเพื่อนนั้นดูจะเหมาะสมกับภาพวาดเบื้องหน้าเสียจริง ฝีมือเด็กผู้หญิงตัวสูงคนนั้นหรือนี่ ว่าที่จิตรกรในอนาคตอย่างเเน่นอน มองภาพเเล้วก็มีอันต้องมองหาลายเซ็นเจ้าของผลงาน “P. Indrananda” มุมล่างขวามีติดอยู่ เเต่ดุจดาวก็เดาไม่ออกอยู่ดี ว่าเจ้าของภาพมีชื่อว่าอะไรกันเเน่
        
    เเต่ช่างมันเถอะ ชื่อเสียงเรียงนามของเด็กสาวร่างสูงคนนั้น หาได้มีอิทธิพลต่อเธอเท่ากับลายเส้นสีที่ปรากฏอยู่ในภาพนี้ ดุจดาวดึงสายตามองไปทั่วทั้งภาพวาดบนเฟรมผ้าใบอีกครั้ง ภาพนี้สวยจริงๆ
        
    “แล้วตกลงแกมีอะไรให้ฉันช่วยล่ะ” ใบว่านเอ่ยถามขึ้นอีก เมื่อเห็นเพื่อนสนิทชักจะนิ่งสงบราวกับถูกดูดกลืนลงไปในภาพยังไงยังงั้น
        
    “อ๋อ! ฉันอยากได้ไอ้นี่แหละ” ดุจดาวเหลียวไปตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชม
        
    ไอ้นี่? มันคืออะไรล่ะ ใบว่านขมวดคิ้วมองเพื่อนรักด้วยความงุนงงสงสัย เเล้วก็ต้องเขยิบศอกสะกิดเรียกเพื่อนสาวที่เอาเเต่จับจ้องมองเฟรมผ้าใบในมือเธอ
        
    “ก็ภาพวาดนี่ไงเล่า ฉันอยากได้ จะเอาไปตกแต่งรีสอร์ตที่ปราณไง” ดุจดาวเหลียวมาบอก
        
    ฮุ้ย! ใบว่านค้อนประหลับประเหลือกให้กับเพื่อนซี้ กว่าจะพูดต้องให้สะกิดถาม เเหม...เพราะเป็นเพื่อนรักหรอกนะ ยอมให้อภัยได้
        
    “แล้วแกอยากได้ภาพแนวไหนล่ะ” อาจารย์สาวเอ่ยถามต่อ ก่อนจะวางเฟรมผ้าใบในมือลงบนพื้นพิงโต๊ะไว้เหมือนเดิม
        
    ดุจดาวถึงกับทำตาปริบๆ มองตามด้วยความอาลัย อา...ยังชื่นชมไม่จุใจเลย สาวร่างเล็กเลยก้มตัวลงไปหยิบเฟรมผ้าใบอันนั้นขึ้นมาถือไว้เสียเอง ดวงตาคู่คมจับจ้องมองภาพโดยไม่ละสายตาไปไหน
        
    “ถามก็ไม่ตอบ ท่าทางเเปลกๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ใบว่านทักขึ้นมาอีก พลางหรี่ตามองเพื่อนสาวคนสนิทที่ดูท่าเหมือนสติหลุด ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังไงยังงั้น
        
    ดุจดาวเหลียวมาทำหน้าเหลอหลาใส่ คำถามของเพื่อนเธอก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะเเม้เเต่เธอก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย ตั้งเเต่ที่ได้พบหน้าเด็กสาวร่างสูงคนนั้น เธอก็เหมือนไม่ใช่ตัวเอง โดนอิทธิพลจากคนไม่รู้จักเเผ่เข้าใส่ให้ความหวั่นไหวเพ่นพ่านเต็มหัวใจ
        
    ถึงเเม้ตอนนี้เด็กคนนั้นจะไม่อยู่ในที่นี้เเล้ว แต่อิทธิพลของหล่อนก็ยังส่งผลต่อเธออยู่ จะอะไรซะอีก ก็ภาพวาดที่ถืออยู่ในมือนี่ไง ที่ดึงสายตาดึงหัวใจให้หลงชื่นชมจนเเทบจะวางไม่ลง อา...เป็นเอามากนะดุจดาว
        
    “ฉันถามเเกว่า เเกอยากได้ภาพวาดเเนวไหน จะได้หาให้ถูก” ใบว่านบอกต่ออีก เฮ้อ...เห็นเเล้วก็อดสงสัยไม่ได้ จนพาลคิดไปไกล ว่าที่เพื่อนสนิทโผล่มาหาถึงที่ทำงาน จะมาเเค่เพราะเหตุผลอยากได้ภาพเขียนไปตกเเต่งรีสอร์ตที่เพิ่งจะสร้างเสร็จเพียงเรื่องเดียวจริงหรือ
        
    ดุจดาวถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางดึงสายตากลับไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่ยืนทำหน้ามู่ทู่อยู่ข้างๆ คงจะต้องตอบเเล้วล่ะ ขืนยังมัวเเต่ให้ความสนใจกับภาพวาดในมือ จุดประสงค์ที่มาหาเพื่อนสนิทในวันนี้คงจะไม่บรรลุผล
        
    “Impressionism”
        
    “หา!! อิมเพรสชั่นนิสม์ แหม คุณดุจดาวเจ้าขา อย่ามาวิชาการให้มาก นี่ไม่ใช่คริสต์ศตวรรษที่ 19 นะเจ้าคะ จะมาอยากได้ภาพอิมเพรสชั่นนิสม์ พูดให้เคลียร์กว่านี้หน่อยได้มั้ยยะ” ใบว่านพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆ จากเพื่อนรักได้ในทันที
        
    “ก็อยากได้ภาพวาดทิวทัศน์ ธรรมชาติ มันดูมีเสน่ห์ดี มองแล้วสบายตาแล้วมันก็ให้ความรู้สึก ให้อารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี มีแสงมีเงาพาดผ่าน เป็นไปตามภาพธรรมชาติที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันดูไร้กฏเกณฑ์ ไร้กรอบ” ดุจดาวบอกเพื่อนสนิท ในขณะเดียวกัน ก็พาสายตาตัวเองกลับไปจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดบนเฟรมผ้าใบในมือ
        
    เอ๊ะ! จะว่าไปภาพนี้ก็คุ้นๆ นะ มันเหมือน... ภวังค์ความคิดอันแสนดีของเธอยามที่ได้เผลอสบสายตา เเล้วเปิดรับรอยยิ้มจากเด็กสาวแปลกหน้าคนที่พาหัวใจเธอล่องลอยไปไม่มีผิดเพี้ยน ดุจดาวสั่นหน้าน้อยๆ รีบเรียกสติเเล้วเปล่งเสียงพูดออกมาอีกครั้ง
        
    “แกดูนี่สิ สีสันในภาพผสมกลมกลืนกันด้วยตัวของมันเอง ดูแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวา ภาพนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลุดเข้าไปในทุ่งหญ้าเขตร้อน ต้นไม้ใบหญ้าที่เอนลู่ไหวไปตามแรงลมโบก อาบไล้ด้วยแสงสีทองจากดวงอาทิตย์ ดูแล้วให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจ” สาวร่างเล็กอธิบายความรู้สึกจากสิ่งที่ดวงตาของเธอมองเห็นให้เพื่อนซี้ฟัง เเถมยังเบี่ยงภาพไปให้ใบว่านได้ชื่นชมด้วย
        
    “แล้วแกลองดูลายทีแปรงที่ตั้งใจทำนี่ด้วย พลิ้วไหวได้อารมณ์ชะมัด ฉันชักจะติดใจภาพนี้ซะแล้วล่ะสิ ภาพแบบนี้แหละ ที่ฉันอยากได้ไปตกแต่งในห้องพักแล้วก็บริเวณอื่นๆ ของรีสอร์ต ฉันว่านอกจากจะได้ชื่นชมธรรมชาติด้วยตาเปล่าแล้ว บางครั้งภาพพวกนี้ก็ช่วยสร้างสุนทรียะทางอารมณ์ให้คนที่มองได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนมาพักผ่อนจริงๆ” ดุจดาวร่ายยาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมเจ้าของภาพวาด
        
    แต่ที่บอกว่าติดใจเนี่ย เธอก็ชักไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าติดใจเจ้าของภาพนี้ไปด้วยหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เธอชอบภาพนี้จริงๆ เสียด้วยสิ ชอบจนถึงขนาดอยากได้ติดมือกลับบ้านไปด้วย
        
    อาจารย์สาวมองเพื่อนสนิทด้วยความทึ่ง ก่อนจะระบายยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าพร้อมเปิดปากพูดอีกครั้ง
        
    “แหม ไม่เสียชื่อที่อุตส่าห์คว้าเกียรตินิยมอันดับสองได้จริงๆ นะแก วิจารณ์ได้แบบฉันคล้อยตามเชียวนะยะ ว่าแต่แกสนใจเป็นอาจารย์มั้ย แต่ฉันว่าคุณหญิงแม่แกคงไม่ยอมหรอก เฮ้อ...ฉันว่านะ แกบอกฉันตั้งแต่ทีแรกก็เข้าใจแล้ว ทำเป็นเล่นคงเล่นคำ อ๋อ! ฉันรู้แล้ว ที่แท้แกก็มาหาผลงานนักศึกษา กลัวเปลืองเงินอ่ะสิ” ใบว่านแซวกลั้วเสียงหัวเราะ
        
    “ไม่หรอก ไอ้เรื่องเปลืองเงิน ฉันไม่กลัวหรอกนะ ถ้าผลงานดีมันก็น่าเก็บไว้ แต่ที่อยากได้ภาพของบรรดาลูกศิษย์แกเนี่ย ก็เพราะว่าฉันอยากช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ ได้มีที่โชว์ฝีมือ แล้วก็ได้ค่าขนมตอบแทน ไม่ใช่ว่าพอวาดส่งอาจารย์ รับคะแนนเสร็จก็เอากลับไปวางกองไว้ที่บ้าน เด็กสมัยนี้ฝืมือดีถมไป มันก็น่าสนับสนุนนะ แกว่าไม่ดีเหรอ”
        
    ดุจดาวอธิบายให้เพื่อนสาวคนสนิทฟังด้วยรอยยิ้ม เธอเองเคยเป็นนักศึกษาสาขาจิตรกรรมมาก่อน เข้าใจดี ว่าทุกๆ คนที่รักในการวาดภาพเเละมีฝีมือด้านศิลปะย่อมต้องอยากให้ผลงานของตัวเองได้มีที่เเสดงให้คนอื่นได้ชม ไม่ต้องถึงกับเป็นนิทรรศการใหญ่โตหรอก เพียงเเค่ให้คนได้ยลได้ชมบ้าง เท่านั้นมันก็เป็นความภาคภูมิใจเเล้ว
        
    “ย่ะ ก็ดี แต่ถ้าแกจะซื้อภาพนี้น่ะ ฉันคงต้องถามเจ้าของภาพเค้าก่อนนะว่าจะขายมั้ย บางคนก็อยากเก็บผลงานของตัวเองเอาไว้ เอางี้ เดี๋ยวฉันลองถามพวกเด็กๆ ให้แล้วกันว่าใครสนใจจะเอาภาพมาขายแกบ้าง” ใบว่านบอกเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม ถึงเเม้ว่าบรรดาลูกศิษย์จะวาดภาพเพื่อส่งงาน เเต่ผลงานเหล่านี้ก็เป็นฝีมือของเด็กพวกนั้น ในฐานะอาจารย์ เธอจึงไม่สิทธิ์ที่จะนำงานของเด็กมาขายเอาสตางค์โดยพลการ ก็ควรต้องถามความสมัครใจจากเจ้าของผลงานเสียก่อน
        
    “แล้วรีสอร์ตแกเนี่ย จะเปิดเมื่อไหร่ล่ะ” อาจารย์สาวถามต่ออีก
        
    ตั้งเเต่ที่เพื่อนสนิทกลับมาจากต่างประเทศเมื่อสองปีก่อน ดุจดาวก็ไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพกับปราณบุรี เพื่อควบคุมดูเเลกิจการที่เพิ่งก่อสร้าง นานๆ ครั้งถึงจะได้เจอกันสักหน เเต่จะว่าไปรีสอร์ตของเพื่อนใช้เวลาสร้างนานเหลือเกิน ตั้ง 2 ปีเเล้ว เพิ่งจะสร้างเสร็จเหรอเนี่ย
        
    “ก็เร็วๆ นี้แหละ ตอนนี้เหลือแค่เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ฉันก็เลยหาของไปตกแต่งเพิ่มน่ะ” เจ้าของรีสอร์ตตอบพร้อมรอยยิ้มเเห่งความภาคภูมิใจ
        
    จริงอยู่ที่รีสอร์ตเเห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของครอบครัว โดยเกิดขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนของผู้เป็นมารดาเเต่เพียงผู้เดียว หากเเต่ทุกๆ อย่างของรีสอร์ต ไล่ตั้งเเต่การออกเเบบ การก่อสร้าง การตกเเต่ง การเลือกวัสดุ เฟอร์นิเจอร์ หรือเเม้เเต่กระทั่งเเบบฟอร์มชุดพนักงาน ล้วนเเล้วเเต่เป็นการตัดสินใจของดุจดาวเเทบทั้งสิ้น เเล้วเเบบนี้จะไม่ให้เธอภาคภูมิใจได้อย่างไร ในเมื่อทุกขั้นตอนเกิดจากความคิดของเธอ
        
    “แล้วทำไมไม่วาดเองล่ะคะ คุณดุจดาว ฝีมือก็ใช่จะกระจอกงอกง่อย สมัยเรียนก็คว้าเอจากการวาดภาพมาได้ตั้งหลายตัว หืม” ใบว่านถามเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้ม
        
    เพื่อนสาวคนสวยของเธอเนี่ย เเต่ไหนเเต่ไร ฝีมือด้านการวาดรูปไม่เป็นสองรองใครอยู่เเล้ว เเต่เจ้าตัวกลับไม่เลือกเดินต่อในเส้นทางสายศิลปะ ทว่ากลับกระโดดเบี่ยงไปเดินสายบริหารเดินตามเส้นทางธุรกิจของครอบครัว เฮ้อ...คิดเเล้ว ใบว่านก็อดเสียดายฝีมือของเพื่อนสนิทไม่ได้
        
    “อย่าเลย ให้เด็กรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือกันไปเถอะ เเกก็รู้ว่าฉันไม่ได้จับพู่กันมาหลายปีแล้ว” ดุจดาวปฏิเสธ พลางหลบสายตาเพื่อนสนิท ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
        
    “ว่าแต่แกเถอะ หาเวลาว่างไปเที่ยวที่นั่นบ้างสิ ไปนอนดูดาวฟังเสียงคลื่นกัน เปลี่ยนบรรยากาศ”
        
    “น่าสนใจนะเนี่ย เอาไว้ฉันถามหนึ่งดูก่อนว่าว่างไปพักผ่อนวันไหน เเล้วจะบอกนะจ๊ะ” ใบว่านพูดพลางพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
        
    “แหม จะควงแฟนไปสวีทริมทะเลเหรอว่างั้นเถอะ นี่กะจิตกะใจของแกเนี่ย ไม่สงสารเพื่อนตาดำๆ ที่ไร้คู่คนนี้บ้างเรอะ” ดุจดาวพูดแซวพลางแกล้งทำหน้าเศร้า เป็นหนึ่งคนรักของเพื่อนสาวหน้าหวานเนี่ย เธอรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน พูดถึงก็อดคิดถึงไม่ได้ จะว่าไป นานเเล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เจอเป็นหนึ่งพร้อมกับใบว่าน คู่รักเพื่อนสนิทตั้งเเต่ได้พบกันครั้งล่าสุด
        
    “ฉันก็ต้องไปกับแฟนฉันสิยะ มันถูกต้องแล้ว จะให้ไปกับคนอื่นได้ไงกัน แล้วอีกอย่าง ใครใช้ให้แกไม่ชายตามองเองล่ะ ทีงี้มาทำเป็นโอดโอยว่าไร้คู่ แล้วไง คนล่าสุดที่คุณหญิงแม่แกหาให้น่ะ ไม่ถูกใจเร้อ”
        
    “แกก็รู้ ฉันไม่มีวันชอบ ไม่มีวันรัก คนที่แม่ฉันหาให้หรอก ไม่ว่าคนๆ นั้นจะดีแค่ไหนก็เถอะ” ดุจดาวพูดเสียงขรึมลง คราวนี้ใบหน้าสวยของเธอดูเศร้าจริงโดยที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเหมือนเมื่อครู่
        
    ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากมาจากการที่มารดาเป็นคนเลือกให้เเล้วล่ะก็ ไม่มีทางจะถูกใจเธอหรอก สาวร่างเล็กถอนหายใจยาว เธอเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง เเต่ทางเลือกของเธอเองกลับเเทบจะไม่มีเลย ไม่เว้นเเม้เเต่เรื่องของคู่ครอง     
        
    “เอาเถอะ ฉันชินซะแล้วล่ะ สงสัยชีวิตนี้ฉันคงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตโดยปราศจากความรักเสียแล้วมั้ง” ดุจดาวเเค่นยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะขื่นๆ ให้กับชีวิตอันน่าสมเพชของตัวเอง
        
    แต่แล้ว! ภาพเด็กผู้หญิงร่างสูงผู้ซึ่งกุมหัวใจเธอไว้ตั้งแต่แรกพบก็ผุดโผล่ขึ้นมาในความคิดคำนึง ทำเอาดุจดาวนิ่งเงียบไป อา...มาได้ไงกัน?
        
    “ดาว อย่าคิดมาก”
        
    ใบว่านยกมือตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ ราวกับปลอบใจ เธอเองสนิทกับดุจดาวมานาน เเละก็รู้ด้วยว่าครอบครัวของเพื่อนรักเป็นอย่างไร คุณหญิงเดือนดารา อักษราภัค มารดาของดุจดาวนั้น หวังกับลูกสาวคนนี้มาก ทุกๆ เรื่องของดุจดาวต้องมีมารดาเป็นผู้ร่วมออกความคิดเห็นด้วยเสมอ แต่เธอคิดว่าไม่ใช่เเค่ร่วมออกความคิดเห็นหรอก คุณหญิงแม่ของเพื่อนสนิทเธอตัดสินใจแทนเองเสียทุกเรื่องมากกว่า สมัยที่ดุจดาวสอบเข้าเรียนศิลปะที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ ก็เกือบจะไม่ได้เรียนเสียแล้ว เพราะคุณหญิงแม่ไม่ชอบ
        
    เนื่องด้วยที่บ้านเพื่อนของเธอมีธุรกิจมากมายหลายสาขา มารดาของดุจดาวก็เลยอยากให้ลูกสาวเรียนบัญชี บริหาร ตามแบบฉบับนักธุรกิจที่พึงจะบังคับลูกได้ พอเรียนจบจะได้กลับไปรับช่วงบริหารกิจการที่บ้านต่อ เเต่เหมือนตอนนั้นดุจดาวเองก็ดื้อเเพ่งอยากจะเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ท้ายที่สุดเพื่อนสาวคนสวยก็เลยต้องยอมให้สัญญากับมารดา ว่าจะเรียนบริหารให้ก็ต่อเมื่อเรียนศิลปะจบแล้ว
        
    คุณหญิงแม่ของดุจดาวถึงได้ตกลงยินยอม พอเรียนจบปริญญาตรีได้เพียงปีเดียว ดุจดาวก็ถูกส่งตัวไปเรียนปริญญาโทด้านบริหารที่เมืองนอกต่อทันทีตามคำสัญญาที่ได้ให้กับมารดาเอาไว้
        
    เเละหลังจากนั้น 6 ปี ดุจดาวก็กลับมา ไม่รู้เพราะสาเหตุอันใดเพื่อนสนิทของเธอถึงได้ ใช้เวลาเรียนปริญญาโทเนิ่นนานกว่าคนอื่นเขา ใบว่านไม่ได้ถามเหตุผล เเต่พอรู้ได้จากความรู้สึกว่า เพื่อนรักของเธอยังไม่อยากจะกลับมาใช้ชีวิตในเเบบฉบับนักบริหารเครียดๆ ที่เมืองไทย ดังนั้นช่วงระยะเวลาที่ดุจดาวอยู่เมืองนอก เวลาในการเรียนบริหารจึงถูกเเบ่งไปใช้หาความรู้ในด้านอื่นด้วย
        
    เเต่ทว่าเวลา 6 ปีเเห่งความสุขที่ได้ใช้ชีวิตในโลกกว้างตามลำพังของดุจดาวก็หมดลง เมื่อมารดาบินไปตามตัวถึงที่ ให้ต้องกลับมาช่วยบริหารบริษัทในเครือของครอบครัวดังเช่นทุกวันนี้
        
    และเมื่อสามารถคว้าปริญญาโทด้านบริหารมาฝากมารดาจนเป็นที่พอใจแล้ว เรื่องต่อไปที่คุณหญิงแม่ของดุจดาวเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องคู่ครอง ในรอบ 2 ปี ที่ดุจดาวกลับมาอยู่เมืองไทย คุณหญิงเดือนดาราจึงขยันหาผู้ชายที่คู่ควรมาทำความรู้จักกับลูกสาวหลายต่อหลายคนนัก เผื่อจะรักกันชอบกันจนมีโอกาสได้เป็นทองแผ่นเดียวกันในวันข้างหน้า  
        
    แต่มีหรือ? ที่คนเราจะบังคับจิตใจกันได้ ดุจดาวก็เช่นเดียวกัน เพื่อนของเธอไม่เคยรัก ไม่เคยชอบพอกับบรรดาผู้ชายที่คุณหญิงแม่เพียรเลือกให้เลยสักคน ทั้งที่ชายหนุ่มพวกนั้นล้วนเเล้วแต่คุณสมบัติเพรียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็น รูปร่างหน้าตา การศึกษา และฐานะชาติตระกูล แต่ก็ไม่มีใครสามารถพิชิตหัวใจของ ดุจดาว อักษราภัค ได้เลยสักคนเดียว
      
     อันที่จริงแล้ว เพื่อนสนิทของเธอก็ไม่ได้เป็นคนเลือกมากเรื่องเยอะหรอก เพียงแต่ดุจดาวไม่มีใจใฝ่เสน่หาในเพศตรงข้ามเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้ใบว่านก็เข้าใจเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี เพราะเธอเองก็ไม่ได้แตกต่างจากดุจดาวเท่าไหร่นัก เพียงแต่โชดดีกว่าตรงที่ครอบครัวของเธอเข้าใจและเปิดใจรับเรื่องพวกนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มารดาของดุจดาวรับไม่ได้ จึงพยายามที่เปลี่ยนรสนิยมของบุตรสาวให้กลับไปเป็นปกติเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป  
        
    ครั้งหนึ่งดุจดาวเคยมีความรักกับเพื่อนในคณะ แต่บังเอิญเรื่องดันไปถึงหูมารดาเข้า ความรักครั้งแรกที่เพิ่งเริ่มต้นของดุจดาวจึงต้องปิดฉากลงด้วยเหตุผลที่ว่า แม่ไม่ปลื้ม และรับไม่ได้ที่ลูกสาวมีคนรักเป็นผู้หญิงเหมือนกัน และความรักครั้งนั้นก็คงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของดุจดาวด้วยกระมัง เพราะนับจากนั้นเป็นต้นมาเพื่อนสนิทแสนสวยสง่าราวกับเจ้าหญิงที่มีดีกรีเป็นถึงดาวมหาลัยคนนี้ก็ครองตัวโสดเรี่อยมา เพียงเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาผจญชะตากรรมความรักภายใต้ความกดดันอย่างแสนสาหัสจากมารดานั่นเอง
        
    ใบว่านถอนหายใจออกมาเบาๆ พาตัวเองให้หลุดออกจากภวังค์ความคิด ในเมื่อนานๆ จะได้เจอเพื่อนสนิทสักครั้ง เธอก็ไม่ควรที่จะเอ่ยถามหรือพูดคุยในเรื่องที่ทำให้เพื่อนรักต้องทุกข์ใจ
        
    “ดาว ไปทานข้าวกลางวันกันเถอะ นี่เที่ยงกว่าแล้ว ฉันชักจะหิวแล้วล่ะ ไปร้านริมคลองด้านหลังมหาลัยแล้วกัน ร้านโปรดของแกนี่ ไประลึกความหลังกัน ส่วนเรื่องภาพนี้ เอาไว้เดี๋ยวเจอเจ้าของภาพ แล้วฉันจะถามให้”
        
    ดุจดาวเหลียวมาพยักหน้าเนือยๆ ก่อนจะวางเฟรมผ้าใบในมือลงพิงกับโต๊ะไว้เหมือนเดิม
        
    “ไปสิ ไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าที่นั่นยังทำอาหารอร่อยอยู่มั้ย”  
        
    “แหม ร้านนี้เค้าฝีมือไม่เคยตกหรอกนะ ว่างๆ ก็หัดแวะมาหาฉันที่นี่บ้างสิ จะได้ย้อนรอยอดีตกันบ่อยๆ พูดแล้วก็คิดถึงสมัยเรียนเนอะ คิดถึงไอ้พวกนั้นด้วย ดูสิ ป่านนี้มีลูกมีเต้ากันไปหมดละ” ใบว่านพูดแกมหัวเราะ ทำเอาดุจดาวรู้สึกดีขึ้นจนต้องหัวเราะตามไปด้วย
        
    สองสาวจึงผลัดกันขุดเรื่องราวในอดีตมารำลึกกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะพากันเดินออกจากห้องพักอาจารย์ ลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างอย่างไม่รีบร้อน ปมปัญหาในใจของดุจดาว เจ้าตัวก็ขอพักเอาไว้ก่อน เมื่อนานๆ ทีได้อยู่กับเพื่อนสนิทแบบนี้ เห็นทีคงต้องตักตวงความสุขความสนุกเอาไว้ให้มากที่สุด ก่อนที่เวลานี้จะหมดไปอย่างรวดเร็ว  




    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
        
    ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

    วิสวีร์
       




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×